วาสนาชะตาใจ บทที่ 1 : เป็นสตรีต้องออกเรือน

วาสนาชะตาใจ บทที่ 1 : เป็นสตรีต้องออกเรือน

โดย : ชื่อถง

วาสนาชะตาใจ นวนิยายรักจีนโบราณจากปลายปากกา ชื่อถง เมื่อแม่ทัพชั่วร้ายทั่วป๋าจินคือ คางคกเผือก ที่โม่เฉียนจงชัง แต่แล้ววาสนาก็พาให้นางต้องก้าวเดินสู่อุ้งมือของคางคกตัวร้าย นางจะรับมือกับศึกภายนอกและความรู้สึกในใจตนได้อย่างไร มาเอาใจกันได้ที่ anowl.co เว็บไซต์ที่มีนวนิยายสนุกๆ ให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

– 1 –

“เฉียนเฉียนครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว!”  โม่เฟิ่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ

วันนี้แม่สื่อจางนัดหมายมาเยือนถึงจวนแม่ทัพพร้อมสินสอดในห่อผ้าแพรแดง  รองแม่ทัพใหญ่แห่งอู่เฉิงติดภารกิจเร่งด่วนต้องออกไปหน้าด่านเพื่อ ‘คุมเชิง’ ภายใต้ฉากหน้าต้อนรับขบวนทูตของเป่ยเว่ยที่เดินทางมาเพื่อขอเจรจาแลกเปลี่ยนสินค้า  ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปขอให้กุนซือหลินหยางกับฮั่วฮูหยินเป็นตัวแทนอยู่ต้อนรับ  ตอนย่างเท้าเข้าจวนเขายังนึกว่าจะได้ยินข่าวมงคล  กลับกลายเป็นว่าน้องสาวตัวดีไล่แม่สื่อจางกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า  ของหมั้นหมายทั้งหลายก็ส่งคืนทั้งหมดอย่างไม่ไยดี

แม่สื่อจางที่มีชื่อเสียงว่าเป็นแม่สื่อที่ดีที่สุดในอู่เฉิงถึงกับประกาศลั่นว่าจะไม่ขอรับงานแม่สื่อแม่ชักให้น้องสาวท่านรองแม่ทัพโม่อีก  แถมยังกล่าวหาว่าโม่เฉียนไม่อ่อนน้อมถ่อมตน  ไม่เคารพผู้ใหญ่  วาจาหยาบคายกิริยาก้าวร้าวราวบุรุษ  ไม่มีความเป็นคุณหนูในห้องหอแม้แต่น้อย  ชีวิตนี้คงยากจะได้ออกเรือน

โม่เฟิ่งเสียงฟังแล้วใบหน้าดำคล้ำ  โกรธแม่สื่อจางที่แช่งชักน้องสาวของตน  แต่ด้วยนิสัยซื่อตรงมีใจเป็นธรรมชายหนุ่มอดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งที่แม่สื่อเอ่ยมามีส่วนถูกต้อง

โม่เฉียนติดตามเขาเข้ากองทัพตั้งแต่เล็ก  แต่งกายเป็นเด็กชายเพื่อสะดวกในการเดินทางและอาศัยในกองทัพ  ช่วงเขารับใช้แม่ทัพใหญ่ที่ยามนั้นดำรงยศผิงอ๋องพักในเมืองหลวง  บรรดาสาวใช้และเหล่ามามาพยายามจับนางแต่งกายเป็นหญิง  แต่โม่เฉียนไม่ชอบ  นางชอบแต่งเป็นชายเพื่อออกไปต่อยตีกับเด็กอื่น ๆ มากกว่า  ภายหลังแม้กลับมาแต่งกายเป็นหญิงเมื่อนางย่างเข้าวัยสาว  แต่นิสัยโผงผาง  โลดโผนโจนทะยานและชอบใช้กำลังกลับซึมลึกถึงกระดูกยากจะเปลี่ยนแปลง

ชายหนุ่มได้แต่โทษตัวเองที่มัวแต่รบทัพจับศึกพยายามไต่เต้าจากนายทหารเล็ก ๆ สู่ตำแหน่งรองแม่ทัพใหญ่จนปล่อยปละละเลยน้องสาวคนเดียว  ไม่มีเวลาหาคู่ครองที่เหมาะสมให้นาง  กระทั่งปีนี้อายุของโม่เฉียนย่างเข้าสิบแปด  หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับนางล้วนออกเรือนมีลูกเล็กตัวขาวอวบอ้วนกันไปหมดแล้ว  เหลือเพียงนางที่คล้ายถูกหลงลืมอยู่ในจวนแม่ทัพ

เมื่อฉุกคิดได้ว่าน้องสาวของเขากำลังจะกลายเป็นสาวแก่ค้างเรือน  โม่เฟิ่งเสียงก็ร้อนรนจนต้องประกาศรับน้องเขย

ด้วยใบหน้าที่แม้จะไม่อาจเรียกว่างามล่มเมืองแต่ก็นับว่าหมดจดชวนมองไม่น้อยมีพี่ชายเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่  แถมมีข่าวลือว่าแม่ทัพใหญ่เสิ่นอู๋จี้ประกาศมอบทรัพย์สินมีค่าเป็นสินสอดติดตัวเจ้าสาวหลายสิบหาบ  แม่สื่อหลายรายจึงแห่กันมาเยือนจวนแม่ทัพไม่ขาดสาย  ทว่าโมเฉียนกลับไม่ยอมพยักหน้าตกลงกับชายใด

นางติว่านายกองตู้เยี่ยไป๋เป็นพ่อหม้าย  ลูกชายหญิงของเขานั้นอายุห่างจากนางไม่ถึงสี่ปี นางไม่ต้องการเป็นแม่เลี้ยงที่มีลูกเลี้ยงวัยไล่เลี่ยกับตน

นางติงว่าโจวเยี่ยนแม้มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอู่เฉิงแต่เขาเคารพมารดามาก  เชื่อฟังนางประหนึ่งเด็กน้อย  ส่วนโจวฮูหยินอุปนิสัยเข้มงวด  เจ้ากี้เจ้าการ  วางอำนาจเหนือสามีและบุตรชายทั้งสาม  โม่เฉียนรู้ดีว่านางเป็นคนแข็งไม่ยอมลงให้ผู้ใดง่าย ๆ ถ้าแต่งเข้าตระกูลโจวคงยากที่จะลงรอยกับแม่สามี  ชีวิตคู่ไม่อาจราบรื่นแน่นอน

บัณฑิตหลินซวงอู๋แม้เบื้องบนไร้บิดามารดาเบื้องล่างไร้บุตร  แต่ยากจนเข็ญใจ  เขาไม่ได้ต้องการภรรยาหากปรารถนาสินเดิมของเจ้าสาวพร้อมกับเส้นสายของจวนแม่ทัพ  ดังนั้นรายนี้ต่อให้โม่เฉียนพยักหน้าตกลงพี่ชายอย่างเขาต้องคัดค้านแน่นอน โชคดีที่หญิงสาวปฏิเสธบัณฑิตหลินไปเหมือนที่ปฏิเสธชายหนุ่มที่ตามมาหลังจากนั้นอีกหลายราย

โม่เฟิ่งเสียงเห็นเค้าลางไม่ดีเท่าไหร่จึงตัดสินใจเสาะหาน้องเขยด้วยตัวเอง  เขาเลือกนายทหารหนุ่มคู่ใจที่มีอนาคตไกล  แถมรู้จักคุ้นเคยกับโม่เฉียน  ท่าทางของน้องสาวที่มีต่อนายทหารผู้นี้ถือว่าดีทีเดียว  เรียกพี่ตงได้ไม่ขาดปาก  ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าคราวนี้นางจะต้องพยักหน้ารับอย่างแน่นอน

หากโม่เฉียนไม่เพียงไม่ตกลง  ยังอาละวาดเสียจนแม่สื่อจางตัดขาดไม่ยอมรับเป็นแม่สื่อให้  โม่เฟิ่งเสียงจึงหน้าตาดำคล้ำ  เอ็ดตะโรใส่น้องสาวว่า

“เจ้าว่ามา  หวางตงมีสิ่งใดไม่ดีไม่ถูกใจเจ้าถึงไปปฏิเสธเขาอย่างไม่ไยดี”

“พี่ใหญ่ท่านใจเย็นก่อน  ท่านเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ  ดื่มชาก่อน  มีอะไรค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากัน”  โม่เฉียนเอาใจเลื่อนน้ำชาให้พี่ชาย  แต่เขากลับยังคงมองนางตาขุ่นขวางอยู่  หญิงสาวจึงถอนใจยาวก่อนยอมรับว่า  “พี่ตงเป็นคนดี  มีความจริงใจ  ขยันขันแข็ง  อีกทั้งฝีมือเพลงทวนเพลงดาบล้วนไม่เป็นรองใคร”

“ถ้าเขาดีอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงได้ยังอาละวาดขับไล่แม่สื่อออกจากจวน”  เขาถามเสียงกระด้าง

“นั่นเป็นเพราะพี่ตงไม่ได้ชอบข้า  เขาเห็นข้าเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น  ผู้หญิงที่พี่ตงปักใจด้วยคือแม่นางเจิ้งที่ร้านขายเครื่องเขียนต่างหาก”

โม่เฟิ่งเสียงนิ่งอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง  ได้แต่เอ่ยว่า

“แล้วทำไม…”

“แล้วทำไมพี่ตงยอมส่งแม่สื่อจางมาน่ะหรือ  นั่นคงเป็นเพราะพี่ตงเคารพรักท่านประหนึ่งพี่ชาย  เมื่อท่านพยายามขายข้าให้เขา  เขาก็จำต้องรับซื้อไว้”

“เหลวไหล”  จากใบหน้าที่ดำคล้ำด้วยโทสะเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ  หากยังเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า  “ข้าขายเจ้าเสียที่ไหนกัน”

“พี่ใหญ่  การที่ท่านพูดกับพี่ตงว่าเป็นห่วงข้า  กลัวข้าจะไม่มีผู้ใดมาทาบทามสู่ขอ  ต้องอยู่เป็นสาวแก่ในจวนแม่ทัพ  แถมยังสำทับว่าท่านปวดใจนักที่ไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกเพราะไม่อาจหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ข้าได้  อย่างนี้ถือเป็นการบีบบังคับพี่ตงหรือไม่”

“ไม่  ข้าแค่เปรย”  เขายืนยันอย่างไม่ละอาย  “เจ้าหมอนั่นรีบตกปากรับคำจะส่งแม่สื่อมาทันที  ข้าก็นึกว่าเขามีใจให้เจ้า”

“พี่ใหญ่  ข้าว่าพี่ตงรักและเกรงกลัวท่านมากกว่ามีใจให้ข้านะ”

“ก็ได้  ถ้าพวกเจ้าไม่ได้ชอบพอกันข้าก็ไม่ว่า  แต่เป็นสตรีต้องออกเรือน  เฉียนเฉียนเจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าพอใจชายหนุ่มคนไหน  คุณชายตระกูลไหน  ข้าจะทำให้เขาส่งแม่สื่อมาที่จวนเอง”

ฟังคำพี่ชายแล้วโม่เฉียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย  นางชอบพอผู้ใดงั้นหรือ  คนผู้เดียวที่ถูกตาต้องใจเหลือเกินบัดนี้กลับกลายเป็นภรรยาผู้อื่นไปแล้ว  แถมยังกำลังตั้งครรภ์ทำให้ทั้งจวนแม่ทัพใหญ่เปี่ยมล้นด้วยด้วยความสุขและความยินดี  ส่วนชายอีกคนนั้น…

ให้ตายเถอะ  ในหัวนางเกิดภาพเจ้าคางคกบ้าตัณหาได้อย่างไรกัน!

“ไม่มี  ข้าไม่ได้ชอบใครทั้งนั้น”  นางรีบปฏิเสธ  ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทันทีอย่างมีพิรุธ

โม่เฟิ่งเสียงหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนยื่นคำขาด

“งั้นก็เลือกใครมาสักคน  ข้าให้เวลาเจ้าเจ็ดวัน  เอาชื่อชายที่เจ้าถูกตาต้องใจมา  ข้าจะคัดน้องเขยด้วยตัวเอง”

“พี่ใหญ่  สามีไม่ใช่ไก่ตัวผู้ที่ชี้เลือกได้ในตลาดนะ  ข้าจะไปหาชื่อที่ไหนมาให้ท่านได้”  โม่เฉียนร้องลั่น  พี่ใหญ่ของนางต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ

“ห้าวัน”  น้ำเสียงนั้นเฉียบขาด  ไม่ยินยอมให้มีการต่อรอง

“พี่ใหญ่!”

โม่เฉียนเดินกระแทกเท้าแรง ๆ ไปยังศาลาเล็กกลางสวน  นางอัดอั้นตันใจจนมิอาจอุดอู้ในเรือน  จะออกไปฝึกยุทธ์ที่ลานด้านหลังเพื่อระบายอารมณ์  โม่เฟิ่งเสียงก็สั่งห้าม  เขาว่า

‘เจ้าเลิกฝึกวรยุทธ์  เลิกกวัดแกว่งดาบได้แล้วเฉียนเฉียน  ไม่มีตระกูลดี ๆ ตระกูลไหนอยากได้สะใภ้ที่รู้จักแต่ต่อยตีผู้คนหรอก  ตอนนี้ถ้าเจ้าว่างนักก็ไปขอให้ฮั่วฮูหยินสอนงานเย็บปักให้เถอะ’

ให้นางไปปักผ้านิ้วพรุนนะหรือ  พี่ใหญ่…ท่านบ้าบอไปแล้ว

เมื่อได้นั่งพักในศาลาครู่หนึ่งอารมณ์ร้อนของนางก็เย็นลงและเปลี่ยนเป็นความหดหู่  ต้นฤดูหนาวยามนี้ก็คล้ายกับปีก่อน  อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ หิมะโปรยปรายบางเบาเหมือนปุยฝ้ายเนื้อดีที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าแต้มดินให้ขาวเป็นหย่อม ๆ  แต่อีกไม่นานคงจะทับถมเป็นพรมหนา  สภาพสวนในจวนก็ไม่แตกต่างจากเดิม  ทว่าปีนี้ไม่มีการเตรียมงานมงคลเหมือนปีก่อน  ทั่วทั้งจวนเงียบสงบเพื่อให้ฮูหยินท่านแม่ทัพที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้สามเดือนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

จวนแม่ทัพมีเรื่องมงคล  บ้านเมืองสงบเรียบร้อยไร้ศึก  อากาศเริ่มหนาวเย็นแต่ทุกคนมีเสื้อผ้าใหม่ที่หนาและให้ความอบอุ่นอย่างดีสวมใส่  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี  แต่…ทำไมในหัวใจของนางกลับรู้สึกอ้างว้างอย่างประหลาด…

“เฉียนเฉียน  เจ้าอยู่ที่นี่เอง”  เสียงทักเหมือนเด็ก ๆ ดังขึ้นอย่างดีอกดีใจ

โม่เฉียนแปลกใจ  นางมัวแต่จมอยู่กับความหงุดหงิดและหดหู่ของตัวเองจนไม่รู้ว่าอาเหมยเดินเข้ามาในศาลาตั้งแต่เมื่อไหร่

อาเหมยเป็นหญิงเป่ยเว่ยผู้เดียวในจวนแม่ทัพฉี  ฮูหยินท่านแม่ทัพจ้าวชิงเซียนเคยช่วยเหลือนางยามซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลานโจว  เสิ่นอู๋จี้ต้องการเอาใจว่าที่ภรรยาในตอนนั้นจึงส่งคนไปรับอาเหมยที่สติเลอะเลือนจากการสูญเสียสามีและลูกในท้องมาอยู่ที่จวน

ทั้ง ๆ ที่เป็นหญิงฟั่นเฟือนแต่นางกลับเดินย่องไปทั่วด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาเหมือนแมว  และนางไปทุกที่ที่อยากจะไป  แต่โชคดีที่อาเหมยไม่ได้ชอบไปไหนมากนัก  ส่วนใหญ่นางติดอยู่กับฮูหยินท่านแม่ทัพ  ชอบเล่นเป็นเด็ก ๆ ไล่จับนกจับผีเสื้อในสวน  บางทีนึกสนุกก็ไปช่วยฟางติงเซียงเย็บผ้า…หรืออันที่จริงต้องเรียกว่าตัดผ้าเล่น  ยังดีที่เมื่อข่าวฮูหยินท่านแม่ทัพตั้งครรภ์แพร่ไปถึงเมืองหลวง  ฮ่องเต้เสิ่นจิ่นที่ยินดีกับพระอนุชาเป็นอย่างยิ่งได้ส่งของขวัญมาอู่เฉิงมากมาย  หนึ่งในนั้นมีผ้าเสวี่ยต้วนหลายพับ  ฟางติงเซียงรับผ้าพวกนี้มาตัดชุดชั้นในให้เด็กน้อย  อาเหมยอยากเย็บผ้าให้ลูกชายในห่อผ้าของนางบ้าง  ช่วงบ่ายนางจึงง่วนปักผ้าอยู่ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้ใคร

แต่ยามนี้อาเหมยกลับออกมาเดินเล่นในสวนอย่างร่าเริง  ใบหน้าที่เคยผอมซูบมอมแมมเปลี่ยนเป็นกลมอิ่มอย่างคนสุขภาพดี  สองแก้มแดงเรื่อ  คิ้วโก่งเรียว ดวงตาดำสนิทเป็นประกายยิ่งกว่านิลน้ำงาม  ปากแดงสดชุ่มฉ่ำ  ความงดงามที่เคยหมองหม่นเพราะทุกข์ยากในเมืองหลานโจวบัดนี้กลับเปล่งประกายชัดเจน  เมื่อวานทูตจากหลานโจวขอพบ‘แม่ม่ายหลง’ เพื่อมอบของจากท่านแม่ทัพทั่วป๋าให้  ยามอาเหมยเดินอุ้มห่อผ้าเดินเตาะแตะตามองค์รักษ์อู่ผิงเช่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่  ฝ่ายนั้นถึงกับตะลึงจนไร้วาจาอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว

น่าเสียดายที่ความงามนี้มีตำหนิ  เวลาหนึ่งปีเยียวยาได้เพียงรูปลักษณ์ภายนอก  แต่บาดแผลในใจของอาเหมยกลับไม่อาจรักษาได้  นางยังคงความฟั่นเฟือน  พูดจาและทำตัวเป็นเด็กเล็กไม่ต่างจากวันแรกที่มาถึงจวน

“เฉียนเฉียนกินไหม”  หญิงฟั่นเฟือนถาม

ในมือที่ไม่ได้อุ้มห่อผ้ามีเซาปิ่งอุ่น ๆ ครึ่งชิ้น  นางยื่นให้อย่างมีน้ำใจ

โม่เฉียนรู้ว่าการเสนอนั้นเป็นความคืบหน้าสำหรับอาเหมยอย่างมาก  สมัยที่ต้องเร่ร่อนขอทานข้างถนนนั้นนางถูกพวกขอทานที่แข็งแรงกว่าคอยแย่งชิงอาหารและข้าวของต่าง ๆ ที่ได้รับมาเสมอ  ดังนั้นหญิงสาวฟั่นเฟือนรายนี้จึงหวงทุกอย่าง  ทั้งอาหารและเสื้อผ้า  ถ้าอยู่ในมือแล้วผู้ใดมาแตะต้องนางจะร้องไห้ฟูมฟายเจ็บปวดเหมือนจะขาดใจ

จ้าวชิงเซียนใช้เวลาไม่น้อยค่อย ๆ กล่อมเกลาให้อาเหมยรับรู้ว่า  ต่อจากนี้ไปนางจะไม่หิวหรือหนาวอีกแล้ว   อาการหวงของกินของใช้ของอาเหมยจึงดีขึ้นจนถึงขนาดสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้แล้ว

“ข้าไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกิน  เดี๋ยวไม่มีให้กินเจ้าอย่าร้องไห้งอแงนะ”  อาเหมยพูดเหมือนเด็กน้อยเตือนเด็กที่อ่อนวัยกว่า

“มีสิ  ฮูหยินบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอยู่ในจวนเจ้าไม่ต้องกลัวหิว  อยากกินอะไรก็บอกสาวใช้หรือจะไปที่ครัวให้แม่ครัวทำอาหารให้เจ้าได้”

“ฮื่อ ๆ ฮูหยินบอก”  นางพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจ  แต่เดี๋ยวเดียวก็ส่งเซาปิ่งในมือให้อีก  “เฉียนเฉียนกินไหม”

“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่กิน”

“ไม่ใช่”  หญิงฟั่นเฟือนส่ายหน้าเอ่ยเหมือนมีชัยว่า  “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่หิวต่างหาก”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”  โม่เฉียนโต้อย่างหงุดหงิด  ก่อนนิ่วหน้าถามเสียงแข็งว่า  “อาเหมยนี่เจ้าสวมชุดอะไรอยู่”

อาเหมยสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนาเหมาะรับมือกับความหนาวเย็น  ทว่าเนื้อผ้าสีชมพูสดใสปักลวดลายแปลกตา  แถมยังขลิบขนสัตว์รอบลำคอและชายเสื้อ  ลักษณะเสื้อผ้าแบบนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ชาวฉีสวมใส่กัน

“เสื้ออาเหมย  เฉียนเฉียน…เจ้าว่าสวยไหม”  นางหมุนตัวไปรอบ ๆ เป็นเชิงอวดเหมือนเด็ก ๆ

ถ้าโม่เฉียนอยู่ในอารมณ์ปกติ   นางคงตอบรับตามตรงว่าสวย   สีชมพูนั้นส่งให้ผิวของอาเหมยที่เนียนละเอียดเหมือนหยกเนื้อดียิ่งเปล่งประกาย  แบบเสื้อที่ตัดมาเพื่อส่งให้ผู้สวมใส่แลดูงามสง่าภูมิฐานพออยู่บนร่างเล็กของอาเหมยกลับทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกว่านางคล้ายตุ๊กตากระเบื้องบอบบางสูงค่าที่ต้องถือประคองในมือด้วยความระมัดระวังยิ่ง

แต่ยามนี้หญิงสาวมีแต่ความขุ่นข้องหมองใจอยู่เต็มอก  นางจึงไม่เอ่ยปากตามใจคิดแต่กลับถามว่า

“เจ้าเอาเสื้อผ้าชุดนี้มาจากไหน”

“ท่านแม่ทัพทั่วป๋าจินให้ข้ามา  มีของฮูหยินด้วย  แต่เสิ่นอู๋จี้ไม่ยอมให้ฮูหยินรับไว้  ท่านแม่ทัพทั่วป๋าแสนดี  เสิ่นอู๋จี้ต่ำช้ารังแกฮูหยิน”  อาเหมยบอกเสียงดัง

ในหัวของโม่เฉียนเหมือนมีบางอย่างลั่นกลองตึง ๆ เจ้าคางคกเผือกนั่น  นางคิดอยู่แล้วเชียว

หญิงสาวลุกขึ้นยืนดุด่าอีกฝ่ายว่า

“อาเหมย  เจ้ามันฟั่นเฟือนจริง ๆ  ตอนเจ้าลำบากเป็นขอทานข้างถนนในหลานโจว  ผู้ใดที่ช่วยเหลือเจ้ากัน  ทุกวันนี้เจ้ากินอยู่สุขสบายท้องอิ่มตัวอุ่นในจวนพวกเรา  แต่เจ้ายังเนรคุณเอาท่านแม่ทัพไปเทียบกับเจ้าคางคกสารเลวนั่น  เจ้านี่มัน…มัน…”

ระหว่างโม่เฉียนพูดต่อไม่ออกด้วยความโกรธ  อาเหมยได้แต่เอียงคอมองด้วยความประหลาดใจปากเผยอค้าง  เฉียนเฉียนพูดเร็วเสียงรัว  นางจับคำไม่ค่อยได้  ได้ยินแต่เพียงคางคก  ใบหน้างามจึงตื่นตระหนก  หันซ้ายมองขวาแล้วถาม

“เฉียนเฉียนคางคกอยู่ที่ใด  อาเหมยไม่ชอบคางคก  ลูกชายข้าก็ไม่ชอบคางคก  เอามันไปไกล ๆ”

“หญิงบ้า  ข้าพูดอะไรเจ้าฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย  แม่ทัพแสนดีของเจ้านั่นแหละคางคกตัวใหญ่  อาเหมยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย  เจ้าอยู่ในจวนแม่ทัพฉี  เจ้าต้องแต่งกายด้วยชุดของพวกเรา  ไม่ใช่แต่งตัวเป็นหญิงเป่ยเว่ยน่ารังเกียจ  เจ้าเข้าใจไหม”

อาเหมยเบิกตากว้างมองนางเหมือนมองหญิงเสียสติ

โม่เฉียนตรงเข้าหาหญิงฟั่นเฟือน  เอื้อมมือจะดึงทึ้งเสื้อชาวเป่ยเว่ยของอีกฝ่ายให้ขาด

อาเหมยกรีดร้องลั่น  ก้าวถอยลนลาน  ความกลัวเก่า ๆ สมัยที่ถูกแย่งชิงข้าวของยามเป็นขอทานข้างถนนทำให้นางกอดห่อผ้าในมือแน่น

“เฉียนเฉียนใจร้าย  เฉียนเฉียนจะแย่งเสื้อข้า  เสื้อข้า  เฉียนเฉียนจะเอามันไปแล้ว”

“ใครเขาอยากได้เสื้อเป่ยเว่ยของเจ้ากัน  ข้าแค่ให้เจ้าไปเปลี่ยนชุดที่น่ารังเกียจ  แล้วทิ้งมันไป”

“ไม่ทิ้งไม่ทิ้ง  เสื้อของอาเหมย  เฉียนเฉียนอยากได้ไปขอท่านแม่ทัพทั่วป๋าเอง”

“ข้าไม่ได้อยากได้เสื้อเจ้า  ยิ่งไม่อยากเจอเจ้าคางคกเผือกนั่นด้วย  อาเหมยมานี่…กลับไปที่ห้องกับข้า  ข้าจะเอาเสื้อตัวใหม่ให้เจ้าเอง”

“ไม่”  อาเหมยกรีดร้องเสียงลั่น  ปัดมือไม้ของโม่เฉียนจนเกิดเสียงเพี้ยะดังลั่น  โม่เฉียนหน้าตาดำคล้ำ

“อาเหมย  เจ้ากล้าตีข้าหรือ”

“เฉียนเฉียนจะตีข้าก่อน”  อาเหมยแก้ตัวปากคอสั่น  หน้าตาเหยเก

“ข้าไม่ได้จะตีเจ้า”  โม่เฉียนเริ่มตะโกนบ้าง

“จะตี  จะตี  จะแย่งของของข้า  เฉียนเฉียนใจร้าย  เฉียนเฉียนไม่ดี”  หญิงฟั่นเฟือนร้องไห้โฮราวกับถูกทุบตีรุนแรง

“อาเหมย  ข้าไม่ได้ตีเจ้า”  หญิงสาวหมดความอดทนเช่นกัน  “ข้าแค่จะบอกว่าที่นี่คือแผ่นดินของฉี เจ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องทำตัวเป็นคนฉี  ถ้าเจ้าอยากแต่งกายแบบเป่ยเว่ยนักก็กลับหลานโจวไป จวนนี้ไม่ต้อนรับชาวเป่ยเว่ย”

อาเหมยมองนางอย่างตกตะลึง  จากนั้นก็สั่นเทาไปทั้งตัว

“ฉะ…เฉียนเฉียนไล่ข้า  จะไม่ให้ข้าอยู่บ้านนี้แล้ว”

โม่เฉียนเพิ่งรู้ตัวว่านางเอ่ยอะไรออกไป   ได้แต่รีบปฏิเสธเสียงเบาว่า

“อาเหมย  ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”  นางยื่นมือออกไปเหมือนจะปลอบ  แต่อาเหมยกลับหนีลนลาน  ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตื่นตระหนก

ไม่มีผู้ใดรู้ว่ายามที่นางถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลหลง  นางสิ้นไร้ทั้งเงินทองและที่พักพิงแถมสติยังไม่สมประกอบจึงดื้อดึงไม่ยอมไป  แม่สามีกับสะใภ้คนอื่น ๆ จึงพากันทุบตีนางอย่างโหดร้าย  ตอนนั้นแม่สามีก็พูด…บ้านนี้ไม่ต้อนรับเจ้าอีกแล้ว  นังหญิงฟั่นเฟือนไร้ค่า ไม่ต้อนรับเจ้าอีกแล้ว  ไม่ต้อนรับแล้ว…อาเหมยเปลี่ยนจากร้องไห้โฮแบบเด็ก ๆ เป็นเสียงสะอื้นด้วยความกลัวเหมือนจะขาดใจ

“อย่าตีข้า  อย่าตีข้า  ข้ากลัวแล้ว  ข้ากลัว  ข้ากลัว…ข้าไปแล้วข้าไปแล้ว  อย่าตี  อย่าตี”

“อาเหมย…”

โม่เฉียนมองร่างในชุดสีชมพูที่กอดห่อผ้าหนีลนลานไปด้วยสายตาตกตะลึง  เซ่าปิงครึ่งชิ้นหล่นนอกศาลา  ความอุ่นร้อนของมันละลายชั้นหิมะบาง ๆ บนพื้นจนเป็นวงกว้าง

ข้าไม่ได้ตั้งใจ…

หญิงสาวนั่งลงใหม่อย่างอ่อนแรง  รู้สึกผิดและรังเกียจตัวเองที่กลายเป็นปีศาจใจร้ายกลั่นแกล้งรังแกเด็กน้อย

โม่เฉียนเอ๋ยโม่เฉียน  นี่เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!

 

ค่ำนั้นจวนแม่ทัพใหญ่แห่งอู่เฉิงวุ่นวายไปหมดเพราะหญิงฟั่นเฟือนเป่ยเว่ยหายตัวไป  สาวใช้ในจวนรายหนึ่งเอะใจเมื่ออาเหมยไม่ได้เข้ามาขอขนมจากในครัวเหมือนทุกครั้ง  จ้าวชิงเซียนรู้เรื่องก็นั่งไม่ติด

นางคิดว่าอาเหมยอยู่กับฟางติงเซียง  ฝ่ายนั้นก็คิดว่าอาเหมยอยู่กับฮูหยิน  ทั้งคู่จึงพากันคร่ำครวญ

“ความผิดของข้าเอง”

เสิ่นอู๋จี้ไม่ได้ชอบหน้าหญิงเป่ยเว่ยเท่าไหร่นัก  แต่เห็นท่าทางวิตกกังวลของภรรยาแล้วเขาพลอยขมวดคิ้วด้วย  ก่อนเร่งออกคำสั่ง

“ค้นให้ทั่วจวน  ตรวจดูกำแพงทั้งหมดว่ามีช่องทางไหนที่นางมุดลอดออกไปได้หรือไม่  สั่งทหารให้ออกตระเวณทั่วเมือง  หานางให้พบ”

“ท่านแม่ทัพเมื่อวานคนของเป่ยเว่ยมอบข้าวของให้อาเหมย  เป็นไปได้ไหมว่านางจะถูกพาตัวไป”  องค์รักษ์ฮั่วอี้หลงตั้งข้อสังเกต

“ไม่น่าจะเป็นไปได้เราจับตามองพวกทูตตลอด  โดยเฉพาะตัวนายกองฉู่รายนั้น  ถ้าเขาส่งคนย้อนกลับมาลักพาตัวอาเหมยคนของเราต้องรายงานแล้ว  เรื่องนี้… ถ้านางไม่ซุกซนเข้าไปเล่นแอบซ่อนในกองเกวียนเอง  ข้าก็รับรองได้ว่าชาวเป่ยเว่ยไม่ได้พาตัวนางไปแน่”  องค์รักษ์อู่ผิงเช่อเอ่ยอย่างมั่นใจ

“อาเหมยไม่ซุกซน”  จ้าวชิงเซียนยืนยันอย่างร้อนใจ  “ข้าบอกนางแล้วว่าถ้าไม่อยากกลับหลานโจวก็อย่าไปแถวกองเกวียน  และนางรับปากข้าแล้ว”

แม่ทัพใหญ่อู่เฉิงมองคิ้วขมวดมุ่นของภรรยา  เขาจับมือนางไว้ไม่ให้ร้อนรนจนเกิดเหตุ  ปลอบเสียงอ่อนโยนว่า

“จะหลงออกไปเองหรือผู้ใดพาไป  เราก็ต้องหานางให้พบ  เจ้าไม่ต้องวิตกเกินไป  ระวังอย่าให้กระทบลูก”

มุมหนึ่งในห้องโถงกว้างโม่เฉียนอ้าปากจะเอ่ยวาจาแล้วชะงักค้าง  เป็นอย่างนี้สองสามครั้ง  นางอยากจะสารภาพใจแทบขาดว่าเป็นความผิดของนางเอง  เพราะนางออกปากขับไล่  อาเหมยเลยทั้งหวาดกลัวและน้อยใจจนหลบหนีกลับหลานโจวไป

แต่วาจาใด ๆ กลับไม่อาจหลุดออกจากปาก  นางไม่กลัวถูกท่านแม่ทัพหรือพี่ชายลงโทษ  นางแค่ไม่อยากเห็นสายตาตำหนิจากฮูหยินเท่านั้น

ค่ำคืนนั้นไฟในจวนแม่ทัพถูกจุดสว่างอยู่จนเกือบถึงเช้า

ดังนั้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดของตัวเอง  โม่เฉียนที่ไม่อาจหลับตาลงได้ทั้งคืนก็พร้อมจะออกเดินทาง  นางลงมือจัดเสื้อผ้าเลือกหยิบชุดชาวบ้านที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบที่ตัดไว้นานแล้วเป็นอย่างแรก  ตามด้วยข้าวของที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้  กระบี่อ่อนที่โม่เฟิ่งเสียงมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดยามนางอายุสิบห้านำมาคาดไว้กับสายรัดเอว  เงินจำนวนหนึ่ง

หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนหยิบถุงผ้าเล็กจากก้นหีบขึ้นมา  ในถุงมีขวดยาเล็กที่บรรจุยาเพียงเม็ดเดียว  สีของมันแดงก่ำเหมือนโลหิต  กลิ่นหอมหวาน  ยานี้จ้าวชิงเซียนปรุงแจกจ่ายให้คนสนิทรอบกายสามี

‘ยานี้ไว้สำหรับแก้พิษ  แก้อาการไข้หนักรุนแรง  พวกท่านติดตัวไว้ถ้าเกิดเหตุร้ายยาเม็ดนี้จะช่วยต่อชีวิตได้’

จ้าวชิงเซียนไม่ได้ระบุชื่อยา  แต่คนในจวนต่างเดาได้ว่านี่คือยาหมื่นพิษสลาย  ยาล้ำค่านั้นหลอมไม่ง่าย  หลังจากปรุงยาขึ้นหนึ่งชุดจ้าวชิงเซียนจะหมดเรี่ยวแรงหน้าตาซีดเซียวต้องพักฟื้นหลายวัน  เสิ่นอู๋จี้ที่รักและหวงแหนฮูหยินมากจึงยอมให้นางปรุงยาเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น  ดังนั้นทุกคนที่มีโชคได้ครอบครองจึงถนอมยาเม็ดนี้อย่างดียิ่ง

โม่เฉียนมัดถุงผ้าเข้าข้างเอว  พร้อมกับคำนวณเวลาที่เกิดขึ้น  นางกับอาเหมยมีปากเสียงกันช่วงยามอู่*  หนึ่งชั่วยามถัดมาคณะของชาวเป่ยเว่ยที่มาเจรจาแลกเปลี่ยนไข่มุกราตรี  หินโมราและขนสัตว์กับข้าวสารก็เดินทางกลับ

ถ้าอาเหมยแอบซ่อนตัวในเกวียนสินค้าอย่างที่คาดไว้  ตอนนี้คงออกจากเมืองอู่เฉิงไปไกลแล้ว  ถ้าจะตามกลับมาโม่เฉียนต้องเร่งเดินทาง

“อาเหมยข้าจะไปตามเจ้ากลับมา  และข้าสัญญาต่อไปข้าจะดีกับเจ้าให้มาก  จะไม่ดุด่าว่ากล่าวอะไรเจ้าอีกแล้ว”  หญิงสาวให้คำมั่นกับตัวเอง

โม่เฉียนตรงไปที่คอกม้า  เลือกม้าตัวหนึ่งมาโดยไม่พูดไม่จาอะไร  จากนั้นก็ขึ้นม้าห้อออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่านางคิดผิดพลาดอย่างแรง  นางใช้ความคิดความอ่านของตนที่เป็นหญิงสาวธรรมดามาตัดสินสถานการณ์โดยลืมไปว่าอาเหมยนั้นเป็นหญิงฟั่นเฟือนที่ความคิดเหมือนเด็กน้อยเท่านั้น

ดังนั้นเนิ่นนานต่อมาโม่เฉียนถึงได้รู้ว่า  เพียงนางออกจากประตูเมืองไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม  อาเหมยที่ทนหิวไม่ไหวก็ร้องไห้กระซิก ๆ คลานออกจากกองขนสัตว์ในห้องเก็บของที่ซ่อนตัวอยู่ทั้งคืน  นางว่า

“อาเหมยไม่อยากกลับหลานโจว  ต้องซ่อน  ต้องซ่อนจากคนใจร้าย”

พอถูกซักว่าใครใจร้าย  นางก็ส่ายหน้าไม่ยอมตอบ  จ้าวชิงเซียนที่โล่งใจจนยิ้มแย้มออกมาได้จึงเพียงโบกมือ

“ช่างเถอะ ๆ  เจ้าไม่ได้หนีหายไปไหนก็ดีแล้ว  แต่ต่อไปอย่างทำแบบนี้อีกนะอาเหมย  เจ้าทำให้คนทั้งจวนเป็นห่วงรู้ไหม”

อาเหมยพยักหน้าทั้งน้ำตา  ไม่เถียงอะไรแม้เพียงคำเดียวเพราะในปากเต็มไปด้วยข้าวสวยร้อน ๆ แล้ว

ดังนั้นตามความคิดของผู้คนในจวน…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่หิมะเริ่มกระหน่ำอู่เฉิงคือ  อาเหมยไม่ได้หนีออกจากจวน  กลับเป็นโม่เฉียนที่ถูกพี่ชายบีบให้คัดเลือกสามีทนความกดดันไม่ไหวหนีออกจากจวนแทน!

 

เชิงอรรถ : 

*ยามอู่  คือเวลา 11.00 น. – 12.59 น.



Don`t copy text!