พรายผูกรัก บทที่ 1 : ผีหลอก หลอกผี
โดย : กมลภัทร
พรายผูกรัก โดย กมลภัทร นวนิยายออนไลน์ ที่เรื่องเล่าถึง ‘ปริตา’ หญิงสาวที่ถูกวิญญาณเมื่อครั้งอดีตติดตามเธอไปทุกที่โดยไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นมาดีหรือร้าย แถมยังพาเธอให้พบกับชายหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว นิยายสนุกๆ น่าติดตามเรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว
****************************
– 1 –
นี่ถนนในกรุงเทพจริงรึเปล่าเนี่ย
ปริตารำพึงกับตัวเองเมื่อบังคับพวงมาลัยเลี้ยวไปตามเส้นทางแนะนำที่ระบุไว้ในแอปพลิเคชันแผนที่ ซึ่งเธอตั้งไว้ให้นำทางไปยังสถานที่ซึ่งเพื่อนสาวส่งมาให้เมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน
ตอนแชร์โลเคชันมาให้ก็บอกว่าออกมาชานเมืองแค่หน่อยเดียว โอ๊ย…ยายเพื่อนตัวดี ทำไมไม่บอกว่าทางเข้ามันทั้งมืดทั้งเปลี่ยวขนาดนี้
ทันทีที่เลี้ยวจากถนนสายหลักเข้าสู่ทางเลียบริมคลองชลประทานความมืดก็เข้าปกคลุมรอบบริเวณทันที ไม่มีแม้แต่เสาไฟสักต้นเดียว นอกจากสิ่งที่อยู่ในลำแสงจากไฟส่องสว่างหน้ารถแล้ว เหมือนว่าทุกอย่างจะถูกปกคลุมด้วยผืนผ้าสีดำ ถนนคอนกรีตอย่างดีตอนนี้กลายเป็นทางลูกรัง หญิงสาวถึงกับหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงสะเทือนเมื่อพาหนะกระเด้งกระดอนไปตามหลุมน้อยใหญ่บนพื้นผิวจราจร
ทางเปลี่ยวแบบนี้สิ่งแรกที่ปริตานึกหวั่นคือถ้าเกิดเจ้ากล้วยหอมรถยุโรปสีเหลืองคู่ใจเกิดตายกลางทางขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ข่าวปล้นฆ่าจี้ชิงทรัพย์มีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน
ปริตาสะบัดหน้าไล่ความคิดด้านร้ายออกไป ใจหนึ่งก็นึกเคืองตัวเองที่ตบปากรับคำเพื่อนสนิทว่าจะขับรถมารับหลังจากได้รับโทรศัพท์เมื่อช่วงเย็น พอกดรับสายปุ๊บอีกฝ่ายก็ส่งเสียงมาแทบจะทันที
‘คุณเพื่อนที่รักจ๋า…’
‘ว่าไง…มีอะไรให้รับใช้จ๊ะคุณเพื่อนที่ร้าก หรือจะให้ถามว่าจะให้ไปรับที่ไหนดี จะตรงประเด็นกว่า’
นาถนรีหัวเราะร่วนเมื่อถูกลากเสียงล้อเลียน ‘รู้ได้ไงยะ ว่าจะให้มารับ’
‘ก็รถแกเสียเมื่อเช้า แล้วฉันก็จำได้ว่าแกจะออกกองวันนี้’
‘แสนรู้…เอ๊ย…รู้ใจเพื่อนจริงๆ นะแกเนี่ย ฉันว่าจะให้แกไปรอรับน่ะ ฉันจะติดรถกองถ่ายออกไป ให้แกไปดักรอกลางทาง’
‘ฉันจำได้ว่าแกเคยบ่นเรื่องต้องรอเขาเก็บของขึ้นรถโน่นนี่ กว่าจะเสร็จไม่ใช่เหรอ ฉันไปรับแกที่กองก็ได้ วันนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว จะเลิกกองประมาณกี่โมงก็ส่งข้อความหรือโทรมาบอกก็ได้’
‘จะดีเหรอ เกรงจ๊าย…เกรงใจ’
‘กลับเองไหม’
‘โอ๊ย..ไม่เอา ไม่เกรงใจก็ได้ เดี๋ยวแชร์โลเคชันไปให้นะ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไปเตรียมงานแล้ว เขาอยากจะเร่งถ่ายให้เสร็จเพราะพิธีกรห่วงเมีย ลูกเพิ่งคลอด ยื่นคำขาดต้องถ่ายให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน’
ปริตาทันรับคำก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบตัดสาย ผ่อนลมหายใจยาวเมื่อนึกถึงหนึ่งในรายการที่เพื่อนสนิททำให้กับบริษัททีวีดิจิทัลยักษ์ใหญ่
ท้าผีหลอก…แค่ได้ยินชื่อรายการครั้งแรกก็ทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้ว หากต้องเลือกจัดวางตัวเองว่าเชื่อเรื่องผีสางหรือไม่เชื่อ เธอคงตอบใครต่อใครว่าอยู่ตรงกลาง เพราะต่อให้ทั้งชีวิตไม่เคยมีผีสางนางไม้ที่ไหนมาปรากฏให้เห็นต่อหน้าต่อหน้าตา แต่ก็ไม่เคยคิดอยากลองดี เท้าสะเอวท้าให้ผีที่ไหนมาหลอกเช่นกัน
ปริตามองซ้ายมองขวาไปยังความมืดมิดที่เหมือนโอบล้อมไว้รอบตัว แล้วเอื้อมมือไปลดความแรงของลมที่ผ่านจากช่องปรับอากาศหน้ารถ ละมือขวาจากพวงมาลัยเพื่อถูท่อนแขนซ้ายก่อนจะสลับข้างใช้มือซ้ายขัดแขนขวา
นึกถึงฉากในภาพยนตร์ดังที่มีผีสาวมาเกาะข้างกระจกรถ เปลี่ยวขนาดนี้ โจรขโมยที่ไหนก็คงไม่มาดักปล้นจี้แต่ถ้าเป็นผีก็ไม่แน่
หญิงสาวเลื่อนมือไปกดเพิ่มระดับความดังของเครื่องเสียงติดรถยนต์ ตั้งใจให้กลบบรรยากาศมืดมิดรอบตัว ขณะที่ใจยังคิดเมื่อมองไปตามต้นไม้น้อยใหญ่ข้างทาง
จะมี ‘อะไร’ โผล่มาข้างทางไหมนะ
ไม่นะ…ยายปลา จะนึกถึงผีทำไมกันเนี่ย ฟังเพลง ร้องเพลงเข้า
ปริตาแหกปากตามเสียงของนักร้องสาวดีวาจากคลื่นวิทยุ เห็นแสงไฟอยู่ไกลลิบ แค่ขับรถผ่านช่วงนี้ไปได้เธอก็จะได้เจอกับเสาไฟฟ้า หากโก่งคอร้องเพียงไม่กี่ประโยค สัญญาณวิทยุของคลื่นนั้นก็เกิดขาดหายเป็นห้วง หญิงสาวจึงกดปุ่มค้นหาเพื่อเปลี่ยนคลื่นวิทยุ
ตัวเลขบนหน้าปัดเลื่อนขึ้นไปเพียงชั่ววินาทีก็หยุด
เสียงระนาดดังรัวขึ้นทันทีที่ตัวเลขแสดงช่องสัญญาณหยุดลง ก่อนที่จะมีเสียงดนตรีไทยบรรเลงชวนขนลุกตามมา
เวรละ!
หญิงสาวรีบกดเปลี่ยนจากระบบวิทยุไปเป็นไฟล์จากแฟลชไดร์ฟที่เสียบติดอยู่กับเครื่องเสียงแทนเมื่อรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเพลงประกอบละครเกี่ยวกับผีปอบที่เคยโด่งดังเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน และยังคงเป็นเพลงที่เรียกความรู้สึกขนลุกขนพองได้ทุกครั้งที่ได้ยิน
เชื่อไม่เชื่อไม่รู้ แต่ไม่ลบหลู่ แล้วก็ไม่ได้อยากเจอ
ผ่านช่วงมืดสนิทของทางสายเล็กนั้นมาได้ ปริตาก็พบว่าถูกแอปพลิเคชันของแผนที่หลอกเข้าให้แล้ว เพราะที่จริงมีเส้นทางหลักที่สว่างกว่าแม้จะเป็นเส้นทางที่ไกลกว่าและต้องผ่านแยกไฟแดงบ้างก็ตาม ถนนเส้นที่หญิงสาวเพิ่งจะเลี้ยวรถมาถึงนั้นดูเหมือนเป็นเส้นทางผ่านที่ไม่ค่อยมีร้านรวงหรือบ้านคนอยู่เท่าใดนัก ดีแค่มีเสาไฟฟ้าส่องสว่างอยู่บ้างเท่านั้น หญิงสาวลดเสียงเพลงลงเมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวไม่น่ากลัวเท่าที่ผ่านมา เพื่อให้ตนสามารถได้ยินเสียงจากอุปกรณ์นำทาง
“อีกห้าร้อยเมตร เลี้ยวซ้าย” เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อหญิงสาวขับรถผ่านวัดขนาดเล็กที่ดูเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ปริตามองข้างทางเลยจากวัดไปแล้วอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
ห้าร้อยเมตรข้างหน้าข้างทางมีแต่ต้นไม้ จะเลี้ยวซ้ายตรงไหน แกจะหลอกอะไรฉันอีกเนี่ย แอปซังกะบ๊วย
ปริตาถอนคำสบประมาทแอปพลิเคชันแผนที่เพราะเอาเข้าจริงมันทำหน้าที่บอกทางได้ดีพอควร หากไม่มีเสียงคอยเตือน เธอคงขับรถเลยทางเข้าซอยไปแล้ว ซอยเล็กเปลี่ยวไม่แพ้เส้นทางที่ผ่านมายังดีที่มองเห็นแสงไฟจากบ้านเรือนสองข้างทาง แม้อาจจะทิ้งระยะห่างกันอยู่เล็กน้อย
หญิงสาวเหลือบมองหน้าจอที่มีตัวเลขระบุระยะห่างของพิกัดปัจจุบันและที่หมาย อีกไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรก็จะถึงปลายทาง ปริตาละมือขวาขึ้นกำหมัด ตั้งแขนฉากตีศอกลงพื้นอย่างยินดี เพิ่มแรงกดน้ำหนักลงบนคันเร่งหวังให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด
“ที่หมายอยู่ทางซ้าย”
เสียงเตือนเรียกให้ผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยมองซ้าย รีบละเท้าจากคันเร่งขึ้นเพื่อแตะเบรกเมื่อเห็นประตูรั้วไม้ที่เปิดทิ้งเอาไว้ เผยเส้นทางเข้าไปสู่เรือนไม้หลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปพอควร เธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าขับผ่านเขตรั้วของเรือนไม้นี้ตั้งแต่เมื่อใด และถ้าไม่เพราะมีแสงไฟสปอตไลต์ที่ทีมงานกองถ่ายติดตั้งไว้ภายในเรือน ปริตาก็คงมองไม่เห็นตัวเรือนด้วยซ้ำ
หาสถานที่ถ่ายทำได้ท้าผีหลอกสมชื่อรายการ
ปริตาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นเปิดแอปพลิเคชันแชต ส่งข้อความแจ้งนาถนรีว่าเธอมาถึงแล้วและจะขับรถเข้าไปรอ
ป๊อกๆ
เสียงเคาะกระจกหน้าต่างรถด้านคนขับดังขึ้นแทบจะทันทีที่เธอกดปุ่มส่งข้อความ
“ว้าย!”
อุปกรณ์สื่อสารในมือลอยหวือก่อนจะร่วงลงไปบริเวณใต้เบาะ ปริตาต้องตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล้ามองไปยังเงาตะคุ่มของคนที่ยืนรออยู่ มือไม้ยังสั่นเมื่อเอื้อมไปกดลดกระจกลงเพียงเล็กน้อย
“มะ..มะ…มีอะไรคะ”
“พี่เป็นเพื่อนพี่หนิง จะมารับพี่หนิงใช่ไหมครับ”
หญิงสาวตอบรับเสียงหนักแน่นกว่าประโยคแรกเมื่อแน่ใจว่าที่มายืนเคาะกระจกรถนั้นเป็นคน และเป็นคนที่รู้จักกับนาถนรี
“พี่หนิงให้ผมคอยดูไว้ถ้ามีรถมา ให้มาบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงครับ ใกล้เสร็จงานแล้ว เดี๋ยวพี่เลี้ยวรถเข้าไปรอเลยนะครับ”
ปริตาเพียงตอบรับคำ แต่ในใจนึกต่อว่าหัวเด็ดตีนขาดเธอคงไม่ยอมจอดรถรอข้างทางเปลี่ยวแบบนี้แน่ อย่างน้อยก็ขอไปจอดใกล้กับบริเวณที่มีทีมงานอยู่
เมื่อเข้ามาจอดรถในระยะที่ใกล้มากขึ้น หญิงสาวจึงได้มีโอกาสพิจารณาสถานที่ถ่ายทำนี้ชัดเจนขึ้นด้วย
เรือนหมู่คหบดียกใต้ถุนสูงหลังนี้น่าจะสร้างมาหลายสิบปีและถูกทิ้งรกร้างมานานพอควร แต่สภาพของตัวเรือนยังค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามขั้นบันไดกลางเรือนก็จะมองเห็นหอกลางที่เป็นเรือนโปร่งใช้สำหรับนั่งพักผ่อนหรือรับประทานอาหารร่วมกัน รวมไปถึงเรือนอีกสามด้านที่ถูกเชื่อมต่อกันด้วยชานแล่นกลาง
ปริตาอดเสียดายแทนเจ้าของเรือนไม่ได้ เพราะหากดูแลให้อยู่ในสภาพที่ยังใหม่กว่านี้ เรือนหลังนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับถ่ายทำละครพีเรียด แทนที่จะกลายเป็นที่รกร้างเอาไว้ให้ทีมงานมาถ่ายทำรายการท้าผีหลอกแบบนี้
นาถนรีกะเวลาไว้ค่อนข้างแม่นยำเพราะหลังจากจอดรถรออยู่เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เหมือนว่าการถ่ายทำรายการจะเสร็จสิ้น ทีมงานทยอยเดินลงมาจากเรือนไทย ปริตาสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนสนิทที่ทำหน้าที่ประสานงานกองถ่าย แต่แล้วสายตาก็มองไปเห็น ‘คน’ ที่ดูผิดแผกจากกลุ่มคนที่เดินลงมา
ผู้หญิงในชุดสไบแดง ผ้านุ่งสีเขียวใบไม้สวมเครื่องประดับทองเดินลงมาท่ามกลางทีมงานเสื้อดำ
ปริตาจะร้องกรี๊ดลั่นรถแล้วถ้าไม่เพราะที่เดินตามลงมาไม่ห่างก็คือเพื่อนสนิทของเธอเอง และนาถนรีก็ดูจะพูดคุยกับผู้หญิงสไบแดงคนนั้นอย่างถูกคอ พอมองลงมาเจอรายนั้นก็รีบหันไปบอกอะไรบางอย่างกับทีมงานแล้วรีบเดินตรงมาที่รถ
“รอนานไหมแก ขอบคุณนะที่มารับ ฉันไม่อยากกลับรถกองเพราะต้องเอาของกลับไปบริษัท กว่าจะกลับถึงคอนโดคงใกล้เช้าพอดี”
“ทีหลังถ้าถ่ายท้าผีหลอก ไม่มารับละนะ”
“อ้าว…ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ขับรถผ่านที่เปลี่ยวๆ น่ากลัวแบบนี้ไม่ไหว ฉันกลัว”
“เดี๋ยวมะรืนรถฉันก็ซ่อมเสร็จแล้วคงลำบากแกแค่ครั้งนี้แหละ วันนี้เหนื่อยไม่อยากกลับดึก”
“แค่นี้ไม่ได้ลำบากอะไรนักหนาหรอก แต่มันเปลี่ยวเท่านั้นเอง…น่ากลัว”
“ใจดีจังนะเพื่อนเรา นอกจากให้อยู่ร่วมห้องแล้ว ยังมาดึกดื่นไม่มีอิดออดสักคำ นี่ฉันจะหาเพื่อนดีๆ แบบแกได้ที่ไหนอีก”
“ไม่ต้องมาชมเลย แล้วนี่ไม่ต้องรออะไรแล้วใช่ไหม”
“ไม่ต้องแล้ว ทุกอย่างเคลียร์ กลับบ้านได้ตัวใครตัวมัน”
ปริตาส่งเสียงอือเป็นเชิงรับรู้ เคยดูรายการอยู่บ้างจึงพอรู้ว่ารูปแบบรายการจะนำเสนอเรื่องราวของสถานที่ที่มีเรื่องเล่าลือกันว่ามีผี มีช่วงแนะนำเรื่องราวซึ่งจะเป็นคลิปสั้นที่เล่าเรื่องพร้อมกับมีภาพเคลื่อนไหวประกอบ
“แล้วคราวนี้เป็นเรื่องผีอะไร ผีสาวสไบแดงเหรอ…มีเรื่องเล่าลือกันจริงๆ หรือว่าทีมงานแต่งกันเอง”
“งานนี้แต่งเรื่องกันเอง” นาถนรียอมรับตามตรง เหมือนที่เคยเล่าเรื่องการทำงานให้เพื่อนฟังอยู่เสมอ “บ้านร้าง โรงพยาบาลร้าง โรงเรียนร้างมีเป็นร้อยเป็นพัน มันก็ไม่ได้มีเรื่องเล่าอะไรกันทุกที่หรอก ที่นี่ขนาดหาตัวเจ้าของได้ สอบถามเขาก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยเพราะเป็นมรดกตกทอดกันมา ที่เขายังเก็บไว้ไม่ขายเพราะที่มันราคาถูก”
“แต่เรือนมันก็ชวนให้นึกถึงพวกเรือนผีสิงในละครอยู่นะแก”
“โอ๊ย…เอาจริงๆ นะแก เคยไปถ่ายที่ที่ดูเก่า น่ากลัวกว่านี้มาตั้งเยอะตั้งแยะ ยังไม่มีใครเคยเจออะไรเลย เรือนไทยแบบนี้ที่ไหนมันก็เหมือนกันหมดแหละ”
การได้รับรู้ประสบการณ์ในการทำรายการท้าผีหลอกของนาถนรีทำให้หลายครั้งปริตาอยากจะเชื่อว่าผีไม่มีจริงเสียมากกว่า เพราะจากที่ได้ฟังเพื่อนสนิทเล่าหลายครั้งที่ทีมงานต้องพยายามสร้างเรื่องราวให้สถานที่มีความน่ากลัว สร้างบรรยากาศ หรือแม้กระทั่งบอกบทให้ผู้ร่วมรายการแสดงอาการที่จะกระตุ้นให้คนดูคิดว่าเจอดีอะไรบางอย่างเข้า
“แล้วนี่หิวรึเปล่า จะแวะกินอะไรรึเปล่า จะได้เลือกกลับถูกทาง”
“กินข้าวกองเรียบร้อยแล้ว อิ่มแปล้”
ปริตาเอื้อมไปกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนจะดึงปิดบานกระจกที่เปิดระบายอากาศเอาไว้ เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ทำงานภายในไม่กี่วินาที หญิงสาวที่นั่งหลังพวงมาลัยเอื้อมมือไปสัมผัสที่ท้ายทอยแทบจะทันทีที่รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่ปะทะร่างกายเช่นกัน
“เป็นอะไรรึเปล่าปลา”
“สงสัยแอร์จะเย็นไป ไม่มีอะไร”
ปริตาตอบปัด หมุนเปิดไฟหน้ารถแล้วกลับส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นทันทีที่แสงไฟหน้ารถส่องให้มองเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างเรือน หากแต่ร่างนั้นก็หายวับไปในวินาทีถัดมา
“อะไร”
“ฉะ…ฉะ…ฉันน่าจะตาฝาดน่ะ”
“งั้นก็รีบไปเถอะ แกคงไม่คุ้นละสิมาที่แปลกๆ แบบนี้ ฉันตระเวนหาโลเคชัน ถ่ายทำรายการจนชินละ ฉันก็ไม่น่าเลยละ ลืมไปเลยว่าแก…กลัวผี”
“กลัวอะไรที่ไหน ไม่เคยกลัวย่ะ ยิ่งได้ฟังเรื่องการทำงานของแกยิ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผีมีจริงในโลก ฉันก็แค่ไม่อยากเจอ…ฉันหมายถึงถ้าเกิดว่าโลกนี้มีผีขึ้นมาจริงๆ นะ”
“ย่ะ…แม่คนเก่ง ไม่กลัวก็ไม่กลัว”
นาถนรีเอ่ยอย่างแต่น้ำเสียงสื่อไปอีกอย่าง ‘คนไม่กลัว’ ไม่แย้งอะไร หากแต่ก็ยังอยากรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นนั้นคืออะไรกันแน่ เมื่อขับรถออกจากเรือนร้างมาถึงถนนใหญ่ไฟส่องสว่าง ปริตาเลยรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถาม
“ว่าแต่วันนี้นอกจากผีสาวสไบแดงแล้ว มีผีตัวอื่นอีกไหม”
“ผี…ผีอะไร”
“ก็…”
เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนาถนรีดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ปริตาจึงยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร
“ว่าไงมีอะไร…อะไรนะ” คนรับโทรศัพท์ร้องถามปลายสายเสียงหลง “ผีนางทาสอะไรที่ไหน ก็มีแค่ผีสไบแดง แกไปเห็นผีนางทาสอะไรตอนไหน หา…นั่งมากับรถที่เบาะหลัง”
คนที่นั่งหลังพวงมาลัยหันไปมองเพื่อนสนิทเมื่อได้ยินคำว่าผีนางทาส เหลือบมองกระจกหลังจังหวะเดียวกับที่คนที่นั่งอยู่ด้านข้างหันกลับไปมองที่เบาะหลัง
เสียงหัวเราะร่วนของคนกลุ่มใหญ่ดังลอดจากโทรศัพท์มาจนปริตาก็พลอยได้ยินไปด้วย
“นี่แกอำใช่ไหม ไอ้เด็กบ้าพวกนี้นี่ เดี๋ยวด่าสามวันเจ็ดวันไม่ซ้ำคำเสียเลยนี่…เออ…แล้วขนของกลับกันดีๆ ล่ะ ให้สมกับที่วางใจให้ทำกันเองหน่อย…แค่นี้แหละ”
วางสายไปแล้วนาถนรีจึงหันมาขยายความให้ปริตาฟัง
“ไอ้พวกเด็กๆ ที่กองแหละ มันรวมหัวกันโทรมาแกล้ง บอกว่าเห็นผู้หญิงลักษณะเหมือนพวกนางทาสในละครนั่งมากับเบาะหลังรถแก นี่คงสนุกกันมันเลยหลุดขำกันออกมา”
“อ้อ…เหรอ”
ปริตากดเปิดฟังเพลงขณะที่ใจคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ฟังจากนาถนรี กับสิ่งที่ตนได้เห็นข้างเรือนหลังจากเปิดไฟหน้ารถ
หญิงสาววัยราวสิบแปดถึงยี่สิบปี ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม นุ่งผ้าแถบสีเทาอ่อน โจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม
ผีนางทาสเหรอ…บ้าจัง…เด็กช่างไฟของหนิงนี่อำอะไรตรงกับที่เราตาฝาดไปเห็นเข้าเสียได้ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้