พรายผูกรัก บทที่ 2 : ฝันไป ในฝัน

พรายผูกรัก บทที่ 2 : ฝันไป ในฝัน

โดย : กมลภัทร

Loading

พรายผูกรัก โดย กมลภัทร นวนิยายออนไลน์ ที่เรื่องเล่าถึง ‘ปริตา’ หญิงสาวที่ถูกวิญญาณเมื่อครั้งอดีตติดตามเธอไปทุกที่โดยไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นมาดีหรือร้าย แถมยังพาเธอให้พบกับชายหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว นิยายสนุกๆ น่าติดตามเรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว

****************************

– 2 –

 

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ปริตาลืมตาขึ้นพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่มืดมิด ไม่ใช่บนเตียงที่ตนล้มตัวลงนอน หากตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่แห่งไหนสักแห่ง

ฝัน…ใช่ นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ

แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในฝันแต่กระนั้นปริตาก็ไม่สามารถที่จะเดินหนีออกจากความฝันนี้ได้ ภาพในฝันตรงหน้าคือความมืดที่ปกคลุมรอบตัว เห็นแสงสว่างรำไรอยู่ไม่ไกลนัก

ถ้าเป็นในหนัง ในละคร เธอจะต้องเดินไปตามแสงสว่างไป สุดท้ายก็จะได้เจอกับอะไรก็ตามที่รออยู่และสิ่งนั้นก็มักจะเป็น…

หญิงสาวชะงักฝีเท้า นึกขัดอยู่ในใจว่าอย่างไรเสียก็จะไม่ยอมเดินไปเสียอย่าง จะอะไรก็ช่างที่รออยู่ก็รอไปสิ

ตื่นๆ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งปริตาก็พบตนเองนอนอยู่บนที่นอนอย่างที่ควรจะเป็น รีบผุดขึ้นไปกดเปิดสวิตช์ไฟในห้องนอนทันที กวาดตามองรอบตัวราวกับเกรงว่าจะยังไม่ตื่นจากฝัน ก่อนจะทดสอบให้แน่ใจยิ่งไปกว่านั้นด้วยการหยิกแขนตัวเองไม่แรงนัก

อูย…เจ็บแฮะ

 

เสียงจากเครื่องรับโทรทัศน์ในห้องโถงดังแว่วมาให้ได้ยิน ปริตาจึงสะบัดผ้าห่มคลุมตัวออกก้าวลงจากที่นอน เปิดประตูออกไปก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องยังนั่งกดรีโมตดูซีรีส์ต่างประเทศอยู่

“ฉันเปิดทีวีดังไปเหรอ”

“เปล่า” หญิงสาวคิดเพียงชั่วขณะก่อนรีบเอ่ยต่อ “นอนไม่ค่อยหลับน่ะ วันนี้แกมานอนห้องใหญ่กับฉันไหม นอนคุยกันเผื่อจะง่วงบ้าง”

นาถนรีขมวดคิ้ว “ปกติแกไม่ใช่คนนอนยากนี่”

“ไม่ต้องมาถามมากเลย เพราะแกนั่นแหละ ให้ฉันไปรับที่ไหนก็ไม่รู้ มืดก็มืดเปลี่ยวก็เปลี่ยว บรรยากาศเรือนไทยนั่นก็หลอนจนน่ากลัว”

“แกนี่ก็กลัวไม่เข้าเรื่อง ฉันก็เล่าให้ฟังออกบ่อยว่าไอ้ที่แบบนี้น่ะ มันไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เก่า” เพื่อนร่วมห้องยังแคลงใจกับอาการของปริตา “อย่างที่อื่นที่แกเคยไปรับฉัน หรือตามฉันไปดูกองถ่าย แกก็ไม่เห็นจะกลับมามีอาการอะไรแบบนี้เลยนี่นา”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เอาเป็นว่าคืนนี้แกเข้าไปนอนห้องนอนใหญ่กับฉันนะ…นะ…นะ”

“ก็ได้” นาถนรีคว้ารีโมตขึ้นปิดเครื่องรับโทรทัศน์ ผุดลุกขึ้นยืนมองอีกปริตาอย่างจับสังเกต “นี่แกเป็นเอามากจริงๆ ด้วยนะ ยืนรออะไรอยู่เล่าก็เดินเข้าห้องนอนไปสิ นี่ก็กำลังจะเดินตามไปเนี่ย”

“ไม่ได้จะอะไรสักหน่อย ก็แค่ยืนรอเอง ฉันไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นหรอก ห้องนี้เราก็อยู่ด้วยกันมาจะเป็นสิบปีแล้ว” ปริตาชักจะรู้สึกเสียหน้า เลยแอบกลั้นใจข่มความหวั่นเกรงสะบัดหน้าเดินนำไปลิ่ว

“ฉันจะกลัวอะไรกับการเข้าห้องนอนของตัวเอง ผีสางอะไรเราก็ไม่เคยเจอสักครั้งจริงไหม”

เจ้าของห้องนอนใหญ่ดึงเปิดประตูห้องตัวเองแล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า เพราะร่างนั่งคุกเข่ามองเธออยู่จากปลายเตียง นางทาสสาวคนเดียวกับที่เธอเห็นที่เรือนไทยกำลังคลี่ยิ้มเมื่อปริตารู้สึกได้ถึงการถูกปะทะจากด้านหลัง แรงจนเธอเซถลาไปที่เตียง เธอกรีดร้องเมื่อตระหนักว่าจุดที่เซมาเกาะอยู่นั้นห่างจากจุดที่มองเห็นทาสสาวคนนั้นในระยะประชิดแค่ไหน

ตาฝาด…ตาฝาดอีกใช่ไหม ตาฝาดแน่ ต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่

พร่ำบอกตัวเองในใจแบบนั้นแต่หญิงสาวกลับไปกล้าที่จะขยับตัว ไม่อาจแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองให้รู้แน่ว่าตนเองแค่ตาฝาดไปจริง

“ขอโทษนะยายปลา แกเป็นอะไรมากไหม” นาถนรีปรี่เข้ามาประคอง พยายามจะดึงปริตาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นสิ ไม่ไหวเหรอ…เจ็บตรงไหน”

“ไม่เจ็บ ฉันไม่เป็นไร แต่แกช่วยดูหน่อยว่าปลายเตียง…”

“ปลายเตียงทำไม ปลายเตียงมีอะไร ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”

ได้ยินคำรับรองอย่างนั้น หญิงสาวจึงปล่อยให้เพื่อนสนิทประคองให้ลุกขึ้นยืน ปลายเตียงว่างเปล่าไม่มี ‘อะไร’ จริงอย่างที่นาถนรีว่า

“นี่ถามจริงๆ นะ แกเป็นอะไรเมื่อกี้ พอเปิดประตูก็ไม่ยอมเข้าห้อง จนเดินชนแกเนี่ย”

ครั้งนี้คำถามนั้นแสดงความเป็นห่วงมากกว่าจะล้อเลียน คนที่ตั้งใจจะปดจึงระบายลมหายใจยาว ยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดีถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ให้เพื่อนสนิทที่เดินอ้อมไปอีกด้านของเตียงหย่อนตัวลงบนที่ฟูกนุ่มก่อนเอนตัวลงนอน

“ฉันรู้ละ ฉันว่าแกเจอบรรยากาศหลอนๆ แล้วได้ยินเรื่องที่ฉันโดนโทรมาอำเรื่องผีนางทาส แกก็เลยจับเอาโน่นนี่มาผสมกัน”

ปริตาคิดตามที่เพื่อนพูดขณะที่ล้มตัวนอนตาม “ก็…ดูจะมีเหตุผล”

“ไม่ปิดไฟเหรอ”

“คุยกันก่อนสิหนิง อย่าเพิ่งหลับ”

“คุยเรื่องอะไรดีหนอ…เรื่องธีสิสของแกดีไหม เมื่อไหร่รีบๆ ทำให้จบสักที”

“โอ๊ย…ชวนคุยเรื่องอะไรเนี่ย ขอเรื่องเบาสมองกว่านี้ได้ไหม”

ฝ่ายที่จี้จุดเจ้าของห้องนอนใหญ่ได้หัวเราะร่วน พลิกตัวนอนตะแคงชันศอกมองด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนยั่วล้อในที

“ทำไมจ๊ะแม่ทายาทเจ้าของห้างใหญ่ ไม่อยากรีบกลับไปทำงานที่บ้านหรือไง”

“รู้แล้วยังจะมาถามอีก ถ้าอยากจะขอพ่อแม่เรียนต่อทำไมเล่า พี่ปอกับลูกๆ ของลุงกับอาฉันเขาก็รับช่วงทำงานต่อกันอยู่แล้ว เว้นฉันไปคนพ่อกับแม่คงไม่ว่ามั้ง”

“ถ้าไม่อยากทำ แกก็น่าจะบอกไปตามตรงได้แล้วนะ ให้พ่อกับแม่หวังอยู่ได้ว่าแกจะกลับไป”

“พูดง่าย แต่ให้ทำน่ะยาก ไม่รู้จะพูดกับพ่อแม่อย่างไรดี”

“ก็พูดไปตรงๆ พ่อแม่แกเขาคงไม่ฉีกเลือดฉีกเนื้อแกกินหรอกมั้ง”

ปริตาไม่ตอบโต้อะไรต่อหากถอนใจหนักหน่วง

จังหวัดบ้านเกิดของปริตาและนาถนรีนั้นอยู่ทางเหนือและเป็นเพียงจังหวัดรองที่ไม่ใช่เมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ห้างสรรพสินค้าในเครือของเจ้าใหญ่ระดับประเทศจึงไม่ไปลงทุนเปิดสาขา และทำให้ห้างฯ ท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยปู่ของปริตามีโอกาสได้ขยับขยาย สร้างใหม่ในขนาดใหญ่ขึ้น มีร้านอาหารแฟรนไชส์เจ้าดังหลายเจ้ารวมถึงมีสาขาของโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ยักษ์ใหญ่ไปเปิด

ธุรกิจที่ใหญ่โตมากขึ้น ต้องอาศัยความรู้และหัวคิดของเด็กรุ่นใหม่ในการบริหารซึ่งพี่ชายของปริตา รวมถึงลูกของลุงและอาของเธอเมื่อเรียนจบก็เข้าไปช่วยกิจการ มีเพียงปริตาที่ยังไม่นึกสนุกกับการต้องกลับไปทำงานกับญาติพี่น้อง จึงขอพ่อแม่เรียนต่อในด้านการสื่อสารการตลาดดิจิทัล เลือกแผนที่ต้องทำวิทยานิพนธ์เพราะคิดว่าจะสามารถทำให้ตนถ่วงเวลาที่จะต้องกลับไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านได้นานกว่า

“จริงๆ ที่ฉันไม่อยากกลับเนี่ย ส่วนนึงก็เพราะฉันห่วงแกด้วยนะยายหนิง…ถ้าเกิดฉันเรียนจบกลับไปอยู่บ้าน แล้วแกจะอยู่ยังไงล่ะ ไม่มีฉันอยู่แกเหงาแย่เลยนะ ห้องก็ตั้งใหญ่โต”

“จะบ้าเหรอ แกไม่อยู่ฉันก็คงไม่อยู่หรอก ห้องนี้มันห้องแกนะ”

“แกน่ะสิบ้า แกคิดว่าพ่อแม่ฉันจะยอมให้แกไปอยู่ที่อื่นเหรอ ไม่มีทางหรอก”

ปู่ย่าของนาถนรีมาเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ใกล้กับพื้นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดิมของครอบครัวปริตา ใกล้กับห้างฯ และร้านทองมีตลาดและสนามเด็กเล่น พ่อแม่ของทั้งคู่จึงได้วิ่งเล่นรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงเมื่อต่างก็มีทายาทของตนเอง ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นนั้นก็สืบต่อมาถึงรุ่นของปริตาและนาถนรีเช่นกัน หญิงสาวทั้งสองจึงเป็นเหมือนพี่น้องกัน เป็นลูกสาวอีกคนของพ่อแม่อีกฝ่าย

เมื่อทั้งคู่สอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ พ่อแม่ของปริตาที่ฐานะค่อนข้างดีกว่าจึงซื้อห้องชุดขนาดสองห้องนอนเพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่ของอีกฝ่ายจึงยืนกรานรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งน้ำไฟและค่าส่วนกลาง

“งั้นแกก็รีบเรียนให้จบได้แล้ว ฉันจะได้ย้ายมานอนห้องนี้…เมื่อไหร่แกมาเที่ยวกรุงเทพก็ไปนอนห้องเล็กแทน”

“โห…นี่ไล่เลยเหรอแก…ห้องนอนเล็กก็เล็กกว่าห้องนี้นิดเดียวเองนะ”

“แต่ห้องโน้นไม่มีห้องน้ำในตัวเหมือนห้องแกนี่” นาถนรีแย้ง “แต่ถึงยังไงฉันว่าแกคงไม่ยอมทำธีสิสให้จบง่ายๆ หรอก กว่าฉันจะได้ย้ายมาห้องนี้ก็อีกนาน เอาเถอะๆ นอนได้ยังล่ะแก ฉันเริ่มง่วงแล้วนะ ปิดไฟนอนเถอะ”

ปริตาเองก็เริ่มรู้สึกว่าเปลือกตาหนักขึ้นมาเล็กน้อย จึงชันเข่าขึ้นเอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะล้มตัวลงนอนและหลับลงเกือบจะในทันที

ฝันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย ไม่นะ…ทำไมฝันเหมือนเดิมเลย

ปริตาหันซ้ายทีขวาที มองผ่านความมืดมิดที่รายล้อมตัวอยู่

ตื่น…ตื่น…ตื่น หญิงสาวพยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่นจากห้วงนิทราแต่ดูจะไม่เป็นผล เธอยังคงยืนหมุนตัวไปมาเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่เหมือนจะไร้ซึ่งแสงสว่าง หากเพียงครู่หนึ่งก็เหมือนมีลำแสงสีขาวนวลส่องลงมาจากด้านบน

ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นทันทีที่แสงนั้นตกกระทบ ปริตาเบิกตากว้างมองนางทาสสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ทำทีเหมือนจะคลานเข่าเข้ามาหา ปากก็ขยับเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่หญิงสาวไม่ได้ยินเสียง ลำแสงสีนวลนั้นค่อยเลือนเข้ามาใกล้พร้อมกับ ‘คน’ ที่คลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

“ฉันกลัวแล้ว ฉันกลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะ ถ้าเผลอทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ล่วงเกินก็ขอโทษด้วย แล้วจะทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้” ปริตาหลับตาปี๋ “ชอบกินอะไรก็บอกกันได้นะ เดี๋ยวจะใส่บาตรให้ด้วย ตกลงนะ อย่ามาหลอกกันอีกเลย”

ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธใด รอบตัวมีเพียงความเงียบและเมื่อหลับตาอยู่อย่างนี้ปริตาก็มองไม่เห็นอะไร

นี่มันความฝัน ใช่ฝันแน่ใช่ไหม ในฝันเราหลับตาไม่มองผีได้ไหมนะ…แล้วนี่ลืมตาได้หรือยังนะ ไปแล้วใช่ไหมทำไมไม่พูดไม่ตอบอะไรเลยสักคำ

หญิงสาวคิดก่อนจะลืมตาขึ้น และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ตกใจแทบสิ้นสติ นางทาสสาวกำลังเกาะชายเสื้อนอนผ้าแพรของเธอ ปากขยับพูดอะไรแต่เธอไม่ได้ยินเสียงแม้แต่คำเดียว

“ว้าย”

ในความฝันปริตาหวีดร้องออกมาด้วยความตื่นกลัวขณะที่สะบัดตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม หากในสำนึกรู้ร่างของเธอกำลังกลิ้งตกจากฟูกหนา ในภาวะที่เหมือนอยู่กึ่งหลับกึ่งตื่น กึ่งฝันกึ่งความจริงนั้น เธอมองเห็นทาสสาวคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ปากขยับเรียกและครั้งนี้เหมือนเธอจะได้ยินอะไรบางอย่าง

“คุณเพ็ญเจ้าขา”

สิ่งที่จู่โจมปริตาในวินาทีต่อมาเมื่อร่างของเธอสัมผัสกับพื้นคือความเจ็บแปลบที่สะโพกซ้าย พร้อมกับที่หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเธอเพิ่งจะตื่นจากห้วงนิทรา

“เฮ้ย…ปลา เป็นไงบ้างแก เจ็บไหม”

นาถนรีเหมือนจะตื่นเพราะเสียงร้องของปริตาเมื่อครู่ คนที่นอนอยู่บนพื้นค่อยหยัดตัวขึ้นยืน คลำป้อยไปที่บั้นท้ายส่วนที่กระแทกลงพื้นห้องอย่างจังเมื่อครู่ แสงแดดจากภายนอกส่องทะลุผ้าม่านทำให้สามารถมองเห็นภายในห้องได้แม้จะไม่ได้ชัดเจนนัก หากก็มากพอที่จะทำให้ปริตาเห็นว่าบริเวณที่เธอเห็นทาสสาวนั่งคุกเข่าอยู่นั้นตอนนี้ว่างเปล่า

“เจ็บสิ ถามได้”

“ไหนดูหน่อยสิ ช้ำหรือเปล่า”

นาถนรีปรี่เข้ามาหา ทำท่าจะดึงกางเกงนอนแพรของปริตาลง

“บ้าเหรอ แกจะทำอะไรเนี่ย”

“จะดูไงว่าเป็นแผลไหม ช้ำตรงไหนหรือเปล่า”

“โอ๊ย…ไม่ต้องเลยเดี๋ยวดูเอง จั๊กจี้”

“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปดูก่อนว่ามีอะไรในตู้เย็นบ้าง จะได้ทำข้าวเช้ากินกัน วันนี้ขอบ่าวดูแลสำรับเช้าให้นะเจ้าคะ คุณปลาเจ้าขา”

“บ่าวอะไรกัน เจ้าคะ เจ้าขา ไม่เอานะ มุกนี้ไม่เล่น ไม่ขำ” หญิงสาวเปลี่ยนจากคลำสะโพกมาเป็นกอดอกลูกต้นแขนตัวเองไปมา “แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

“ยังไม่ลืมเรื่องนางทาสอะไรเมื่อคืนอีกเหรอ”

“เก็บเอามาฝันเลยละ”

นาถนรีมองสบตาแล้วสำรวจใบหน้าของเพื่อนสนิทเอียงคอสลับซ้ายขวา เหมือนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

“หน้าแกซีดมากเลยนะปลา แกต้องเลิกคิดเรื่องผีนางทาสอะไรนั่นได้แล้ว ไอ้คนที่มันโทรมาหลอกมันก็สารภาพแล้วว่ามันอำเล่น”

ปริตาพยักหน้ารับในเหตุผลของอีกฝ่าย

 

กลิ่นไข่เจียวหอมฟุ้งไปทั่วเมื่อปริตาออกจากห้องนอนใหญ่หลังจากสำรวจดูอาการช้ำบริเวณสะโพกของตนและทาขี้ผึ้งแก้เคล็ดขัดยอกแล้ว นาถนรียืนอยู่หน้าเตาในโซนห้องครัวและห้องอาหารที่อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่นโดยมีชั้นวางของแบบโปร่งกั้นแบ่งเอาไว้

กระทะถูกยกขึ้นจากเตาแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่นกลมแบนสีเหลืองทองถูกตักวางลงบนจาน ขณะที่เครื่องไมโครเวฟส่งเสียงเตือน

“ช่วยยกแกงจืดในไมโครเวฟมาหน่อยสิ ฉันอุ่นข้าวแล้วก็ตักใส่จานไว้ให้แล้ว”

ปริตาทำตามคำของนาถนรี แล้วเดินไปสมทบที่โต๊ะอาหาร

“กับข้าวถุง กับพวกของสดที่ซื้อไว้ใกล้หมดแล้วนะ ครั้งนี้ตาฉันซื้อ แกอยากได้อะไรก็จดไว้นะ เดี๋ยววันหยุดจะไปซื้อให้”

นักศึกษาปริญญาโทพยักหน้าแทนคำตอบ ยกช้อนส้อมขึ้นเขี่ยข้าวสวยในจานไปมา

“เป็นอะไรของแก ยังไม่เลิกคิดเรื่องผีสางอีกเหรอ เย็นนี้ฉันต้องไปทำงานกลับดึกมากนะแก แล้วจะอยู่คนเดียวไหวไหมเนี่ย”

“ไหวสิ…แค่นี้สบายมาก ฉันไม่ได้กลัวอะไรสักหน่อย” ปริตายืนยันแต่แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออ…แกเอารถฉันไปใช้ไหม”

“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ชอบขับรถคนอื่นแกก็รู้ เดี๋ยวติดรถพวกที่กองมาลงใกล้ๆ แล้วต่อแท็กซี่ดีกว่า”

นาถนรีเอ่ยตอบแล้วมองสำรวจบนโต๊ะอาหาร

“อ้อ…ลืมเลย ฉันทำน้ำปลาพริกไว้ให้แล้ว สำรวจตู้เย็นแล้วรู้เลยว่าอาหารวันนี้รสชาติอ่อนไม่จัดจ้านถึงใจแกแน่ ดันลืมหยิบมาวางให้”

หญิงสาวมองเพื่อนร่วมห้องขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นไปหยิบถ้วยพริกน้ำปลาที่วางเตรียมไว้แล้วมาวางบนโต๊ะ

“ขอบใจนะ ได้เพื่อนดีอย่างแกนี่ฉันสบายไปร้อยแปดอย่าง”

ปริตาเอ่ยแล้วพยายามปรับความรู้สึกให้เป็นปกติที่สุด แม้ในใจจะนึกถึงแต่สิ่งที่เห็นและได้ยินในภาวะก้ำกึ่งระหว่างหลับหรือตื่นนั้น

‘คุณเพ็ญเจ้าขา’

บรรยากาศวังเวงอาจทำให้เธอหลอนเห็นอะไรไปเอง เรื่องบังเอิญที่นาถนรีถูกโทร.มาอำเรื่องผีนางทาสที่นั่งรถมาด้วยก็อาจจะยิ่งทำให้หญิงสาวคิดอะไรจนเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ รวมเห็นภาพอะไรที่ไม่ได้มีอยู่จริง แต่จะขั้นที่ทำให้เธอเพ้อขนาดตั้งชื่อใครขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยในความฝันเชียวหรือ

 



Don`t copy text!