พรายผูกรัก บทที่ 4 : รอยอดีต
โดย : กมลภัทร
พรายผูกรัก โดย กมลภัทร นวนิยายออนไลน์ ที่เรื่องเล่าถึง ‘ปริตา’ หญิงสาวที่ถูกวิญญาณเมื่อครั้งอดีตติดตามเธอไปทุกที่โดยไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นมาดีหรือร้าย แถมยังพาเธอให้พบกับชายหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว นิยายสนุกๆ น่าติดตามเรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว
****************************
– 4 –
เมื่อต้องอยู่เพียงลำพังในห้องนอน ความเงียบก็ทำให้ปริตานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับตนเองในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง จากที่ตั้งใจจะเอื้อมมือไปปิดไฟนอนเธอจึงยั้งตัวเองเอาไว้ ล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังเปิดไฟสว่าง
แต่จะว่าไป…ผี…ใช่สิต้องผีแน่ๆ ไม่ได้ตาฝาด ผีตนนั้นไม่น่าจะมาร้าย ไม่อย่างนั้นจะมาเตือนแล้วก็พยายามเข้ามาช่วยเราทำไมกัน
แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ผีก็คือผีและปริตาเองก็ไม่เคยอยากจะใกล้ชิดมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับผีมาก่อน และจะว่าไปเธอก็ไม่เคยพบเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้มาก่อนตั้งแต่จำความได้มาจนถึงบัดนี้
ทำไมถึงต้องเป็นผีนางทาสสาวตนนี้ หรือไม่ก็ต้องถามว่าทำไมต้องเป็นปริตาที่ผีตนนี้มาคอยติดตาม
หญิงสาวนึกถึงภาพยนตร์ที่ตนเคยดูมาหลายต่อหลายเรื่อง ส่วนใหญ่วิญญาณมักมีอะไรติดค้าง เมื่อไม่ได้รับการสะสางจึงคอยวนเวียนไปยอมไปผุดไปเกิด
“คุณเพ็ญเจ้าขา”
น้ำเสียงเยียบเย็นดังขึ้นจากด้านข้างเตียงทำให้ปริตาต้องรีบปิดเปลือกตาลงทันที
“ขอบใจนะที่มาช่วย แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันทั้งง่วงทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย อย่ามารบกวนฉันเลยนะ”
หญิงสาวเงี่ยหูฟังคำตอบเมื่อไม่พบเสียงตอบใดจึงกางนิ้วมือข้างที่ปิดตาอยู่แล้วมองไปรอบห้อง เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงระบายลมหายใจยาว ตะแคงข้างหันหลังให้ฝั่งที่ได้ยินเสียงเรียกเมื่อครู่ เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายจากความตระหนกเมื่อครู่เปลือกตาก็เริ่มหนักขึ้นทุกขณะ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งปริตารู้สึกถึงสัมผัสที่แปลกไป สิ่งที่สัมผัสกับแผ่นหลังควรเป็นฟูกนุ่มแต่กลับรู้สึกได้ถึงพื้นแข็ง
“บ่าวจำเป็นต้องทำ อย่าโกรธบ่าวนะเจ้าคะ คุณเพ็ญ”
เสียงนั้นดังให้ได้ยินในห้วงสำนึก หญิงสาวไม่สามารถควบคุมร่างกายได้หากตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอเพียงรับรู้ว่าตนอยู่ในร่างของใครอีกคน และเมื่อเจ้าของร่างนั้นลุกขึ้นจากที่นอนไปจัดการธุระส่วนตัวที่ริมคลอง ภาพสะท้อนบนผิวน้ำทำไห้ได้รู้ว่าเธอกำลังอยู่ในร่างของนางทาสที่มาปรากฏตัวให้เห็น
“อ้าว…นางอุ่น เสร็จแล้วก็รีบเข้า” เสียงป้าสาย ทาสในเรือนที่ดูแลสอนงานให้อุ่นมาตั้งแต่เล็กเอ่ยเรียก “พวกในครัวยกสำรับขึ้นเรือนไปแล้ว เดี๋ยวเอ็งต้องพาคุณเพ็ญไปเก็บดอกบัวไม่ใช่รึ”
“รู้แล้วจ้ะป้า”
อุ่นรับคำแล้วรีบตรงไปยังเรือนใหญ่ ย่อเข่าลงกับพื้นเรือน เมื่อร่างเล็กห่มสไบสีม่วงนุ่งผ้าสีน้ำเงินเดินลงมาจากบนเรือน
“ไปกันเถอะอุ่น เดี๋ยวจะสาย”
คุณเพ็ญเอ่ยเสียงใสเดินนำไปทางสู่บึงบัวซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเรือนมากนัก
“ระวังจะล้มนะเจ้าคะคุณเพ็ญ”
“อุ่นนี่บ่นเหมือนแม่ฉันอีกคนเลย นี่ฉันโตแล้วนะ”
“คุณเพ็ญเกิดล้มเจ็บตัวขึ้นมา คุณหญิงจะเอาโทษบ่าวได้นะเจ้าคะ”
ผู้เป็นนายหยุดเดินหันมา ตีสีหน้าไม่พอใจ ทำมองค้อนใส่ “ฉันก็นึกว่าเพ็ญเป็นห่วง ที่แท้ก็กลัวคุณแม่จะทำโทษ”
“คุณเพ็ญ…บ่าวไม่ได้คิดเยี่ยงนั้นนะเจ้าคะ”
“โธ่…อุ่น ฉันแค่ล้ออุ่นเล่นเท่านั้นเอง เราโตมาด้วยกันทำไมฉันจะไม่รู้เล่า ว่าอุ่นเป็นห่วงฉัน”
มือเรียวบางนุ่มนวลเอื้อมมาคว้ามือที่หยาบกร้านจากการทำงานดึงไปพลางรีบเดินไปยังทิศทางที่เป็นจุดหมาย
“ไป…รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวเก็บบัวเสร็จจะได้เอาไปฝากเรไรกัน”
นางอุ่นไม่ได้เอ่ยตอบอะไรหากรีบสาวเท้าตามผู้เป็นนาย ทั้งคู่พากันมุ่งสู่บึงบัวที่อยู่ด้านหลังของเรือน ทาสสาวปลดเชือกที่คล้องเรืออยู่กับหลักออก พายเรือนำพาผู้เป็นนายไปเลือกเก็บดอกบัวด้วยตนเอง
มือพายไปปากก็บ่นไปตามประสา
“คุณเรไรก็ไม่น่าจะมาฝากให้คุณเพ็ญเก็บบัวไปให้เลยนะเจ้าคะ บ่าวเรือนคุณเรไรก็ออกจะโข ทำไมไม่ให้บ่าวเรือนตัวเองมาเก็บ”
“คุณพ่อกับคุณลุงท่านเป็นเพื่อนกัน ไปมาหาสู่กันตลอด บึงบัวนี่ก็อยู่ระหว่างที่ของคุณพ่อกับที่ของคุณลุง ใครจะเก็บบัวไปฝากใครอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย อุ่นก็อย่าบ่นนักเลย” นายผู้ไม่เคยมองด้านร้ายของใครตอบเสียงใส “เรไรเขารู้ว่าฉันจะมาเก็บบัวเขาก็ออกปากแค่อยากได้ไปถวายพระเหมือนกัน แล้วฉันก็อาสาเอง เขาไม่ได้วานหรือสั่งสักหน่อย”
“คุณเรไรเธอออกจะชอบข่มคุณเพ็ญ โดยเฉพาะวันไหนที่คุณทับมาเยือนเรือนเรา”
“อุ่นหาความ…ฉันก็ไม่เห็นว่าเรไรเขาจะทำอะไร คุยกับฉัน กับพี่ทับปกติ”
“บ่าวไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ พูดไปคุณเพ็ญก็ไม่เชื่อ”
นางอุ่นพ้อจบก็เก็บปากเก็บคำก้มหน้าก้มตาพายเรือไปตามคำของผู้เป็นทั้งนายทั้งเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อคำพูดของตนแต่ก็รับรู้กันได้ว่าเป็นการเตือนด้วยความห่วงใยมากกว่าจะมีเจตนาอื่น
นางอุ่นยังอายุเพียงไม่กี่ขวบเมื่อแม่พาเข้ามาขออาศัยเป็นทาสในเรือนตามคำสั่งเสียของพ่อผู้ให้กำเนิด หลังจากคืนหนึ่งในฤดูฝน สองโจรบุกเข้ามาในกระท่อมปลายนาที่อุ่นอาศัยอยู่กับพ่อแม่
เสียงประตูไม้ไผ่ที่ขัดปิดเอาไว้ถูกกระแทกจนเปิดออกกว้าง ปลุกสามพ่อแม่ลูกให้ตื่นขึ้นกลางดึก
“อิ่มเอ็งระวังตัว ดูลูกด้วย”
ผู้เป็นพ่อสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดขณะรีบผุดลุกขึ้นจากที่นอน คว้ามีดพร้าที่เหน็บไว้ข้างฝากระท่อมมาเป็นว่าอาวุธป้องกันตนเองและลูกเมีย
“แส่นักนะเอ็ง วันก่อนเอ็งขวางข้าจากการปล้น วันนี้ข้าก็จะปล้นเอ็งกับลูกเมียนี่ละ”
พ่อของอุ่นเข้าต่อสู้กับโจรอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะสู้เพียงคนเดียว มือก็ฟาดฟันพร้าใส่โจรบ้างป้องกันตนเองบ้าง ขาก็เตะเข้าที่ร่างผู้บุกรุกได้ทุกครั้งที่สบโอกาส เมื่อได้จังหวะเหมาะร่างของหนึ่งในสองโจรก็ถูกทุบด้วยด้ามพร้าเข้าที่ท้ายทอยลงไปนอนสลบหากพร้อมกันนั้นด้ามพร้าในมือของโจรอีกคนก็ฟันเข้าที่ร่างพ่อของอุ่น สองแม่ลูกหวีดร้องเมื่อเห็นเลือดที่พุ่งออกจากบาดแผล แม้จะบาดเจ็บแต่หัวหน้าครอบครัวยังทำหน้าที่ต่อสู้กับคนร้ายซึ่งดูจะมีกำลังและฝีมือไม่หนีกันมากนัก ผลัดกันได้เปรียบและเพลี่ยงพล้ำ สร้างบาดแผลให้กัน
เหตุการณ์ชุลมุนจึงทำให้ไม่มีใครสังเกตว่าร่างของโจรคนที่นอนกองอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด กว่าที่อุ่นและแม่จะรู้ตัวมันก็ตั้งท่าจะปรี่เข้ามาหาพร้อมกับที่พ่อของอุ่นฟันเข้าที่บ่าของคู่ต่อสู้ได้อย่างจัง ร่างนั้นล้มลงไปนอนแน่นิ่งโดยยังมีมีดพร้ายังฝังอยู่ที่บ่า พร้าที่กำไว้หลุดออกจากมือ
โจรคนที่ปรี่เข้ามาหาอุ่นและแม่เงื้อพร้าในมือแล้วฟันลงมาอย่างหนัก หากอาวุธนั้นไม่ได้สัมผัสร่างของอิ่มที่กอดลูกเอาไว้แน่น หากฝังลงข้างลำคอของคนที่ได้สติเข้ามายืนขวางเพื่อปกป้องลูกเมีย แม้จะต้องคมอาวุธแต่เรี่ยวแรงยังมีพอที่จะยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่ท้องจนร่างนั้นเซล้มลงไปกับพื้น คนบาดเจ็บหนักยังเดินตามไปก้มหยิบพร้าหล่นอยู่บนพื้น ชี้ใส่ผู้บุกรุกอย่างท้าทายและข่มขู่อยู่ในที
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
คนร้ายอาฆาตก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปจากเรือน คนที่ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงอยู่มากเมื่อครู่ตอนนี้ถึงกับทรุด คุกเข่าลงกับพื้น
“พี่สิน!”
อิ่มคลายอ้อมแขนจากลูกปรี่เข้าประคองร่างของชายที่อยู่กินกันมาหลายปี อุ่นค่อยเดินตามหลังไป มีดที่ยังฝังอยู่ข้างลำคอและเลือดที่ท่วมตัวผู้ให้กำเนิดทำให้แต่ละก้าวของเด็กหญิงเชื่องช้าราวกับมีตุ้มเหล็กถ่วงไว้ที่ข้อเท้า
“พี่สินแข็งใจไว้นะจ๊ะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย…อุ่นเอ็งดูพ่อไว้นะ”
“ไม่ต้องอิ่ม เอ็งอยู่นี่แหละ ข้า…คงไม่รอด”
“ไม่นะพี่สิน พี่สินต้องไม่เป็นอะไร ฉันจะตามคนมาช่วย”
“ไม่…เอ็งฟังข้า” สินยกมือขึ้นกุมมือคู่ทุกข์คู่ยาก เหลือบมามองลูกสาว น้ำใสเอ่อขอบตา “อุ่น…มาหาพ่อลูก”
ราวกับเสียงเรียกของผู้เป็นพ่อช่วยคลายความหนักที่ถ่วงข้อเท้าเอาไว้ อุ่นก้าวฉับเข้าไปหากอดร่างใหญ่นั้นไว้
“พ่อจ๋า”
“อิ่ม…วันก่อนไอ้สองโจรนี่มันดักปล้นท่านเจ้าคุณ ข้าไปเจอตอนท่านกับบ่าวที่ติดตามกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ พวกมันเลยหนีไป ไม่คิดเลยว่ามันจะผูกใจเจ็บ ตามมาปองร้ายเอ็งกับลูกเยี่ยงนี้”
“พี่สิน…” อิ่มได้แต่เพียงสะอื้นไห้ ร้องเรียกสามี
“ท่านรับปากไว้ หากมีอะไรท่านจะช่วย เอ็งพาลูกไปอยู่กับท่านนะ ข้ากลัวว่ามันจะกลับมาทำอะไรเอ็งกับลูก” นายสินรวบรวมกำลังยกมือขึ้นจับบ่าลูกสาวคนเดียว ดันอุ่นออกห่างตัวในระยะที่มองเห็นหน้ากันได้ ละมือขวาขึ้นสัมผัสพวงแก้มก่อนเอ่ยสั่งเสีย “ไปกับแม่นะ ไปอยู่รับใช้ดูแลท่านเจ้าคุณกับลูกเมียให้ดี ให้ท่านรักเมตตาเอ็งมากๆ”
“พ่อ…”
“รับปากพ่อสิ”
เด็กหญิงหันไปมองแม่อย่างทำตัวไม่ถูก นางอิ่มพยักหน้าทำให้อุ่นหันกลับไปรับคำกับผู้เป็นพ่อ
“ดี…พ่อจะได้หมด…ห่วง…เอ็ง”
“พ่อ!” อุ่นผวาเรียกเมื่อมือที่สัมผัสบนใบหน้าตนอยู่นั้นตกลงไปอยู่ข้างตัวของนายสินก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะเอนล้มลงไปกับพื้น “แม่จ๋า…พ่อ…พ่อ…”
“พี่สิน!”
สองแม่ลูกร้องระงม คนหนึ่งต้องสิ้นคู่ชีวิต ส่วนอีกคนสิ้นพ่อผู้ให้กำเนิด อิ่มทำตามคำสั่งเสียของสินพาลูกมาอาศัยเป็นทาสในเรือน อุ่นที่แม้จะมาอาศัยอยู่เป็นทาสในเรือนแต่ก็เป็นลูกของคนที่เคยมีบุญคุณช่วยพ่อของเพ็ญเอาไว้จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตและมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงได้เป็นทั้งบ่าวและเพื่อนเล่นของคุณเพ็ญมาตั้งแต่นั้น ทั้งคู่พึ่งใบบุญเจ้าของเรือนอยู่ได้ไม่กี่ปี นางอิ่มที่ยังไม่อาจทำใจจากการสูญเสียคู่ชีวิตก็ตรอมใจจนล้มป่วยไม่นานก็สิ้นใจ ทิ้งอุ่นไว้เพียงลำพัง
สองสามีภรรยาเจ้าเรือนดูแลอุ่นเป็นอย่างดีเพราะถือว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กหญิงต้องกำพร้าพ่อแม่ บุญคุณของครอบครัวคุณเพ็ญที่เลี้ยงดูอย่างดีและความผูกพันจากการเติบใหญ่มาด้วยกันทำให้อุ่นรักใคร่บูชาผู้ที่เป็นทั้งนายและเพื่อนเท่าชีวิต
“อุ่น…เรือรั่ว”
เสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนของคุณเพ็ญเรียกอุ่นจากห้วงความคิดนั้น พร้อมกับที่ก้มลงมองเห็นว่าน้ำจากในบึงกำลังทะลักเข้ามาในเรือจากหลายจุด
“รั่วขนาดนี้ได้อย่างไรเจ้าค่ะ”
นางอุ่นไม่มีเวลาหาคำตอบเพราะเรือกำลังจะถูกจมด้วยมวลของน้ำที่เข้ามาเติมเต็มอย่างรวดเร็วและวินาทีนั้นสิ่งที่อุ่นนึกห่วงเพียงสิ่งเดียวก็คือความปลอดภัยของผู้เป็นนาย
คุณเพ็ญว่ายน้ำไม่แข็ง!
“อุ่น…อุ่น ช่วยด้วย”
ไม่จำเป็นที่ต้องรอให้อีกฝ่ายร้องหาความช่วยเหลือ นางทาสสาวเข้าช่วยประคองร่างของนายไม่ให้จม ความตื่นตระหนกทำให้มือไม้แข้งขาของคุณเพ็ญบัดบ่ายไปมาพยายามเอาตัวรอด หลายครั้งที่อุ่นถูกฟาดเข้าอย่างจังหากก็ไม่ปริปาก คิดหาทาง เพราะรู้ว่าหากลำพังมีแค่ตนอาจจะไม่มีแรงพอจะพาคุณเพ็ญขึ้นฝั่งได้
“ช่วยด้วย ช่วยคุณเพ็ญด้วย”
อุ่นตะโกนเรียกหวังว่าจะมีใครมาช่วยเพราะเริ่มรู้สึกว่ากำลังล้าไปทั้งตัว เรี่ยวแรงกำลังหมดทั้งที่ยังพาร่างคุณเพ็ญพ้นจากกลางบึงมาไม่มากนัก กว่าจะถึงฝั่งอาจจะช้าเกินไป
“คุณเพ็ญอย่าดิ้นนะเจ้าคะ”
“อุ่น…ฉันกลัว อุ่น ช่วยฉันด้วยนะ”
ดูเหมือนความหวาดหวั่นของคนที่ว่ายน้ำไม่เก่งนักจะไม่ลดลงเลย เพราะอุ่นรู้สึกได้ว่าตนต้องใช้กำลังมากเป็นพิเศษในการทั้งพยุงร่างและพาตัวเองรวมถึงผู้เป็นนายขึ้นฝั่ง
ความเหนื่อยล้าทำให้นางอุ่นแทบหมดแรง หากยังฝืนตะโกนร้องให้คนช่วย ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงมิ่งทาสในเรือนคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณเพ็ญ นางอุ่น!”
ทาสสาวรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าจะมีคนมาช่วยนายของตนให้รอดพ้นจากอันตรายถึงชีวิตนี้ หากสติสัมปชัญญะเริ่มจะพร่าเลือน ทั้งขาที่ค่อยเตะพยุงทั้งตัวเองและผู้เป็นนายก็เริ่มเกร็งจนขยับไม่ได้ เรี่ยวแรงหมดพร้อมกับความรู้สึกว่าตนจมลงใต้ผิวน้ำพร้อมกับแรงกดมหาศาลของร่างใครอีกคน ทว่าเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมาช่วย นางก็ยังพอจะมีแรงดันร่างของคุณเพ็ญให้ใครคนนั้น
ฝากคุณเพ็ญด้วยนะพี่มิ่ง ช่วยคุณเพ็ญด้วย…คุณเพ็ญเจ้าขา คุณเพ็ญของบ่าว
ความคิดนั้นเหมือนเป็นสำนึกสุดท้ายชีวิต เพราะวินาทีต่อมาทุกอย่างก็ดับวูบลง
ปริตาค่อยลืมตาตื่นขึ้น ยกนิ้วขึ้นปาดหยดน้ำที่เอ่อขอบตาอยู่ ภายในห้องนอนปิดม่านสนิท ทำให้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนหลับไปนานแค่ไหน ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพคล้ายความฝันนั้น อุ่นทาสผู้ซื่อสัตย์จบชีวิตลงเพื่อช่วยคุณเพ็ญ และเมื่อคืนก่อนวิญญาณของทาสสาวก็มาปรากฏตัวเพื่อช่วยเธอเอาไว้จากภัยของมิจฉาชีพ
แม้ว่าหน้าตาจะแปลกไปแต่คุณเพ็ญในความฝันคงจะเป็นตัวเธอในชาติก่อน และนางอุ่นก็ดูจะยังคงเป็นห่วง ‘คุณเพ็ญ’ จึงคอยมาช่วยเหลือ หญิงสาวค่อยคิดตั้งสติทบทวนเรื่องราว วิญญาณดวงนั้นคงอยากให้ตนรู้ว่ามาดี จึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์ในชาติภพก่อน
ถึงจะไม่ได้มาร้ายก็เถอะนะ…แต่ให้คอยตามอยู่แบบนี้คงไม่ไหว
หญิงสาวคิดถึงเรื่องราวในหนังที่เคยดู…หากทำให้วิญญาณได้บรรลุถึงความต้องการ ก็จะไปสู่สุคติไม่มารบกวนอีก
เอาก็เอา…ลองดูสักตั้ง ถ้ามาดีคงพอคุยกันรู้เรื่อง
เมื่อตัดใจได้ ปริตาก็สูดลมหายใจยาวลึก หลับตาปี๋ก่อนขยับปากเรียก
“อุ่น”
“คุณเพ็ญไม่กลัวบ่าวแล้วหรือเจ้าคะ”
“จะว่าไม่กลัวก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่…ฉันรู้แล้วว่าอุ่นไม่ได้มาร้าย” คนที่นอนอยู่บนเตียงยังคงไม่ยอมลืมตา มือกำผ้าห่มแน่นขณะสนทนาประสาคนกับผี “อุ่นคงมีห่วงอะไรบางอย่างอยู่ ฉันจะช่วยอุ่นนะ แต่ตอนนี้ขอเวลาทำใจสักหน่อย ไม่เคยคุยกับผี ไม่เคยโดนผีที่ไหนติดตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อุ่นเข้าใจฉันไหม”
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกอุ่นเองเมื่อฉันพร้อม ตอนนี้อุ่นอย่าเพิ่งปรากฏตัวให้ฉันเห็นจะได้ไหม”
“เจ้าค่ะ”
ปริตารออยู่พักใหญ่กว่าจะกล้าลืมตามองไปรอบห้อง เมื่อแน่ใจว่าตนอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้มีวิญญาณบ่าวมาคอยหมอบกราบรอรับใช้ มือเล็กเรียวก็ควานไปที่ตู้หัวเตียงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดดูเวลาแต่หน้าต่างเตือนข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอดึงดูดความสนใจของหญิงสาวมากกว่าตัวเลขบอกเวลา
ข้อความทักทายจากชายหนุ่มที่ช่วยเธอเอาไว้เมื่อคืนก่อน
13:14 น. รอข้อความจากผมอยู่รึเปล่า ขอโทษที่ไม่ได้ส่งหาตั้งแต่เมื่อคืนเพราะอยากให้คุณพัก ผมเองก็ติดงานเพิ่งจะเสร็จ ยังไม่ลืมเรื่องเลี้ยงข้าวนะ มื้อกลางวันวันไหนดี เอาที่คุณสะดวก
เธอนึกถึงรายการสอนหญิงเทปที่พูดถึงการดูชายหนุ่มที่เข้ามาจีบ สองสาวพิธีกรรายการชี้ประเด็นว่าการนัดรับประทานอาหารมื้อกลางวันเป็นมื้อแรกสามารถใช้วัดเจตนาของผู้ชายได้ส่วนหนึ่ง การนัดมื้อค่ำอาจจะสุ่มเสี่ยงไปสักนิดสำหรับผู้หญิงเพราะหลังอาหารอะไรที่เกินเลยไปกว่านั้นอาจตามมาได้
นัดมื้อกลางวัน…ก็น่าจะเป็นผู้ชายที่ใช้ได้อยู่หรอกมั้ง
หญิงสาวพิมพ์ตอบข้อความไปอย่างสงวนท่าทีว่าขอดูวันว่างอีกครั้ง แต่เธอมีนัดคุยความคืบหน้าเรื่องหัวข้อวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ในเช้าวันเสาร์
14:38 น. วันนี้วันพุธ ก็อีกไม่กี่วัน ก็ดีนะระหว่างนี้คุณอยากรู้จักผมแง่มุมไหน อยากถามอะไรก็ถามมาได้นะ ผมยินดีตอบทุกประเด็น
ไม่ต้องซักถามอะไร ปริตาก็รู้ลักษณะนิสัยของชายหนุ่มดีอยู่ข้อหนึ่ง…ผู้ชายคนนี้ดูจะหลงตัวเองอย่างร้ายกาจ จัดการล้างตาล้างตาแล้วออกไปที่ห้องครัว วางโทรศัพท์มือถือเอาไว้บนโต๊ะอาหารโดยไม่ตอบข้อความของวรเวช กระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่ติดอยู่ที่ตู้เย็นทำให้รู้ว่านาถนรีออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าหากต้องการอะไรให้ส่งข้อความบอก
ในตู้เย็นยังพอมีของที่จะเอามาใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้จึงจัดการตั้งหม้อต้มน้ำ ไม่กี่นาทีก็ได้บะหมี่ต้มใส่ไข่และผักสามสี เธอถือชามบะหมี่ออกจากครัววางมันลงบนโต๊ะกลางในห้องนั่งเล่น หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นกดเปิด หากไม่ทันจะลงมือรับประทานเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เห็นชื่อบนหน้าจอแล้วต้องรีบลดเสียงโทรทัศน์ กดรับทันที
“ค่ะแม่”
“เป็นไงบ้างลูก ใกล้จะจบหรือยัง” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามหากไม่รอฟังคำตอบ “แม่ไม่ได้เร่งอะไรนะ แค่เห็นพ่อเขาคอยจะบ่นอยู่เรื่อย ว่าไม่รู้ปลาใกล้จะจบหรือยัง อยากให้ปลารีบกลับมาบ้าน”
ปริตากลั้นหัวเราะเพราะรู้ดีว่าคนที่ถูกยกมาเป็นข้ออ้างนั้นหากอดรนทนไม่ไหวจะเอ่ยปากเองทันที เรื่องเอ่ยปากฝากใครบอกนั้นไม่ใช่นิสัยของคนเป็นพ่อ แม่ของเธอเองต่างหากที่มักห่วงและวิตกในทุกเรื่องหากชอบยกคนใกล้ตัวมาอ้าง
“ปลาก็พยายามเร่งอยู่ค่ะ ฝากบอกพ่อนะคะว่าไม่ต้องเป็นห่วง วันเสาร์นี้ก็นัดคุยหัวข้อกับอาจารย์แล้ว”
“ดีแล้วละลูก เออ…ว่าแต่ขับรถขับราไปไหนมาไหนระวังนะลูกนะ เตือนหนิงด้วย สองคนอายุยี่สิบห้า เบญจเพสทั้งคู่ ป้าเขาฝากแม่ให้มาเตือน”
“ค่ะแม่”
หญิงสาวแอบส่ายหน้าเล็กน้อยเพราะเรื่องนี้คนเป็นป้าเองก็คงไม่ได้ฝากมา แต่คนอยากเตือนเกรงจะถูกหาว่างมงาย หากเมื่อปริตานึกถึงเรื่องที่เกิดกับตนเองในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา บางทีเชื่อคำเตือนเรื่องคนที่เข้าสู่ช่วงเบญจเพสอาจจะมีเคราะห์เอาไว้บ้างก็คงดี ปลงใจว่าไม่เล่าให้ใครที่บ้านฟังเรื่องคืนก่อนน่าจะดีที่สุด และคิดว่าจะต้องเตือนนาถนรีไม่ให้ไปคุยกับใครด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องอาจจะถึงหูครอบครัวของปริตาได้เพราะสองบ้านไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด
“แล้วนี่ปลาทำอะไรอยู่ลูก”
“เมื่อคืนปลา…เอ่อ…ทำหัวข้อเตรียมเสนออาจารย์ทั้งคืน กว่าจะนอนก็เช้าแล้วค่ะ นี่เพิ่งตื่น ต้มบะหมี่เสร็จ…กำลังจะกินแม่ก็โทรมาพอดี”
“อุ๊ย…งั้นไปกินเถอะลูกเดี๋ยวเส้นอืดหมด แล้วก็อย่าทำกินบ่อยนักล่ะ พวกบะหมี่ซองผงชูรสมันเยอะ ใส่พวกเนื้อพวกผักหรือไม่ก็ใส่ไข่ด้วยล่ะ สารอาหารจะได้ครบหมู่”
กว่าจะกดวางสาย กดเร่งเสียงโทรทัศน์ขึ้นแล้วจัดการกับอาหารที่เตรียมไว้ บะหมี่ในชามคลายร้อนไปบ้างแล้วแต่เพราะความหิวก็ทำให้หญิงสาวรับประทานอาหารแสนเรียบง่ายชามนั้นได้อย่างเอร็ดอร่อย
หากปริตาไม่ออกคำสั่งให้วิญญาณทาสสาวปรากฏตัว เธอจะมองเห็นว่ามีนางอุ่นกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างโซฟา ดวงตาที่มองไปทางหน้าโทรทัศน์นั้นเบิกกว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งบนจอ