ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 1 : จอมกระบี่เย้ยฟ้า

ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 1 : จอมกระบี่เย้ยฟ้า

โดย : แสนแก้ว

Loading

ดวงใจจอมกระบี่ นวนิยายดีเด่นกลุ่มนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 โดย แสนแก้ว กับเรื่องของสาวไฮโซที่ถูกวางแผนฆ่า แต่อยู่ๆ เธอก็ได้พบกับหวังอี้เทียน จอมยุทธ์ที่หลุดมาในยุคปัจจุบัน เขามาช่วยชีวิตเธอและสืบความจริงในอดีตจนจับคนร้ายได้และเธอได้ข้ามกลับไปลุยกันต่อที่ฝั่งยุทธภพกับเขา นิยายออนไลน์ที่อยากให้ได้อ่านกันค่ะ

 

ยามเมื่อตั้งจิตมั่น กระแสฟุ้งซ่านเวียนวนจะดับหายกลายเป็นสมาธิ ทว่าความว่างแห่งสมาธิเป็นดั่งอ่างเปล่า กระแสน้ำไม่ว่าสะอาดหรือเน่าเสียล้วนสามารถซัดสาดเข้ามาได้ ดุจคืนเดือนมืดอันเงียบสงัดที่แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่ไหวติง นั่นนับว่าเหมาะที่สุดที่เหล่าภูตผีจะออกมาเริงร่า

ในจิตอันเป็นสมาธินั้น ปรากฏภาพนักเรียนสาวมัธยมปลายนั่งหลังพิงตู้ล็อกเกอร์เหล็ก ใช้มีดคัตเตอร์กรีดขาตนเอง ที่ข้อมือซ้ายยังมีรอยกรีดเป็นขีดแดงยาว โลหิตไหลจากปากแผลสาดกระเซ็นไปทั่ว เด็กสาวร้องไห้คลุ้มคลั่ง สับขาวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารเรียน แต่ก่อนจะกระโจนลงไปนั้นก็ปรากฏร่างเด็กสาวสวมแว่นอีกคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาคว้าเอวบางนั้นไว้

ภาพอีกภาพซ้อนขึ้นทันท่วงที เด็กหญิงมัธยมปลายผู้นั้นโตเป็นสาวสะพรั่งยืนร้องไห้จนน้ำตารวมกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เบื้องหน้าคือร้านคาเฟ่และเบเกอรีบรรยากาศโรแมนติกทว่าไร้ลูกค้า ภายในห้องกระจกนั้น ชายหนุ่มชาวจีนร่างสูงกำยำกำลังนัวเนียคลอเคลียกับสาวร่างเล็กบางอีกคนหนึ่ง

ปีศาจในคราบภาพความทรงจำแปลงกายอีกครั้ง เป็นภาพท้องฟ้ายามเย็นสีม่วงอมส้ม เรือยอชต์จอดนิ่งกลางทะเลในวันคลื่นสงบ ชายและหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งยืนเคียง โอบกอดกันที่หัวเรือนั้น เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งไปหาด้วยอารมณ์แจ่มใส ทว่าขาเล็ก ๆ ก้าวไปไม่กี่ก้าว ชายและหญิงคู่นั้นก็ปีนหัวเรือและกระโดดลงไปเบื้องล่างพร้อม ๆ กันต่อหน้าต่อตา

เสียงน้ำทะเลตูมสนั่นถูกกลบทับด้วยเสียงระเบิดลำกล้องของปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติดัง ‘ปัง’

นลินญาเบิกตาโพลง มือที่ถือปืนสั่นไหวน้อย ๆ ลมหายใจหอบกระชั้น เธอถอดที่อุดหูออก กดเรียกเป้ากระดาษเข้ามาใกล้พบว่านัดสุดท้ายที่ยิงออกไปห่างจุดกลางไปไกลจนเกือบหลุดเป้า รอยกระสุนนัดก่อน ๆ ก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ดี

โก๋กับกิ๊ก สองพี่น้องทีมงานยูทูปเบอร์ที่กำลังถ่ายทำคลิปเธอซ้อมยิงปืนในสนามซ้อมเก็บกล้อง เดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาทันใด

“พี่นลิน วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูไม่ค่อยมีสมาธิเลย”

“นั่นสิครับ หน้าซีด ๆ ด้วยนะพี่” โก๋ใช้มือที่ถือกล้อง ชี้มาที่ใบหน้าคมครบเครื่องซึ่งมีเหงื่อซึม

“เปล่านี่ พี่ก็ไม่ได้เป็นอะไร” นลินญาเบะปากใส่เป้ากระดาษ “แต่เป้านี้ยิงไม่สวยเลย ถ่ายไม่ได้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มสาวทั้งสองมองหน้ากัน ยิ้มแหย ไม่กล้าตอบ

 

แต่เดิมนลินญาเป็นคนรักสันโดษ โลกส่วนตัวสูง แต่ด้วยชาติกำเนิดเป็นทายาทตระกูลดังเจ้าของดาราลัยกรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของประเทศ เธอจึงกลายเป็นคนดังที่เรียกว่าเซเลบริตี้ไปโดยปริยาย

หญิงสาวทำช่องยูทูปของตัวเองตามอย่างเซเลบริตี้รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นคลิปเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ งานอดิเรกต่าง ๆ จ้างทีมงานคือโก๋กับกิ๊กมาถ่ายคลิป ตัดคลิป ทำช่อง รวมไปถึงสร้างเพจและเป็นแอดมินด้วย เรียกได้ว่าครบวงจรแบบสามร้อยหกสิบองศา ส่วนนลินญามีหน้าที่เดียวคือทำตัวตามสบาย อยากทำอะไรก็ทำ สิ่งอื่นใดนอกจากนั้นเธอจ้างทั้งหมด

โก๋กระแอมนิดหนึ่งก็พูดว่า “พี่นลินยิงอีกสักชุดไหมพี่ ขอเป้าสวย ๆ มาให้ผมเก็บภาพหน่อยเถอะ”

ทว่าเจ้าของช่องกลับวางปืนลง “ไม่เอาละ ไม่ได้ก็ไม่เอา เลิกกองเถอะวันนี้”

“อ้าว พี่ แต่ ผมยังได้ภาพไม่ครบเลยนะครับ”

หญิงสาวซึ่งเดินจากไปโบกมือทิ้งท้ายโดยไม่หันมา “หาภาพอินเสิร์ตเอาแล้วกัน”

“แต่ว่า…”

“ตามนั้นแหละ เดี๋ยวพี่จ่ายให้สองเท่า จบนะ”

แล้วร่างเพรียวก็ลับประตูไป ทิ้งไว้เพียงเสียงถอนหายใจเอือมระอาของตากล้องหนุ่ม กับหน้าหงิก ๆ ของเด็กสาวผู้ช่วย

 

เมื่อออกมาจากสนามยิงปืน นลินญาก็โทรศัพท์หาเรนนี่ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เธอมี วันนี้ทั้งสองนัดกันว่าจะไปนอนเล่นพักผ่อนที่ดาราลัยรีสอร์ต จังหวัดชลบุรี รีสอร์ตหรูแห่งหนึ่งในเครือดาราลัยกรุ๊ป ความจริงแล้วทั้งคู่นัดพบกันตอนเย็น แต่นลินเสร็จธุระก่อนจึงโทร. หาเพื่อนสาวเผื่อว่าจะสามารถจัดการเวลาให้เดินทางได้เร็วขึ้น แม้จะรู้ดีว่าคุณศัลยแพทย์สาวเพื่อนรักคงไม่มีทางมีเวลาได้ง่าย ๆ

ทว่าเมื่อเรนนี่รับสาย นลินญายังไม่ทันพูดเรื่องเวลา ทางปลายสายก็ชิงถามมาก่อนว่า

“นลิน แกแปลนิยายเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้ว”

“เหรอ เอามาอ่าน ๆ”

นลินญายิ้มมุมปาก “แกไม่อยากอ่านหรอก เชื่อฉันสิ”

“เฮ้ย อยากอ่านเซ่ แกรีบส่งมาเลย ฉันจะลงแดงตายอยู่แล้วเนี่ย”

ผู้ฟังเกือบจะหลุดไปว่า ถ้าอยากอ่านนักก็อ่านต้นฉบับภาษาจีนไปสิ แต่เปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เพราะอย่างที่บอกเพื่อนไปตอนแรก เรนนี่จะต้องไม่อยากอ่านแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าต้นฉบับตอนใหม่นี้เล่าเรื่องอะไร

“นี่ คุณหมอคะ ถ้าว่างแล้วก็รีบออกมาเถอะ ฉันพร้อมเดินทางแล้ว”

“ฮะ…” ปลายสายร้องอุทาน “อ้าว…”

นลินญาเดาได้เลยว่าต้องถูกยิงคำถามใส่รัว ๆ แน่ ไหนว่าไปถ่ายวล็อกไง ทำไมเสร็จเร็ว แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจนควรติดเครื่องหมายไปยาลใหญ่ จึงชิงตัดบทไปว่า

“ฉันไปรับที่โรงพยาบาล โอเคนะ รออยู่ที่นั่นแหละ”

 

รถยนต์เฟอร์รารีสีแดงสดมุ่งหน้าไปจังหวัดชลบุรี นลินญาผู้ขับสวมแว่นกันแดด จับพวงมาลัยด้วยมือขวามือเดียว มองถนนมอเตอร์เวย์ข้างหน้านิ่งเงียบ ท่าทางสบาย ๆ แม้จะขับด้วยความเร็วสูง ต่างกับศัลยแพทย์สาวแว่นผมลอนน้ำตาลทองที่นั่งข้าง ๆ ตั้งแต่ขึ้นรถมาเรนนี่ยุกยิกจัดของบนรถไม่หยุด

เรนนี่เป็นลูกสาวของคุณรัชพล ผู้อำนวยการและเจ้าของโรงพยาบาลบางกอกคอนติเน็น โรงพยาบาลเอกชนที่ทันสมัยและมีชื่อเสียงติดอันดับประเทศ เธอรักงานวรรณกรรม ชอบอ่านนวนิยายตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็เริ่มเขียนหนังสือและทำงานแปลหารายได้พิเศษ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดมาในครอบครัวสายแพทย์ เธอจึงถูกบังคับให้เรียนแพทย์และเป็นศัลยแพทย์ฝึกหัดอย่างทุกวันนี้

เมื่องานหมอเริ่มยุ่ง หญิงสาวก็เริ่มไม่มีเวลาทำงานแปลที่เธอรัก จึงเสนอให้นลินญาซึ่งเพิ่งเรียนจบด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีนรับงานแปลต่อจากเธอ ส่วนนลินญา หลังเรียนจบกลับมายังไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังนอกจากทำช่องยูทูปซึ่งก็ยังไม่เฉียดคำว่าจริงจังสักเท่าไร เห็นว่างานแปลเป็นงานที่ได้ใช้ภาษาจีนและเธอเองก็จะได้ร่วมงานกับเพื่อนรักด้วย จึงตกลงรับเป็นนักแปลโดยมีเรนนี่เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลในระยะแรก

ครั้นแล้วเรนนี่ก็ล้วงแท็บเลตขึ้นมาวางบนตัก “นลิน แกส่งต้นฉบับมาหรือยัง ฉันอยากอ่าน”

นลินญาคาดไว้แล้ว เอื้อมหยิบปึกกระดาษจากช่องเก็บของส่งให้ บนหน้าปกพิมพ์ตัวหนังสือหนาและใหญ่ว่า

‘ตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้า เล่ม 36’

เรนนี่ร้องเย้ดีใจลั่นรถ

“โฮ้ย แกรู้ไหมช่วงนี้ฉันยุ่งมาก มาก มากจนไม่ว่างอ่านนิยายเลย ในเว็บก็ไม่ได้อ่าน เดี๋ยวหมดนี่ฉันจะลุยอ่านให้จบรวดเดียวเลยคอยดู”

แต่พอจะพลิกเปิดหน้าแรก มือซ้ายเรียว ๆ ของคนขับก็วางแปะกำบังหน้ากระดาษ

“ยังไม่ให้อ่านตอนนี้ เสียสายตา”

“อ้าว ปัดโธ่ มีเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงรีสอร์ตนะ”

นลินญาส่ายหน้าไม่ยินยอม ฝ่ายเรนนี่ก็ได้แต่ฮึดฮัด เก็บต้นฉบับลงกระเป๋าผ้าแต่โดยดี

เธอควานหาแว่นกันแดดมาใส่บ้าง ปรับเอนเบาะ ไขว้แขนกับพนักพิงศีรษะ

“นลินใจร้าย ฉันนะอุตส่าห์ลางานมาเป็นเพื่อน ลาทั้งที่ลาไม่ค่อยได้แม้จะมีวันลาก็เหอะ แกก็ยังใจร้าย ไม่ยอมให้ฉันอ่านนิยาย เชอะ”

“อือ ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ลางานมา” เธอเน้นคำว่าอุตส่าห์ “ทำไม กลัวฉันอยู่คนเดียวจะฆ่าตัวตายเหรอ”

เรนนี่หลับตาลงหนีแสงแดดแผดจ้า ยักคิ้วทีหนึ่ง

“ให้พูดตรง ๆ ก็ใช่ แกเพิ่งเลิกกับแฟนมานี่ ฉันเป็นห่วงผิดด้วยหรือไง”

อีกฝ่ายหัวเราะแบบที่ชัดเจนว่าแสร้งทำ

“ช่างมันเถอะ คนอย่างฉันไม่มีใครมารักจริงหรอก ชินแล้วแหละ เคยเห็นฉันคบใครนานด้วยเหรอ”

คำตอบชัดเจนอยู่เพียงในใจเรนนี่ ถูกต้อง นลินญาไม่เคยคบใครได้นาน ขนาดเพื่อนนักศึกษาจีนคนนั้นที่ดูท่าจะจริงจังที่สุดยังออกลายทันทีที่เรียนจบ นลินญาสร้างคาเฟ่เสร็จปุ๊บก็บอกเลิกปั๊บ พาแฟนใหม่มาอวดทันควัน ยังกับว่าปอกลอกกันจนหนำใจแล้วก็สะบัดก้นไป

“ตอนแรก ๆ ก็บอกว่าฉันโดดเด่นไม่เหมือนใคร คบ ๆ ไปบอกว่าฉันนิสัยประหลาด เฮอะ งั้นก็ช่างคนประหลาดอย่างฉันเถอะ”

เรนนี่ขยับตัวยุกยิกด้วยไม่สบายใจที่เพื่อนพูดเช่นนั้น แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

“เอาน่า เดี๋ยวสักวันแกจะได้เจอคนที่เขาตามหาผู้หญิงแบบแก เชื่อฉันสิ”

ไม่รู้ว่านลินญาคิดอย่างไรถึงได้ตอบด้วยการกดปลายเท้าเหยียบคันเร่ง

ตัวเลขบอกความเร็วเปลี่ยนเป็นเลขที่มากขึ้นและมากขึ้น ไม่มีลด เรนนี่ผวามากอดสายเข็มขัดนิรภัยแน่น

“แก ขับเบา ๆ หน่อยก็ได้ ฉะ…ฉันไม่รีบ”

“วางใจเถอะน่า ฉันไม่ฆ่าตัวตายเหมือนพ่อกับแม่ฉันหรอก”

เรนนี่รู้สึกหวิวในช่องท้อง อยากจะหลับตาหนีให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็กลัวตายเกินกว่าจะหลับตาลงอีก ส่วนเพื่อนสาวข้างกายเธอนั้น แม้จะดูแข็งแกร่งไม่สะทกสะท้าน แต่เรนนี่รู้ดีทีเดียวว่า ความเข้มแข็งเหล่านี้เป็นเพียงเกราะเหล็กห่อหุ้มร่างไว้ ใครเลยจะรู้ว่าหัวใจของเพื่อนเธอเปราะบางขนาดไหน

 

ราวสองทุ่ม หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย นลินญากับเรนนี่ก็เข้าพักในห้องสวีตที่วิวสวยที่สุดของดาราลัยรีสอร์ต จากตรงนี้สามารถมองเห็นผาชิงดาวอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวเดินป่าผจญภัยด้วย

ทั้งสองวางแผนไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะไปทำกิจกรรมโรยตัวที่นั่น  แม้เป็นงานอดิเรกที่ดูไม่เข้ากันเลยกับภาพลักษณ์ไฮโซสาวจอมเย่อหยิ่ง แต่สำหรับคนมีปมอดีต ผ่านโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายมาแล้วอย่างนลินญา ศิลปะป้องกันตัวและกีฬาแนวผจญภัยต่าง ๆ ก็กลายเป็นกิจกรรมโปรด เธอชอบฝึกฝนมันเพราะต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

นลินญาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผม แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรนนี่ร้องกรี๊ดลั่น

หญิงสาวตกใจ คว้าผ้าขนหนูมาพันอกลวก ๆ เปิดกระชากประตูพุ่งตัวออกไป

เกิดเรื่องร้ายอะไรกับเพื่อนสาว เธอถูกใครทำร้ายหรือเปล่า หรือมีโจรเข้าห้อง

แต่แล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ชะงักฝีเท้าแทบไม่ทัน…เรนนี่นั่งแปะกับพื้นหน้าทีวี แหงนหน้าขึ้นสะอื้นไห้โดยมีต้นฉบับตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าโปะอยู่บนหน้า

“แก…หวังอี้เทียนตกเขา ทำไงดี ทำไงดี”

นลินญากลอกตา สองมือเท้าเอวที่มีเพียงผ้าขนหนูปิดบัง ฟองแชมพูหยดจากปลายผมติ๋ง ๆ

“แก…หวังอี้เทียนจะตายไหม เขาตายไม่ได้นะ ฉันทำใจไม่ได้แน่ ๆ”

ที่แท้เพื่อนเธอก็ร้องกรี๊ดเพราะบ้าผู้ชายนี่เอง นลินญาอยากจะแก้ผ้าใส่หน้าเพื่อนให้รู้แล้วรู้รอด

“อีบ้า”

“แกสิบ้า อีบ้า อีนลิน แกต้องแปลผิดแน่ ๆ ฉันไม่เชื่อ หวังอี้เทียนต้องไม่ตาย ฉันไม่เชื่อ”

แล้วเรนนี่ก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป นลินญาก็ได้แต่ขยี้ตาเพราะฟองแชมพูเริ่มไหลเข้าตาจนแสบแล้ว

“เออ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ เขาคงไม่ตายหรอกมั้ง ถูกสาดผงพิษจนตาบอด มีดแทงข้างหลังมิดด้าม แล้วก็ถูกถีบตกเหวสูงหมื่นจั้งขนาดนี้ ถึงต้นฉบับไม่ได้เขียนว่าตาย แต่ถ้าหมออย่างแกว่าไม่ตายก็คงไม่ตายอะ”

หนึ่งจั้งนั้นเทียบได้ราวสองเมตรครึ่ง คูณหมื่นเข้าไปก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก เรนนี่ร้องโฮหนักเข้าไปใหญ่ นลินญาขี้เกียจจะปลอบก็พูดแค่ว่า

“ถ้าไม่เชื่อ แกก็เปิดต้นฉบับจีนดูเองก็แล้วกัน”

แล้วหญิงสาวก็สะบัดหน้ากลับเข้าห้องน้ำไป

เธอเปิดฝักบัวให้แรงสุดแล้วเอาใบหน้ารับสายน้ำแรงนั้น ปล่อยให้น้ำชะล้างแชมพูและความรู้สึกหนักอึ้งไหลทิ้งลงท่อ ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงร้องโฮดังขึ้นข้างนอกอีกรอบ เดาได้ว่าเรนนี่คงเปิดต้นฉบับภาษาจีนเทียบแล้วพบว่าเธอไม่ได้แปลผิด

ตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้า ว่าด้วยเรื่องราวความขัดแย้งและดำเนินไปของตระกูลน้อยใหญ่ในยุทธจักร ในส่วนที่นลินญาได้แปลนี้เป็นเรื่องราววุ่นวายในตระกูลหวัง ตระกูลใหญ่ผู้ปกครองสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์เมฆา

สำนักคุ้มภัยแห่งนี้เป็นสำนักฝึกวิชา มีงานคุ้มกันขบวนขนส่งสินค้าของเหล่าพ่อค้าคหบดีเป็นงานหลัก งานรองคือเก็บรักษาสินค้าสำคัญที่ลูกค้าจ้างฝากไว้ และงานเล็กแต่สำคัญยิ่งยวดก็คือหน่วยสืบสวนพยัคฆ์เมฆา

หน่วยสืบสวนนี้มุ่งเน้นช่วยเหลือผู้ที่ต้องเผชิญความอยุติธรรมแต่ไร้หนทางต่อสู้ ไม่ว่าจะด้วยขาดทุนทรัพย์หรือด้วยถูกผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจครอบงำก็ตาม คดีใดที่ทางการไม่อาจให้ความเป็นธรรมได้ หน่วยสืบสวนพยัคฆ์เมฆายังมีทางออกให้

หวังไห่ ประมุขเจ้าสำนักคุ้มภัยมีบุตรชายสองคนคือหวังอี้เทียนและหวังหรงเซิน หวังอี้เทียนแม้จะมีวรยุทธ์สูงกว่าหวังหรงเซิน แต่ก็ดูจะเป็นแต้มต่อเดียวที่มีเหนือน้องชาย หวังหรงเซินเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ รอบรู้วิชาบริหารและการเมือง เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคุณชายรองแห่งตระกูลหวังผู้เพียบพร้อม เป็นลูกรักของบิดาและมารดา

ต่างจากหวังอี้เทียนผู้เป็นพี่ชายที่ไม่สนใจสำนักคุ้มภัยมากไปกว่าหน่วยสืบสวนที่ตนเองตั้งขึ้น เวลานอกเหนือจากการช่วยปัดเป่าคดีทุกข์ร้อนของชาวบ้าน เขามักไปท่องเที่ยวผาดโผนในยุทธภพ ไม่สนใจคำทัดทานของบิดามารดาที่หวังให้ศึกษางานในสำนักคุ้มภัยเพื่อรับสืบทอดกิจการต่อในวันข้างหน้า

แต่แล้วเรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น วันหนึ่งท่านประมุขหวังไห่เกิดถูกพิษประหลาดจนล้มป่วย ไร้หนทางรักษา ในภาวะฉุกเฉินกะทันหันนี้ เขาได้ยกตำแหน่งประมุขเจ้าสำนักพยัคฆ์เมฆาให้แก่บุตรชายคนโต หวังอี้เทียน

จอมยุทธ์หนุ่มน้อยผู้ร่าเริงสดใสผันแปรเป็นเคร่งขรึมสุขุมในพริบตาเมื่อต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ไม่นับรวมความห่วงกังวลในอาการป่วยอันยากจะรักษาของบิดา

ส่วนหวังหรงเซินผู้น้อง เขาแสดงความยินดีต่อพี่ใหญ่แม้จะมีน้ำตาหลั่งไหลอยู่เต็มอก คุณชายรองที่ใครต่างก็ชื่นชมว่าเฉลียวฉลาดเพียบพร้อม ตกเป็นรองเพียงเพราะตนเป็นน้อง การลืมตาดูโลกเป็นลำดับที่สองกลายเป็นตราบาปที่ชั่วชีวิตก็ไม่มีวันชำระหาย

ดังนั้น ในค่ำคืนหนึ่งที่คฤหาสน์ตระกูลหวังมีงานเลี้ยงชุมนุมระหว่างสำนักต่าง ๆ หวังหรงเซินได้เรียกพี่ชายมาคุยในที่ลับตา พร้อมล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

“พี่ใหญ่ ท่านดูอะไรนี่สิ เมื่อครู่ตอนข้าเดินผ่านทางเดิน มีคนปามันใส่ผนังพร้อมกับมีดสั้นละ”

ของสิ่งนั้นคือกระดาษแผ่นหนึ่ง มีข้อความเขียนว่า

 

‘ประมุขหวัง

ข้าคือผู้วางยาพิษหวังไห่ หากท่านต้องการยารักษา คืนนี้ยามซื่อให้มาที่กระท่อมใกล้เนินเขาทางทิศตะวันตกเพียงผู้เดียว ความแค้นต่อหวังไห่ที่ข้ามีนั้นจำเป็นต้องเจรจา’

 

หวังอี้เทียนขยำกระดาษทันทีที่อ่านจบ

“บัดซบ!”

บุรุษหนุ่มแทบจะผลุนผลันออกไปทันที แต่ยังมีสติพอจะรอส่งแขกให้หมดก่อนแล้วจึงออกเดินทางไปเงียบ ๆ และถึงแม้ในจดหมายลับจะเน้นย้ำให้ไปเพียงผู้เดียว หวังหรงเซินก็ยังยืนยันจะไปด้วย

“พี่ใหญ่ ข้าให้ท่านไปคนเดียวไม่ได้หรอก นี่อาจเป็นกลลวงก็ได้”

“แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเสี่ยงด้วย อาฟง หากเกิดอะไรขึ้นยังมีเจ้าคอยดูแลท่านพ่อท่านแม่และสำนักของเราต่อ”

“พี่ใหญ่ อย่าได้พูดเป็นลางเช่นนั้น” หวังหรงเซินจับแขนพี่ชายมั่น “ข้าจะตามท่านไปห่าง ๆ คอยระวังหลังให้เอง”

 

รัตติกาลดุจม่านหมึก กระท่อมอันเป็นที่นัดหมายห่างจากสำนักคุ้มภัยราวสิบลี้ หวังอี้เทียนเดินทางด้วยวิชาตัวเบา ไม่นานก็มาถึงที่ราบสูงอันเป็นส่วนหนึ่งของสันเขาซึ่งนำไปสู่กระท่อมซึ่งมองเห็นอยู่ไกลลิบ จากจุดนี้เขาเปลี่ยนเป็นเดินบนพื้นดินตามปกติเพื่อสังเกตลาดเลา

ครั้นแล้วกลุ่มคนจำนวนราวยี่สิบคนก็ปรากฏตัวรุมล้อม ทุกคนสวมชุดทะมัดทะแมงสีดำ คาดผ้าคลุมหน้าสีดำ บางคนถือคบไฟ แต่ทุกคนล้วนชี้ปลายดาบมาทางเขา

“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”

ไม่มีใครตอบคำถาม ฉับพลันกลุ่มคนชุดดำก็รุมเข้าฟาดฟันหวังอี้เทียน ประมุขหนุ่มต้านรับไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง และเมื่อกระบี่เทียมฟ้าซึ่งเป็นกระบี่คู่กายของเขาออกจากฝัก กลุ่มโจรก็ถูกจัดการจนสลบเหมือดไปภายในไม่กี่กระบวนท่า

มีบางสิ่งหลุดออกมาจากเสื้อของโจรชุดดำระหว่างต่อสู้ หวังอี้เทียนก้มลงเก็บดู…มันคือดอกไม้ประดิษฐ์จากเศษผ้าสีแดง

“กองโจรดอกไม้แดง” เขาพึมพำกับตนเอง

ขาดคำนั้น กลุ่มคนแต่งกายชุดดำเหมือนกันก็กระโดดข้ามขอนไม้บุกมาอีกห้าสิบกว่าคน หวังอี้เทียนสู้ด้วยกระบี่ทั้งรุกและรับได้อย่างสมบูรณ์ ใจหนึ่งเขานึกเป็นห่วงน้องชายที่ตามมาห่าง ๆ หวังว่าคงไม่เผชิญกองโจรดอกไม้แดงด้วยอีกคน

ไวเท่าความคิดนั้น หวังหรงเซินฝ่าวงล้อมเข้ามาพาหวังอี้เทียนหนีไป ทั้งสองเคลื่อนกายด้วยวิชาตัวเบาชั้นยอด แต่ไปได้ไม่ไกลนักก็พบกับกองโจรอีกกลุ่มซุ่มดักรออยู่ริมผา และทันใดนั้น โจรคนหนึ่งสะบัดห่อผ้าใส่หน้าสองพี่น้อง ฝุ่นพิษคลุ้งตลบ ฉับพลันดวงตาทั้งสองข้างของหวังอี้เทียนก็แสบพร่าจนลืมไม่ขึ้น

“อาฟง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเรียกหาน้องชาย เวลานี้เขาจำต้องหลับตาสู้เสียแล้ว มือขวากำด้ามกระบี่มั่น

แต่ด้วยความที่ต้องสู้แบบปิดตา หวังอี้เทียนจึงไม่อาจมองเห็นว่า ผู้นำกองโจรที่แท้จริงก็คือหวังฟง หรือหวังหรงเซิน น้องชายที่เขาเป็นห่วงสุดใจนั่นเอง

“ข้า…ข้าโดนพิษ พี่ใหญ่ ข้ามองไม่เห็น”  เสียงร้อนรนนี้ก็มาจากผู้ที่ยืนมือไพล่หลัง มองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์อยู่ด้านหลัง

“อาฟง เจ้าหนีไป ข้าจะต้านพวกมันไว้ ไปเร็ว”

สิ้นคำนั้น หวังอี้เทียนก็อาศัยประสาทสัมผัสทางหูและจมูกอันเฉียบไวบุกเข้าใส่กองโจรด้วยกระบี่ กลุ่มโจรแม้จะมองเห็นปกติและมีกันร่วมร้อยคนก็ยังยากจะต้านทานไหว หวังหรงเซินขยับออกมาให้พ้นแนวกระบี่ ดัดเสียงสะอึกสะอื้นร้องออกไปว่า

“พี่ใหญ่ พวกมันจับข้าไว้แล้ว ท่านหนีไป!”

“อาฟง!”

โลหิตทั่วกายของหวังอี้เทียนเย็นลงชั่วขณะ วิถีกระบี่ชะงักกลางคันเพราะกลัวจะพลั้งโดนน้องชายเข้า หวังหรงเซินเคลื่อนกายหลบมาทางริมหน้าผา ร้องออกไปอีกครั้งว่า

“พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงข้า ท่านหนีไป”

“อาฟง! เจ้าอยู่ไหน อาฟง!”

“พี่ใหญ่…”

หวังอี้เทียนหมุนคว้าง พยายามจับทิศทางเสียงเอะอะอึกทึกรอบตัว เสียงพูดหยาบกร้าวของโจร เสียงฝีเท้านับร้อยย่ำรัวราวกองทัพเคลื่อนพล เสียงลมจากดาบวูบไหว และเสียงของน้องชายอันร้อนรน โจรคนหนึ่งที่หาจังหวะอยู่ก็เข้าฟันจากด้านหลัง หวังอี้เทียนเบี่ยงกายหลบฉับไว ปลายดาบจึงเพียงแค่กรีดชายอาภรณ์ไปเท่านั้น

หวังอี้เทียนเสียหลักไปทางขวา โจรที่ล้อมอยู่ด้านนั้นคนหนึ่งกลัว ๆ กล้า ๆ หมายฟันเข้าที่หัวไหล่ หวังอี้เทียนกระชากตัวหนีจึงกลายเป็นฟันโดนแขนเสื้อแบบไม่เต็มที่นัก บุรุษหนุ่มตวาดสุดเสียง

“อาฟง เจ้าอยู่ไหน รีบหนีไป!”

สิ้นเสียงนั้น มีดยาวเล่มหนึ่งได้จ้วงแทงหวังอี้เทียนจากด้านหลังจนมิดด้าม

เมื่อมีดถูกกระชากออก โลหิตแดงฉานก็พุ่งออกทางปากแผลดุจน้ำพุ

“พี่ใหญ่ ท่านรีบหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า”

หวังหรงเซินตะโกนเสียงสั่น โดยที่มือขวากำด้ามมีดอันเคลือบไปด้วยโลหิตทั่วทั้งเล่ม

“อะ…อาฟง”

เรียกชื่อน้องชายออกมาเพียงเท่านั้นหวังอี้เทียนก็กระอักโลหิตพรวด โซซัดโซเซไปข้างหน้าซึ่งเป็นหุบเหวเวิ้งว้าง

ครั้นยังชักช้า ไม่ทันใจ หวังหรงเซินก็ยกเท้าถีบผู้เป็นพี่ชายอย่างแรง ร่างสูงเพรียวในชุดประจำตำแหน่งเจ้าสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์เมฆาซึ่งย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉานกระเด็นร่วงลงสู่หุบเหวอันมืดมิด สายลมภูเขากรีดเสียงหวีดหวิวหนาวเหน็บดุจดั่งอุ้งมืออันเย็นเฉียบของเทพเจ้าแห่งความตาย

นลินญาเงยหน้าปะทะสายน้ำอุ่นจัดพุ่งแรงจากฝักบัว สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง ไม่ใช่แค่เรนนี่หรอกที่เสียใจกับเรื่องในนิยาย

สำหรับเธอซึ่งเป็นผู้แปล หวังอี้เทียนเปรียบเสมือนซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่ง เรียกว่าเป็นพระเอกของช่วงประเด็นร้อนฝั่งตระกูลหวังก็เรียกได้ แต่ว่ากันว่าอาจารย์ถังต้าโยวผู้ประพันธ์เรื่องนี้เริ่มเลอะเลือนและเข้าสู่ขาลงแล้ว ที่ผ่านมาตัวละครดี ๆ หลายตัวต้องลงเอยแบบบาดเจ็บล้มตาย ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไรหากตัวละครฝ่ายดีต้องมีชะตากรรมเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้นวนิยายตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรและไม่ได้ตีพิมพ์รวมเล่มที่จีน อาจารย์ถังก็เพียงแต่ลงให้อ่านเป็นตอน ๆ ทางเว็บไซต์นวนิยายออนไลน์

ทว่านวนิยายที่ขายสำนักพิมพ์ไม่ได้กลับดังขึ้นมาได้ก็ด้วยกระแสวิพากย์วิจารณ์เชิงลบว่าตัวละครไม่สมเหตุสมผลอีกเหมือนกัน แฟนนิยายอาจารย์ถังส่วนหนึ่งแย้งว่า ความไม่สมเหตุสมผลนี่แหละสมจริงที่สุด เพราะในชีวิตจริงไม่ใช่คนดีทุกคนจะได้มีชีวิตที่มีความสุข ไม่ใช่คนชั่วทุกคนจะได้รับบทเรียนทุกข์ทรมาน เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้แต่หวังอี้เทียนที่แฟนนิยายต่างเอาใจช่วยมาตลอด อาจารย์ถังก็อาจไม่ละเว้น

นลินญาทอดถอนใจใต้สายน้ำ

“หวังอี้เทียน ท่านตายแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ”



Don`t copy text!