จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก บทที่ 3 : เวลาในขวดแก้ว
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ผลงานจากโครงการช่องวันอ่านเอา เมื่อเจ๋งต้องกลับบ้านที่ไม่อยากกลับเพื่อเจอกบเพื่อนตุ๊ดที่เป็นรักแรกและการกลับไปครั้งนี้เจ๋งยังพบจดหมายที่อังศุมาลิน เพื่อนอีกคนทิ้งเอาไว้ก่อนตายไปในซ่อง มันจะนำพาเจ๋งและกบไปสู่จุดหมายปลายทางที่สุขสมหรือทุกข์ทนนั้น…ไม่มีใครจะล่วงรู้
“รู้จักใช่ไหม”
พี่ภพหันมาหาฉันเป็นคนแรก เทียบกับผู้ชายคนอื่นๆ เขาไวเสมอในเรื่องจับความรู้สึกคน ฉันอ้ำอึ้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็พยักหน้ารับแล้วเล่าคร่าวๆให้พวกเขาฟัง
ครูเคโระหรือกบเป็นเพื่อนกับฉันสมัยมัธยมต้น เรามีกันอยู่สามคนคือฉัน ดาริกา ทินทอง กบ ทาวิช ตั้งรัตนชเวงวงศ์ และ อังศุมาลิน สายสกุล เราสามคนสนิทกันมากแต่เมื่อถึงคราวที่ฉันต้องย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพฯ พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก
พี่ภพพยักหน้าเมื่อฉันเล่าจบ เขากับพี่เตยรู้เหตผลในการย้ายเข้ากรุงเทพฯของฉันกับแม่อย่างละเอียดลออ ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคุณภาพสถานศึกษาเลยสักนิดเดียว
“แล้วเขาเป็นกะเทยจริงหรือว่า……” ใบตองถามอย่างมีความหวัง ฉันพยักหน้า
“น่าเสียดาย” หล่อนส่งเสียงจิ๊จ๊ะ มองภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกขยายบนหน้าจอ ฉันเลื่อนสายตาไปมองเขา กบเปลี่ยนไปไม่มาก จากหนุ่มน้อยหน้าหล่อที่ทวีความตุ้งติ้งขึ้นทุกขวบปี บัดนี้เขากลายเป็นชายหนุ่มสูงโปร่ง ไหล่กว้าง แต่ห่อมาข้างหน้านิดๆ เหมือนพยายามจะลดความสูงตัวเอง ซึ่งฉันก็มักจะทำ
จากคลิปวิดีโอ ความตุ้งติ้งของเขาแสดงออกอย่างถึงอกถึงใจ ไม่แปลกที่จะเป็นกระแสเพราะองค์ประกอบความโด่งดังของเขามีครบ และเป็นไปในแบบที่พี่เตยชอบเสียด้วย
“งั้นเจ๋งไปจัดการเรื่องติดต่อครูเคโระกับหาสถานที่ที่จะถ่ายอาถรรพ์ตำนานพื้นถิ่นนะ เดี๋ยวพี่ไปเป็นพิธีกรร่วมเอง” พี่ภพสรุป
“ตองว่าครูเคโระน่าจะดำเนินรายการเดี่ยวได้นะพี่ เขาคล่องออก” ใบตองว่า หล่อนมองไปที่ภาพหน้าจอ มีแววเพ้อฝัน
“ก็ยกไปถ่ายกันหมดนี่แหละ ถือว่าไปเที่ยวด้วย ครูเขากำลังดังพี่จะลัดคิวออกอีพีหน้านี้เลย”
“ลืมไปหรือเปล่าว่า ‘ซูเปอร์ ริช’ นัดถ่ายคุณต้นข้าวเอาไว้แล้ว” พี่เตยเอ่ยถึงหนุ่มใหญ่นักสะสมดวงตราไปรษณียากรณ์ เขามีสแตมป์หายากหลายพันดวง รวมถึงแสตมป์ชุดแรกของประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ห้าอยู่ในคอลเลคชั่นด้วย
“เออ..นั่นสิ เลื่อนได้ไหม” พี่ภพทำท่าคิดหนัก
“จะบ้าเหรอ” พี่เตยเสียงแหว “เขาไม่ใช่คนอย่างเราๆ นะยะ กว่าจะจัดการนัดได้ต้องคุยผ่านเลขาไปมาตั้งหลายรอบ แกคิดว่าเขาจะเปิดบ้านราคาหลายสิบล้านให้รายการง่อยๆ อย่างเราไปถ่ายได้ง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ ถ้าไม่ใช้เส้นพี่เอิร์ท” พี่เตยเอ่ยถึงรุ่นพี่ร่วมคณะที่บัดนี้ได้ดิบได้ดีในการเป็นนักข่าวภาคสนามสายบันเทิง เขาเคยมาเป็นแขกเมาหัวทิ่มที่บ้านสองสามครั้งเมื่อไม่นานมานี้
พี่ภพนิ่ง ในหัวนักการตลาดอย่างเขาคงกำลังคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ในที่สุดสมองคอมพิวเตอร์แรมสูงของเขาก็เด้งดึ๋ง พี่ภพดีดนิ้วดังเปาะ
“เจ๋ง” เขาหันมาสั่งงาน “โทรหาพี่เต้ย พี่เต้ยโฟโต้อินเด็กซ์น่ะ บอกว่าเรามีงานด่วน อยากได้ช่างวิดีโอมาช่วยงานวันหนึ่ง ไม่ต้องตัดต่อ ถ่ายอย่างเดียวแล้วเอาการ์ดลงคอมเราเลย ส่วนเรื่องช่างแต่งหน้าเจ๋งหาทีมที่สุโขทัยได้ไหม ถ้าได้ งานที่สุโขทัยเจ๋งไปกับพี่ นอกนั้นให้อยู่ช่วยเตยที่นี่”
“ไม่เอาอ่ะ” ใบตองขัดขึ้น มาวินเลยตอกกลับอย่างคนรู้ทัน
“เขาเป็นกะเทยค่ะแม่คู้ณ……”
“แล้วไง เกี่ยวไร” ใบตองไม่ยอมแพ้ “ฉันอยากไปเที่ยวบ้านพี่เจ๋งต่างหากล่ะ”
“เหรอ….”
“เออ…”
ทั้งคู่ลากเสียงใส่กัน แต่สรุปแล้วงานนี้เราต้องแยกเป็นสองทีม ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร
ในการทำงานเรามีช่างแต่งหน้าในมือหลายคน มีทีมช่างภาพที่รู้จักและเรียกใช้งานหลายเจ้า รวมถึงจ้างบริษัททำบัญชีและยื่นภาษีให้ด้วย
กระเทียมสามหัวจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ดังนั้นมันจึงสะดวกและประหยัดกว่าในการจ้างฟรีแลนซ์ เราไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ไม่ต้องจ่ายประกันสังคมและประกันชีวิตสำหรับพนักงาน แถมไม่ต้องบริหารจัดการคนที่มาจากร้อยพ่อพันแม่อีกด้วย
เท่าที่มีอยู่ 5 คนก็คล่องและสะดวกสบายดีแล้ว
แต่มันไม่ใช่มาตรฐานการทำงานของแต่ละช่องในโลกออนไลน์หรอกนะ บางช่องมีพนักงานประจำทำอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บางช่องก็เขียนบทเพื่อการไลฟ์สดยิ่งกว่าทำละครโทรทัศน์ แต่บางช่องที่มีคนติดตามกว่าล้านแอ็คเค้าท์กลับมีเจ้าของช่องทำงานอยู่แค่คนเดียวก็มี
ใบตองจัดการหาเบอร์โทรศัพท์มือถือของกบมาได้ภายในเวลาสามชั่วโมง เธอเดินมายื่นให้ฉันราวๆ ห้าโมงเย็น กำชับว่าต้องบอกกบให้ได้ว่าเธอขอสมัครเป็นแฟนคลับของเขาด้วย
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ากบเข้าประจำการเป็นคุณครูในโรงเรียนเก่าของพวกเรา ฉันหยิบโทรศัพท์ ภาพวันแรกของการพบกันเปะปะอยู่ในหัว แม้เรื่องจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่เรื่องขายขี้หน้าที่ฉันมีต่อเขา ฉันก็ยังเก็บเอาไว้เป็นความลับ
วันนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียน ฉันและแม่เพิ่งย้ายตามพ่อไปอยู่สุโขทัย
พ่อของฉันเป็นวิศวกร ทำงานหนักกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ จนท้ายที่สุดระหว่างที่พ่อขึ้นไปตรวจสอบเพื่อซ่อมบำรุงตามปกติ พ่อก็ประสบอุบัติเหตุด้วยการตกลงมาจากที่สูง
ท่าลงของพ่อทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน หมอให้ความหวังอย่างมากก็แค่พ่อจะไม่ตาย ในที่สุดเมื่อออกจากโรงพยาบาลได้ พ่อก็ได้บัตรคนพิการเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากรัฐมาเป็นของตัวเอง
แม้เกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนั้นพ่อก็ยังเข้มแข็ง และนำพาครอบครัวของเราผ่านวิกฤตไปจนได้
พ่อตัดสินใจเอาเงินที่ได้รับการชดเชยจากที่ทำงานลงทุนในพันธบัตร แล้วเก็บส่วนหนึ่งมาปรับปรุงบ้านของย่า รายได้หลักของครอบครัวที่เคยได้จากเงินเดือนพ่อ เปลี่ยนมาเป็นค่าเช่าคอนโดมิเนียมกลางเมืองที่เราเคยอยู่ ซึ่งเมื่อตัดสินใจย้ายไปอยู่สุโขทัย เงินค่าเช่าก็พอจะทำให้พวกเราไม่ลำบากนัก
ฉันเลือกสมัครสอบเข้าในโรงเรียนเก่าของพ่อ อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นโรงเรียนประจำตระกูล เพราะทั้งปู่ และบรรดาอาๆ ของฉันต่างก็จบมาจากที่นี่ ยิ่งการได้รู้ประวัติอันเก่าแก่ซึ่งเริ่มขึ้นมาตั้งแต่รัชกาลที่ห้า ก็ยิ่งทำให้ฉันปักใจกับสวรรค์อนันต์วิทยา โดยที่ไม่คิดถึงทางเลือกอื่นๆ เลย
เปิดเรียนวันแรกแม่ไปส่งฉันที่หน้าโรงเรียนแต่เช้า ฉันรู้สึกประหม่าอยากให้แม่เข้าไปแต่ไม่กล้าพูด แม่อวยพรฉันให้โชคดีแล้วบอกว่าวันนี้จะทำของอร่อยๆ ให้กินที่บ้าน
ก่อนออกรถแม่ยังเลื่อนกระจกลงมาอีกรอบ ถามย้ำให้แน่ใจว่าฉันจะสามารถขึ้นรถประจำทางกลับบ้านเองได้ไหม ฉันอยากจะขอร้องให้แม่มารับแต่ก็ดันพูดออกไปว่า
“สบายมากค่ะแม่”
รู้ตัวว่าไม่ใช่คำพูดที่หนักแน่นนักหรอก แต่ก็ทำให้แม่เลื่อนกระจกขึ้นและเลื่อนรถออกไปจากหน้าโรงเรียน
แม่มีภาระเยอะพอแล้ว ทั้งเรื่องข้าวของจากการย้ายบ้านที่ต้องจัดการ และเรื่องความพิการอย่างกะทันหันของพ่อ
ลมต้นฤดูฝนพัดเอื่อย เดือนพฤษภาคมของโรงเรียนยังเต็มไปด้วยกลิ่นฝุ่นที่เพิ่งผละจากฤดูแล้ง มันปะปนมากับกลิ่นเขียวสดของต้นไทรที่ยืนเรียงเป็นแถว อยู่ตรงกันข้ามกับแถวต้นปาล์มซึ่งอยู่คนละฝั่งกันบนถนนคอนกรีต
ฉันเดินผ่านเข้าประตูโรงเรียน ต้นไทรทอดเงาหนาทึบทาบเป็นปื้นบนพื้นถนน ส่วนที่เป็นขอบ เห็นเป็นด่างดวง เข้มและแก่ โรงเรียนดูร่มรื่นและอ่อนหวานด้วยภาพนักเรียนยกมือไหว้ศาลาหลวงปู่ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าศาลาบัณฑิต แต่ไม่ค่อยมีใครเรียก
วันที่มาสอบเข้าเรียนพ่อพาฉันเข้าไปกราบท่าน บอกว่าท่านมีชื่อเต็มว่าพระสวรรค์วรนายก เป็นผู้จัดการหาที่ดินให้โรงเรียนย้ายจากบริเวณเดิมมาสร้างใหม่ที่นี่
สมัยนั้นโรงเรียนของเรายังเป็นโรงเรียนชายล้วนชื่อสวรรควิทยา ยังไม่ได้มารวมกับโรงเรียนหญิงล้วนอนันตนารี กว่าจะรวมมาเป็นโรงเรียนสวรรอนันต์วิทยาได้ก็เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งเป็นปีที่อาคนเล็กของฉันเกิดพอดี
ฉันเคยไปตามอ่านประวัติโรงเรียน คิดว่ามันโรแมนติกมากๆ เพราะในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ถึง ๒๔๖๗ นั้น อนันตนารีต้องย้ายไปเรียนรวมกับโรงเรียนสวรรควิทยา เพราะพลับพลาที่เรียนเดิมคับแคบและรออาคารเรียนของตัวเองที่กำลังสร้างใหม่ ช่วงหนึ่งปีนั้นเด็กวัยรุ่นหญิงชายจะรู้สึกกันอย่างไรบ้างนะ ย่าเคยเล่าให้ฟังว่ากว่าจะได้ออกมาเจอผู้ชายบ้าง ก็ตอนวันทำบุญ หรือไม่ก็งานประจำจังหวัดใหญ่ๆ การได้ชะเง้อมองเพื่อนต่างเพศของคนก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ คงจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในชีวิตประจำวันทีเดียว
“ของตกน่ะ เธอ เธอ…”
นั่นเป็นถ้อยคำแรกของอังศุมาลินที่ฉันยังจำได้ เธอวิ่งมาจากข้างหลัง ก้มลงเก็บพวงกุญแจแมวที่ฉันแขวนกับซิปกระเป๋าแล้วยื่นให้
“ขอบใจนะ” ฉันตอบรับ เธอยิ้มให้ฉันแล้วแซงไปพร้อมกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ทั้งคู่ตัวสูงเท่ากัน หน้าตาดีไปคนละอย่าง ผู้หญิงนั้นผิวสีน้ำผึ้ง หน้ารูปไข่ คิ้วโก่งชัด เหมือนพระพุธรูป ส่วนผู้ชายจะต้องมีเชื้อสายจีนไหลเวียนอยู่ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ทั้งคู่จะตัดผมทรงนักเรียนอย่างถูกต้องตามระเบียบและดูเด๋อด๋า แต่พวกเขาก็ดึงดูดเสียจนฉันต้องมองตาม
ฉันเดินห่างจากพวกเขาไม่กี่ก้าว จากบทสนทนาทำให้ฉันรู้ว่าพวกเขาก็เป็นเด็ก ม. ๑ เหมือนกัน เลยเดินตามหลังพวกเขาไปเงียบๆ
พวกเราถูกเรียกรวมกันที่หน้าเสาธงเพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติ มีอาจารย์คอยจัดระเบียบให้เด็กใหม่ยืนเข้าแถวตามชั้นเรียน ฉันอยู่ในแถวของเด็ก ม.๑/๑ เด็กหญิงที่ฉันเจอเมื่อเช้ายืนอยู่ข้างหลังฉัน ซึ่งเป็นแถวของห้อง ม.๑/๒ ฉันลองชะเง้อดูไปที่แถวของพวกเด็กผู้ชาย ก็เห็นเพื่อนของเธออยู่ในแถวของเด็กทับหนึ่งเหมือนฉัน
พวกเราทยอยกันขึ้นห้องเรียนของเด็ก ม.๑ บนอาคารห้า ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับอาคารหนึ่งอันเก่าแก่
โต๊ะเรียนถูกจัดเป็นคู่ เรียงจากประตูทางเข้าไปถึงหน้าต่างจำนวนสี่แถว ฉันเลือกนั่งริมหน้าต่าง ห่างจากหน้ากระดานลงไปสามแถว พวกที่มาจากโรงเรียนเดียวกันจับคู่นั่งด้วยกัน ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการผูกมิตรกับคนอื่นอย่างไรดี เลยได้แต่มองออกไปเฝ้าดูว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างล่างนั่นบ้าง
เด็กชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่สาวๆ ในห้องก็มองเขาเป็นตาเดียว
ที่นั่งในห้องเหลือที่ว่างอยู่ไม่มากนัก เขากวาดตามองแล้วเดินตรงดิ่งเข้ามาถามฉันว่าที่นั่งว่างไหม
“ว่าง” ฉันตอบ เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ฉันนึกอยากพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ประหม่าจนพูดไม่ออก
“เราชื่อกบนะ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น ฉันยิ้มรับแล้วบอกชื่อของตัวเองบ้าง
“เราเจ๋ง”
“ฮือ” เขาพยักหน้า “เราอยู่ศรีสำโรง เธอมาจากไหน”
“เราย้ายมาจากกรุงเทพ แต่ตอนนี้บ้านเราก็อยู่ศรีสำโรงเหมือนกัน” ฉันตอบ รู้สึกดีชะมัดที่มีคนคุย เราอยู่อำเภอเดียวกับด้วย
กบทำตาโตด้วยความประทับใจ “เหรอ… ดีเลย บังเอิญจัง”
บทสนทนาของเรามีเพียงเท่านั้น อาจารย์ประจำกลุ่มในชุดแซกรัดรูปยาวครึ่งน่อง ปากแดงแจ๋ก็เดินเข้ามา เธอแนะนำตัวว่าชื่ออาจารย์เบญจา คงมาศ ดูเปรี้ยวเข็ดฟันสมกับที่สอนภาษาอังกฤษ
“ปีนี้ครูจะเป็นอาจารย์ประจำกลุ่มร่วมกับอาจารย์พัลลภที่จะมาสอนคณิตศาสตร์นะคะ พวกเธอจะได้เจออาจารย์พัลลภในคาบคณิตตอนบ่ายนี้ เดี๋ยวเราจะมาแนะนำตัวว่าเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหนกันบ้าง แบบนี้นะ” เธอกระแอมแล้วว่า
“ฉันชื่อเบญจา คงมาศ ชื่อเล่นชื่อคิ้ม จบมาจากโรงเรียนสวรรคโลกประชาสรรค์ค่ะ เพื่อนข้างๆ ของฉันชื่อ…” อาจารย์เบญจาชี้ไปที่เด็กนักเรียนคนหนึ่ง เธอทำเสียงเบา
“บอกชื่อเล่นมา” เด็กชายผู้นั้นบอกชื่อ
“เพื่อนข้างๆ ฉันชื่อปังปอนด์ค่ะ งานอดิเรกของฉันคือการกิน หวังว่าเวลาเพื่อนๆ กินของอร่อยจะคิดถึงฉันบ้างนะคะ” อาจารย์สาวยิ้มกว้าง เด็กนักเรียนในห้องส่งเสียงหัวเราะ
ฉันรู้สึกดีขึ้น ยิ่งเห็นทุกคนยืนขึ้นด้วยท่าทีตื่นๆ และหาคำพูดตบท้ายด้วยความยากลำบากเหมือนๆ กัน ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นมาก
และการมีกบที่ไม่รู้จักใครในห้องเลยมานั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งทำให้ความกังวลของฉันลดลงจนแทบจะเหลือศูนย์
กบไม่ได้เป็นกะเทยที่สามารถดูออกตั้งแต่วินาทีแรก เขาอาจจะดูเย็นชา และมีแววตาร้ายๆ ซึ่งก็ดูเหมือนผู้ชายเจ้าอารมณ์มากกว่า แต่เมื่อเราสนิทกันดีแล้ว นั่นคือสัปดาห์แรกของการเป็นเด็กมัธยมหนึ่ง เขาก็เปิดเผย ไม่ใช่สิ… ที่ถูกต้องบอกว่าในที่สุดพวกเราซึ่งหมายถึงฉันและเพื่อนในห้องก็จับสังเกตได้
เขาสารภาพว่าเข้ามานั่งข้างฉันด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง แต่ฉันไม่เคยสารภาพว่าความรู้สึกแรกที่ฉันมีต่อเขานั้นมันสร้างตราบาปและทำให้ฉันรู้สึกละอายในภายหลัง
ส่วนอังศุมาลินนั้นเป็นสาวสวย เธอมีผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ขายาว ดวงตาเจิดจ้าด้วยประกายความสุข แต่เธอก็ขี้อายและติดกบแจ ทั้งคู่จบมาจากโรงเรียนพระหฤทัยสวรรค์โลกและสนิทกันตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน
ในปีแรกนั้นอังศุมาลินจะมารวมกับฉันและกบช่วงพักกินข้าว และหลังเลิกเรียน แต่ในปีถัดๆ มาพวกเราได้มาอยู่ห้องเดียวกันที่ทับสอง ซึ่งมันเป็นสองสามปีที่ฉันมีความสุขจริงๆ
“พี่ภพสั่งเอาไว้ให้พี่เจ๋งลองถามครูเคโระเรื่องช่างแต่งหน้าด้วยนะพี่” ใบตองตะโกนบอกเหมือนนึกขึ้นได้ ขณะเตรียมเก็บของกลับบ้านแถวตลาดสะพานใหม่
ฉันพยักหน้ารับ จ้องมองเบอร์โทรของกบที่กดค้างเอาไว้บนหน้าจอ มันขึ้นต้นด้วยศูนย์แปดสี่ ในขณะที่ของฉันยังเป็นศูนย์แปดหนึ่ง เขาคงจะเปลี่ยนโทรศัพท์มาหลายเบอร์แล้ว อาจจะตามโปรโมชั่นหรือเพราะอะไรก็ตาม
ฉันตัดสินใจเดินผ่านประตูกระจกหลังครัวออกมาข้างกำแพงรั้วหลังบ้าน หัวใจของฉันเต้นแรง นี่ฉันไม่ได้ยินเสียงกบมากี่ปีแล้วนะ เขากับอังศุมาลินจะยังคงไปมาหาสู่กันหรือเปล่า ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีอังศุมาลินอาจจะกลับไปเป็นครูที่เดียวกันกับกบก็ได้
ฉันกดโทรออก รอคอยเสียงปลายสายด้วยใจระทึก