จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก บทที่ 1 : สิงห์สั่งป่า

จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก บทที่ 1 : สิงห์สั่งป่า

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ผลงานจากโครงการช่องวันอ่านเอา เมื่อเจ๋งต้องกลับบ้านที่ไม่อยากกลับเพื่อเจอกบเพื่อนตุ๊ดที่เป็นรักแรกและการกลับไปครั้งนี้เจ๋งยังพบจดหมายที่อังศุมาลิน เพื่อนอีกคนทิ้งเอาไว้ก่อนตายไปในซ่อง มันจะนำพาเจ๋งและกบไปสู่จุดหมายปลายทางที่สุขสมหรือทุกข์ทนนั้น…ไม่มีใครจะล่วงรู้

กรุงเทพมหานคร

๑๕ ปีต่อมา

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ความร้อนเริ่มเข้าเกาะกุมพื้นที่

แต่ฝุ่นผงยังดำรงอยู่อย่างถาวร

ฉันโผตัวตื่นขึ้นมาบนที่นอนพับสามตอนแบบโบราณที่หาซื้อมาได้จากงานโอทอป เหลือบมองนาฬิกา เห็นว่ายังเช้าอยู่มาก ฉันจ้องมองพื้นข้างที่นอน แดดอ่อนส่องลอดใบบังของต้นบุนนาค ทอดเงาผ่านหน้าต่างกระจกเป็นลายลูกไม้ พลิกพลิ้วตามแรงลม

มันเป็นส่วนที่ดีที่สุดของห้อง เรียบง่าย น่าสบาย และทำให้พื้นที่ขนาด ๑๖ ตารางเมตรตรึงใจตั้งแต่แรกเห็น

นอกจากกระจกบานกว้างมองเห็นต้นบุนนาค ความประทับใจสำหรับบางคนคือจำนวนหนังสือท่องเที่ยว อสท. หนังสือรวมภาพถ่ายและหนังสือวรรณกรรมเยาวชนทั้งไทยและเทศที่เรียงเป็นตั้งเต็มผนังห้องด้านหนึ่ง แต่เพื่อนส่วนใหญ่มักจะมีความเห็นตรงกันว่า ฉันควรหาชั้นหนังสือใส่ให้เป็นระเบียบดีกว่าวางเอาไว้อย่างนี้

บางครั้งฉันก็รับปากความปรารถนาดีนั้นส่งๆ แต่การมีเครื่องเรือนมากเกินไปเป็นความประหวั่นพิลึกพิลั่นที่ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเรารู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย อย่างน้อยถ้าฉันต้องตายลงไปสักวันก็ไม่อยากจะเป็นภาระของใครมากนัก  แค่ฟูกที่นอน โต๊ะพับ ตู้กันความชื้นสำหรับเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพส่วนตัว ราวเหล็กคุณภาพดีสำหรับแขวนเสื้อผ้า และกล่องพลาสติกขนาดใหญ่อีกสองใบ ฉันก็ว่าเพียงพอต่อการมีชีวิตอยู่ของฉันในเวลานี้แล้ว

อันที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าจะเก็บของในกล่องพวกนั้นเอาไว้ทำไม แต่คิดว่าการเก็บของที่ใครต่อใครให้ไว้สักระยะหนึ่ง แม่ก็คงไม่ว่าอะไรถ้าฉันคิดจะรักษาน้ำใจของใครต่อใครเอาไว้ในกล่องพวกนั้น

 

หกโมงเช้า เป็นเวลาอันเงียบเชียบสำหรับบ้านสี่ห้องนอนซึ่งสร้างขึ้นในยุค ๘๐ ตอนนี้มันถูกปรับปรุงใหม่จนเต็มไปด้วยผนังกระจก พื้นที่เปิดโล่ง และสวนเขียวขจีทรงเรขาคณิต

พวกเราใช้มันเป็นทั้งบ้าน ที่ทำงานและพื้นที่สังสรรค์ในคืนวันเสาร์ ฉันอยู่ร่วมบ้านกับหุ้นส่วนอีกสองคน คนแรกชื่อพี่ภพเขาเป็นรุ่นพี่มาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ส่วนอีกคนชื่อพี่เตย เธอเป็นเพื่อนร่วมคณะของพี่ภพในมหาวิทยาลัยและมารู้จักกับฉันภายหลัง

พี่เตยไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นประจำ แต่เราก็กันห้องส่วนตัวเอาไว้สำหรับพี่เตยห้องหนึ่ง เผื่อวันที่เธอต้องทำงานดึก

โอ้…เช้าวันอาทิตย์ ฉันยืดตัวบิดขี้เกียจ ตั้งใจว่าจะลงไปต้มน้ำร้อน ชงชาหอมๆ สักถ้วย แล้วออกไปนั่งเรื่อยเปื่อยรับแดดอ่อนบนโต๊ะเหล็กหล่อใต้ต้นบุนนาค

หมู่บ้านเก่าแก่ในซอยแคบๆ บนถนนสายไหมเงียบสงบ บ้านหลังนี้พี่ภพได้เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณย่า และใช้เงินมรดกอีกส่วนปรับปรุงมันขึ้นมาใหม่ พวกเราตกลงใช้รายได้จากบริษัทจ่ายเป็นค่าเช่าให้พี่ภพในราคาถูก สำหรับฉันแล้วมันคุ้มแสนคุ้ม นอกจากจะเดินทางออกต่างจังหวัดสะดวกแล้ว ด้านหลังของบ้านหลังนี้ยังเป็นพื้นที่รกร้าง เต็มไปด้วยพงอ้อพงแขม อะไรมันจะดีเท่าการได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้าอีกเล่า อย่างน้อยบ้านหลังนี้ ก็ทำให้เวลาที่หมุนติ้วของกรุงเทพฯเดินช้าลงเมื่อย่างเท้าเข้ามา

แต่การเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำขังในฤดูฝนและห่างจากคลองหกวาไม่มากนัก ก็ทำให้ละแวกบ้านพบเจอ ‘จระเข้น้อยลายดอก’ ได้ง่ายพอๆ กับโอกาสเห็นการบินขึ้นลงของอากาศยานทางทหารทีเดียว

กองทัพอากาศตั้งห่างออกไปไม่มาก บ่อยครั้งที่ฉันนั่งรถประจำทางร่วมกันไปกับเหล่าทหารกล้า บางคนก็อาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน เคยยิ้มให้กันบ้างแต่ไม่เคยพูดคุย ก็ตามประสาคนกรุงเทพฯนั่นแหละ

ปีแรกที่เข้ามาอยู่ ฉันมักจะใช้เวลาช่วงเย็นต่อเก้าอี้ขึ้นไปสูดดมอากาศหลังบ้าน ลมเฉื่อย พัดพาสารพัดกลิ่นมาจากทุ่งหญ้าแฉะๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อาจจะเป็นความสุภาพของมันหรือจิตใจวิปลาสของฉันกระมัง ฉันจึงสามารถสร้างความสัมพันธ์อย่างหนึ่งกับเจ้าสัตว์เลื้อยคลานลิ้นสองแฉกร่างมหึมาอย่าง ‘ทองคำ’ ได้

ทองคำชอบมาหาฉันตอนบ่ายวันอาทิตย์ เริ่มแรกมันตัวไม่ใหญ่นัก ฉันให้เศษอาหารจากปาร์ตี้ที่จัดขึ้นเป็นประจำในคืนวันเสาร์กับมัน หลังๆ มานี่ฉันจงใจซื้อโครงไก่สดมากำนัลมันเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า กายวิภาคทางเดินอาหารทองคำ เหมาะกับการกินของอ่อนนุ่มหรือหมักแล้วมากกว่า ฉันเลยเปลี่ยนจากโครงไก่ มาเป็นปลาลดราคาท้องนิ่มในซูเปอร์มาร์เก็ต

เหมือนมันจะซาบซึ้ง ทุกครั้งที่ฉันเรียก ทองคำจะแหวกกอหญ้ามาหาอย่างคุ้นเคย

เราแทบไม่เคยสบตากัน ฉันจะต่อเก้าอี้ชะโงกหน้าเรียกชื่อมันเบาๆ อยู่หลังกำแพง บางครั้งก็ปีนขึ้นไปนั่งหย่อนขาบนรั้ว มองมันคลานเชื่องช้า คล้ายภาพสโลโมชันออกมาจากพงหญ้า เมื่อฉันโยนอาหารลงไปให้ ทองคำก็จะเขมือบลงคอแล้วหยุดคอยไปจนกว่าจะไม่มีอะไรโยนลงไปให้มันอีก

ระหว่างเราไม่มีปฎิสัมพันธ์ใดๆ นอกจากความนิ่งเงียบ สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอิญ คือการที่มันยอมรับชื่อที่ฉันตั้งให้

ตอนนี้เรื่องของทองคำยังคงเป็นความลับ ก็ไม่ถึงกับตั้งใจปิดบัง แค่ฉันไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ว่าฉันเลี้ยงมันเอาไว้เท่านั้นเอง

ระหว่างคำนึงถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก ฉันได้ยินเสียงบางอย่างแตกดัง ‘เพล้ง’ ดูเหมือนว่าเช้าอันสงบได้จบลงแล้ว

ฉันเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงผู้หญิงระเบิดอารมณ์ด้วยเสียงแหลมสูงจับความไม่ได้ ฉันลุกขึ้น ก้าวพรวดไปที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงเคาะรัวๆ ดังขึ้นที่หน้าห้อง

ฉันเปิดประตูผลัวะ  พี่เตยยืนหน้าตื่นรออยู่แล้ว

พี่เตยมีชื่อเต็มว่านางสาวนพมาศ แก้วนิยม มีดวงตากลมโตประดับอยู่บนใบหน้าอ่อนกว่าอายุ มองผาดๆ เหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยผมหน้าม้าผู้แสนจะจริงจังกับชีวิต

พี่เตยจัดว่าค่อนไปทางสูงเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วๆ ไป แต่ก็เตี้ยกว่าฉันถึงครึ่งศีรษะ

“เจ๋ง..ไอ้ภพ” เธอว่าเสียงตื่น

“เกิดอะไรขึ้นพี่” ฉันถาม เสียงตื่นพอกัน

“ไม่รู้… ลงไปเถอะน่า เร็วเจ๋ง” พี่เตยเร่งพลางกระชากแขนฉันพลางให้ออกไปทั้งขี้หูขี้ตา

ฉันก้าวพรวดๆ ลงบันได ก็มองเห็นเจ้าของเสียงหวีดยืนอยู่ในครัว

หล่อนเป็นหญิงสาวตัวบางเฉียบ แต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่าสนใจ หล่อนสวยแบบมาตรฐานที่ผ่านการโมดิฟายรูปหน้าและจมูกมาแล้ว และตอนนี้หล่อนกำลังชูมือถือเครื่องหนึ่งในมือซ้าย ส่วนมือที่ถนัดกว่าถือมีดปอกผลไม้ชี้ไปที่พี่ภพ ซึ่งยืนตัวลีบหลังติดตู้เย็นอยู่อีกมุมหนึ่ง

พี่ภพชูมือออกมาข้างหน้า ใบหน้าสีแทนแบบชายไทยแท้อาบเหงื่อ เขากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมผู้หญิงที่ฉันเดาว่าเป็นคู่ควงอีกคนให้วางของมีคมปลายมนลง อันที่จริงมีดเล่มนั้นมีประสิทธิภาพแค่พอจะเฉือนเนื้อเขาเป็นริ้วๆ ปลายมนของมันไม่สามารถกระซวกช่องท้องเพื่อลากไส้ หรือแทงให้กระเพาะอาหารของเขาเป็นรู แต่พี่ภพคงไม่อยากเสี่ยง

“เจ๋ง” พี่ภพคราง ก่อนใช้จังหวะที่แม่สาวคนนั้นหันมาทางฉันฉากหนีมุมอับหน้าตู้เย็นออกมาทันที

เมื่อพ้นระยะหวังผลของมีด เขาก็ตรงดิ่งมากระชากฉันลงจากบันไดเพื่อใช้ต่างโล่ในสนามรบ

“น้ำปั่น…ฟังพี่ก่อน นี่ไงคนที่พี่คุยด้วย” พี่ภพว่า  ดันฉันเอาไว้ข้างหน้า

‘น้ำปั่น’ ทำท่าลังเล มองฉันหัวจรดเท้า

“นี่เจ๋ง หุ้นส่วนพี่ มันเป็นตากล้องทำงานตัดต่อด้วย แต่งานอดิเรกมันแต่งนิยายแชท ที่เห็นนั่นมันงานไอ้เจ๋งมัน พี่ไม่ได้คุยกับคนอื่นจริงจริ้ง”

“ฮะ”  ฉันคราง จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยลงมือแต่งนิยายเมื่อตอนไหน พี่ภพกระทุ้ง ส่งสัญญาณให้รับๆ ไปก่อน

“แล้วทำไมต้องมาแต่งเครื่องพี่” หญิงสาวนาม ‘น้ำปั่น’ ทำท่าว่าจะฉลาด

“จะไปรู้มันเหรอ นิยายแชทมันก็ต้องเอาโทรศัพท์สองเครื่องแต่งไง มันเลยมายืมโทรศัพท์พี่” พี่ภพมั่ว ทั้งเรื่องที่ฉันแต่งนิยาย และเรื่องวิธีแต่งนิยายแชท แต่คำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำท่าว่าจะได้ผล เพลิงโทสะในดวงตาของสาวร่างเล็กสวยแบบมาตรฐานมอดลงอย่างรวดเร็ว แต่หล่อนยังรักษามาดของคนคุมเกม

ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ภพพร่ำพูดพลางสังเกตการณ์พลางอยู่ด้านหลังฉัน เมื่อแน่ใจดีแล้วว่าตัวเองจะไม่กลายเป็นเนื้อสับ เขาก็ปราดเข้าไปชักมีดออกจากมือหญิงสาว หล่อนสะบัดสะบิ้งแต่พองาม ก่อนจะยอมให้เขาประคองออกไปด้านนอก

โต๊ะเหล็กหล่อใต้ต้นบุนนาคที่ฉันตั้งใจว่าจะไปนั่งทอดอารมณ์ คือพื้นที่ที่พี่ภพใช้งอนง้อแม่สาวนางนั้น

ปกติพี่ภพไม่ค่อยพลาดและไม่เคยนำปัญหาเรื่องผู้หญิงเข้ามาในบ้าน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และกฎระเบียบที่พี่เตยเคยวางเอาไว้คงจะต้องนำกลับมาใช้อย่างจริงจังเสียแล้ว

“ห้ามพาผู้หญิงเข้าบ้าน เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงแรม” เสียงพี่เตยลอยเข้ามาจากความทรงจำเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่ง

“แล้วถ้าเป็นผู้หญิงที่ฉันจะจริงจังล่ะ แบบว่าหวังจะแต่งงานด้วย” พี่ภพเคยถาม ไม่ใช่ต่อรองแต่หยั่งเชิง

“นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่หน้าอย่างแก หัดคบใครให้ครบเดือนซะก่อนเถอะ” คราวนั้นพี่เตยสวน ซึ่งหลังจากการร่วมบ้านกันมา ๒ ปีและทำงานอย่างใกล้ชิดก่อนหน้านั้นอีก ๒ ปี ฉันยังไม่เคยเห็นพี่ภพคบหาใครจริงจังสักครั้งเดียว มีบ้างที่ติดรถเข้ามาแวะประเดี๋ยวประด๋าว แต่พวกเธอๆ ทั้งหลายก็จะหายหน้าไปไม่ย้อนกลับมาให้เห็นอีก

เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่เกิดเรื่องในบ้าน และหล่อนก็ถือสิทธิ์ในตัวพี่ภพในฐานะใดฐานะหนึ่ง ซึ่งฉันยังสรุปไม่ได้ว่าลึกซึ้งแค่ไหน แต่เดาได้นั่นแหละ

พี่ภพจบเรื่องลงภายในเวลาไม่นาน ระหว่างนั้นพี่เตยเดินลงมาดูและเดินขึ้นห้องไปอย่างไว้ตัว เธอส่งฉันเป็นตัวแทนต้อนรับแขกไม่พึงประสงค์โดยกำชับว่า “อย่าให้แม่นั้นจุ้นจ้านกับข้าวของในออฟฟิศเด็ดขาด”

ฉันไม่เห็นว่าในออฟฟิศผลิตสื่อออนไลน์ประเภทแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและเรื่องลึกลับของเรา จะมีอะไรน่าสนใจสำหรับหญิงสาวอายุต้นยี่สิบ แต่ก็ไม่ได้ขัดคอ เลยได้แต่ยืนบื้ออยู่แถวๆ นั้น จนพี่ภพกับหญิงสาวแต่งตัวหวานแหววแหวกเว้าเดินกลับเข้ามา ฉันก็ยังไม่ได้แปรงฟัน ได้แต่เพียงวักน้ำในอ้างล้างจานล้างหน้า แล้วซับด้วยแขนเสื้อเท่านั้น

“น้ำปั่นขอโทษนะคะ ที่ทำวุ่นวายกันแต่เช้า” หญิงสาวเอียงคอพูด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกพี่ตื่นกันแต่เช้าอยู่แล้ว” ฉันโกหกตามมารยาท ใจก็นึกเสียดายอรุณรุ่งอันเงียบสงบ

หญิงสาวพยักหน้ายิ้มหวาน วินาทีต่อมาหล่อนขมวดคิ้วมองใบหน้าของฉันอย่างพิจารณา

“นึกออกแล้ว” หล่อนร้อง “พี่เจ๋งนี่ใช่ตากล้องที่มาเป็นพิธีกรจำเป็นอยู่อีพีหนึ่งไหมคะ ตัวจริงสูงมากเลยนะคะ” หล่อนว่าแบบแฟนตัวยง ก่อนหันไปมองพี่ภพหัวจรดเท้า “ฮือ..สูงเท่าพี่ภพ หรือจะสูงกว่าซะอีก”

พี่ภพเบ้ปาก ฉันเองก็ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไรในข้อนี้ ถ้าคนเราแบ่งน้ำหนักและส่วนสูงกันได้ ฉันอยากแบ่งให้พี่ภพไปสักสามเซนติเมตร และขอน้ำหนักหน้าอกล้นทะลักของหล่อนมาให้ฉันสักหนึ่งคัพ ถ้ามันจะไม่ใช่ซิลิโคนน่ะนะ บางทีอะไรๆ ในชีวิตของฉันคงจะสามัญธรรมดากว่านี้

“เคยดูหรือคะ” ฉันถาม เอามือป้องปากที่ยังไม่ผ่านยาสีฟัน

“ค่ะ เพื่อนน้ำปั่นชอบช่วงอาถรรพ์ตำนานพื้นถิ่นม้ากมากค่ะ ยิ่งตอนที่พี่มาออกรายการ เพื่อนน้ำปั่นเมนต์รัวๆ อยากให้พี่ออกมาอีก แต่ก็ไม่เห็นตามใจแฟนรายการเลย” ประโยคท้ายหล่อนกระเง้ากระงอด    ฉันเอามือแคะขี้ตาเขินๆ ถึงจะไม่ได้ชอบผู้หญิงแต่ก็รู้สึกดีที่มีคนชื่นชมตัวเอง

“อย่าไปชมมันมาก เดี๋ยวมันเขินไม่กล้าออกหน้ากล้องอีก” พี่ภพตะโกนมาจากหน้าตู้เย็น เขากำลังเทน้ำส้มคั้นลงแก้ว ปากก็จาระไนอีกยืดยาวว่าฉันไม่เห็นแก่ยอดวิวของช่อง และวิจารณ์ไปถึงกระแสนิยมของสาวๆ สมัยนี้ว่าเป็นสายวายกันไปซะหมด ถ้าไม่คลั่งหนุ่มยา-โอยพวกชายรักชาย ก็เป็นแม่ยกสายยูริหรือหญิงรักหญิง ตบท้ายด้วยการอ้อนแสนจะลิเกว่า ไม่เหลือพื้นที่หัวใจให้ของแท้บ้างเลย

“โอ๋ ๆ ๆ” น้ำปั่นหันไปหมุนข้อมือเหมือนง้อเด็ก พี่ภพแสดงต่อ

“ถ้าน้ำปั่นไม่คว้าเอาไว้ อีกหน่อยของแท้อย่างพี่จะเป็นของหายากน้า…” เขาทำปากยื่น ส่งเสียงเล็กเสียงน้อยมาจากหน้าตู้เย็น ฉันว่าถ้าบทสนทนานี้ไม่จบ คงถึงบทที่พี่ภพจะกระทืบเท้าเร่าๆ แกว่งแขนแบบเด็กห้าขวบอยากได้ของออกมาแน่ๆ

ให้ตาย..อยากให้พี่เตยลงมาเห็นจริงๆ

สาวน้ำปั่นขำ ฉันกระแอมออกมาทีหนึ่งให้รู้ว่ายังมีหัวหลักหัวตอยืนอยู่ตรงนี้ด้วย หญิงสาวละสายตาจากพี่ภพกลับมาต่อบทสนทนากับฉันได้ทันที

“ทำไมล่ะคะ” หล่อนถาม น้ำเสียงต้องการคำตอบ ฉันเกือบจะงง หล่อนจึงชิงต่อความให้ว่า “ทำไมพี่เจ๋งไม่ชอบออกหน้ากล้องล่ะคะ”

“มันกลัวว่าจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นทอม แล้วเข้ามาจีบ”  พี่ภพตะโกนตอบแทน แต่แม่สาวนั่นไม่ต้องการคำตอบจากหน้าตู้เย็น หล่อนจ้องฉันเป๋ง

“ก็….” ฉันรู้สึกเหมือนโดนจี้คอหอย จริงๆ แล้วฉันก็ไม่เคยถามตัวเองเรื่องนี้เหมือนกัน “มัน..มัน.. มันไม่ใช่งานถนัด พี่ชอบทำเบื้องหลังมากกว่า” ฉันว่า หล่อนพ่นลมหายใจ ทำหน้าม่อย

“แหม…เสียดายจัง”

จังหวะนั้นพี่ภพเดินมาส่งแก้วน้ำส้มให้หล่อนพอดี เมื่อหล่อนรับไปพี่ภพก็มือว่างพอที่จะโอบเอวบางของหล่อนเอาไว้

น้ำปั่นทิ้งน้ำหนักไว้บนแผงอกพี่ภพอย่างรู้จังหวะ พี่ภพกระซิบข้างหู

“เสียดายทำไม มีของแท้อยู่ทั้งคน”

หญิงสาวเอียงคอหลบ ยิ้มเขิน

“ก็ไม่เหมือนกันนี่คะ” หล่อนช้อนตามองด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ “ของแท้เอาไว้ใช้งาน แต่อย่างพี่เจ๋งน่ะ…” หล่อนหันมาโลมเลียฉันทางสายตา “เขาเอาไว้จิ้นค่ะ”

พี่ภพหัวเราะก๊ากกับคำตอบ ส่วนฉันหน้าผะผ่าว อยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย

ให้ตายเถอะ ฉันไม่ใช่พี่ภพ ผู้ชายอย่างเขาสามารถกอดใครก็ได้ เพศไหนก็ได้ด้วยมิตรภาพ ได้ตั้งแต่เด็กสามขวบไปจนถึงคนแก่ ส่วนฉันนั้นถนัดการยืนห่างๆ อย่างห่วงๆ การโดนจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวจากเพศเดียวกันทำให้ฉันแข็งทื่อได้พอๆ กับหนุ่มหล่อสักคนปราดเข้ามาขอชนแก้วในผับมืดๆ นั่นแหละ

ซึ่งก็คือคำตอบว่าป่านนี้ทำไมฉันยังโสด โดยที่ไม่เคยมีแมลงหวี่แมลงวันไม่ว่าเพศไหนเข้ามาไต่ตอมสักตัวเดียว

ถ้านิสัยส่วนตัวเสียๆ ของพี่ภพคือการกินไม่เลือก ในส่วนของฉันคือไม่กล้ากิน ถึงฉันจะดื่มเหมือนคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยดื่มจนไร้สติ และไอ้สตินี่แหละที่เป็นตัวประคองพฤติกรรมของฉันให้เป็นตัวของตัวเอง นั่นคือแข็งกระด้างและชืดชาพอๆ กับซาลาเปาค้างคืน พอประกอบกับความสูงและสมองด้านแฟชั่นอันจำกัดจำเขี่ย ฉันก็เลยกลายเป็นสาวหล่อในสายตาคนอื่น ซึ่งทำให้ผู้ชายไม่เข้าใกล้และผู้หญิงก็ไม่ใช่รสนิยมของฉันไปอย่างช่วยไม่ได้

ฉันขัดคำสั่งพี่เตยโดยขอตัวขึ้นห้อง เพราะไม่อาจรับมือกับเสียงฉอเลาะและสายตาทีเผลอของน้ำปั่นได้ กระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็เห็นพี่ภพยืนส่งน้ำปั่นหน้าประตูรั้วบานเล็ก เมื่อประตูเล็กปิดลงแล้ว ฉันเห็นเขาถอนหายใจโล่งก่อนทำท่าเรียกความมั่นใจแล้วเดินเข้ามาในบ้าน  ตอนนั้นฉันมองเขาผ่านหน้าต่างกระจกบนห้องส่วนตัว ท่าทางของเขาเดาได้ว่าพี่ภพคงรู้ชะตากรรมของตัวเอง

พวกเราไปรวมกันอยู่ในห้องกินข้าวที่ใช้เป็นห้องประชุมควบไปในตัว ปกติออฟฟิศแห่งนี้จะมีพนักงานอีกสองคน เป็นสาวน้อยเพิ่งเรียนจบชื่อใบตอง ทำหน้าที่เลขานุการออฟฟิศ หล่อนมีหน้าที่ดูแลตารางงานของทุกคน กับเด็กหนุ่มอีกคนชื่อมาวิน เขาเป็นผู้ช่วยตากล้องและรับหน้าที่ทำส่วนงานที่ต้องใช้โปรแกรมอาฟเตอร์เอฟเฟค ส่วนใหญ่เราใช้ในไตเติ้ลคลิปวิดีโอ ซึ่งมาวินทำออกมาได้น่าพอใจทีเดียว

ฉันสารภาพเลยว่าฉันจำชื่อจริงของทั้งสองคนไม่ได้ และวันนี้ทั้งสองคนหยุด วันอาทิตย์จึงเหลือเพียงพี่ภพ พี่เตยและฉัน

พี่เตยนั่งหน้าเครียดรออยู่ ถึงอย่างนั้นผู้หญิงจริงจังที่ดุอย่างกับเสือชนิดที่ว่า ถ้าพี่ภพจะเป็นเสือผู้หญิงสำหรับใครก็ตาม แต่สำหรับพี่เตยแล้วเขาเป็นได้แค่แมว ก็ไม่ลืมที่จะต้มน้ำชงกาแฟสำหรับมื้อเช้าเอาไว้

“เรื่องเป็นมายังไง ยัยนั่นคือใคร” พี่เตยเปิดฉาก หลังจากกระแทกกาแฟดำแก้วหนึ่งลงตรงหน้าพี่ภพ พี่ภพรับเอาไปถูไปถูมา เหมือนว่าความอุ่นของแก้วจะช่วยทำให้เขาอุ่นใจขึ้น แล้วเอ่ยเรื่อยๆ อย่างใจดีสู้เสือ

“ก็ไม่มีอะไรหรอก” พี่ภพว่า พี่เตยถลึงตามอง เปิดเรื่องมาก็ไม่น่าเชื่อเสียแล้ว

พี่ภพยกมือทำท่ายอมแพ้ “โอเค้…..ฉันพลาดเองแหละ เมื่อคืนมันดึกแล้วเมาไปหน่อย”

“แกก็เลยเอาแม่นั่นเข้าบ้าน”

“ก็มันดึกแล้ว บ้านเขาก็อยู่ไกลด้วย” เสียงพี่ภพเริ่มโอดโอย แต่เมื่อเห็นสายตาพี่เตย หัวเขาก็หดลง

พี่เตยทิ้งเวลาให้พี่ภพได้สำนึกแล้วถาม

“แล้วรู้จักนานหรือยัง รู้จักที่ไหน รู้จักเมื่อไหร่” เธอซักเป็นชุด

“เจอกันที่ร้านเหล้า… เมื่อเดือนก่อน ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแค่คุยกันเฉยๆ”

“คุยเฉยๆ หรือแกฟาดเขาแล้ว”

“พี่ภพไม่ฟาดใครบ้างพี่” ฉันว่า พี่ภพหันมาบอกให้หุบปาก แต่พี่เตยยกมือชี้หน้า เป็นคำสั่งให้คนที่หุบปากเป็นพี่ภพเอง

“ฉันจะไม่พูดมากนะ แต่กฏก็ต้องเป็นกฏ แกจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนฉันไม่เคยยุ่ง แต่ห้ามมารุ่มร่ามที่บ้านหลังนี้ ”

“ทีแกยังพาที่วิทย์มาได้” พี่ภพลำเลิกถึงนักลงทุนหนุ่มร่างเล็กคู่รักพี่เตยในแบบไม่เต็มเสียงนัก นางสิงห์สาวนิ่ง ครู่หนึ่งก็ยกริมฝีล่างแล้วโยกตัวมาข้างหน้า พูดด้วยเสียงที่สามซึ่งต่ำและเย็นเยือก

“ก็ฉันไม่ได้สำส่อนอย่างแกนี่… ปฐมภพ” เสียงนี้พี่เตยสงวนไว้ให้ ‘ปฐมภพ แจ่มเพชร’ ในเวลาที่เหลืออดโดยเฉพาะ  ส่วนเสียงที่สองพี่เตยเก็บเอาไว้ยามอ้อนพี่วิทย์หรือชื่อเต็มว่าวิทยา อ้อ… ตอนนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ธัญพิสิษฐ์’แล้ว

เป็นอันว่าเรื่องนี้จบ พี่เตยไม่ใช่ผู้หญิงพูดมาก คำไหนคำนั้น อันที่จริงคำว่า ‘ไม่สำส่อน’ ก็แรงเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างพี่เตย เพราะถ้าไม่สำส่อนแปลว่าไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ พี่เตยก็อยู่เหนือคำจำกัดความนั้นไปโข พูดได้ว่าเธอคือกุลสตรีไทยในศตวรรษที่ ๒๑ ถ้าคำจำกัดความของคำว่ากุลสตรีใน พ.ศ.นี้ มันจะแคบๆ อยู่แค่ว่าไม่ดื่มเหล้า ไม่เคยกินผู้ชาย จนรักษาเพศพรหมจรรย์มาได้จนอายุย่างเข้าปีที่ ๓๐ น่ะนะ

 

เราทั้งสามคนแยกย้ายกันหลังอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ที่พี่เตยลงมือทำ เธอกินแบบแมวดม ส่วนพี่ภพตรงกันข้าม สงสัยเมื่อคืนจะใช้พลังงานไปเยอะ  ส่วนฉันยังไม่หิว เลยดื่มแค่กาแฟกับจิ้มขนมปังปิ้งไส้ชีสที่พี่เตยทำไปชิ้นหนึ่ง

ฉันเดินดุ่มออกหลังครัว ไปหยุดข้างกำแพงตรงที่ลับสายตาคน ต่อขาตัวเองขึ้นไปด้วยเก้าอี้ ส่งเสียงเรียกทองคำเบาๆ

ถึงจะสายมากแล้วแต่ฉันไม่คาดหวัง เลยได้แต่มองดอกอ้อกอแขมปลิวไหวๆ ตามแรงลม ความคิดลอยไหลไปไกล ครู่ต่อมาเสียงแหวกพงหญ้าก็ดังขึ้น ทองคำแลบลิ้นสองแฉกส่งสายตาชืดชาของสัตว์เลื้อยคลานมาจากกอแขม ฉันบอกมันว่ายังไม่มีอาหารแค่ทักทายเฉยๆ มันจ้องฉันนิ่งจากระยะไกล ครู่หนึ่งก็ยกหัวส่ายช้าๆ แล้วหันลำตัวอวบอ้วนสีน้ำตาลแต้มดวงดอกสีขาว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศที่มันเพิ่งใช้เล็บตีนแหลมยาวแหวกออกมา

ดูเหมือนมันจะตัวโตขึ้นอีก ฉันมองทองคำด้วยความเอ็นดู รู้สึกย้อนแย้งประหลาดๆ ในหัวใจตัวเอง

ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่มองสัตว์เลื้อยคลานมีดอกอย่างทองคำว่าน่ารัก



Don`t copy text!