ปางปอบ บทที่ 3 : หม่องใส่บาตร

ปางปอบ บทที่ 3 : หม่องใส่บาตร

โดย : ทศพล

Loading

ปางปอบ นิยายออนไลน์มีให้อ่านที่อ่านเอา โดย ทศพล เรื่องราวของ ปอบ ภูตผีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับความตายอันลึกลับ เมื่อใครสักคนในหมู่บ้านถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ผู้คนเริ่มหวาดกลัวพร้อมกับความรังเกียจ แต่ระหว่างมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันหรือปอบที่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ใครจะน่าหวาดกลัวมากกว่ากัน

เช้านี้แม่ใหญ่กาไสออกมาใส่บาตรข้าวเหนียวเป็นประจำทุกวันที่ถนนกลางหมู่บ้านพร้อมกับชาวบ้านอื่น ๆ ที่มักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มราว ๗-๘ คน ส่วนมากมีแต่คนเฒ่าคนแก่ วัยหนุ่มสาวนั้นนาน ๆ ทีมาใส่บาตร แต่ทว่าวันนี้คำหล้าและบัวศรีนึกอยากจะออกมาใส่บาตรด้วย แต่ละคนจึงสะพายกระติบข้าวเหนียวขนาดเล็ก ๆ พร้อมกับถือถาดห่อหมกอาหารที่ทำจากใบตอง

การใส่บาตรพระตามรายทางในยามเช้า เป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อลุกขึ้นมานึ่งข้าวเหนียวและประกอบอาหารด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุดอย่างสุดฝีมือโดยจัดเป็นห่อหมกไว้ แม้แต่ข้าวเหนียวจะไม่นำข้าวที่เหลือจากเมื่อวานมาเจือปน ขึ้นชื่อว่าต้องทำให้พระฉันแล้ว จึงต้องทำออกมาอย่างสะอาด แถมบางคนยังมีความเชื่ออีกว่า การใส่บาตรพระให้ใส่ในสิ่งที่ตนเองชอบ เกิดชาติหน้าฉันใดจะทำให้ตนได้กินแต่สิ่งที่ดี ๆ นั่นเอง

ยายน้อยดูสดใสมากขึ้น หลังจากที่เห็นพ่อเฒ่าเอนตายไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน กว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับผู้คนได้ ก็ใช้เวลานานหลายวัน แต่วันนี้มาใส่บาตรได้แล้ว นับว่าสุขภาพจิตของยายน้อยดีขึ้นมาก ซึ่งตอนนี้เธอกำลังยืนเรียงแถวหน้ากระดานกับคนอื่น ๆ อยู่

“เป็นจังได๋ยายน้อย” แม่ใหญ่กาไสอดไม่ได้ที่จะถามไถ่

ยายน้อยส่งยิ้มหวานให้ “กะไคขึ้นแหน่แล้วแม่ใหญ่ กะได๋หลวงตาฮดน้ำมนต์ให้นี่แล้ว”

“ยายน้อยบุญหลาย” ยายแก่ที่ยืนอยู่ติดกันพูดแทรก “คันแม่นข่อยเป็นลมช็อคตายแล้ว”

“ยายหนูดำกะเว้าไป” แม่ใหญ่กาไสพูดพร้อมกับหาที่ยืนข้าง ๆ ยายน้อย แล้วคำหล้าและบัวศรีก็ยืนถัดออกไป “บ่มีไผช็อคตายง่าย ๆ หรอก ถ่าได้ฟังคำสอนจากหลวงตาว่าให้มีสติอยู่ทุกเวลา”

ยายหนูดำพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั่น “แม้นแล้วแม่ใหญ่ แต่ว่าช่วงนี้หมู่บ้านเฮากะมีแต่คนตายแปลก ๆ เมื่อวานซืนบักโจ้นกับบักโต้ยกะนอนตายกอดเหล้าไหหน้าเฮือนอีสายบัวเลย บ่เข้าใจคือกันว่า เป็นหยัง ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ ย่างอยู่ซือ ๆ กะตาย”

ยายที่ยืนถัดจากยายหนูดำอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “แม้นอีหลี หรือว่าผีอีสายบัวมันลากคอไปอยู่นำแล้วซั่นติเฮ้ย”

“ยายปลาเว้ามามีเหตุผล” สีหน้าที่แสนจะจริงจังของยายหนูดำ “บักโจ้นกับบักโต้ยกะตายอยู่หน้าเฮือนอีสายบัว ย่านแม้นคือเจ้าเว้าอยู่เด้อ” พูดไปพรางเหลียวหลังไปบ้วนน้ำหมากทิ้ง

คำหล้าได้ยินยายหนูดำกับยายปลากำลังพูดถึงยายสายบัวที่ถูกชาวบ้านประทุษร้ายจนเสียชีวิตไปแล้วนั้นเมื่อ ๕ ปีก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะขอตอบโต้บ้าง “ยายหนูดำ ยายปลา ยายสายบัวลาวกะตายไปตั้งหลายปีแล้ว ป่านนี้คือสิไปเกิดใหม่แล้วล่ะ ข่อยว่าที่ซุมอ้าย ๆ ตายนั่น ย้อนกินแต่เหล้านั่นแล้ว แค่บังเอิญมาตายอยู่หน้าเฮือนยายสายบัว คนตายไปแล้ว บ่มีทางเฮ็ดคือซุมเจ้าว่ามาดอกจ้า”

“คำหล้า มึงกะหากะเกิด” ยายหนูดำฮึดสู้ด้วยประสบการณ์ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน “เรื่องผีมาเอาไปอยู่นำ มันมีมาตั้งแต่โด่นแล้วเด้อหล่า”

ยายน้อยเอามือไปสะกิดไหล่ยายหนูดำ “เซาเว้าเรื่องนี้เถาะ ข่อยยังย่านคนตายอยู่เด้อ”

“แม้นแล้ว เซาเว่าได้แล้ว คนมันกะตายไปแล้ว ให้เพิ่นไปสู่สุขคติดีกว่า” แม่ใหญ่กาไสขอพูดแทรกบ้าง “เว้าฮอดเพิ่นดุ ๆ เข้า เดี่ยวเขาสิมาหาได่ ตอนนี้ญาครูคือใกล้สิมาฮอดแล้วล่ะยาย” แม่ใหญ่หันไปบอกคำหล้าและบัวศรี “เตรียมตัวลูก”

หลังจากนั้นบรรดาคุณยายก็สงบปากสงบคำลงแล้วพากันเขยิบไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานใหม่ เพื่อตั้งมั่นจิตอธิษฐานต่อการใส่บาตรเป็นลำดับถัดไป

“นี่มันหม่องใส่บาตรหรือหม่องเว้าพื้นคนวะ” บัวศรีแอบบ่นเบา ๆ ออกมาก่อนเหลียวไปเห็นแม่หญิงสามคนกำลังเดินมาอยู่ไกล ๆ “ซุมธิดามารมาอีกแล้ว” พูดไปเบะปากไป “อีเปรตบัวเขียว อีเตี้ยปูหนีบ และอีแตวช้างน้ำ”

“ช่วงใส่บาตร อย่าไปหาเว้าใส่ผู้อื่น” คำหล้าพูดเชิงตำหนิติเตียนบัวศรีเบา ๆ

“กะซุมมันมักเว้าใส่ข่อยเป็นอีเตี้ยจอมปลวกเด้อ” บัวศรีรู้สึกน้อยใจนิด ๆ ที่เพื่อนรักไม่หัดเข้าข้างตนบ้างในเรื่องนี้ “จักแม่นมื้อหยัง เฮ็ดบุญตอนได๋เจอแต่ซุมนี้ มารผจญคัก คือสิใกล้ตรัสรู้แล้วซันบ้อ”

 

บัวเขียวเดินสะพายกระติบข้าวเหนียวพร้อมกับอุ้มขันเงินที่มีของใส่บาตร หล่อนเดินเชิดหน้าอย่างคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและดูเหมือนจะเป็นผู้นำแก๊ง ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและแถมมีใบหน้าสะสวย จึงพกความมั่นหน้ามาเต็ม

“อีกะปู นั่นมันอีคำหล้ากับอีบัวศรีแม้นเบาะ” บัวเขียวพูดขึ้น ในขณะที่สายตาของหล่อนจ้องไปมองคนที่ยืนเรียงรายแถวข้างหน้า “มึงเบิ่งดี ๆ ระหว่างกูกับมันไผแต่งตัวงามกว่ากัน”

กะปูรูปร่างผอมและเตี้ยมาก หล่อนกำลังเพ่งสายตามองการแต่งตัวของคำหล้าที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก่อนหันมาสำรวจการแต่งกายของบัวเขียว “อีคำหล้ามันใส่ผ้าถุงสีคราม ส่วนมึงใส่สีเขียว จังได๋มึงกะงามกว่า”

“แม้นอีหลีติกะปู” บัวเขียวรู้สึกภูมิใจจังที่ชนะเลิศด้านการแต่งกายอีกครั้ง แม้อาจเป็นเพียงแค่การมโนจากเพื่อนตัวเองก็ตาม

“ฟ้าวไปหาที่ใส่บาตรเถาะสู” แตวเป็นสาวประเภทสองที่มีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์พูดแทรกขึ้น และหล่อนชอบทำหน้าย่นก่อนพูดเสียงเชิงดุ “ไป ฟ้าวย่าง ประสาใส่ซิ่นซือซือ”

บัวเขียวกับกะปูไม่ใส่ใจกับคำพูดของแตวเลย ก่อนเดินหน้าเชิดตรงดิ่งไปหาที่ใส่บาตรทันที

“มั่นหน้าแฮงหลายหมู่กู ถ่ากูแน่เพี่ยง” แตวเดินเชิดหน้าตามไปติด ๆ ไม่ให้ด้อยหน้าเหมือนกัน

สามคนนี้เป็นแก๊งเพื่อนสาวที่ได้รับฉายาจากบัวศรีว่า ‘แก๊งธิดามาร’ ที่เปรียบถึงธิดาของพญามารปรนิมมิตวสวัตตีซึ่งเป็นเทพชั้นสูง มาขัดขวางการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงส่งธิดาทั้งสามนางมาเพื่อให้พระองค์ละความเพียร โดยให้ตกอยู่ใต้อำนาจของนางทั้งสาม ได้แก่ ราคะ (ความกำหนัด) ตัณหา (ความอยากได้อยากเป็น) และอรติ (ความอิจฉาริษยา) สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไป

โดยที่บัวศรีเองนั้นมองสามคนนี้ไม่ต่างอะไรจากสามธิดามาร เพราะแก๊งนี้ชอบกัดแซะเหน็บแหนมคำหล้าและบัวศรีมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว จนกลายเป็นความเคยชินและเป็นเรื่องปกติไป ยิ่งวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กมลสันดานแบบนี้ก็ไม่เคยจากหายไปสักทีจวบจนปัจจุบัน

 

ยายหนูดำเห็นบัวเขียวเดินเข้ามาใกล้มากแล้วจึงรีบทักขึ้น “อ้าวอีบัวเขียว อีกะปู อีแตว มื้อนี้ลมหยังหอบซุมมึงมาใส่บาตรได้ล่ะ”

“ลมเกิดอยากใส่เองจ้ายาย” บัวเขียวตอบไปด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ก่อนเดินเบียดไปยืนข้าง ๆ บัวศรี แล้วทำทีก้มหน้าต่ำมองบัวศรีเป็นนัย ๆ ว่าเตี้ยจัง จากนั้นกะปูและแตวก็ค่อย ๆ เบียดคนอื่นให้เขยิบไปหน่อย เพื่อที่จะได้ยืนอยู่เป็นกลุ่มแก๊งเรียงสามคน

บัวศรีเชิดหน้าขึ้นมองแรงตอบกลับไปด้วยสีหน้าแสนดุดัน ส่วนคำหล้าทำหน้าลอย ๆ ไม่สนใจแก๊งนี้สักนิด เหมือนไม่อยู่ในสายตา

“เมื่อวานกูคือยินว่า มีคนไปขอฤกษ์แต่งงานกับหลวงตา แล้วแม่หญิงกะแล่นหนีว่าบ่แต่งงานนำ จนผู้ชายถูกพ่อตีจนปางตาย แม้นว่าไปขี้ตั๋วว่าแม่หญิงสิแต่งงานนำ” บัวเขียวพูดออกมาลอย ๆ โดยไม่ได้เจาะจงว่าเอ๋ยถึงใคร “กูอยากฮู้เด้ว่าแม่หญิงผู้นั่น มันคือไผกันวะ เฮ็ดตัวว่าเพิ่นคือสิงามหลาย” หันไปยิ้มกรุ่มกริ่ม “ซุมมึงฮู้เบาะล่ะ อีกะปู อีแตว ว่าแม่นไผ”

“ไผล่ะเฮ้ย” กะปูรู้ทั้งรู้ว่าเป็นใคร แต่ก็อยากแซะเสริมเพิ่มเติมให้ได้อรรถรส

เสียงหัวเราะจอมปลอมของแตวร้องขึ้นพร้อมกับท่าทางที่บิดตัวให้พลิ้วไหวไปมา “บ่ฮู้คือกันเฮ้ย แต่ได้ยินว่า ผู้ชายนั่นหนา หล่อ ๆ แต่กะถืกอีขี้ร้าย อีผู้บ่งามถิ่มเสีย เป็นตาเหลือตนผู้ชายเนาะเฮ้ย”

ชาวแก๊งธิดามารหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างสะใจที่ได้กัดแซะอย่างผู้ชนะ สายตาของบัวเขียวมองเหยียดไปที่คำหล้า ‘สมน้ำหน้ามึง’

เป็นใครได้ยินในสิ่งที่บัวเขียวพูดก็สามารถรับรู้ได้ว่าหมายถึงใคร คำหล้าและแม่ใหญ่กาไสยังคงยืนนิ่งเงียบไม่ตอบโต้อะไรออกไป ถ้าหากตอบสวนกลับไปแล้ว เรื่องนี้คงไม่ได้หยุดแค่การใส่บาตรพระแน่ ๆ

บัวศรีกรอกตาหันไปมองแรงใส่บัวเขียวและชาวแก๊ง เธอกำลังคิดอยากตอบโต้ด้วยคำหยาบแรง ๆ ออกไป แต่คำหล้ายื่นมือไปจับมือของเธอไว้เพื่อเป็นการสื่อสารว่าอย่าทำอะไรหรือตอบโต้ใด ๆ ออกไป  เพราะมันยังไม่ถึงเวลาของเรานะเพื่อนเอ๋ย จงอดทนไว้กับคำพูดของคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน

เรื่องนี้ใช่ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะไม่รู้เสียที่ไหนว่าเป็นใคร เพราะว่ารู้นี้แหละว่าเป็นเรื่องของใคร จึงไม่มีผู้ใดกล้าปริปากออกมาในระยะประชิดกันขนาดนี้ หากเรื่องนี้ไปเข้าหูของนายฮ้อยค่ำเข้าว่ากำลังถูกนินทาอยู่ จะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลย เพราะฝั่งนั่นเขาอาจจะตอบโต้แรงกลับแล้วจะหนาว ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเลือกพูดลับหลังดีกว่าพูดต่อหน้า

 

“พระมาแล้ว” ยายหนูดำพูดขึ้นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้กับคนอื่น ๆ ได้เตรียมตัวกันใส่บาตร

การใส่บาตรของคนที่นี่จะถอดรองเท้าไว้ข้าง ๆ ตัว ก่อนที่พระท่านจะเดินมาถึงนั้น แต่ละคนจะพากันเปิดฝากระติบข้าวออกยกขึ้นเหนือหัว แล้วหลับตานึกคำอธิษฐานจิตตั้งมั่นก่อนจกข้าวหยิบห่ออาหารลงไปในบาตรพระ

หลวงตาบุญอยู่เดินนำเป็นคนแรกของขบวน ตามด้วยพระสงฆ์อีก ๔-๕ รูปและสามเณรอีก ๒ รูป เดินต่ออยู่ท้ายขบวน แล้วปิดท้ายด้วยแท่นที่เดินตามอยู่หลังสุดอีกที ซึ่งเขานั้นได้สะพายย่ามสีขาวไว้เพื่อรอรับของใส่บาตรที่มีน้ำหนักมากเกินไปจากหลวงตาและพระรูปอื่น ๆ

คำหล้าและแท่นก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย สบตาหรือ ไม่มีแม้แต่จะหันไปมองหน้ากันด้วยซ้ำ พวกเขาทำแบบนี้กันมานานได้อย่างไร ตบตาชาวบ้านได้อย่างแยบยลจนใคร ๆ คาดไม่ถึงกัน แม้ว่าแท่นเองจะเคยอาสาไปช่วยคำหล้าเมื่อครั้งหลงป่า ชาวบ้านก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร เพราะโดยนิสัยของแท่นเองนั้นก็เป็นคนที่มีจิตอาสาและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป

การใส่บาตรพระที่ไม่มีแม้แต่บทสนทนาใด ๆ เลยระหว่างพระสงฆ์และญาติโยม พอพระท่านเดินมาถึงจุดใส่บาตรคนแรก พระท่านก็เปิดฝาบาตรออกและเดินรับของใส่บาตรไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้ายแล้วค่อยปิดฝาบาตรก่อนเดินไปรับบิณฑบาตในจุดอื่น ๆ เป็นลำดับต่อไป

หลังจากที่พระท่านเดินห่างไปไกลมากพอสมควรแล้ว ชาวบ้านบางส่วนก็รีบสวมใส่รองเท้าแตะตัวเองก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

 

“อ้ายแท่นกะหล่อขึ้นซูมื้อ มึงคิดคือกูบ่” แตวหันไปพูดกับชาวแก๊ง

“เสียดายอีหลี ถ้าบ่แม้นเด็กวัด ป่านนี้กูจับเฮ็ดผัวแล้ว” บัวเขียวพูดออกมาอย่างมั่นหน้าแล้วเหยียดหางตาไปมองคำหล้าและบัวศรี

กะปูและแตวเกิดอาการระรี้ระริกทุกทีที่พอได้ยินคำว่าผู้ชายหรือผัว

“สำหรับกูแล้ว ถึงสิเป็นเด็กวัด กะรับได้” แตวพูดปะปนไปกับเสียงหัวเราะคิกคัก “พอดีเป็นคนกินง่ายถ่ายคล่อง” เสียงลูกคอสั่นคำว่าคล่องคล้ายลูกระนาดเชียว

“คือกันเฮ้ย” กะปูพูดเสริม

จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคิกของชาวแก๊งนี้ก็ดังออกมาพองาม พอที่จะได้หอมปากหอมคออยู่บ้าง

แต่คำหล้าได้ยินแก๊งนี้กำลังดูถูกคนรักอยู่ เธอก็กำปั้นมือแน่นมาก จนบัวศรีไปจับแขนเธอไว้ว่าอย่าเพิ่ง ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน เธอจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกและสูดลมเข้าปอดช้า ๆ เพื่อระงับอารมณ์ไว้

 

“มื้อนี้สิซุมข่อยว่าสิไปเบิ่งคนลงปลา” ยายหนูดำหันมาพูดกับแม่ใหญ่กาไส “แม่ใหญ่สิไปเบิ่งอยู่บ่”

“พ่อบ้านไปตั้งเช้าแล้ว ข่อยว่าสิเมือย้อมผ้าครามต่อ คือสิบ่ได้ไปดอกยายหนูดำ” แม่ใหญ่กาไสตอบออกไปก่อนหันไปพูดกับคำหล้าและบัวศรี “ไปเมือกินข้าวกินปลากันเถอะ”

“แม่เมือก่อนเลย ข่อยกับบัวศรีว่าสิไปเลาะตลาดจักหน่อยนึง” คำหล้าตอบแม่ไป สายตาของเธอดันเหลือบไปมองแก๊งธิดามาร “ตลาดมื้อนี้คือสิคึกครื้นคัก”

บัวศรีทำหน้างงว่าชวนไปตลาดตอนไหน แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรออกไป เพราะต่อให้ไม่ชวนก็ไปด้วยอยู่ดี ตัวติดกันซะขนาดนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว

“ฟ้าวไปฟ้าวเมือแหน่เด้อ ต้องเอากับข้าวไปส่งพ่ออยู่หนองนำเด้”

“จ้ะ แม่”

แม่ใหญ่กาไสพูดคุยกับลูกสาวเสร็จก็รีบเดินตามเหล่าบรรดาคุณยายให้ทัน เผื่อได้พูดคุยกันสักนิดสักหน่อยในเรื่องสัพเพเหระก่อนที่จะถึงแยกย้ายเข้าบ้านตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักตลอดทาง แสดงว่ามีเรื่องตลกให้ได้พูดคุยกันได้เรื่อย ๆ

 

จนกระทั่งทุกคนไปไกลมากแล้ว คำหล้ากับบัวศรีก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน จนแก๊งธิดามารต้องพากันยืนงงว่าทำไมถึงไม่ไปตลาดสักที

บัวเขียวกระแอมเสียงออกมาก่อนหันไปพูดกับชาวแก๊ง “ไปกันเถอะเฮา มื้อนี้สิไปเบิ่งพวกผู้ชายถอดเสื้อลงปลา”

“แม้นอีหลี กูหิวแฮง” แตวพูดออกมาพร้อมกับกับทำลิ้นเลียริมฝีปากแผล็บ ๆ

“หิวหยังอีอ้วน” กะปูถามขึ้นด้วยความสงสัย

“กะหิวผู้ชายล่ะเนาะ” แตวตอบออกไปอย่างไม่อายปากเลย

และแล้วเสียงหัวเราะของแก๊งธิดามารก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างนัวหัวม่วนกันหลายก่อนพากันเดินกลับบ้านพร้อมกัน พวกเขาทั้งสามคนทำทีเดินเข้ามาเสียดคำหล้าและบัวศรีให้ใกล้ที่สุดและทำสีหน้ารังเกียจชิงชังอย่างกับนางร้ายไม่มีผิด

 

คำหล้าเชิดหน้าหนี แต่เท้าของเธอยื่นไปขัดขาของบัวเขียว จนบัวเขียวล้มคะมำลงไปนอนกองกับพื้นดิน จนกะปูและแตวร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเพื่อนล้มลงไปคลุกฝุ่นก่อนที่จะรีบไปช่วยพยุงตัวของบัวเขียวขึ้นมา

บัวศรีหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

“อีคำหล้า มึงขัดขากู” บัวเขียวโมโหหนักมาก

กะปูและแตวช่วยปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าและร่างกายของบัวเขียวออก

“ไสหลักฐาน อย่ามาใส่ร้ายข่อยเด้อ” คำหล้าตอบออกไป พร้อมกับสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“อีเขียว มันบ่ยอมรับผิดเลย อีขี้หล่ายมื้อนี้ต้องถูกซุมกูจัดการ” กะปูตวาดเสียงสูง

บัวเขียวโมโหหนักขึ้น “บ่ยอมรับแม้นบ่ ได้” หล่อนกะเดินจะไปตบหน้าคำหล้าสักหนึ่งที

“แม่นแล้ว” คำหล้าตวาดเสียงตอบกลับไปก่อนเอากระติบข้าวเหนียวฟาดไปที่หน้าของบัวเขียวอย่างแรงเพื่อป้องกันตัวเองแล้วตบแก้มซ้ายแก้มขวาสลับไปมา แทบไม่เผื่อจังหวะให้บัวเขียวได้ตอบโต้กลับบ้างเลย

กะปูและแตวเห็นบัวเขียวกำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเขาทั้งสองจะรีบเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกบัวศรีผลักล้มไปนอนกองกับพื้นดิน มือเล็กของบัวศรีแสบพริกขี้หนูมาก ตบหน้าเรียงสองคนพร้อมแบบไม่ผ่อนจังหวะเลย ผัวะไปอย่างแรง สองขาถ่างออกเพื่อนั่งค่อมร่างของกะปูแตวไว้ไม่ให้ขยับตัวก่อนตบเรียงหน้ากันยับอีกครั้ง แรงของแตวมีมากกว่าจึงได้โอกาสผลักบัวศรีลงไปนอนกองกับพื้น จากนั้นก็ตบหน้าผลัดกันไปมา ตามจังหวะของใครของมัน กลิ้งเกลือกบนพื้นดินแบบไม่ห่วงสวยกันเลยเดียว จนผมเผ้าไปกันคนละทิศละทาง

คำหล้าพลาดท่าให้บัวเขียวได้ตบหน้าคืนบ้าง ไม่พอแค่นั้น สองคนนี้ยังพากันกระชากผมกันและกันจนทรงผมไม่เป็นทรงกันแล้วก่อนที่จะกลิ้งคะมำลงไปนอนกองบนพื้นดินแล้วผลัดกันตบกันไปกันมาโดยไม่รู้ว่าจะหยุดกันตอนไหน ใบหน้าของแต่ละคนมีรอยฝามือเต็มไปหมด ช่างเมามันกันเสียจริง ๆ เลย

 

“คำหล้า!!!!”

เสียงของบัวศรีดังขึ้นในหูของคำหล้าเพื่อให้ได้สติ เนื่องจากการตบตีกันเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงการมโนภาพในความคิดของคำหล้าเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

“แม้นหยัง…บัวศรี” คำหล้าพูดลอย ๆ ออกมา เพราะเธอยังคงติดอยู่ในภาพของการตบตีนั่นอยู่ แม้ว่าใจจริงแล้วอยากตบหน้าแก๊งธิดามารมาก หากได้ทำเช่นนั้นก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อยถ้าได้ตอบโต้คืนไปบ้าง เธอมองดูแก๊งนั้นซึ่งเดินไปไกลมากแล้วทีไรก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทุกที

บัวศรีเหลียวตามองตามคำหล้า เธอพอที่จะเดาได้ว่าคำหล้ากำลังคิดอะไรอยู่ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาพร้อมส่ายหน้ารับไม่ได้กับนิสัยของแก๊งนั้น “เป็นจังได๋ล่ะ ปากซุมนั่นมันดีสมควรถูกกูด่าบ่”

คำหล้าพยักหัว “แม้นอยู่ ข่อยคือมาสูนแฮงหลาย ว่าซุมนั่นมันดูถูกอ้ายแท่นข่อย ทั้ง ๆ ข่อยกะโดนซุมมันเฮ็ดใส่หลาย แต่กะทนได้อยู่”

“กูล่ะย่าน ๆ โดยเฉพาะอีแตว ย่านมันกุมเอาอ้ายแท่นมึง”

“บ่มีทาง” คำหล้าตอบกลับไปจนบัวศรีตกใจแรง “ไผกะอย่า อย่ามายุ่งกับอ้ายแท่นข่อย…”

“เออ…เซา ๆ” บัวศรีรีบพูดตัดบทก่อนที่คำหล้าจะอารมณ์ขึ้นวูบ ๆ “ว่าแต่สิไปบ่”

“ไปไส?”

“ไปตลาดฮั่นเด้”

“ข่อยบ่ไปล่ะ สิฟ้าวเมือกินข้าวเช้า แล้วสิเอาปิ่นโตไปให้พ่ออยู่หนอง” คำหล้าเปลี่ยนโหมดอารมณ์กลับมาปกติก่อนหันไปถามบัวศรี “สิไปนำบ่”

“ไปล่ะเนาะ” บัวศรีทำตัวบิดไปพร้อมกับอาการเคอะเขิน “อยากไปเบิ่งปลาข่อใหญ่”

“ระวังปลาข่อใหญ่กัดเอาเด้อ”

“กัดโลด ว่าแต่สิมีวาสนาได้จับได้บายบ่ล่ะ คำหล้า”

คำหล้ายิ้มกรุ้มกริ่มออกมาถึงความหมายของคำพูดบัวศรี “ไปสะ ฟ้าวเมือฟ้าวไปเบิ่ง”

สืบเนื่องมาจากความเป็นเพื่อนที่ฝังแน่นมานานหลายปี จนรู้ใจกันและกันไปเสียทุกเรื่อง ทั้งสองจึงคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันไว้ และคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ทุกครั้ง แล้วทั้งสองคนจึงพากันเดินกลับบ้านตัวเอง ซึ่งบ้านของพวกเขาห่างกันไม่มากและอยู่ในละแวกเดียวกัน จึงไปมาหาสู่กันได้แทบทุกวัน



Don`t copy text!