ปางปอบ : บทนำ

ปางปอบ : บทนำ

โดย : ทศพล

ปางปอบ นิยายออนไลน์มีให้อ่านที่อ่านเอา โดย ทศพล เรื่องราวของ ปอบ ภูตผีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับความตายอันลึกลับ เมื่อใครสักคนในหมู่บ้านถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ผู้คนเริ่มหวาดกลัวพร้อมกับความรังเกียจ แต่ระหว่างมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันหรือปอบที่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ใครจะน่าหวาดกลัวมากกว่ากัน

ค่ำคืนอันแสนมืดมิดกับป่าที่หนาทึบบนทิวเขาภูพานอันกว้าง ชายหนุ่มจับมือหญิงสาววิ่งไปตามทางเกวียนวัวควายแคบ ๆ วิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหนีจากกลุ่มโจรผู้ร้ายราวห้าคนที่กำลังไล่ล่าอย่างดุเดือด จังหวะที่โจรทิ้งระยะห่างไป พวกเขาทั้งสองจึงมีโอกาสได้หลบตามซอกหิน

ชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวไว้แน่นเพื่อลดความกลัวจากใจนาง สายตาแห่งความซาบซึ้งใจมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังช่วยเหลือเธอจนผล็อยหลับไป หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พากันหลับไหลไปจนถึงรุ่งอรุณแรกที่เริ่มสาดแสงทอประกายเข้ามาใส่ใบหน้าของชายหนุ่มให้ลืมตาตื่นขึ้น

เช้าแล้ว ป่านนี้พวกโจรคงวิ่งไปไกลมากแล้ว ชายหนุ่มจึงพยายามจะใช้มือสะกิดไหล่หญิงสาวให้ตื่นจากอ้อมแขนของเขาก่อนที่จะอดใจไม่ได้ที่อยากจะหอมแก้มเธอ

“คำหล้า ตื่นได้แล้ว”

คำหล้ามีอาการงัวเงียก่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นไปมองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม เธอแทบไม่อยากจะออกจากอ้อมอกแน่น ๆ นี้เลย แต่เป็นแม่หญิงต้องรักษากิริยาไว้ “เช้าแล้วเหรอจ้ะอ้ายแท่น” กวาดสายตามองดูรอบข้าง เพื่อให้แน่ใจอีกทีว่าโจรไม่อยู่แล้ว

“พวกมันไปแล้ว” แท่นพูดขึ้นมา ในขณะที่ไหล่ของเขายังเกิดอาการซาขยับไม่ได้

คำหล้าเห็นแท่นไม่อาจขยับตัวได้เหมือนหุ่นที่ถูกสาปให้เป็นหิน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา “ข่อยคือสิตัวหนักหลายเนาะอ้าย”

แท่นลุ่มหลงใบหน้างาม ๆ ของแม่หญิงที่อยู่ตรงหน้า เขาอดใจไม่ได้อีกต่อไปแล้วที่จะคว้ามาจูบอย่างทะนุถนอม ในขณะที่คำหล้าเองก็ไม่มีอาการขัดขืนแต่อย่างใด ทั้งสองจึงปล่อยใจไปตามแรงปรารถนาอย่างใจนึกปอง

แต่ก่อนจะเลยเถิดไปกว่านั้น คำหล้าได้หยุดทุกอย่างลงด้วยการผลักหน้าของแท่นออก “ข่อยว่าเฮากลับหมู่บ้านกันก่อนนะจ๊ะ”

อาการเขินอายของแท่นที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิด “อ้ายขอโทษ”

“เซา อย่าเว” คำหล้าใช้มือไปปิดปากแท่นไม่ให้พูดอะไร ส่งสายตาจ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามว่าไม่เป็นไรก่อนคว้ามือเขาลุกออกจากซอกหินนี้ แล้วจับมือกันเดินออกจากป่าไปเจอทางเกวียน จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงหมู่บ้าน

แววตาของทั้งสองที่ผลัดกันมองไปมาช่างละมุนละไม เหมือนโลกใบนี้นั้นมีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น หรือนี่ใช่ไหมที่เขาเรียกันว่าความรัก เขาและเธอนั้นคือความรัก ความรักที่ไม่อยากให้มีอะไรมาพรากไปจากกัน จนกว่าสวรรค์จะแยกกาย แต่ไม่อาจแยกใจที่มีต่อกันได้

พอเดินทางถึงหมู่บ้าน เห็นชาวบ้านจำนวนมากทั้งชายและหญิงที่พากันถือมีดพร้า ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นกำลังจะพากันออกตามหาคำหล้าตามคำขอของพ่อบ้านคำมี ผู้มีศักดิ์เป็นถึงผู้ปกครองของคนที่นี่และยังเป็นพ่อของคำหล้าอีกด้วย

สายตาของผู้เป็นพ่อเหลือบเห็นลูกสาวยืนอยู่กับแท่น จึงอุทานออกมาว่า “ลูกกูมาแล้ว”

“ไส” แม่ใหญ่กาไสนั่งอยู่บนขอนไม้อยู่นั้น พรวดพราดรีบลุกขึ้นไปมอง “คำหล้าอีหลี” ผู้เป็นแม่วิ่งไปต้อนรับลูกสาวทันทีด้วยความดีใจทั้งน้ำตา หลังจากที่นอนไม่หลับมาทั้งคืนเพราะเป็นห่วงลูกสาวที่หายตัวไป เธอสำรวจร่างกายของลูกทีละจุดตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ็บบ่องได๋อยู่เบาะลูก”

“ปลอดภัยแล้วจ้าแม่ อ้ายแท่นช่วยข่อยไว้” คำหล้าตอบ

แม่ใหญ่กาไสหันไปมองหน้าแท่น “ขอบใจหลาย ๆ เด้อลูก ถ้าบ่ได้แท่นช่วยไว้ ปานนี้คำหล้าจักสิเป็นจั๋งได๋”

“บ่เป็นหยังจ้ะ” แท่นตอบ

เสียงร้องไห้ของแม่หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจนทุกคนถึงกลับต้องหันไปมองว่าเธอเป็นอะไร

“เอ้าอีบัวศรี มึงเป็นหยัง” แม่เฒ่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้น

“ข่อยดีใจแหมะ” บัวศรีตอบ เธอมีรูปร่างเตี้ยและผอม ทรงผมสั้นเท่าบ่าไหล่ ทำให้เธอยังดูเหมือนเด็กหญิงมากกว่า “ข่อยเป็นห่วงคำหล้าแหมะยายหนูดำ”

“ซั่นติ?” ยายหนูดำตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่มีความหมายแฝงว่า ‘จริง ๆ เหรอ’

คำหล้าเดินมาคว้ามือของบัวศรีกุมไว้ “ข่อยปลอดภัยแล้ว เซาไห่ อายเพิ่นแหมะ”

“จ้า” บัวศรีพยักหน้าพร้อมกับปาดน้ำตาก่อนส่งรอยยิ้มให้ทั้งน้ำตากับคำหล้า

“เอาบัดนี้” พ่อบ้านคำมีพูดแทรกก่อนหันไปยกมือขอบคุณชาวบ้าน “ขอบคุณทุกคนหลาย ๆ เด้อ”

“บ่เป็นหยังพ่อบ้าน คนบ้านเดียวกัน ” พ่อเฒ่าเอนพูดแทนคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่าเฒ่าเอนจะดูชราไปมากแล้ว ผมบนหัวเป็นสีขาวโพลนหมดแล้ว แต่ทว่าร่างกายของเขาก็ยังคงกำยำล่ำสันอยู่เลย

“แม้นจ้า คำหล้าปลอดภัยกลับมากะดีแล้ว” ยายน้อยพูดตามก่อนหันไปยกนิ้วให้แท่น “เก่งหลายเด้อบักแท่น พาคำหล้าออกมาจากป่าภูหลวงนั่นได้”

“เขตป่าภูหลวงนั่น สักมื้อทางการต้องจัดการมัน พวกโจรที่หากินแบบผิด ๆ” พ่อบ้านคำมีพูดขึ้นพร้อมกับกำมือแน่น “ไปหมู่เฮา แยกย้ายกันได้ ขอบใจหลาย ๆ เด้อ”

ชาวบ้านแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน บางคนก็เดินตรงไปที่ทุ่งนาตัวเองทันทีตามวิถีชีวิตของคนที่นี่ซึ่งทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ยิ่งช่วงหน้านี้ใครปลูกข้าวพันธุ์ข้าวดอไว้ มันใกล้สุกเต็มรวงแล้ว หากชักช้าอาจทำให้รวงข้าวหนักจนเกินไป จะยิ่งทำให้เก็บเกี่ยวได้อย่างยากลำบาก

แม่ใหญ่กาไสโอบไหล่ลูกสาวเดินกลับบ้านไปก่อน แต่พ่อบ้านคำมีนั้นขออยู่พูดอะไรสักอย่างกับแท่น “ขอบใจมึงเด้อแท่น ที่กล้าบุกป่าไปผู้เดียวยามกลางค่ำกลางคืน เพื่อช่วยลูกสาวกูไว้ มื้อหน้ามีหยังให้กูช่วย กะบอกได้เด้อ”

“จ้ะพ่อบ้าน” แท่นยิ้มรับคำชม

มือข้างขวาของพ่อบ้านคำมียกขึ้นไปบนบ่าไหล่ “ไปล่ะ อีกบ่กี่เดือนลูกสาวกูกะสิแต่งงานแล้ว ขอบใจมึงหลาย” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เดินตามลูกสาวและภรรยาไปอย่างติด ๆ

แท่นยืนยิ้มแห้งและพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่มองไปที่คำหล้าด้วยแววตาอันแสนเศร้าในขณะที่คำหล้าเองก็แอบหันหน้าส่งยิ้มกลับมา ความรู้สึกเหมือนตนนั้นช่างไม่เหมาะสมที่จะได้เป็นลูกเขยของพ่อบ้านเลยด้วยซ้ำ เพราะตนนั้นเป็นเพียงแค่เด็กวัดที่กำพร้าพ่อและแม่มาตั้งแต่เด็ก โดยอาศัยอยู่กับหลวงตา

“บักแท่น” เสียงชายหนุ่มร่างผอมสูงตะโกนดังมาแต่ไกล เขากำลังวิ่งบนคันนาผ่านรวงข้าวสีเหลืองทอง พอมาถึงก็ตบบ่าไหล่ของแท่น “สุดยอดเลยว่ะ กูว่าพ่อบ้านคงเห็นความดีในตัวมึงแล้ว สักวันคำหล้ากับมึงคงได้อยู่ด้วยกันแบบผัวเมียสักที”

สีหน้าของแท่นยิ่งดูเครียดกว่าเดิม “อาการหลวงตาเป็นแนวได๋แล้ว”

“ดีขึ้นแล้ว แค่ไข้ขึ้น ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่” สินตอบ

“อืม” แท่นพยักหน้า “งั้นกูฟ้าวกลับวัดไปดูหลวงตาก่อนเด้อ ขอบใจมึงมาก” เขารีบเดินกลับวัดให้เร็วขึ้นเพื่อจะไปดูแลหลวงตาที่นอนอาพาธอยู่ในกุฏิพระ หรือจะแอบไปหลบนั่งเศร้าใจที่ไหนสักแห่งกันแน่เพื่อปลอบโยนหัวใจที่แสนจะบอบช้ำจากความรักอันไร้ซึ่งวี่แววที่จะได้อยู่ด้วยกันเสียด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นสินก็แยกย้ายเดินทางกลับบ้านไปนอนพักผ่อน หลังจากเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมาเขาอยู่เช็ดตัวหลวงตาเกือบทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอนเลย

ไม่นานนักเสียงกรีดร้องของแม่หญิงดังขึ้น ชาวบ้านที่กำลังเดินแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตัวเองอยู่นั้นถึงกลับต้องหยุดเดิน แม้แต่แท่นเองที่วิ่งไปได้สักระยะหนึ่งแล้วก็ยังได้ยินเสียงนี้ ทุกคนจึงวิ่งกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้งกันอย่างแตกตื่นว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงที่ทุกคนได้ยินนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของยายน้อย เธอร้องไห้อย่างคนตื่นกลัวออกมาและนั่งทรุดลงไปกับพื้นดินเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่นอนอยู่เบื้องหน้า

สิ่งนั้นคือศพของพ่อเฒ่าเอน ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อเฒ่าก็เดินอยู่ดี ๆ ก่อนที่จะฟุ่บลงไปนอนกับพื้นดินสิ้นลมไป

พอทุกคนมาตรงจุดเกิดเหตุ ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกและหวาดกลัวกันหมด ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่ยังดูแข็งแรงดีขนาดนี้และเพิ่งพูดคุยกันอยู่หมาด ๆ จะตายเร็วเกินไป ซึ่งตามความเชื่อของชาวบ้านที่นี่เรียกการตายเช่นนี้ว่า ‘ไหลตาย’ นั่นเอง

แท่นและคำหล้ายืนสบตากันคนละฟากฝั่งของศพ ดุจศพนี้กำลังจะสื่ออะไรบางอย่างในอนาคตที่จะมาถึง ความรู้สึกที่อาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ประกอบกับสีหน้าที่ดูเป็นกังวลว่าอุปสรรคในวันข้างหน้าจะต้องเจอเข้ากับอะไร

ข่าวการตายของพ่อเฒ่าเอนแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างพากันเข้าใจว่าการตายนี้ล้วนมาจากโรคชราภาพมากแล้ว จึงไม่แปลกหากต้องตาย แต่สภาพศพกลับสร้างความข้องใจแก่ผู้พบเห็น หน้าท้องที่เหี่ยวลงไปมาก ราวกับว่าไม่มีลำไส้อยู่แล้ว ดวงตาที่แทบจะทะลักออกมาจากเบ้าตา ประดุจว่าผู้ตายมีความหวาดกลัวมากก่อนจะสิ้น หรือเหมือนเห็นอะไรบางอย่างก่อนตายไป

แต่จะว่าไปแล้ว หากทุกคนนับถือศาสนาพุทธ ก็ขอยกคำสอนของผู้มีพระภาคเจ้าที่ได้กล่าวไว้ว่า ความตายนั้นล้วนเป็นเรื่องธรรมดาของทุกสรรพชีวิตของมนุษย์ที่มีทั้งเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีผู้ใดหลีกพ้นไปได้ จึงไม่ต้องแปลกใจหากชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ติดใจอะไรมากกับการเสียชีวิตของคนในหมู่บ้านแต่ละครั้ง

 

ตะวันตกดินแล้ว เส้นทางในหมู่บ้านมืดลงจนแทบจะเดินไม่ค่อยเห็นทาง และการสัญจรไม่มีผู้คนเลยบนเส้นทางนี้ แต่แทนที่คำหล้าจะนอนพักผ่อนบนบ้าน เพราะตนนั้นพึ่งจะหนีโจรและออกมาจากป่าได้ แต่กลับแอบเดินออกมานอกบ้านเพียงลำพังคนเดียว ซึ่งเธอนั้นค่อย ๆ ก้าวเท้าไปอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้พลาดไปเหยียบหลุมเข้าหรือกิ่งไม้ ใบหน้าแห่งความมุ่งมั่นของเธอนั้นเดินตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านบ้านเรือนไปทีละหลังแล้วหยุดยืนดูบ้านหลังหนึ่งข้างรั้วไม้ไผ่ด้านนอก บ้านหลังนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แล้ว ทั้งทรุดโทรมมาก แม้ว่าจะมองในยามค่ำคืนก็ยังรับรู้ได้ว่าบ้านหลังนี้เก่ามาก เพราะฝาบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ก็ผุพังไปตามกาลเวลาอย่างเห็นได้ชัด

“ครบรอบ ๕ ปีแล้วนะจ๊ะยาย” คำหล้าบ่นพึมพรำออกมาก่อนหวนนึกถึงอดีต ณ บริเวณนี้เมื่อ ๕ ปีก่อน

…ขณะนั้นคำหล้าในวัย ๑๒ ปี เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่กำลังแอบยืนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เธอมองดูชาวบ้านจำนวนมากกำลังรุมล้อมหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังหมดทางจะสู้ หญิงชราคนนั้นมีนามว่า ‘ยายสายบัว’ เธอมีผมเผ้ารุงรังและร่างกายผอมโซคล้ายกับคนที่ขาดอาหารและน้ำมาหลายวัน

“มึงแม้นบ่ที่ฆ่าพ่อกู อีสายบัว”

ยายสายบัวน้ำตาท่วมท้นเต็มหน้ามาหลายชั่วโมง กำลังถูกแม่หญิงคนหนึ่งกระชากผมของคุณยายด้วยอารมณ์โกรธไปทั้งน้ำตา

ยายสายบัวแสยะปาก “กูไปฆ่าพ่อมึงตอนได๋อีต๋อง”

ต๋องผลักร่างของยายสายบัวลงนอนกองกับพื้นดินก่อนสบถคำหนึ่งออกมา “กะมึงเป็นปอบ มากินพ่อกู”

ยายสายบัวแทบจะไม่มีแรงเดินเสียด้วยซ้ำ กำลังถูกทำร้ายร่างกายด้วยการถูกชาวบ้านที่รุมล้อมอยู่นั้นโยนกิ่งไม้ ก้อนหิน ขว้างปาสิ่งของใส่อย่างไร้ความเมตตาปรานี เธอกำลังนอนขดตัวและทุกข์ทรมานไปทั้งตัว บนร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและมีเลือดไหลออกมาก็ยังจะฝืนทนพูด “กูบ่แม้นปอบ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างทรงพลัง จนทุกคนหยุดขว้างปา “กูกะเป็นคนคือสู” น้ำตาแห่งความสิ้นหวังพรั่งพรูออกมาพร้อมกับความแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในใจ “สูคือเฮ็ดใส่กูหลายแท้”

สามีของต๋องที่ยืนข้างภรรยาของตนอยู่นั้น เขาตะคอกเสียงใส่ยายสายบัว “มึงเป็นปอบ” เท้าข้างหนึ่งของเขาฟาดไปที่ใบหน้าของยายสายบัวหนึ่งทีด้วยความสะใจ

“กูบ่แม้น…….ปอบ” ยายสายบัวเปล่งคำพูดที่แสนบางเบาออกมาเป็นครั้งสุดท้ายทั้งน้ำตา แล้วลมหายใจก็หมดลงไปอย่างไม่มีวันหวนฟื้นกลับมา

คำหล้าที่แอบดูอยู่นั้น น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาด้วยความสงสารอย่างเจ็บใจที่ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือคุณยายสายบัวได้ สองมือกำปั้นทุบไปที่หน้าอกอย่างแรงก่อนทรุดตัวนั่งร้องไห้ไร้เสียงออกมาอย่างหนัก

ชีวิตของยายสายบัวที่อาศัยโดยลำพังมาตลอด หนำซ้ำยังถูกลูกหลานทอดทิ้งจนต้องอาศัยข้าววัดกินเพื่อประทังความหิวโหย บัดนี้ไม่มีแล้วคุณยายที่เดินต้วมเตี้ยมคนเดียวไปมาระหว่างบ้านและวัดในตอนเช้ามืดเพื่อไปรับข้าวปลาอาหารที่หลวงตาเก็บไว้ให้ บัดนี้ไม่มีแล้วคุณยายที่ร้องเพลงหมอลำม้วน ๆ อยู่คนเดียว ไม่มีแล้วคุณยายที่เคยเป็นถึงราชินีหมอลำในอดีตถิ่นนี้ ลาก่อนคุณยายผู้น่าสงสาร…

 

ขณะที่คำหล้ากำลังยืนรำลึกถึงความหลังอยู่นั้น ก็มีชายวัยกลางคนกำลังเดินตรงมาด้วยอาการเมาเหล้า ทั้งสองกอดคอพยุงตัวกันเดินพร้อมกับร้องเพลงสลับกับเสียงหัวเราะไปมา

“บักโจ้น นี่เฮากำลังย่างผ่านเฮือน อีสายบัวแม้นบ่” ชายคนหนึ่งที่ถือขวดเหล้าพูดขึ้น

โจ้นหันไปมองรอบ ๆ “แม้นแล้วบักโต้ย” หัวเราะออกมาคล้ายกับคนบ้า

คำหล้าหันไปมองชายสองคนนั้นและจ้องมองไปอย่างมีนัยยะแฝงอะไรบางอย่าง ซึ่งภายในใจของเธอนั้นไม่อาจรับรู้ถึงความคิดข้างในได้

ไม่นานนักชายสองคนนั้นก็ล้มนอนลงไปกองกับพื้นดินพร้อมกัน แต่พอรุ่งเช้ามีคนเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็พบว่าชายสองคนนี้ได้กลายสภาพเป็นศพไปเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้พบเห็น จึงเกิดเป็นข่าวลือกันไปทั่วหมู่บ้านว่า วิญญาณผีปอบยายสายบัวได้ฆ่าชายทั้งสองคนนี้แล้ว บัดนี้คุณยายได้กลายเป็นตำนานทุกครั้งของคนที่นี่เมื่อมีการตายที่แสนประหลาดนั่นเอง



Don`t copy text!