ปางปอบ บทที่ 1 : บุญเดือนยี่

ปางปอบ บทที่ 1 : บุญเดือนยี่

โดย : ทศพล

Loading

ปางปอบ นิยายออนไลน์มีให้อ่านที่อ่านเอา โดย ทศพล เรื่องราวของ ปอบ ภูตผีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับความตายอันลึกลับ เมื่อใครสักคนในหมู่บ้านถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ผู้คนเริ่มหวาดกลัวพร้อมกับความรังเกียจ แต่ระหว่างมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันหรือปอบที่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ใครจะน่าหวาดกลัวมากกว่ากัน

แผ่นดินสยาม รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ณ หมู่บ้านกุดงาม ในเขตปกครองของอำเภอเมืองสกลนคร ผู้คนล้วนเป็นชาวกะเลิง เดิมทีอาศัยกันอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตกของเทือกเขา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๖ คราวเกิดสงครามปราบจีนฮ่อจึงทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานเข้ามาที่เขตแดนสยาม อีก ๒ ปีถัดมาได้พากันติดตามกรมการเมืองสกลนครเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองสกลนคร โดยเลือกทำเลที่ตั้งถิ่นฐานบนดินแดนแห่งที่ราบหุบเขาภูพาน

การดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์เผ่ากะเลิงนั้นประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และเก็บของป่ามาไว้รับประทาน เน้นการปลูกพืชผักไว้เป็นอาหารในบริเวณบ้าน เช่น ผักหวาน ต้นหวาย เป็นต้น ส่วนผลไม้ของคนที่นี่นั้นยังนิยมพืชป่ามากกว่าผลไม้ต่างถิ่น และบริเวณพื้นที่เชิงเขานั้นก็มีน้อย พื้นที่ทำกินเลยไม่มาก จึงนิยมเลี้ยงหมูกี้*ไว้เป็นอาหาร โดยปล่อยให้หากินเองตามหมู่บ้าน

หมูกี้*เป็นสุกรหน้าสั้น หูสั้น ลำตัวสีดำสนิท หนังท้องหย่อนยานปานกลาง ขนสั้นติดตัวและมีขนบาง ลักษณะพิเศษให้ลูกดก เลี้ยงลูกเก่ง แข็งแรงทนทานและกินอาหารหยาบได้ดี

การแต่งกายของผู้คนที่นี่นิยมนำเส้นฝ้ายมาย้อมน้ำครามก่อนตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าไว้สวมใส่ตามฤดูกาล ผู้หญิงนิยมรวบผมมัดเป็นมวยไว้ สวมใส่ผ้าถุงที่มีลวดลายต่าง ๆ ที่ออกแบบถักทอขึ้นเองและห่มทับด้วยผ้าคลุมคล้ายกับสะไบก่อนประดับด้วยเครื่องประดับที่ทำขึ้นมาจากเงินหรือโลหะ บ่งบอกถึงฐานะทางสังคมได้ ส่วนผู้ชายนิยมสวมเสื้อบ้างหรือไม่สวมเลย นุ่งผ้าโสร่งลายผ้าขาวม้าโทนแดงดำและสักลายตามร่างกายตามความเชื่อส่วนบุคคลหรือไม่สักเลยสักคนก็มี

ศูนย์รวมความศรัทธาและความเชื่อของคนที่นี่ยังคงเชื่อในเรื่องของภูตผีวิญญาณและให้ความสำคัญกับบุคคลที่เป็นสื่อกลางของเหล่าวิญญาณที่ช่วยดูแลศาลปู่ตา รวมไปถึงการขอพรศาลปู่ตาช่วยปัดเป่ารักษาให้มีชีวิตอยู่ดีมีสุขนั้นเอง

 

ปีพุทธศักราช ๒๔๖๐

หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวทางการเกษตรเสร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย ครั้นถึงบุญเดือนยี่หรือเดือนที่ ๑ (เดือนมกราคมของทุกปี) ชาวบ้านต่างนำเมล็ดข้าวเปลือกตามความศรัทธามาเทกองรวมกันเป็นนูนขึ้นสูงที่ลานกว้างภายในเขตวัด เรียกว่า คูนลาน เพื่อเป็นการรับขวัญข้าว ด้วยความเชื่อที่ว่าข้าวนั้นมีเทวดาปกปักรักษา คือ พระแม่โพสพ โดยนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพุทธมนต์ จัดน้ำอบ น้ำหอมไว้ประพรม ขึงด้ายสายสิญจน์รอบกองข้าว จากนั้นนำภัตตาหารมาถวายเพลแก่พระภิกษุบนศาลาไม้และชาวบ้านก็ร่วมกันกินข้าวปลาอาหารด้วยกันจนแล้วเสร็จ พระสงฆ์ก็จะประพรมน้ำพุทธมนต์ให้กองข้าวรวมไปถึงผู้คนที่มาในวันนี้ ส่วนน้ำพุทธมนต์ที่เหลือนั้นชาวบ้านก็พากันแบ่งกันคนละนิดหน่อยไปประพรมให้แก่วัวควาย ตลอดจนเครื่องมือในการทำนา เพื่อความเป็นสิริมงคล

แม้ว่าผู้คนที่นี่จะมีความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ แต่จิตใจยังคงยึดมั่นศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากเช่นกัน ประเพณีบุญคูนลานนั้นทำกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เป็นการรักษาสานต่อให้สืบลูกสืบหลานต่อไป ยึดมั่นในฮีตสิบสองคองสิบสี่นั้นเอง

 

แท่นอุ้มขันน้ำมนต์พร้อมกับถือมัดหญ้าคาให้หลวงตาบุญอยู่ (เจ้าอาวาสวัด) เขาเดินตามท่านขึ้นบนศาลา เนื่องจากหลวงตาชราภาพมากแล้ว จึงคอยให้เขาช่วยเหลืออยู่เป็นครั้งคราว ซึ่งจริง ๆ แล้วหลวงตาได้แต่งตั้งพระอุปัฏฐากไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่ด้วยความใกล้ชิดและผูกพันที่หลวงตาเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นทารก เขาจึงอยากคอยดูแลหลวงตาให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนพระคุณที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ถูกพ่อแม่แท้ ๆ ทอดทิ้ง ส่วนพระอีก ๘ รูปที่เข้าร่วมพิธีกรรมก็แยกย้ายไปทำกิจวัตรต่อที่กุฏิของท่านเอง

บนศาลาใหญ่ไม่ค่อยมีผู้คนแล้ว มีเพียงครอบครัวของพ่อบ้านที่นั่งคอยหลวงตาบุญอยู่ แท่นรีบวางขันน้ำและมัดหญ้าคาลงก่อนรีบไปจัดแจงอาสนะให้เรียบร้อย เพื่อให้หลวงตาได้ขึ้นไปนั่ง เขากราบสามครั้งก่อนคลานเข่าถอยหลังไปยกขันน้ำและมัดหญ้าคาไปเก็บไว้ที่ตู้ไม้อีกฝั่งของศาลาใหญ่

คำหล้าพยายามจ้องไปที่ใบหน้าแท่นแล้ว ไม่มีช่วงจังหวะไหนเลยที่แท่นเองจะแลสายตามองเธอกลับมาบ้างเลย เธอเกิดความสงสัยขึ้นไปอีก เมื่อได้เห็นสีหน้าอันหม่นหมองคล้ายกับคนอมทุกข์ของคนรัก “แม่” เธอไปสะกิดแขนของแม่ใหญ่กาไส “ข่อยขอตัวจักคราวเด้อ”

“บ่ได้” พ่อบ้านคำมีพูดขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงเชิงดุ

คำหล้าไม่กล้าขัดใจผู้เป็นพ่อ ได้แต่ชำเลืองตามองดูแท่นที่กำลังเตรียมผ้าผืนใหญ่เช็ดพื้นศาลาใหญ่อยู่กับสินที่เหมือนจะเพิ่งขึ้นมาบนศาลาได้ไม่นาน

“พ่อบ้านมีเรื่องหยังกับอาตมา” หลวงตาบุญอยู่พูดไปและมือพรางทำม้วนยาเคี้ยวหมาก

“ถ่าจักหน่อยหลวงตา นายฮ้อยค่ำกะพวมมา” พ่อบ้านคำมีพูดพร้อมกับพนมมือขึ้นไว้ที่กลางอก

ไม่นานนักนายฮ้อยค่ำ ผู้มีหนวดเครายาวเต็มหน้า มาพร้อมแม่ใหญ่อึ่งผู้เป็นภรรยา ส่วนชายหนุ่มกล้ามโตผิวสีแทนนั้นเป็นบุตรชายคนเดียวของทั้งสองคน นามว่า พร้าว ครอบครัวนี้พากันเดินตามกันขึ้นมาบนศาลาใหญ่ด้วยอาการสำรวมก่อนพากันก้มลงกราบหลวงตาบุญอยู่

สองครอบครัวยกมือขึ้นไหว้ซึ่งกันและกัน ใบหน้าของพร้าวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้เห็นหน้าคำหล้า หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันนานหลายเดือน เนื่องจากเขานั้นได้ติดตามพ่อไปค้าวัวค้าควายที่เมืองโคราช และเพิ่งจะกลับขึ้นมาถึงเมื่อวานนี้เอง

“ทั้งสองครอบครัวมีหยังน้อ มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแท้ล่ะมื้อนี้” หลวงตาบุญอยู่แอบสงสัย

“นมัสการหลวงตา” นายฮ้อยค่ำพนมมือขึ้นพูด “ซุมข่อยอยากให้หลวงตาหาฤกษ์หายามให้บักพร้าวกับคำหล้า…สิแต่งงานกันแล้ว”

คำหล้าแสดงอาการตกใจหนักมาก ดวงตาแทบถล่นออกมาจากเบ้า เพราะเธอไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าจะต้องแต่งงานกับพร้าว

สินที่แอบได้ยินอยู่ไกล ๆ ถึงกับแสดงอาการตกใจออกมาเช่นกัน เขากลอกตาไปมองแท่นที่ดูไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยกับสิ่งที่ได้ยิน หรือว่าแท่นเองได้รับรู้มาก่อนหน้านั้นแล้ว มิน่าตั้งแต่วันที่ช่วยคำหล้าออกมาจากป่าเมื่อเดือนก่อน เขาเอาแต่หลบหน้าหลบตาคำหล้ามาโดยตลอด ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่เอะใจบ้างนะ

“แม่ พ่อ  เป็นหยังข่อยคือบ่ฮู้เรื่องนี้นำ บ่แต่ง จั่งได๋ข่อยกะบ่แต่ง” คำหล้าเหมือนถูกจับมัดมือชก  เธอรับไม่ได้ที่จู่ ๆ ต้องไปแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก

“บักพร้าว ไสว่าซุ่มสูตกลงกันแล้ว” พ่อบ้านคำมีหันไปพูดกับพร้าวด้วยความสงสัยว่า สรุปเรื่องเป็นมายังไงกันแน่ ก่อนหันหน้าไปพูดกับลูกสาว “มาถึงขนาดนี้แล้ว กะแต่งโลด”

คำหล้าปลดปล่อยน้ำตาอาบแก้ม จนทุกคนต้องเหลือบตาไปมอง “แม่ ข่อยยังบ่อยากแต่งงาน”

แม่ใหญ่กาไสคว้ามือลูกสาวมากุมไว้ “ลูกฮอดวัยออกเฮือนออกชานแล้ว เป็นหยังคือบ่แต่งล่ะ”

“กะข่อยบ่ได้มักอ้ายพร้าว” คำหล้าพูดออกมาทั้งน้ำตา “ข่อยอยากแต่งกับคนที่ข่อยมักมากกว่า”

“ใจเย็น ๆ นะจ๊ะน้องคำหล้า” พร้าวรู้สึกเสียหน้ายังไม่รู้ ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย เขาได้กลายเป็นคนโกหกผู้หลักผู้ใหญ่ไปเสียแล้ว และทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ไม่คิดว่าคำหล้าจะปฏิเสธถึงขนาดนี้

“อยู่ ๆ กันไปกะสิมักกันเอง” พ่อบ้านคำมีพูดตะคอกเสียงจนหลวงตาบุญอยู่แทบสำลักน้ำหมาก เขาพูดเพื่อเป็นการไม่เสียหน้าและรักษาน้ำใจอีกฝ่าย จนลืมไปว่าลูกตนต่างหากเป็นฝ่ายเสียหาย

“พ่อกะไปแต่งเองเสียล่ะ มาหยัดเยียดข่อยเฮ็ดหยัง” คำหล้าเหลียวมองหาแท่น แต่กลับไม่เจอแล้ว เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นพรวดพลาดวิ่งลงจากศาลาไปอย่างคนไม่มีมารยาท

“คำหล้าลูก” แม่ใหญ่กาไสเป็นห่วงลูกสาว กะว่าจะลุกตามไป แต่ถูกพ่อบ้านคำมีคว้ามือหยุดไว้

“บ่ต้องตามไป อีคำหล้ามันใหญ่แล้ว ปล่อยให้ลูกอยู่ผู้เดียวไปซะก่อน”

หัวอกของคนเป็นแม่ก็ห่วงลูกเป็นธรรมดา กลัวว่าจะคิดอะไรไม่ดีออกมา แล้วจะแย่เอา ส่วนพร้าวนั้นลุกขึ้นยืนกะว่าจะวิ่งตามคำหล้าไปด้วยความเป็นห่วง แต่ถูกนายฮ้อยค่ำคว้ามือเอาไว้

“เดี๋ยว มึงสิไปไส นั่งลง” นายฮ้อยค่ำทำเสียงดุ ส่วนผู้เป็นแม่ได้แต่แสดงสีหน้าเป็นห่วงลูกชาย

พร้าวนั่งลงตามที่พ่อสั่ง เขาหัวเสียอย่างเห็นได้ชัดทุกครั้งที่มีใครก็ตามที่ชอบขัดใจ

“ไสว่ามึงคุยกับคำหล้าแล้วว่าสิแต่งงานกัน บักปอบนิ เฮ็ดผู้ใหญ่เสียหน้าเสียเวลาคักแท้” นายฮ้อยค่ำได้ทีดุด่าใหญ่เลยพร้อมกับกระชากแขนลูกชายให้นั่งลง

“กะข่อยสิไปคุยกับคำหล้าตอนนี้เลย” พร้าวยังมีอาการดึงดันที่ยังอยากจะตามคำหล้าไปให้ได้

มือซ้ายของนายฮ้อยค่ำตีผั๊วไปตรงหัวของลูกชายตัวดี จนลูกชายร้องเออะหนึ่งที “เซาเลย บักห่านิ โตใหญ่ปานควายแล้ว เฮ็ดหยังบ่คึดหน้าคึดหลัง หัดขี้ตั๋วผู้หลักผู้ใหญ่เป็นหลายแท้ ไผสั่งไผสอนให้มึงชั่วคักแท้” หันไปพูดกับพ่อบ้านคำมีและแม่ใหญ่กาไส “ข่อยต้องขอโทษหลาย ๆ เด้อ”

“บ่เป็นหยัง มื้อนี้ลูกสาวข่อยอาจตกใจจักหน่อย” พ่อบ้านคำมีตอบอย่างคนถนอมน้ำใจต่อกัน

หลวงตาบุญอยู่กระแอมเสียงดังเพื่อเป็นสัญญาณเตือนว่าขอพูดบ้าง “เอาจั่งซี้เด้อโยม อันความฮักมันสิไปบังคับกันบ่ได้ดอก บักพร้าว มึงกะไปพิสูจน์ตัวมึง ให้อีคำหล้ายอมมักมึง จั่งสิแต่งงานกัน”

“หลวงตาบ่เคยมีเมีย บ่มีทางเข้าใจคนฟ้าวอยากมีเมีย” พร้าวพูดลอย ๆ ออกมาอย่างคนคิดน้อย พระเจ้าก็ไม่เว้นที่จะแซะกลับ วิชาความรู้ที่ท่านเคยพร่ำสอนมาเมื่อวัยเด็ก ไม่ช่วยทำให้หัดพูดก่อนคิดบ้างหรือไง

นายฮ้อยค่ำตบหัวลูกชายตัวดีหนึ่งทีจนเขาร้องโอ๊ยออกมาแทนเสียงเออะ “พระท่านบอกท่านสอน กะยังไปสอนความเพิ่นน้อบักผีปอบ”

“เอาจั่งซี้เด้อนายฮ้อย” พ่อบ้านคำมีหันไปพูดกับนายฮ้อยค่ำ “ให้บักพร้าวไปพิสูจน์ความฮักกับคำหล้าให้ได้ ตามที่หลวงตาแนะนำ ส่วนเรื่องแต่งงานจั่งเว้ากันใหม่ เลื่อนออกไปก่อนเด้อ”

“เลื่อนนานป่านได๋ล่ะ” พร้าวพูดแทรก

“กะอยู่นำตัวลูกนั่นแล้ว ว่าสิไปมัดใจแม่คำหล้าได้บ่” แม่ใหญ่อึ่งพูดเพื่อดับไฟอันเร่งเร้าในใจของลูกชาย เธออยากให้ลูกชายใจเย็นขึ้นมากกว่านี้

พร้าวเริ่มวางแผนการในใจเพื่อพิชิตใจคำหล้าให้เร็วที่สุด แต่ทว่าหน้าตาของเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แถมร่างกายแข็งแรงกำยำ ฐานะทางครอบครัวก็ดีและยังเป็นคนขยันขันแข็ง ทำการค้าขายเก่งอยู่บ่อยครั้ง เพราะเหตุใดคำหล้าถึงไม่เคยชายตามามองมาบ้างนะ ตามตื้อตามจีบอยู่นานหลายปีก็ยังไม่อาจพิชิตใจได้เลย ปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ ความรักหนอความรัก

 

คำหล้านั่งยอง ๆ ร้องไห้อยู่คนเดียวริมหนองน้ำ แถวนี้ไม่ห่างจากตัววัดมากนักและไม่มีผู้คนมาเพ่นพ่านแล้ว เธอมองว่าการถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เป็นการทรมานจิตใจกันอย่างมาก แม้ว่าสังคมส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเธอแล้ว มันคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

“คำหล้าอยู่ไส” เสียงของบัวศรีกำลังตะโกนเรียกหา เธอออกตามหามาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้ว นี่คงเป็นสถานที่สุดท้ายที่เธอจะตามหา แต่แล้วก็มองเห็นคำหล้าอยู่ไกล ๆ “คำหล้าอีหลี” ขาสั้น ๆ วิ่งต้วมเตี้ยมไปหาเพื่อนสนิทด้วยความดีใจ “คำหล้า แม่ใหญ่บอกให้มาปลอบใจ ตามหามาตั้งแต่เที่ยงพุ่นเดะ”

“อือ” เสียงของคำหล้าดังออกมาจากลำคอ เธอไม่มีอารมณ์อยากจะพูดอะไรแล้ว

บัวศรีเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนรัก ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นตะโกนร้องขึ้น “โอ๊ย หมากหญ้าปักก้นกู”

คำหล้าหันมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่ก็อดขำไม่ได้ที่เห็นบัวศรีถูกหญ้าเจ้าชู้ทิ่มแทงก้น “นั่งดี ๆ แหน่ ระมัดระวังแหน่ เดี่ยวสิเจ็บอีกเด้อ”

บัวศรีปัดต้นหญ้าเจ้าชู้ออกหนี แล้วค่อย ๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง “บอกแต่ผู้อื่น ทีเจ้าของล่ะมานั่งฮ้องไห้อยู่ผู้เดียว”

คำหล้ารู้สึกเมื่อยขาจึงนั่งลงไปกับพื้น สองมือค่อย ๆ ปาดน้ำตาทิ้งไป หลังจากพอที่จะคลายความเศร้าลงไปได้บ้างแล้ว

“เป็นแนวได๋เรื่องหัวใจ ข่อยฮู้เรื่องหมดแล้วว่าอ้ายพร้าวสร้างเรื่องขึ้นมาเอง คิดเองเออเองตลอดเลยผู้ชายคนนี้ หน้าหล่อ ๆ จั่งซั่น คือมาหัดตั๋วเก่งแท้น้อ”

“บูย!!! ตะกี้ล่ะว่าใส่เขาทั้งอ้วนทั้งดำ บัดสูมื้อนี้มาชมเขาว่าหล่อเนาะ”

“เอ้า!!! บ่มีไผฮู้อนาคตเนาะคำหล้า ว่าคนเฮาสิมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่สันดานยังคือเก่าบ่เปลี่ยนเลย มาผิสิเล่าความจริงสู่ฟัง” บัวศรีเป็นนักเล่าอย่างเมามัน สีหน้าท่าทางมันได้ “จริง ๆ แล้วอ้ายแท่นฮู้ความจริงมาโดยตลอดว่าโต่กับอ้ายพร้าวสิแต่งงานกัน สมพอเนาะจั่งเฮ็ดตัวห่างเหินเมินกันถึงเพียงนี้ เจอหน้ากันบาดได๋กะมีแต่บอกว่าฟ้าวไปเกือหมูเกือหมาตลอด ซังมาเป็นตาหน่ายคัก”

“บัวศรี เจ้าเซาเว้าเถาะ” คำหล้าพูดแทรกขึ้น “อ้ายแท่นเพิ่นคงสิบ่มักเฮาแล้วล่ะ”

“งามปานนี้ บ่มักชั่นติ” บัวศรีพูดเสียงสูง “คั่นคนมันบ่มักบ่แพง ตอนโต๋หลงป่า คือฟ้าวไปช้อยโอดโลดแท้ คิดเอาเองเด้อคำหล้าคนงาม” มือวางไปบนไหล่ของเพื่อนรัก “ฟังข่อยผู้งามกว่านี้เด้อ อ้ายแท่นลาวกำลังสิตัดใจจากโต่ ฟ้าวไปหาลาวเลย ก่อนที่สิสายเกินไป ไปบอกลาวว่าสิมักอ้ายแท่นผู้เดียว”

“สิดีติ เป็นแม่ย่าแม่หญิง อยากอายแหมะ” คำหล้าขาดความมั่นใจยังไงไม่รู้

“เอ้าคำหล้า โบราณเพิ่นสอนว่า อายครูบ่ฮู้วิชา อายผู้ชายนั่นหนาบ่ได้ผัวเด้อค่า” บัวศรีอ้าปากเหมือนตั้งใจจะเปล่งเสียงออกมาในลักษณะจะร้องหมอลำเพื่อกล่อมจิตใจให้คำหล้าต่อสู้ “โอ้ย…น้อ”

“งั้นข่อยไปก่อนสะ” คำหล้าพรวดพลาดลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอามือปัดผ้าถุงให้กลับมาอยู่ทรง

“บ่อยู่ฟังหมอลำก่อนเบาะ” บัวศรีหัวเราะยิ้มออกมา

คำหล้าส่ายหน้าและอมยิ้มออกมา “บ่เป็นหยัง ฟ้าวไปหาอ้ายแท่นก่อน” จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นเดินไปหาแท่นทันทีและเธอยังคาดการณ์ไว้ว่าแท่นน่าจะอยู่ที่กระท่อมแล้ว

ในยามทุกข์ใจคำหล้าจะได้กำลังใจดี ๆ จากบัวศรีเสมอ บัวศรีเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เนื่องจากเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว บัวศรีเป็นคนตลกและพูดเก่งมาก จนใครต่อใครจะมาพูดแข่งก็คงไม่ทันอยู่ดี จนใคร ๆ ต่างใหฉายาว่า ‘เตี้ยพริกขี้หนู’

 

ตะวันเริ่มตกดิน ท้องฟ้ากลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามแล้ว สายลมอ่อน ๆ ยังพัดโชยมาราวกับสายน้ำแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่งเลยบนหนองน้ำนี้ บ้านของแท่นห่างจากเขตพุทธาวาสพอสมควร เป็นที่ตั้งกระท่อมเล็ก ๆ ไว้พักอาศัยมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด และนาน ๆ ทีสินถึงจะขอมานอนเล่นด้วย

ควายหลาย ๆ ตัวเหมือนรู้หน้าที่ตัวเองว่าถึงเวลาเข้าคอกแล้วก่อนค่อย ๆ เดินเรียงแถวเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ ไก่แจ้ตัวเล็ก ๆ เดินไปมาคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามประสาของมัน จะว่าไปแล้วแท่นก็มีสัตว์เลี้ยงหลากชนิดมาก ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังนำหมูกี้สองตัวไปเล่นน้ำอยู่ในหนองน้ำขนาดเล็กที่เขาขุดมันขึ้นมาแล้วตักน้ำมาเทลงไป ขณะนี้เขาเปลือยกายท่อนบนและใส่เพียงผ้าเตี่ยวหุ้มท่อนล่างไว้ เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องแน่น ๆ ที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนที่ทำงานหนักมามากจริง ๆ แม้ว่าตอนนี้จะมีใบหน้าที่แสนอมทุกข์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็กำลังฝืนยิ้มหัวเราะไปกับหมูกี้เพื่อไม่ให้หมูมันมาเครียดตาม

คำหล้าค่อย ๆ เดินไปหาแท่นโดยไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดแล้ว วันนี้เธอจะพิสูจน์ให้รู้ไปเลยว่า เธอนั้นรักแท่นมากเพียงใด และจะรักแบบนี้ตลอดไป คาดไม่ถึงเลยว่า พอเธอเดินมาถึงตัวแท่น เธอตบหน้าแท่นอย่างแรงหนึ่งทีก่อนจับหน้าของชายหนุ่มมาชโลมรอยจูบลงไปอย่างดูดดื่ม ราวกับแวมไพร์กระหายเลือด นี่มันไม่ใช่วิถีของแม่หญิงแล้ว หรือนี่ใช่ไหมที่ใคร ๆ มักบอกว่า อย่าให้ผู้หญิงร้ายนะ เพราะจะทำได้ทุกอย่าง

หมูกี้สองตัวนั้นแอบส่งสายตามามอง คล้ายกับสงสัยว่าสองคนนี้ทำอะไร แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะการนอนบนหนองน้ำเย็น ๆ ตอนนี้สำคัญกว่า ตามประสาสัตว์ร่วมโลก

คำหล้าและแท่นจ้องตากันแทบจะไม่กระพริบตา คนสองคนได้แสดงความรักผ่านรอยจูบที่ไม่ได้เพิ่งจะมีกันแบบนี้ครั้งแรก พวกเขามีอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทั้งคู่ก่อนสวมกอดกันอีกที

“อย่าเมินเฉยกับน้องอีกเด้อ” คำหล้าตัดพ้อออกมาเชิงน้อยใจ ขณะที่กำลังกอดคนรักไว้แน่น “น้องบ่ได้มักอ้ายพร้าว น้องมักอ้ายแท่นผู้เดียว น้องสิแต่งงานกับอ้ายแท่นและอยู่กับอ้ายแท่นผู้เดียว”

แท่นไม่รู้จะพูดคำไหนออกมา เขาแทบตั้งตัวไม่ทันกับเหตุการณ์นี้ แต่โคตรรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จนน้ำตามันไหลออกมา “อ้ายกะคือกัน อ้ายขอโทษเด้อ”

คำหล้าหันมองแววตาของแท่นอีกครั้ง มือของเธอเช็ดคราบน้ำตาของคนรักช้า ๆ ก่อนจูบปากคนรักอีกครั้ง ช่างเป็นแม่หญิงที่จูบเก่งเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่เคยทำกับชายอื่นเลย นอกจากคน ๆ นี้เท่านั้น นี่แหละเขาเรียกว่าอารมณ์มันพาไปตามท่วงทำนองของความรัก

 

พลบค่ำแล้ว แท่นขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยพร้อมกับยกตะเกียงเจ้าพายุลงมาด้วย เขาจะเดินไปส่งคำหล้าที่บ้านด้วยตัวเอง ทั้งสองเดินจับมือกันผ่านเขตวัดออกมาแล้วเดินไปตามเส้นทางของหมู่บ้านกันต่อไป บ้านของคำหล้านั้นอยู่อีกฟากหนึ่งของวัดประมาณ ๒ กิโลเมตร ระหว่างทางเดินก็มีฝูงวัวควายของคนอื่น ๆ กำลังเดินเส้นทางนี้เช่นกัน วัวคลายเหล่านี้ไม่ต้องมีเจ้าของมาดูแล พวกมันก็เป็นสัตว์ที่รู้จักหน้าที่ของตนดีว่าต้องปฏิบัติเช่นไรเมื่อถึงเวลาออกคอกเข้าคอก เพราะพวกมันเป็นสัตว์ที่คอยอาศัยสัญชาตญาณเท่านั้นที่ทำเป็นประจำจนคุ้นชิน จึงทำอะไรซ้ำไปซ้ำมาในแต่ละวันโดยที่เจ้าของนั้นอาจจะต้องพาทำในช่วงแรก ๆ

“อ้ายหายเจ็บหน้าหรือยัง น้องคิดว่าตบแฮงจักหน่อย” คำหล้าเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนเหลียวขึ้นไปมองหน้าอันหล่อเหลาของคนรักด้วยความเป็นห่วง

“อ้ายบ่เจ็บหรอกจ้ะ” แท่นแอบกลั้นขำเอาไว้ “ถ้าน้องตบแล้วจูบจั่งซี้อีก อ้ายบ่เจ็บหรอกจ้ะ”

อาการยิ้มเขินอายของคำหล้าเด่นชัดมาก เธอจับมือแท่นแน่นขึ้นขณะเดินไปเรื่อย ๆ “เซาเว้าเรื่องนี้เถาะ ข่อยกะอายเป็นเด้ออ้าย”

 

ทางเดินมืดค่ำมากแล้ว เส้นทางในหมู่บ้านเลยไม่ค่อยจะมีผู้คนมากนัก มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นเรืองแสงส่องของแต่ละครัวเรือน บางบ้านก็กำลังทำอาหารอยู่ เหมือนกำลังต้มยำทำแกงอะไรสักอย่าง เพราะกลิ่นหอมจากปลาร้าลอยโชยมาทีไร มักกระตุ้นต่อมความหิวทุกที

พร้าวเดินตามหาคำหล้าทั้งวันก็ไม่เจอ เขาเดินอยู่กับหินที่เป็นเพื่อนในวัยเดียวกัน รูปร่างของหินสูงโปร่งกำยำไม่ต่างจากชายหนุ่มของคนอื่น ๆ ที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนัก แต่ตอนนี้ได้ผันตัวมาเป็นลูกน้องคนสนิทของพร้าวเสียแล้ว ซึ่งตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเดินป้วนเปี้ยนไปมาเกือบจะทั่วหมู่บ้าน

“กูว่าแม่คำหล้ามึงคงกลับเฮือนแล้วล่ะ มืดป่านนี้แล้ว” หินพูดขึ้นขณะเดินตามอยู่ด้านหลัง เขาคงจะเหนื่อยมามากแล้วสำหรับวันนี้ เพราะตั้งแต่พร้าวกลับจากวัดก็รีบวิ่งไปชักชวนออกตามหาคำหล้าทันที

“คำหล้าเด้อคำหล้า อย่าให้เจอตัวเด้อ สิจับทำเมียให้รู้แล้วรู้รอดทันที” พร้าวตัดพ้อออกมาก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นแสงไฟจากตะเกียงของคนสองคนข้างหน้า ขณะนี้เขาเห็นคำหล้ากับแท่นกำลังเดินจับมือกันอยู่ “มานี่” มือหนึ่งคว้าแขนของหินไว้ก่อนพากันวิ่งหลบซ่อนในพุ่มไม้ใหญ่

“นั่นมันคำหล้ากับบักแท่น” หินพูดเบามาก เหมือนจะเพิ่งรู้ความจริงว่าสองคนนี้คบกัน

พร้าวกัดฟันแน่น แววตาที่แสดงออกมาถึงความไม่พอใจก่อนสบถคำออกมาเบา ๆ “ที่แท้กะมักอยู่กับบักแท่นนี่เอง บักห่ามึง เป็นแค่หมาวัด กะสิมาแย่งดอกฟ้าของกู”

“สองคนนี้ไปมักกันยามได๋ว่ะ ทั้งที่มึงตามติดคำหล้าปานนี้ หรือมันอาศัยช่วงที่เฮาไปโคราช”

“กูบ่สนห่าหยังทั้งนั้น  คำหล้าต้องเป็นของของกูผู้เดียว ไผมาหยุมย่าม มันต้องถูกจัดการ” พร้าวกำมือแน่นและคับแค้นใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เห็นในตอนนี้

สีหน้าของหินรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่เห็นช่วงอารมณ์ร้าย ๆ ของพร้าว ซึ่งนาน ๆ ทีจะได้เห็น แม้ว่าจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ก็ไม่อาจช่วยกล่อมเกลาอารมณ์ของพร้าวได้ ต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีที่สุด ตนถึงจะได้ไม่เจ็บตัวเอา เพราะเวลาพร้าวร้ายกาจทีไร สำหรับคน ๆ นี้นั้น เขาทำได้ทุกอย่างจริง ๆ แม้กระทั่งต้องลงมือฆ่าได้ฆ่าเลยทีเดียว



Don`t copy text!