มาลัยใบพฤกษ์ บทที่ 2 : เมฆฉาย
โดย : เนียรปาตี
มาลัยใบพฤกษ์ นิยายออนไลน์สนุกๆ มีให้อ่านออนไลน์ที่อ่านเอา โดย เนียรปาตี เรื่องของแพทย์หนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน ชอบช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยจิตใจเมตตา หากโลกอีกใบของเขากลับตรงข้าม ความรักที่มีต่อเพศเดียวกันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พาชายหนุ่มออกเดินทางไปในเส้นทางที่โลดโผน ซับซ้อน ซ่อนเร้น สุดท้ายแล้วความรักที่แท้จริงคืออะไรกันแน่
ทัวร์กลุ่มใหม่เพิ่งมาถึงโรงแรมในตอนดึกเสียงจอแจแลดูวุ่นวาย โพธิ์ทองจึงเลี่ยงจากล็อบบี้ไปยังสนามที่จัดสวนตกแต่งไว้งดงามแม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์ ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งม้วนตัวขึ้นไปในอากาศพร้อมกับความคิดครุ่นหมุนทวนถึงเรื่องเมื่อวานนี้ ระหว่างที่ขับรถไปดูอาการป่วยเกินจริงของบิดา โพธิ์ทองยังคิดว่า คราวนี้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรให้รอดพ้นจากคลุมถุงชน จนกระทั่งได้พบเจ้าหล่อน
เมจิตาเป็นสาวน้อยน่ารัก กระจุ๋มกระจิ๋มอย่างตุ๊กตาญี่ปุ่น สมกับที่มีเลือดของชาวอาทิตย์อุทัยอยู่ในกาย บิดาของเขาแนะนำให้รู้จัก ‘ว่าที่สะใภ้ที่หมายมาด’ เขาก็ทักทายด้วยยิ้มในหน้า ครอบครัวของเมจิตาทำธุรกิจผลิตและส่งออกเครื่องกระเบื้องเคลือบเหมือนกัน ยึดตลาดในเอเชีย ในขณะที่บ้านของเขา…ร่มโพธิ์กรุ๊ป มุ่งตีตลาดยุโรปและกำลังไปได้สวย
ในสายของผู้ใหญ่แลเห็นหนทางในการขยายตลาดให้ครอบคลุมไปได้ทั่วโลก
ในสายตาของโพธิ์ทองและเมจิตา คงเป็นดั่งคำพังเพยว่า…ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
สบโอกาสในช่วงจังหวะหนึ่ง โพธิ์ทองก็ขอพาหล่อนไป ‘ทำความรู้จัก’ กันตามลำพัง ฝ่ายผู้ใหญ่ก็สนับสนุนเต็มที่ ด้วยว่าเป็นขั้นตอนสมานไมตรีของคู่หนุ่มสาว
“คุณไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม?”
คำถามตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม มีผลให้เมจิตาเบิกตากว้าง
ในบรรดากลุ่มคนที่ถูกตราว่ามีลักษณะ ‘เบี่ยงเบนทางเพศ’ กะเทยและทอม เห็นจะดูออกง่ายที่สุด รองลงมาก็เกย์ ในขณะที่เลสเบี้ยนหรือดี้นั้น หล่อนเชื่อมั่นว่าดูกันออกยากที่สุด หากโพธิ์ทองก็รีบบอกโดยไม่รอคำตอบ
“ไม่ต้องสงสัยหรอกน่าว่าผมรู้ได้ยังไง ผีเห็นผีไงละ”
“คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้?” เมจิตาถาม
โพธิ์ทองเข้าใจว่าหมายถึงเรื่องมัดมือชกจับคลุมถุงชนโดยมีธุรกิจของทั้งสองกลุ่มเป็นเป้าหมายสำคัญ
“เขาอยากเล่นเกมแบบไหน เราก็เดินตามเขาไปสิ ผมไม่เท่าไหร่หรอก ตัวคุณเองมากกว่า”
โพธิ์ทองละไว้ ไม่พูดต่อว่า…เป็นผู้หญิง มีอะไรให้ต้องคิดมากกว่า
“ฉันโอเคนะ แต่งงานกันแล้วจะได้จบเรื่องกันไป ส่วนเราทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน แต่คงต้องระวังหน่อย ไม่ให้ ‘คนของเรา’ เข้ามาสร้างความวุ่นวาย คุณโอเคไหมล่ะ”
“โอเค๊…เห็นหวาน ๆ อ่อน ๆ แบบนี้ คุณนี่ใจเด็ดดีพิลึก” ยื่นมือไปกุมอีกฝ่าย “ผมดีล”
“ดีล!”
ห่างออกไปในสายตาของผู้ใหญ่ ภาพหนุ่มสาวจับมือยิ้มให้แก่กันนั้น แทบจะทำให้ห้องพักผู้ป่วยกลายเป็นงานฉลองขนาดย่อมไปทันที
บุหรี่หมดไปหลายมวนเมื่อการทบทวนเหตุการณ์จบลง
เมื่อการเจรจาราบรื่นเรียบร้อยเป็นอย่างดี โพธิ์ทองก็อยากแจ้งข่าวนี้แก่สาธิต แต่ติดต่อเท่าไรไม่เป็นผล โทรศัพท์มาที่ห้องพักก็ไม่มีผู้รับสาย บอกพฤกษ์แล้วก็ยังไม่หนำใจ จึงตัดสินใจว่ากลับมาบอกด้วยตัวเองเสียเลย เพราะถึงอย่างไรสาธิตก็ยังอยู่ที่โรงแรม
โพธิ์ทองปักใจว่าสาธิตงอนเขาและกำลังแผลงฤทธิ์ทำปั้นปึ่งมึนตึงเรื่องเขาจะแต่งงาน แต่คิดอีกทางอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง เขาเห็นว่าสาธิตมีอาการเซื่องซึม บางครั้งเผลอเหม่อลอยเหมือนมีเรื่องอะไรในใจตลอดเวลา ครั้นลองสะกิดถามก็ได้คำตอบว่า
‘ห่วงยายเอกนั่นแหละ กลัวว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่’
ไม่มีใครรรู้ว่าสาธิตบอกความจริง หรือตอบให้พ้นไป แต่คำตอบนี้ก็มีน้ำหนักเพียงพอจะให้เชื่อถือ เพราะตลอดหลายปีมานี้ ชีวิตของหมอสาธิตมีแต่ดูแลอาการทางจิตของเอกอนงค์มิให้หล่อนคลุ้มคลั่งขึ้นมา
โพธิ์ทองหมายมั่นว่า กลับขึ้นห้องไปจะทำให้สาธิตผ่อนคลายจากความมึนซึมทั้งมวลด้วยไม้เด็ดของเขา หมุนตัวจะเดินกลับจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเดินออกมาไกลจากอาคารที่พัก ลัดเลี้ยวผ่านไปในเส้นทางของพนักงานโดยไม่รู้ตัว ร่างหนึ่งสวนออกมาแล้วทักเขาอย่างยินดี
“พี่ทอง! พี่ทองใช่ไหมครับ?”
หรี่ตามองผู้ที่ทักเขาในแสงสลัว คิดครู่หนึ่งว่าเคยเห็นดวงหน้านี้ที่ไหน ก่อนร้องออกไป
“อาร์ม! อาร์มจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ครับ ผมเอง ไม่เจอพี่ทองหลายปีเลย ห้าปีถึงไหมนะ”
“ไม่รู้สิ แต่ก็นานพอควรทีเดียว จำได้ว่าตอนนั้นอาร์มยังอยู่มัธยม ผอมกะหร่องกล้องแกล้ง มีแต่ก้าง”
เขาพูดติดตลก เด็กหนุ่มก็หัวเราะตามความหลังที่ถูกรื้อฟื้นไปด้วย
“แต่ตอนนี้ผมไม่ก้างแล้วนะครับ ไม่เชื่อพี่ดูสิ” ว่าพลางเขาก็ยื่นแขนเอียงไหล่ให้เห็นว่ากล้ามเนื้อของเขาแน่นหนาเป็นรูปทรงงามชัดเจนเช่นคนที่ออกกำลังกายเพื่อปั้นหุ่นโดยเฉพาะ
“อาร์มทำงานที่นี่เหรอ พี่ก็พักที่นี่ ไม่ยักเห็น”
“ผมมาทำพาร์ตไทม์เฉพาะช่วงค่ำถึงเที่ยงคืนครับ กับบางวันที่มีงานเลี้ยงแขกเยอะ ๆ”
“ง่วงหรือยัง ต้องรีบกลับหรือเปล่า นั่งคุยกันสักหน่อยไหม?”
“ยังไม่ง่วงครับ ผมอยู่คุยกับพี่ได้ทั้งคืนเลย พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน”
“อ้อ…เรียนที่ไหนล่ะ?”
“ผมเรียนที่…” อาร์มบอกชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่ค่าหน่วยกิตสูงทีเดียว
และเท่าที่ความทรงจำของโพธิ์ทองเกี่ยวกับเด็กคนนี้ยังมีอยู่ อาร์มมิใช่คนมีฐานะที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้อย่างสบาย
พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน…คำพูดของเด็กหนุ่มมีนัยที่รู้กันว่าหมายความอย่างไร
“ไปนั่งคุยที่ห้องพี่ไหมล่ะ แอร์เย็น ๆ ข้างนอกนี้ยุงเยอะไปหน่อย”
“ได้สิครับ พี่พักคนเดียวเหรอ” อาร์มถาม โพธิ์ทองจึงนึกได้
ส่งข้อความไปถึงสาธิต…นายหลับหรือยัง
เขาคิดว่าถ้าสาธิตหลับแล้วก็จะไม่รบกวน สำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนอาหารรสโอชา ไม่จำกัดว่าจะต้องแกะกินในห้องเท่านั้น ในทางกลับกัน เขาจะกินที่ไหนก็ได้ ท่ามกลางบรรยากาศทุ่งโล่งหรือไร่นาป่าเขา โพธิ์ทองก็ทำได้
ยังไม่นอน…สาธิตตอบกลับมา
โพธิ์ทองจึงตอบกลับไปว่า เขากำลังกลับขึ้นไปที่ห้องพัก มิได้บอกอะไรเป็นพิเศษ
สาธิตหลับไม่ลงแม้จะปิดไฟทั้งห้อง เปิดเพียงโคมหัวเตียงให้แสงสลัวไม่บาดตา ภาพในจอโทรทัศน์เป็นรายการจากต่างประเทศที่ไม่ตั้งใจดู เปิดให้พอเห็นภาพเคลื่อนไหวเท่านั้น เสียงคีย์การ์ดปลดล็อกประตูดัง แล้วบานประตูก็แง้มออก โพธิ์ทองก้าวเข้ามาก่อนแล้วร่างสูงก็ตามเข้ามาอีกคน สาธิตขยับตัวขึ้นจากที่นอนเอน ๆ อยู่บนเตียง
“พอดีเจอน้องที่รู้จักทำงานอยู่ที่นี่ เลยชวนขึ้นมานั่งคุยกัน อาร์ม…นี่พี่บาส บาส…นี่อาร์ม”
สาธิตแทบจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นดวงหน้าเด็กหนุ่ม แม้ในแสงสลัวเขาก็จำได้แม่นไม่ผิดคน ทว่าทักทายกลับไปราวคนเพิ่งเคยเจอกันหนแรก
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เช่นกันครับ” อาร์มตอบกลับมา เขายืนอยู่หลังโพธิ์ทอง จึงส่งสายตาเป็นประกายด้วยความหมายลึกล้ำให้แก่สาธิตโดยที่โพธิ์ทองไม่เห็น
“เมื่อก่อนตอนใส่ชุดนักเรียนขาสั้นนะ ผอมอย่างกับอะไร แล้วดูเดี๋ยวนี้สิ” ไม่พูดเปล่า แต่โพธิ์ทองดึงมือของสาธิตเข้าไปสัมผัสอกแน่นของอาร์มด้วยกัน
สาธิตมือสั่น เนื้อตัวของอาร์มนั้นเขาสัมผัสมาหมดแล้วทุกซอกมุมเมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้กลับคล้ายแตะมือลงไปบนแผ่นเหล็กร้อน ความทุรนกระวนกระวายหลายอย่างสับสนพลุ่งวนขึ้นมาเหมือนใครกวนตะกอนน้ำใสให้ขุ่นข้น ปั่นป่วน ทว่าโพธิ์ทองมองอาการนั้นว่า สาธิตกำลังชั่งใจจะเดินหน้าหรือถอยหลังดี ด้วยเกมนี้ถือเป็น ‘รสชาติใหม่’ ที่สาธิตไม่เคยมาก่อน
โพธิ์ทองผละไปค้นหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าใบเล็ก สาธิตกะจะใช้จังหวะนี้ผละออกจากกายเด็กหนุ่ม แต่อาร์มก็รัดวงแขนแน่นหนามิให้แกะออกโดยง่าย โพธิ์ทองกลับมาพร้อมกับขวดแก้วใบเล็ก สาธิตรู้ว่ามันคืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร และด้วยเป็นแพทย์เขารู้ว่าในระยะยาว มันจะส่งผลอย่างไร
แต่เขาไม่อาจขัดขืน
โพธิ์ทองเปิดฝาแล้วจ่อขวดป๊อปเปอร์กับจมูกของเขา สูดไอระเหยเข้าไปสองสามทีร่างกายก็เหมือนมีเปลวไฟเกิดขึ้น ขยายตัวแผ่ซ่านไปกลายเป็นความเคลิบเคลิ้ม ส่งต่อให้เด็กหนุ่มสูดดมเช่นกันและตนเองเป็นคนสุดท้าย ในนาทีต่อมาอาภรณ์ห่มร่างของทั้งสามชายก็หลุดไปกองอยู่ตรงไหนไม่มีใครสนใจอีก โพธิ์ทองคึกเต็มที และอยากให้สาธิตสนุกกว่านี้ ถือเป็นการฉลองที่เขาได้ ‘บิ๊กดีล’ กับแม่เลสเบี้ยนใจเด็ด
ค้นกระเป๋าอีกครั้ง โพธิ์ทองก็จุดไลท์เตอร์ จ่อเปลวไฟกับกระเปาะแก้วที่มีเกล็ดใสอยู่ภายใน ดูดควันจากหลอดแก้วที่ต่อไว้กับขวดน้ำ ส่งให้สาธิตและอาร์มทำแบบเดียวกัน ควันลอยฟุ้งในทีแรกแล้วค่อย ๆ อ้อยอิ่งม้วนตัวสลายไปในอากาศ อารมณ์และเรือนร่างของสามชายก็ลอยล่องไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าที่ไม่มีเทวดาหน้าไหนจะบันดาลให้บันเทิงใจได้เท่านี้อีกแล้ว
สามร่างกอดก่ายเกี่ยวเกยเลื้อยพัน หฤหรรษ์กับกรีฑารัตน์ตรงหน้า เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป
สาธิตตื่นอีกครั้งเมื่อใกล้เที่ยง ร่างกายเปลือยเปล่าของเขามีโพธิ์ทองและอาร์มขนาบอยู่ ขยับตัวจะลุกมิให้ปลุกทั้งคู่แต่ไม่เป็นผล กลับทำให้เกมใหม่เริ่มต้นขึ้นเป็นการอำลาก่อนที่เด็กหนุ่มจะลากลับได้จริง ๆ ราวบ่ายสอง
อาร์มแต่งตัวเรียบร้อยแล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า ล้วงกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อให้ปลิ้นออกมา ยกมือขึ้นชูแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วยนะครับ”
โพธิ์ทองหัวเราะกับท่าทางนั้น ทว่าสาธิตรู้ว่าอาร์มจงใจจะบอกอะไรแก่เขา
“ทำอย่างกับพวกพี่จะว่าเราเป็นหัวขโมยอย่างนั้นละ”
“ก็เผื่อไว้ก่อนไงครับ หากของหาย พี่จะได้ไม่ว่าผมหยิบติดมือไป”
ประตูห้องปิดลงแล้ว สาธิตจึงพึมพำออกมา
“ขอน้ำหน่อยสิ คอแห้งจัง”
โพธิ์ทองรินน้ำใส่แก้วส่งให้ สาธิตยกแตะริมฝีปากแล้วร้องอูย
“เจ็บจัง”
จิบน้ำลงไปได้นิดเดียวเท่านั้นทั้งที่รู้สึกคอแห้งราวมีแต่กรวดทราย ลุกไปส่องกระจกก็เห็นริมฝีปากเป็นรอยไหม้ อันเป็นผลจากการดูดหลอดแก้วทั้งคืนนั่นเอง ในยามนั้นมันไม่รู้สึกอะไรนอกจากเคลิ้มฝัน มันไม่กระหายหิว ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มีแต่กำลังวังชาจะรุกไล่หรือเลี้ยวลดได้อย่างไม่มีข้อจำกัด จนเมื่อสารที่เสพเข้าไปในกายเริ่มคลายฤทธิ์ สาธิตจึงพบว่าเขาเจ็บร้าวระบบมไปทั้วตัวราวคนออกกำลังกายหนักต่อเนื่องหลายชั่วโมง ร่างกายเหมือนกระท้อนถูกทุบจนน่วม ในขณะที่โพธิ์ทองหัวเราะ บอกอย่างเห็นเป็นธรรมดา
“ใหม่ ๆ ก็แบบนี้ละ อีกหน่อยก็ชิน”
“ไม่มีอีกหน่อยแล้ว ปวดหัวจังเลย นาย ‘ไฮ’ บ่อยเหรอ เพลา ๆ ลงบ้างนะ”
สาธิตเตือน ป่วยการซักไซ้ว่าเขาเสาะแสวงหามาได้อย่างไร เพราะมันมิได้หายากถ้ารู้แหล่ง ยิ่งคนระดับโพธิ์ทองด้วยแล้ว มันก็ไม่ต่างจากเดินเข้าไปซื้อท็อฟฟี่ในร้านสะดวกซื้อ
“เดี๋ยวนี้ต้องเรียก ‘บิน’” โพธิ์ทองแก้ “เราใช้เฉพาะเวลาที่ต้องการให้รอบนั้นมัน ‘พิเศษ’ เท่านั้นละ”
โพธิ์ทองรุนหลังสาธิตเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้สายน้ำดับอารมณ์ขุ่มมัว สั่งอาหารเบา ๆ ขึ้นมากินแล้วหลับพักเอาแรงตลอดทั้งบ่ายไปถึงค่ำ ไม่ทำกิจกรรมอะไรอีก
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง สาธิตกดรับสายทั้งที่มือยังกุมพวงมาลัยรถอยู่ เสียงพี่สาวแล่นตามมา
“นายบาส ใกล้ถึงที่งานหรือยัง?”
“ไม่น่าเกิน ๓๐ นาทีนะเจ้ มีอะไรหรือเปล่า?”
“เธอหาซื้อช่อดอกไม้ติดมือมาด้วยสิ เจ้กำลังจะออกจากโรงแรม วันนี้ยุ่ง ๆ ทั้งวันเลย เพิ่งจัดการเสร็จจะออกไปเดี๋ยวนี้ ร้านดอกไม้ที่โรงแรมก็ดันหยุดเสียอีก เจ้จะรีบไป คงถึงที่งานทันเวลาพอดี แต่คงไม่มีเวลาแวะทำอะไรที่ไหน” สุจารี…พี่สาวคนโต ตัดบทด้วยการสั่งในตอนท้าย “จัดการเรื่องดอกไม้ให้ทีนะ”
สาธิตถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ แค่ดอกไม้ช่อเดียวจะไม่เป็นปัญหาเลย แค่เขาโทรศัพท์บอกเอกอนงค์ หล่อนก็จะจัดการให้สวยสุดฝีมือ แถมคนรับก็ยังปลาบปลื้มใจเสียอีกว่าเป็นดอกไม้จาก ‘เรือนไม้หอม’ อันถือว่าสั่งยาก เพราะเลือกลูกค้า มิได้รับจ้างทุกงานเหมือนร้านทั่วไป
แต่บัดนี้เอกอนงค์อยู่ในช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หรือฮันนีมูน อันมีความหมายพิเศษกว่านั้นสำหรับพฤกษ์ คือการเยียวยาอาการทางจิตของหล่อนให้หายสนิทเป็นปกติดี
สาธิตขับรถมุ่งตรงไปยังที่จัดงานเลี้ยง หมายใจว่าถ้าเห็นร้านดอกไม้ตรงไหนก็จะแวะซื้อ ไม่ต้องการความพิเศษอะไร โชคดีที่ขับอีกไม่ไกลก็พบร้านหนึ่ง จึงบังคับพวงมาลัยจอดริมทางห่างจากร้านไปไม่กี่เมตร ผลักประตูเข้าไปในร้าน ด้านหน้าเป็นเป็นตู้แช่ใบใหญ่ กุหลาบและกล้วยไม้หลากสีอวดกลีบแข็งสดชื่นอยู่ภายใน
ไม่มีใครออกมาต้อนรับ คงไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งตอนเขาผลักประตูเข้ามา หรือเพราะตู้แช่ใบใหญ่บังไว้ หรือเพราะคนในร้านกำลังมีปากเสียงกัน จึงไม่สนใจว่ามีลูกค้าเข้าร้าน
“แกทำฉันป่นปี้หมดแล้ว อีฉาย คุณหวานแคนเซิลงานฉันหมดเลย”
น้ำเสียงนั้นโมโหฉุนเฉียวเพราะเพิ่งชวดเงินเรือนแสนที่จะได้จากงานวิวาห์ของไฮโซที่มาติดต่อให้ทำงาน
“แคนเซิลได้ก็ดี อีห่า เรื่องมากชิบ”
อีกสียงหนึ่งตอบ ฟังดูน่าจะเป็นคนสำคัญของร้าน
“อยากได้แต่ดอกไม้สด ไม่เอาดอกไม้ประดิษฐ์ อันนี้ฉันรับได้ แต่กระแดะจะเอาแต่ลิลลี ทิวลิป ผีที่ไหนจะเสกให้ได้ฤดูนี้ สักแต่ว่ามีเงินแต่ไม่มีสมอง คิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างรึไง”
“แต่แกก็น่าจะเสนอทางออกให้นางบ้าง ตะล่อมสองสามทีนางก็ยอมแล้ว”
“มึงไม่ไปคุยเองล่ะ จะได้รู้ว่าอีนี่มันแค่ไหน” เสียงคนชื่อฉายสวนกลับ สรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
“ฉันหมายมั่นปั้นมือกับงานนี้ไว้มาก ถ้าภาพงานออกไป คนก็จะได้รู้ว่าเป็นฝีมือของร้านเรา นางกำลังดังอยู่เชียว”
“ถ้ามึงเสียดายเงินแสนขนาดนี้ แล้วหาว่ากูเป็นต้นเหตุ กูก็ขอแสดงสปิริตด้วยการลาออกละกัน”
ว่าจบ ฝ่ายนั้นก็ถอดผ้ากันเปื้อน ขมวดเป็นก้อนขว้างใส่หน้าคนเป็นทั้งเพื่อนและเจ้าของร้าน คว้ากระเป๋าแล้วก็เดินตึง ๆ ออกมา เห็นว่ามีลูกค้ารายหนึ่งยืนอยู่หน้าตู้แช่ดอกไม้ก็ถามออกไปเสียงห้วน
“สั่งดอกไม้หรือคุณ เข้าไปข้างในสิ”
สาธิตมองร่างนั้นผลักประตูออกไปอย่างฉุนเฉียว ไม่ทันได้ตั้งตัว คนเป็นเจ้าของร้านก็ปราดเข้ามาเจรจาอ่อนหวาน ไม่มีน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างเมื่อครู่เหลืออยู่
“สั่งดอกไม้หรือคะ อยากได้ดอกอะไร ใช้โอกาสไหนคะ?”
สมองของสาธิตเหมือนจะว่างเปล่าไปชั่วขณะ เขาต้องไปงานอะไรนะ ดอกไม้นี้มอบให้ใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง เนื่องในโอกาสอะไร
“ขอโทษทีครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่างานอะไร ยังไงก็เอาแบบกลาง ๆ ใช้ได้ทั่วไปก็ได้ครับ”
เจ้าของร้านที่เป็นสาวประเภทสองมองสบตาเขาอย่างขอความเห็นใจ
“คุณเลือกที่จัดไว้แล้วได้ไหมคะ อยู่ในตู้นี้ค่ะ” หล่อนพาเขาไปที่ตู้แช่อีกใบ มีดอกไม้จัดเป็นช่อไว้แล้วรายเรียง เจรจาฉอเลาะอ่อนหวาน “ช่างของเราติดธุระด่วน เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
ติดธุระด่วนเหรอ…ผมได้ยินว่าเขา ‘ลาออก’ เลยนะ สาธิตคิดแต่ไม่พูดออกมา
ในที่สุด เขาก็เลือกได้ช่อหนึ่งประกอบด้วยดอกไม้หลายชนิดหากโดยรวมเป็นสีเขียวและขาว จ่ายเงินเดินกลับมาที่รถ ก็เห็นคนที่เพิ่งลาออกยืนหน้ามุ่ยอยู่ที่ป้ายรถเมล์
สาธิตจับพวงมาลัยรถเตรียมขับออกไป ทว่าแอบลอบสังเกตคนผู้นั้นเป็นครู่ก็พบว่ารถเมล์หลายสายที่ผ่านมาเทียบมิใช่สายที่เขาจะขึ้น เรียกแท็กซี่มาสองสามคันก็ถูกแซงคิวปาดหน้าทั้งที่เขาเป็นคนเรียก สาธิตจึงลงจากรถ เดินตรงไปหา
“คุณจะไปที่ไหน ถ้าไม่กลัวว่าผมจะหลอกไปขาย ผมไปส่งได้นะครับ”
คนถูกถามหันมามองอย่างพิศวง ก็ใครจะไม่สงสัยเล่า หน้าตาผ่องใสขาวเกาหลีตี๋อินเตอร์ แต่งตัวดีไม่มีรอยยับแบบนี้ เผลอ ๆ อาจจะเป็นแก๊งต้มตุ๋นก็ได้
“ผมเห็นคุณยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว ยังไม่ได้ไปสักที”
นั่นไงล่ะ ไอ้นี่แอบสังเกตอยู่ละสิ เหลียวซ้ายแลขวา เผื่อว่าจะมีพรรคพวกซุ่มอยู่แถวนี้
สาธิตพอเดาท่าทีไม่ไว้วางใจออก จึงบอกว่า
“ผมเข้าไปซื้อดอกไม้ตะกี้ ได้ยินเสียงทะเลาะกันแล้วคุณก็บอกว่าลาออก”
นึกออกแล้ว ลูกค้าคนที่อยู่ในร้านตอนเหวี่ยงออกมานั่นเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะเป็นแก๊งต้มตุ๋น แล้วก็ไม่กลัวถูกหลอกไปขาย เพราะรู้ดีว่าอย่างตัวเองนั้น ถ้าเป็นสินค้าวางบนชั้นก็จัดอยู่ในกลุ่มขายไม่ออก
สาธิตหยิบช่อดอกไม้จากเบาะข้างคนขับไปวางไว้ที่เบาะหลังเพื่อให้ ‘เพื่อนใหม่’ ได้ขึ้นมานั่ง ถามปลายทางก็รู้ว่าอยู่ในเส้นทางที่เขาต้องผ่านอยู่แล้ว จึงไม่เป็นภาระให้เสียเวลา
“คุณตาแหลมดีนะ ช่อนี้ฉันจัดเป็นช่อสุดท้าย ดอกไม้ก็เกรดดีที่สุด”
“คุณชื่ออะไร ผมชื่อสาธิต”
“ฉันชื่อเมฆฉาย จะเรียกสั้น ๆ ว่าฉายก็ได้ ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่เรียกเมฆ แต่พอฉันเข้าโรงเรียน เพื่อน ๆ เรียกว่าฉายมากกว่า”
ไม่อธิบายว่าที่เพื่อนๆ เรียก ฉาย นั้น เพราะดูเป็นผู้หญิงมากกว่าเมฆ หันมาถามคนที่มือกุมพวงมาลัย
“คุณไม่มีชื่อเล่นเหรอ?”
“ชื่อบาส แต่ไม่ค่อยมีคนเรียกเท่าไหร่หรอก” สาธิตเลี้ยวรถไปตามทางที่เมฆฉายบอกพลางเล่า “เจ้าของร้านเขาว่าคุณออกไปธุระ เลยให้ผมซื้อดอกไม้ที่จัดช่อไว้แล้ว”
เมฆฉายทำเสียงเฮอะขึ้นจมูกอย่างไม่ชอบใจ
“นังเปี้ยวมันคงคิดว่าจะง้อฉันได้ละสิ ฝันไปเถอะ ไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด คุณคอยดูร้านมันเจ๊งได้เลย”
“ทำไมล่ะ เขาก็ทำต่อได้ไม่ใช่เหรอ?” สาธิตถาม
“มันจัดดอกไม้เป็นที่ไหนละ ทั้งร้านมีฉันเป็นช่างอยู่คนเดียว ถ้างานใหญ่ก็ระดมพวกพ้องเป็นคราว ๆ ไป อีนี่มันมีแต่เงินถุงเงินถัง แต่ไม่มีฝีมือ เผลอ ๆ จะไม่มีสมองด้วย”
“แล้วคุณไม่คิดจะเปิดร้านของตัวเองบ้างเหรอ?”
“ทุนรอนมันไม่มีนะสิ มีแต่ฝีมือก็ขายแรงงาน เป็นลูกจ้างเขาไปแบบนี้แหละ”
สาธิตหันมามองดวงหน้ารั้นของเมฆฉาย
ให้ตายเถอะ เขาผ่านบุรุษเพศมาหลากหลาย ‘น้องชาย’ หรือ ‘พี่ ๆ’ ล้วนเลือกสรรได้ว่าจะหาที่โดดเด่นสะตุดตาแค่ไหน ทว่าเมฆชายคือชายประเภทที่เขาไม่เคยชายตามอง ไม่มีอะไรชวนดึงดูดใจ ไม่ว่าจะเป็นผิวคล้ำเนียนอย่างหางกาแฟเจือนมสด ผมยาวที่ปรกหน้าลงมาซอยสั้นไม่แน่ใจว่าจะให้ดูไปทางไหนระหว่างผู้ชายหรือผู้หญิง เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นลายตารางอย่างแฟชั่นชั้นสูง หากก็รู้ทันทีแค่ชายตามองว่าเป็นของก๊อปเกรดล่าง พูดง่าย ๆ ก็คือ หากเมฆฉายเดินปะปนอยู่ในฝูงชน สาธิตก็ไม่มีวันเห็นแม้จะเดินสวนกันชนิดเบียดไหล่
“คุณจอดลงตรงนั้นละ” เมฆฉายชี้ไปยังร่มไม้ใหญ่ “ข้างในมันแออัด ถนนแคบ กลับรถลำบาก ส่งฉันแค่นี้ก็พอ ขอบคุณมากนะ”
เมฆฉายก้าวลงไปจากรถ สาธิตตั้งใจจะถามอะไรอีกสักหน่อย แต่มีสายสำคัญเรียกเข้ามาเขาจึงต้องกดรับ มีเรื่องราวต้องพูดคุยพอสมควร เขาจึงขับรถจากมา โบกมือลาให้ ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าโบกมือน้อย ๆ ตอบ มองจนรถหรูแล่นลับหายไป ระบายลมหายใจออกมาอย่างปลงกับชีวิต
ไม่ว่าจะกี่ปี เขาก็ไม่เคยจำฉันได้เลย