มาลัยใบพฤกษ์ บทที่ 3 : เพื่อนร่วมสถาบัน

มาลัยใบพฤกษ์ บทที่ 3 : เพื่อนร่วมสถาบัน

โดย : เนียรปาตี

Loading

มาลัยใบพฤกษ์ นิยายออนไลน์สนุกๆ มีให้อ่านออนไลน์ที่อ่านเอา โดย เนียรปาตี เรื่องของแพทย์หนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน ชอบช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยจิตใจเมตตา หากโลกอีกใบของเขากลับตรงข้าม ความรักที่มีต่อเพศเดียวกันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พาชายหนุ่มออกเดินทางไปในเส้นทางที่โลดโผน ซับซ้อน ซ่อนเร้น สุดท้ายแล้วความรักที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

สาธิตไปที่ร้านดอกไม้ก่อนเพื่อดูให้แน่ใจว่าเมฆฉายไม่ได้มาทำงานตามที่ลั่นวาจาว่าลาออกแล้วจริง ๆ เมื่อไม่พบและเห็นเปี้ยวผู้เป็นเจ้าของร้านยังวุ่นกับการแก้ปัญหาสินค้าไม่ถูกใจ จนลูกค้าทั้งโทรศัพท์มาต่อว่า และโพสต์ประจานในโซเชียล เปี้ยวก็แทบจะอยากปิดร้านเสียตอนนั้น

ออกมาแล้วขับไปตามทางที่เขาจำได้ จอดรถใต้ต้นมะขามใหญ่ที่เคยมาส่ง เดินเข้าไปในแฟลตที่คิดว่าเมฆฉายคงพักอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตึกไหน เพราะด้านในอุดมไปด้วยอาคารเหมือนกล่องใบใหญ่เรียงไปเป็นแถว ความวุ่นวายเกิดจากคนร้อยอย่างต่างประเภทที่แออัดกันอยู่ในนั้น ครั้นสาธิตเดินเข้าไป จึงถูกมองเป็นตาเดียว เพราะสภาพที่ปรากฏไม่น่าจะมาเตร่อยู่แถวนี้

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ถามไปตรง ๆ ก็แล้วกัน…

คิดแล้วเดินไปที่รถเข็นขายส้มตำ ลูกค้าสี่ห้าคนมุงหน้าร้าน รุมเตาปิ้งที่ดัดแปลงมาจากกะละมังใบใหญ่ ใส่ถ่านติดไฟกลบขี้เถ้า เอาตะแกรงวางแล้วย่างอาหารประดามี ทั้งไข่ปิ้ง ไส้หวาน คางหมู และปีกไก่ ลูกค้าที่คุ้นเคยก็พลิกไปมาพลางคุยอย่างออกรสกับแม่ค้าซึ่งเป็นกะเทยสูงวัยเขียนขอบตาดำขลับ แข่งกับคิ้วที่สักถาวรไว้เป็นรูปโค้ง ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงสดเจื้อยแจ้วตลอดเวลา

“ขอโทษนะครับ รู้ไหมครับว่า…” ถามไปเท่านั้นสาธิตก็ชะงักเอง เขาจะบอกชื่ออะไรดี

“ฉายอยู่ห้องไหนครับ หรือไม่ก็…เมฆก็ได้”

“ตกลงจะหาฉายหรือเมฆ ถ้าฉายก็มีหลายฉาย คุณจะเอาฉายไหน ไอ้ฉายรถเข็นผลไม้ อีฉายช่างผม อีฉายบ้านสุพรรณ หรืออีฉายโรงงานผักกระป๋อง”

“นั่นสิคุณ” ลูกค้าคนหนึ่งผสมโรงขณะพลิกปีกไก่ “หรือไอ้เมฆ ก็มีทั้งเมฆเตี้ย เมฆโย่ง เมฆยาม เมฆวิน คุณจะเอาเมฆไหน?”

สาธิตหน้าแหย อยากจะเกาหัวแกรกด้วยอับจนหนทางว่าจะตามตัวเมฆฉายได้อย่างไร ดูตึกนับสิบหลังที่เรียงรายกันไป ต่อให้เขาไปเคาะถามทุกห้องก็คงใช้เวลาหลายวัน

ทั้งหมดนี้เพราะเอกอนงค์คนเดียว ไม่สิ…พฤกษ์ก็มีส่วน

เพราะดันสนับสนุนให้เอกอนงค์รับงานดอกไม้ของนักธุรกิจอินเดียที่จะมาจัดงานที่โรงแรมทิพย์พิมาน ของคุณรักเกียรติ ลุงของพฤกษ์ แล้วเอกอนงค์ก็ต้องการคนช่วยฝีมือดี สาธิตและพฤกษ์หามาได้กลุ่มหนึ่ง เอกอนงค์ก็บอกว่าฝีมือใช้ได้ แต่เหมาะจะเป็นลูกมือเท่านั้น หล่อนอยากได้คนที่ช่วยคุมงานได้ อันหมายถึงต้องมีฝีมือเป็นเลิศ และมีสายตาของศิลปะ

สาธิตนึกถึงเมฆฉาย ทำไมก็ไม่รู้ แต่เขาคิดถึงเมฆฉาย

ช่อดอกไม้ที่เขาซื้อไปกระมัง เป็นที่ปลาบปลื้มของคนรับมากกว่าช่อใด ๆ ที่เขาได้ในงานวันนั้น

บุญทำมายังคงพอมี คนปิ้งไก่เห็นลูกค้ารายใหม่เดินเข้ามาที่รถเข็นก็นึกได้ ร้องออกไป

“ฉาย อีฉาย มานี่แน่ะ” เรียกแล้วหันมาทางสาธิต “คนนี้อีฉายช่างดอกไม้ ใช่คนที่คุณหาปะ?”

“ใช่ครับใช่ คนนี้แหละ” สาธิตรีบตอบ

พอเมฆฉายมาหยุดที่หน้ารถเข็นด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เดินลากสังขารลงมาเพราะท้องอุทธรณ์ถึงอาหาร คนยิ้มแป้นรอรายงานและอยากรู้อยากเห็น…อยากเผือก ก็เสนอหน้า

“คุณคนนี้เขามาตามหาเอ็งน่ะ”

“ใคร?” เมฆฉายหันไปมอง ก็เห็นหน้าขาวกระจ่างเด่นขึ้นมาในกลุ่มนั้น มันช่างอยู่ผิดที่ผิดทางกับกลุ่มควันปิ้งไก่และเสียงสากกระทบครกส้มตำเสียจริง

“ตามหาฉันทำไม หรืออะไรของคุณหายแล้วคิดว่าฉันขโมย”

“เปล่า ๆ ผมมีงานมาขอให้คุณช่วย จริง ๆ คือมาถามก่อนน่ะ”

“ขอกินข้าวก่อนได้มะ หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว รอไม่ได้ก็กลับไปก่อน ไว้ค่อยมาใหม่ แล้วทีหลังจำไว้นะ จะถามจะขออะไรใครได้ทั้งนั้น แต่อย่าถามหรือตามหาตอนหิว มันหงุดหงิด”

“ผมรอได้ คุณจะให้ผมรอที่ไหนล่ะ?”

“จะรอตรงไหนก็รอไป กินข้าวเสร็จจะลงมาหา”

“ผมไปรอที่ห้องคุณได้หรือเปล่า?” สาธิตถาม แล้วเสียงโห่ฮาก็แซวขึ้นอย่างไม่เกรงใจ

“อีฉาย! อย่าเสือกเล่นตัวนะมึง ผู้ชายมาเสนอให้ขนาดนี้แล้ว”

เมฆฉายเขินเหมือนกัน แต่ต้องแสร้งโวยวายกลบเกลื่อน

“เจ๊…ตำลาวไม่น้ำตาล ขอแซ่บ ๆ หนมจีนสอง ไก่กับไส้ย่างไม้นั้นน่ะ ขอก่อนได้มะ”

“ได้สิจ๊ะน้องฉาย ปกติเจ๊ต่ายไม่เค๊ย…ไม่เคยง้อลูกค้า แซงหน้าแซงคิวไม่ได้ แต่วันนี้ลูกสาวแม่มีแววจะขายออก แม่ลัดฟ้าตำครกนี้ให้หนูก่อนเลยจ้ะลูกสาว”

เจ๊ต่ายควงสากแล้วตำโป๊กป๊ากอยู่ไม่กี่ทีก็ส่งถุงอาหารให้ เมฆฉายเดินนำไปโดยมีหนุ่มสำอางหน้าตี๋เดินตามต้อย ๆ ไม่ทันคล้อยหลังดี คนที่รายล้อมรถเข็นก็สุมหัวซุบซิบไปต่าง ๆ นานา

 

“เข้ามาก่อนสิ ห้องรกหน่อยนะ”

เมฆฉายไม่อายที่ห้องค่อนข้างรก บนพื้นมีเศษกระดาษกอง ๆ แยกตามสีและประเภทชิ้นงาน

“คุณทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ติดการ์ดกระดาษสาส่งร้าน สี่แผ่นหนึ่งบาท แถวนี้รับทำกันหลายห้อง”

เมฆฉายบอกพร้อมกับถ่ายส้มตำลงจาน กางโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กเป็นโต๊ะกินข้าว วางจานอาหารแล้วส่งจานเปล่าใบหนึ่งให้สาธิต

“กินด้วยกันไหมล่ะคุณ แต่เตือนไว้ก่อนว่าเผ็ดนะ”

“ไม่เป็นไร ผมเรียบร้อยมาแล้ว”

“แปลว่าอะไร กินมาแล้วจริง ๆ หรือปฏิเสธอย่างสุภาพ รังเกียจก็บอกตรง ๆ ได้ ฉันไม่ชอบอะไรอ้อมค้อม”

“ผมเรียบร้อยมาแล้วจริงๆ” ว่าพลางสาธิตก็ควานหากระเป๋าสตางค์ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นส่งให้

“สลิปอะไร เอามาให้ดูทำไม?” เมฆฉายถามขณะเริ่มจัดการกับไส้ย่างและขนมจีน

“สลิปร้านอาหารไง ให้ดูเวลาว่าเพิ่งกินไปไม่ถึงชั่วโมงมานี้เอง”

“คุณนี่…ซีเรียสเหมือนกันนะ”

สาธิตหัวเราะเก้อ ๆ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก่อนดีกับเรื่องที่เขาตั้งใจมาเจรจา จึงเกริ่นว่าเขาไปที่ร้านดอกไม้ที่เมฆฉายเคยทำงาน เจ้าของร้านกำลังรับศึกหนัก เมฆฉายก็คว้าโทรศัพท์มาเลื่อน ๆ หน้าจอแล้วให้เขาดู

“อันนี้ใช่มะ โซเชียลถล่มเละ ฉันถึงบอกไง คนอย่างอีเปี้ยวถ้าไม่มีฉัน ร้านมันอยู่ไม่ได้หรอก” เอ่ยอย่างสะใจแล้วถือโอกาสถามธุระของคนตรงหน้า “คุณมาหาฉัน มีเรื่องอะไร ให้ช่วยจัดดอกไม้เหรอ”

“ใช่…อาทิตย์หน้าจะมีงานแต่งในโรงแรมของคนรู้จัก น้องสาวผมรับงานนี้ไว้ แต่อยากได้คนช่วย”

“จะให้ฉันไปเป็นลูกมือเหรอ?” เมฆฉายถามพลางส่งตำลาวเข้าปาก

สาธิตไม่รู้จะตอบอย่างไร มันคิดมากไปเสียหมด ถ้าเขาตอบว่าใช่ แล้วเมฆฉายเกิดนึกถึงศักดิ์ศรี ไม่ยอมเป็นลูกจ้างใครอีกในชาตินี้ ก็จะกลายเป็นว่าเขาเจรจาไม่สำเร็จ

“ไม่เชิงเป็นลูกมือหรอก ให้ช่วยคุมงานน่ะ บ่ายนี้คุณว่างไหมล่ะ ไปพบน้องสาวผมด้วยกัน เผื่อคุยรายละเอียดก่อนตัดสินใจ”

“เอางั้นก็ได้ ขอเวลาอาบน้ำแต่งตัวแป๊บ”

ระหว่างที่เมฆฉายอาบน้ำ สาธิตสำรวจดูภายในห้องก็เห็นร่องรอยของชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบ ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน กระทั่งผ้าม่านคนละลายคนละสี ดุจซื้อจากความพอใจในเวลานั้น แต่ซื้อคนละเวลา และไม่ได้คำนึงว่ามันจะเข้ากับของที่มีอยู่แล้วหรือไม่ บนชั้นไม้เก่ามีกรอบรูปรายเรียง เด่นที่สุดคือภาพเมฆฉาย ‘แต่งหญิง’ ด้วยชุดไทยสีน้ำเงินสด เปลือกตาระบายดำหนาเช่นเดียวกับขนตาที่งอนเช้ง ปากทาลิปสติกสีแดงสด โดดออกมาจากหน้าที่ขาวจนว่อก ในขณะที่ผมถูกตีกระบังเป็นทรงฟาร่า คัทลียาดอกเดี่ยวทัดไว้ข้างหู ใกล้กันนั้นเป็นภาพรับปริญญา เห็นชุดครุยแล้วก็สะดุดใจ

“คุณจบจากที่นี่เหรอ…” สาธิตถามเมื่อเมฆฉายออกมาจากห้องน้ำ ครั้นเขาพยักหน้า สาธิตก็บอก “ที่เดียวกันกับผมเลย คุณรหัสอะไร?”

เมฆฉายบอกปีที่เข้าเรียน สาธิตก็อุทาน

“อ้าว…เข้าปีเดียวกันอีก แต่ผมจบช้ากว่าเพราะเรียนแพทย์ แหม…โลกกลมจริง เจอเพื่อนร่วมสถาบัน”

“ดีใจหรือผิดหวังล่ะ?” เมฆฉายถามขณะเทโลชั่นขวดเดียวลงฝ่ามือก่อนจะลูบไล้บนใบหน้าและทั้งตัว “เห็นสภาพฉันแล้วคงคิดว่าเป็นไปได้เหรอ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงขนาดนั้นจะเป็นแบบนี้”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ถ้าจริงก็ดี มหาวิทยาลัยสอนให้เรามีปัญญา แต่ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตเราจะดีนี่ จริงไหม ชีวิตยังมีเงื่อนไขอะไรอีกตั้งมากมาย มากกว่าการฝันแบบหลอกตัวเองไปว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต”

“แปลกนะ เราไม่ยักเคยเจอกันสมัยเรียน” สาธิตเปรยออกไปเพื่อให้เมฆฉายหลุดออกจากความคิดที่เขาคิดว่าฝ่ายนั้นเริ่มจริงจังมากไป

เมฆฉายชะงักนิดหนึ่ง มองเงาของสาธิตที่สะท้อนในกระจกแล้วระบายลมหายใจเบา ๆ ไล้ครีมลงบนหน้าและลำคอต่อ…จะให้บอกหรือว่าตนติดตามนักศึกษาแพทย์หนุ่มไปทุกกิจกรรม เขาต่างหากที่ไม่เคยสังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น

“มหา’ลัยมีตั้งหลายคณะ นักศึกษาเป็นพัน จะให้เจอกันทุกคนก็ยากละ แล้วพวกนอสอพอ” เมฆฉายหมายถึงนักศึกษาแพทย์ ที่นิยมเรียกกันย่อ ๆ ว่า นสพ. “พอขึ้นปีสองก็ย้ายฝั่งไปอยู่ที่หอพักคณะไม่ใช่เหรอ จะเจอกันได้ยังไงล่ะ”

แต่งตัวเสร็จแล้วเมฆฉายก็คว้ากระเป๋าเดินตามสาธิตไปที่รถของเขา ผ่านรถเข็นส้มตำเจ๊ต่ายที่ปากหอยปากปูยังจับกลุ่มนินทาในไร่เผือกและนาบอน คนหนึ่งร้องเสียงดังขึ้นมา

“ช่วงนี้ไม่รู้อีฉายเป็นยังไง ผ่องใสมีน้ำมีนวล”

“ก็คงจะได้น้ำดี ถึงนวลผ่องเป็นยองใยไปทั้งตัวอย่างนี้”

“ถึงกับอาบน้ำ เปลี่ยนผ้า ผัดหน้าใหม่ สงสัยจังว่า หายขึ้นไปนี่ได้อีกน้ำ”

เสียงเฮสอดประสานรับกันอย่างสนุกปากมาจากกลุ่มที่แวดล้อมรถเข็นส้มตำและวินมอเตอร์ไซค์ เมฆฉายไม่ตอบโต้ แต่ชี้นิ้วชี้หน้าเป็นการคาดโทษไว้ รอกลับมาก่อนเถอะ จะเช็คบิลเรียงตัวเชียว

“คุณอย่าไปถือสาเลยนะ ที่พูดแซวมาน่ะ คิดว่าหมาเห่าก็แล้วกัน”

“ผมไม่ถือสาหรอก ก็คุณกับผมไม่ได้ทำอะไรกันอย่างที่เขาว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่”

สาธิตตอบอย่างธรรมดาแท้ ๆ แต่เมฆฉายกลับรู้สึกราวปลายหนามคมสะกิดฝีในใจขึ้นมาให้เจ็บแสบ

‘เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่’

ถ้าสาธิตยังไม่ออกรถ เมฆฉายคงเปิดประตูเดินกลับลงไปเสียแล้ว

 

กำแพงสูงใหญ่เขียวไปตลอดแนวด้วยต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยคลุม ซุ้มประตูทางเข้าเถาพวงครามเลื้อยพันเกาะเกี่ยว ทว่ามีแต่ใบไม่มีดอกเพราะยังไม่ถึงฤดูกาลของมัน แผ่นไม้เล็ก ๆ ที่ติดไว้ตรงประตูทางเข้าใกล้กริ่งเป็นคำว่า ‘เรือนไม้หอม’ อันเป็นทั้งชื่อบ้าน และชื่อร้านสำหรับรับงานดอกไม้ฝีมือประณีต

เมฆฉายทึ่งเมื่อเห็นว่าหลังกำแพงสูงใหญ่นั้นร่มเย็นดุจหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง เรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางพรรณไม้นานาราวสวนป่า ทว่าจัดแต่งไว้งดงามไม่รกเรื้อ เอกอนงค์นั่งคอยอยู่แล้วที่ชานเพราะสาธิตแจ้งมาล่วงหน้า เลื่อนแก้วน้ำสับปะรดส่งให้ผู้เป็นแขก

“เอก…คุณฉาย ช่างดอกไม้ที่…” สาธิตบอกชื่อร้านดอกไม้ที่บัดนี้ถูกชาวโซเชียลรุมกระหน่ำ

“เคยทำฮะ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแล้ว” เมฆฉายรีบแก้ พยักหน้าไปทางสาธิตแทนการเรียกชื่อฝ่ายนั้น “เขาบอกว่า คุณหาคนช่วยจัดดอกไม้งานแต่งเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ประมาณแบบนี้” เอกอนงค์เลื่อนภาพส่งให้ เมฆฉายดูแล้วก็ปรารภออกมา

“โธ่เอ๊ย! คิดว่าจะแค่ไหน งานแบบนี้ง่าย ๆ แต่รายละเอียดยิบย่อยมันเยอะ โดยเฉพาะตอนโปรยดอกไม้เป็นลายบนพื้น ห้ามมีลมพัดเลย คนทำต้องรีบโปรยเร็ว ๆ ขืนชักช้าได้ตายก่อน ทั้งร้อนและขาดอากาศหายใจ”

“จริงค่ะ” เอกอนงค์ว่าพลางหัวเราะ “เคยทำครั้งหนึ่ง จะเป็นลมให้ได้”

สาธิตคิดว่าการเจรจาคงไปได้สวย เขาจึงปล่อยให้เอกอนงค์ได้คุยกับเมฆฉายตามลำพัง

จากที่เล่าประสบการณ์การรับงานสู่กันฟัง ก็ขยับเป็นคุยรายละเอียดถึงงานที่จะทำด้วยกันในวันอันใกล้นี้ กินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย สาธิตก็พาเมฆฉายกลับพร้อมรับปากว่าพรุ่งนี้จะรับมาส่งที่เรือนไม้หอมแต่เช้า ก่อนเขาไปคลินิก

“คุณรับงานแล้ว ตกลงค่าตัวกับยายเอกหรือยัง?”

“ยังไม่ได้คุยหรอก ให้เท่าไหร่ก็เอา ไม่ให้ก็แล้วไป”

“คุณไม่กลัวยายเอกเบี้ยวเหรอ?”

“แล้วถ้าเบี้ยวขึ้นมาจริง ๆ คุณคิดว่าใครเสีย ฉัน หรือเอกอนงค์ หรือคุณ” เมฆฉายพ่นลมหายใจออกมา “เพราะฉันเป็นคนแบบนี้ละมั้ง เลยถูกคนเขาเอาเปรียบอยู่เรื่อย แต่ฉันก็นิสัยเสีย ถ้ารับปากจะช่วยใครแล้วก็ทำให้ถวายหัว ไม่คิดว่าตัวจะเหนื่อยหนักหนาหรือว่าขาดทุนหรอก”

ถึงแฟลตแล้วสาธิตจึงจอดให้เมฆฉายลง เช้าวันใหม่เขาก็มาคอยรับที่เดิม พาไปส่งที่เรือนไม้หอม

 

นายแพทย์หนุ่มเดินเข้าไปในคลินิก หรือจะว่าให้ถูกคือสถาบันเสริมความงามที่เขาเป็นเจ้าของ เมื่อเรียนจบสาธิตทำงานใช้ทุนแพทย์จนหมด ไม่ยอมจ่ายเป็นเงินเหมือนที่หลายคนทำ อยู่ประจำโรงพยาบาลเรื่อยมาจนหลังจากที่เอกอนงค์ป่วยและได้พบกับพฤกษ์ สาธิตก็ลาออกจากโรงพยายาลมาเปิดคลินิกเสริมความงามของตัวเอง บุศริน…เด็กสาวที่เคยหลงใหลได้ปลื้มเขาแล้วก็มีทีท่ารังเกียจไปพักหนึ่งเมื่อรู้ว่าเขาเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน จนกระทั่งหล่อนประสบฝันร้ายในชีวิต สาธิตก็ช่วยฟื้นฟูเยียวยาจนหล่อนสำนึกได้ มาทำงานเป็นทั้งเลขาและผู้จัดการที่คลินิกแห่งนี้ รายงานว่า

“มีคนมารอพบพี่หมอค่ะ บอกว่าเป็นเพื่อน”

“ขอบใจ เขาแชตมาหาก่อนแล้วละ ขอโทษทีมัวแต่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้บอกบุศไว้ก่อนให้ลงคิว”

“อยู่ที่ห้องรับรองนะคะ ช่วงเช้านี้พี่หมอพอมีเวลาค่ะ”

สาธิตพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ เข้าไปในห้องรับรองก็พบปักเป้า เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแต่อยู่คนละคณะ และเป็นรูมเมตของเขาตอนที่เข้าเรียนปีแรก

“หมอบาส เธอช่วยเซ็นรับรองการปรึกษาทางจิตให้ฉันหน่อยสิ”

ปักเป้าไม่อ้อมค้อม มุ่งเข้าประเด็นที่นัดพบ

หล่อนอยากเป็นผู้หญิง ‘เต็มตัว’ ทำหน้าอกเมื่อปีก่อน แล้วก็ภาคภูมิใจว่าเป็นผู้หญิงไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลือแต่ลำตาลที่อยากจะขุดรากถอนโคนปรับแต่งให้กลายเป็นอ่าวเสียไว ๆ แต่ค่าใช้จ่ายก็สูง และหล่อนไม่มีเงินพอ จนกระทั่งปักเป้าพบว่าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมสำหรับบริการตัดแต่งกล้วยไข่ให้เป็นดอกชบา คำนวณดูแล้วพอดีเงินเก็บ เพียงแต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการแสดงความพร้อมก่อนการผ่าตัดอย่างเช่นค่าปรึกษาจิตแพทย์นี่สิ ที่ปักเป้าไม่มีจ่าย

“อยากจะตั้งชื่อให้ว่า จิ๋มเอื้ออาทรเสียจริง”

สาธิตบอกเมื่อฟังปักเป้าเล่าเหตุผลความจำเป็นของหล่อนจบ

“ฉันบอกตรง ๆ เลยนะว่าเธอยังไม่พร้อม อย่าเพิ่งรีบผ่าตัดเลย”

“แต่ฉันต้องผ่ารอบนี้แล้วนะหมอ โปรโมชั่นแบบนี้พันปีมีครั้ง รอได้เหรอ”

“มันไม่ใช่เรื่องเงิน ปักเป้า มันคือเรื่องสภาพจิตใจของเธอ เธอยังไม่พร้อม หลังจากผ่าตัดฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยน ถ้ามันสวิงมาก ๆ จะเป็นอันตรายมากกว่านะ”

ปักเป้ารับรู้ แต่ความมุ่งหมายยังมั่นคง น้ำในตาคลอออกมาพร้อมจะหยาดหยด

“เธอคิดดูนะ หมอบาส อายุจนป่านนี้ฉันยังไม่มีแฟน กี่คน ๆ เข้ามาแล้วก็เลิกรากันไปด้วยคำว่า ถ้าเป็นผู้หญิงจริง ๆ คงจะดี ฉันถูกปฏิเสธแบบนี้มาจนเบื่อแล้วละ ผ่าตัดคราวนี้ ฉันแค่อยากรู้สึกว่าได้เป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่คิดว่าจะมีจิ๋มไว้ล่อผู้ชายมาเป็นผัวหรอก”

ความจริงบางอย่าง จะบอกออกไปตรง ๆ ก็ไม่ได้

สาธิตหนักใจที่จะบอกว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็น ‘แหลม’ หรือ ‘อ่าว’ มันอยู่ที่ตัวคนมากกว่า แล้วความรักของปักเป้าที่ผ่านมา ก็เป็นเพราะนิสัยของเจ้าหล่อนทั้งสิ้นที่ทำให้กี่รายต่อกี่รายพอได้รู้จักเข้าใกล้เห็นธาตุแท้ในตัวหล่อน รายไหนรายนั้นล้วนชิงผละไปด้วยข้ออ้างคลาสสิกว่าเพราะหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงแท้

หมอหนุ่มมองอดีตรูมเมตที่นั่งซับน้ำตา

ปักเป้าเป็นคนโครงใหญ่ กระดูกหนา ใบหน้าเห็นกรามและโหนกชัด ผิวของหล่อนยังดูหยาบแม้จะกินฮอร์โมนมาตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น ซื้อฮอร์โมนราคาถูกแล้วขอให้เขาช่วยฉีดให้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการไปคลินิก หน้าอกที่หล่อนทำมาเมื่อปีกลาย หล่อนภาคภูมิใจนักว่าสองถันนั้นกลมกลึงน่าคลึงเคล้าอย่างสตรี แต่เมื่อเปิดออกมา ระหว่างสองเต้านั้นห่างแทบจะวางฝ่ามือลงได้ทีเดียว เหมือนเอาก้อนอะไรกลม ๆ ไปวางตรงนั้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ มองปราดเดียวสาธิตก็รู้ว่าราคาถูกและฝีมือชั้นเลว ตั้งแต่หัวจรดเท้า หากไม่นับเครื่องสำอางบนหน้าและเสื้อผ้าสตรีที่หล่อนสวมใส่ ปักเป้าก็ยังดูเป็นผู้ชายผมยาวอยู่นั่นเอง

วางหูโทรศัพท์ลงแล้วเขาก็บอกว่า เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์คนหนึ่งจะช่วยเซ็นใบรับรองให้ ปักเป้าดีใจจนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความสมหวัง นั่งคุยฆ่าเวลาเพื่อรอให้พนักงานส่งเอกสารนำใบรับรองจากเพื่อนหมอมาส่งให้ที่คลินิก ปักเป้ารีบเปิดดูแล้วกอดไว้แนบอกราวของล้ำค่า โบกมือลา กล่าวขอบใจ โดยไม่มีอะไรตอบแทนความช่วยเหลือมากกว่านั้น

สาธิตเป็นห่วงปักเป้า เขาแทบจะเห็นอนาคตของหล่อนดีทีเดียวว่า หลังจากผ่าตัดแล้ว อารมณ์ของหล่อนจะสวิงและยิ่งเพี้ยนไปแค่ไหน แต่ช่างเถอะ เรื่องของใครก็ของใคร ช่วยเท่าที่ช่วยได้ นอกเหนือจากนั้นก็ตัวใครตัวมันเถิด

เอนหลังกับโซฟาบุฟองน้ำหนาหุ้มหนังแท้สีครีม สาธิตก็หลับตาพักผ่อนก่อนถึงคิวลูกค้ารายถัดไป ภาพในอดีตเมื่อครั้งเขายังอยู่หอพักชายห้องเดียวกับปักเป้าก็ปรากฏ

วันที่พบกันครั้งแรก หล่อนยังเป็นผู้ชายที่อ้อนแอ้นอยู่มาก ผมซอยให้เข้ารูปอย่างผู้หญิงเลี้ยงไว้ให้ยาว เนินน้อย ๆ บนอกนั้นเป็นผลจากการกินยาคุมตั้งแต่อายุสิบห้า เทอมแรกของการอยู่ด้วยกันเป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งสัปดาห์สุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์หลายอย่างอันเป็นการเปิดประตูให้สาธิตรู้ว่ายังมีโลกอีกหลายใบชวนให้พิศวงหลงเมา

 

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ยังอยู่หอพักรวมกับนักศึกษาคณะอื่น ๆ จะแยกมาอยู่หอพักของคณะเมื่อขึ้นปีสองแล้ว ปักเป้าเป็นรูมเมตของเขาโดยการสุ่ม เดิมเจ้าหล่อนชื่อ เป้า ตามที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่เมื่อมีเป้าหมายว่าจะกลายร่างเป็นนางสาว จึงเริ่มกินยาคุมกำเนิดตั้งแต่เข้าเขตวัยรุ่น และเมื่อได้รู้จักเขาซึ่งเรียนแพทย์ด้วยแล้ว ต่อมาแม้จะไม่ได้อยู่หอพักเดียวกันอีก ปักเป้าก็ติดต่อขอให้เขาฉีดฮอร์โมนให้ เพื่อประหยัดค่าใช้บริการที่คลินิก

หอพักปีกที่สาธิตอยู่มีรุ่นพี่สาวประเภทสองสวยสะพรั่งอยู่คนหนึ่ง เจ๊อั๋นเป็นรุ่นพี่ของปักเป้า เป็นไอดอลของหล่อน และยังเป็นนางงามล่ามงกุฎชนิดว่าถ้ามีจัดเวทีประกวดสาวประเภทสองที่ไหน แล้วมีชื่อเจ๊อั๋นลงประกวดด้วย ผู้สมัครบางรายถอนตัวไปก็มี หรือพี่เลี้ยงนางงามประท้วงให้เจ๊อั๋นถอนตัวจากการประกวดก็เคยมีมาแล้ว

พบหน้าเจ๊อั๋นในมหาวิทยาลัยหรือที่หอพักชายก็ทักทายกันตามปกติ

จนกระทั่งสาธิตสังเกตถึงความผิดปกติว่าเจ๊อั๋นหายหน้าไปหลายวัน ราวสองอาทิตย์เห็นจะได้ แล้วในวันหนึ่งช่วงสอบปลายภาค นักศึกษาบางส่วนที่สอบเสร็จไวกลับบ้านไปแล้ว แต่เขากับปักเป้ายังมีสอบจนถึงวันสุดท้าย จึงยังต้องอยู่เฝ้าหอพัก เจ๊อั๋นก็เคาะประตูห้อง ยิ้มกว้างอย่างคนภูมิใจมีอะไรจะอวดอย่างอดไม่อยู่

“อีเป้า ตามเพื่อนหล่อนมาสิ เร็ว ๆ นะ”

ปักเป้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ทำตามที่รุ่นพี่บอก ไม่นาน ‘กลุ่มสาว ๆ’ ก็พากันเบียดอยู่ในห้อง สาธิตทำทีจะขยับออกไป เจ๊อั๋นตาไวก็รีบรั้ง

“หมอจะไปไหนล่ะ อยู่ดูของดีก่อน”

สาธิตชะงัก อยากรู้เหมือนกันว่าเจ๊อั๋นหายหน้าไปสองอาทิตย์แล้วมีของดีอะไรมาอวด

“พร้อมกันหรือยัง เอาล่ะนะ…หนึ่ง สอง ส้าม”

ไม่มีใครคาดคิดว่าจบนับสาม เจ๊อั๋นก็ถลกกระโปรงขึ้นให้ดูว่าที่หว่างขาไม่มีท่อนอ้อยที่บิดาให้มาอีกแล้ว มันกลายเป็นอ่าวที่สาว ๆ เห็นแล้วก็ร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความตกใจในตอนแรก แล้วเปลี่ยนเป็นวี้ดว้ายขอเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้เห็นแก่ตา

“สวยจังเลย”

“เหมือนมากเลยเจ๊”

“ตอนทำเจ็บหรือเปล่า?”

แล้วเจ๊อั๋นก็ตอบทุกคำถามในขณะที่ยังเปิดสินค้าตัวอย่างให้ชมอย่างไม่หวงแหน

“เหมือนไหมหมอ หมอชอบรึเปล่า?” เจ๊อั๋นถาม

สาธิตยังตกใจไม่หาย ทำไมพวกหล่อนถึงได้กล้าขนาดนี้ เขาเรียนกายวิภาคในปีแรก กล้ามเนื้อเส้นประสาททุกส่วนในร่างกายต้องจำให้ได้ มองในทางสรีระวิทยา อ่าวน้อยของเจ๊อั๋นถือว่าฝีมือประณีตไม่มีที่ติเลยทีเดียว แต่หากมองด้วยความเสน่หา ไม่มีอะไรชวนให้เขาวาบหวามได้เลย ตอบคำถามเจ๊อั๋นจนหล่อนพอใจแล้วว่า ขนาดนักศึกษาแพทย์ยังชม สาธิตก็ขอตัวออกไปอ่านหนังสือข้างนอก ยกห้องให้เป็นเวทีถามตอบสารพันปัญหาว่าด้วยการแปลงเพศของเจ๊อั๋นไป

ไม่รู้มาก่อนเลยว่าการออกไปอ่านหนังสือในเย็นวันนั้น เป็นการนำเขาเข้าสู่โลกใบใหม่ในชีวิต



Don`t copy text!