มาลัยใบพฤกษ์ บทที่ 5 : ถ่านไฟเก่า

มาลัยใบพฤกษ์ บทที่ 5 : ถ่านไฟเก่า

โดย : เนียรปาตี

Loading

มาลัยใบพฤกษ์ นิยายออนไลน์สนุกๆ มีให้อ่านออนไลน์ที่อ่านเอา โดย เนียรปาตี เรื่องของแพทย์หนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน ชอบช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยจิตใจเมตตา หากโลกอีกใบของเขากลับตรงข้าม ความรักที่มีต่อเพศเดียวกันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พาชายหนุ่มออกเดินทางไปในเส้นทางที่โลดโผน ซับซ้อน ซ่อนเร้น สุดท้ายแล้วความรักที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

อุษณีย์พรใช้มือถือถ่ายรูปความคืบหน้าของงานเพื่อประเมินสถานการณ์รายวัน จดความคิดต่าง ๆ ลงในคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเล็ก เดินมาถึงห้องที่จะใช้จัดพิธีแต่งงานซึ่งสำคัญที่สุด ช่างดอกไม้กำลังจัดประดับให้งดงามตาม ‘เรฟ’ หรือภาพอ้างอิงต้นฉบับ

“เหนื่อยไหมคะคุณเอก?” หล่อนทักทายเอกอนงค์ เจ้าของเรือนไม้หอม

“สวัสดีค่ะคุณอ้อม” เอกอนงค์ทัก “ไม่เหนื่อยค่ะ มีคู่หูคนใหม่ ทำงานเข้ามือเข้าขากันมาก”

อุษณีย์พรหันไปยังผู้ที่อยู่ข้าง ๆ ฝ่ายนั้นก็ยกมือไหว้ แนะนำตัวเอง

“เมฆฉายฮะ เรียกสั้น ๆ ว่าฉายก็ได้ฮะ”

ชายหนุ่มท่าทางสมาร์ตเดินเข้ามาในที่จัดงาน ยิ้มนำมาแต่ไกล ในมือหิ้วกล่องขนมยื่นส่งให้ภรรยา หล่อนจึงถือโอกาสแนะนำ

“พี่ก้อง ก้องภู สามีอ้อมเองค่ะ”

“พี่ก้อง ที่เรียนวิศวะที่…ใช่ไหมฮะ” เมฆฉายถามอย่างตื่นเต้น เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยที่ตนจบมา ครั้นเขาพยักหน้างง ๆ เมฆฉายก็บอกว่า “ฉายก็เรียนที่นั่น ตอนนั้นพี่ก้องดังมาก”

ก้องภูหัวเราะน้อย ๆ เก้อเขิน ในขณะที่ภรรยาตาลุก ถามเสียงสนุก

“ดังมากเลยเหรอคะ?”

“ดังมากฮะคุณอ้อม ระดับเดือนคณะที่หล่อกว่าเดือนมหา’ลัย” เมฆฉายเริ่มคุยออกรส “แหม ไอ้เดือนมหา’ลัยปีที่พี่ก้องประกวดนี่ ตอนนี้ผ่าจิ๋มเป็นนางโชว์บนเรือสำราญไปแล้ว”

“ดีแล้วค่ะ ที่ไม่ชนะ ถ้าดีกรีดีกว่านี้ อ้อมไล่ตามเช็คบิลไม่ไหว”

“พี่ก้องเจ้าชู้เหรอฮะ ก็แหม…” เมฆฉายหรี่ตามองกะลิ้มกะเหลี่ย “หน้าแบบนี้ หุ่นอย่างงี้ ใครเห็นก็อยากแอ๊ว” หันมาถามชายหนุ่มผู้กำลังถูกพูดถึงอดีต “ตอนนี้พี่ก้องทำอะไรฮะ หรือว่าเป็นหวานใจให้คุณอ้อมอย่างเดียว”

“พี่เป็นวิศวกรเครื่องบิน อยู่ที่…” เขาเอ่ยชื่อบริษัทการบินแห่งหนึ่ง

เมฆฉายปลื้มใจขึ้นไปอีกถึงเลเวลร้อย

“จะดี จะเท่ จะเพอร์เฟ็กต์ไปถึงไหนฮะ” ว่าแล้วหันมาทางหญิงสาวผู้เป็นนายจ้าง “น่าอิจฉาคุณอ้อมจังเลย จะมีใครโชคดีอย่างนี้อีก งานดี สามีเริด ถ้าคุณอ้อมต้องตามเช็คบิลนังพวกแมงหวี่ที่มาตามพี่ก้อง เรียกใช้บริการฉายได้นะฮะ รับรองว่าไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาวอแวอีกแน่ ๆ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นประสานกัน จังหวะเดียวกับที่สาธิตเดินเข้ามา

“พี่หมอ” เอกอนงค์เป็นฝ่ายทักก่อน “ทำไมมาถึงนี่ได้คะ วันนี้ไม่เข้าคลินิกเหรอ”

“คิวนัดวันนี้หมดแล้วละ ก็เลยแวะมาดู” หันไปทางหญิงสาว “คุณอ้อมสวัสดีครับ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ โลกกลมจริง ๆ”

สาธิตยิ้ม แล้วก็พยักหน้าน้อย ๆ ให้กับสามีของอุษณีย์พร เขาก็ยิ้มตอบอย่างคนนอกที่รู้มารยาทในการเข้าสังคม

“อ้อมออกาไนซ์งานนี้เองค่ะ ยังไม่เริ่มก็เหนื่อยแทบตาย นี่ถ้าเสร็จงานร่างพังแน่ ๆ พิธีแต่งของอินเดียนี่เขาจัดกันสี่-ห้าวัน ยังไงอ้อมจองคิวคุณหมอเลยนะคะ เสร็จงานแล้วขอพักหน้า พักร่าง ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

“ได้เลยครับ ผมจะบอกบุศล็อกคิวให้คุณอ้อมยาว ๆ เลย”

อุษณีย์พรยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วอุทาน

“ตายแล้ว! คุยกันเพลิน ต้องขอตัวไปรับลูกแล้วค่ะ”

กำลังจะผละไป ทีมงานคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา

“พี่อ้อมครับ งานเข้านิดหน่อยฮะ”

“มีอะไร?”

“ช่างกล้องเทครับ คือ จะว่าเทก็…” คนบอกพยายามจะแก้ต่างให้ทีมบันทึกภาพที่จ้างมา

“ทำไมถึงเท?” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงฉงน

“เอาจริงนะพี่ มีอีกงานนึงมาปาดหน้าไป ให้หนักกว่า พี่จะคุยเองไหมครับ เดี๋ยวผมต่อสายให้”

“ไม่ต้อง” เสียงหล่อนแข็งขึ้น “หาเจ้าใหม่ ติดต่อเดี๋ยวนี้เลย ส่วนเจ้านี้แบล็กลิสต์ไว้ เสร็จงานนี้ฉันจะจัดให้ไม่มีงานข้ามปีเลย”

ลูกน้องของอุษณีย์พรพยายามติดต่อทีมงานใหม่แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครว่าง หล่อนจึงต้องลงมาจัดการเอง หันมาบอกสามี

“พี่ก้องไปรับลูกหน่อยได้ไหม?”

เพราะที่โรงเรียนของลูกเคร่งครัดเรื่องการรับส่ง ผู้ปกครองต้องลงทะเบียนถ่ายรูปไว้เพื่อป้องกันมิจฉาชีพเข้ามาหลอกพาเด็กนักเรียนออกไป

ก้องภูไม่ขัดข้อง ลาทุกคนแล้วเดินจากไป ครู่หนึ่งก็เดินหน้ายุ่งกลับมา

“รถผมถูกจอดปิดท้าย ออกไม่ได้”

“เอารถอ้อมไปสิคะ” หล่อนบอกพลางควานหากุญแจ แต่สามีเบรกเสียก่อน

“อ้อมก็รู้ว่าพี่ไม่ขับรถใคร มันไม่ชินมือ”

“ผมไปส่งก็ได้ครับ”

สาธิตเอ่ยออกไป ทุกคนก็หันมองเป็นตาเดียว ไม่คาดคิดว่าเขาจะเสนอตัว

ดุจจะรู้ว่าสร้างความประหลาดใจให้ทุกคน สาธิตก็อธิบายไปเก้อ ๆ

“ผมว่างอยู่ ไปรับน้อง แล้วกลับมาส่งที่นี่ได้ครับ”

ก้องภูหันมาขอบใจหมอสาธิต แล้วสองร่างก็เดินห่างออกไป เอกอนงค์เหลือบเห็นสีหน้าเมฆฉายฉายรอยผิดหวัง จึงถามออกไป

“คุณฉายเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าตาไม่ดีเลย”

“ไม่มีอะไรหรอกฮะ” พลันก็เปลี่ยนน้ำเสียงให้สนุกกลบเกลื่อน “เสียดายพี่ก้องอ่ะ อุตส่าห์เล็งไว้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง”

เอกอนงค์หัวเราะล้อ

“แล้วพี่หมอล่ะคะ คุณฉายไม่สนใจเลยเหรอ”

เมฆฉายอยากจะย้อนไปเหมือนกันว่า…คุณเอกเห็นเขาทักฉายไหมล่ะ ตั้งแต่เข้ามาจนออกไป เขาไม่ทักฉายสักคำ…แต่ที่พูดออกไปคือ

“ไม่สนฮะ จืดชืด พี่ก้องแมนกว่าเยอะ”

 

นั่งอยู่ในรถสองคน คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วสาธิตก็ถาม

“โรงเรียนอะไรครับ?”

ครั้นได้คำตอบก็กดปุ่มหน้าจอในรถเพื่อดูเส้นทางและสภาพจราจร ประเมินว่าควรไปทางใดที่ใช้เวลาน้อยที่สุด…ทั้ง ๆ ที่เขาอยากใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ไปนาน ๆ

เงียบไปพักใหญ่ดุจคนแปลกหน้าไม่รู้จะเริ่มบทสนทนากันอย่างไร

‘คนแปลกหน้า’ หรือ ‘คนคุ้นเคย’ สาธิตก็ยังบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับคนที่นั่งมาด้วยกันเป็นอย่างไร ครั้นหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เสียมารยาท ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ยกขึ้นมาคุยไปแกน ๆ เท่านั้น ความสับสนในใจและหงุดหงิดที่ก้องภูทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในเรื่องเร้นลับที่เคยทำด้วยกัน ทำให้สาธิตโพล่งออกไป

“ทำไมตอนนั้นพี่หลอกผม?”

ก้องภูหันมามอง สีหน้าและแววตาสงสัย ยิ่งกระตุ้นให้สาธิตฉุนเฉียวขึ้น

“พี่อย่าบอกว่าจำไม่ได้ พี่กับผม เรามีอะไรกันตั้งแต่เรียนมหา’ลัย พี่ทำอะไรผม แล้วพี่ก็หายไป ติดต่อไม่ได้ จนผมคิดว่าพี่คงตายไปแล้ว”

ก้องภูเอื้อมไปตบหลังมือเบา ๆ สาธิตก็ปัดออก

“พี่รู้ไหมว่าผมรู้สึกอย่างไร กว่าผมจะผ่านตอนนั้นมาได้ เจอกันที่คลินิก พี่จำไม่ได้ผมไม่ว่า แต่พอเจอที่ปั๊ม พี่ทำอะไรกับผม จำได้ไหม พี่แอดเฟรนด์มาผมก็รับ แล้วเจอกันวันนี้ พี่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้จักผมอีก พี่คิดอะไร พี่ต้องการอะไรกันแน่”

น้ำเสียงและอารมณ์ของสาธิตไต่ระดับขึ้นทุกที ก้องภูรีบระงับ

“หยุดก่อน”

“ผมไม่หยุด จนกว่าพี่จะตอบผม ว่าพี่คิดอะไรอยู่”

“หยุดก่อนครับ คุณหมอ ถึงโรงเรียนลูกผมแล้ว”

ก้องภูลงจากรถ ไม่นานก็กลับมาพร้อมแม่หนูน้อย บอกลูกสาวว่า

“สวัสดีคุณอาหมอสิลูก”

“สวัสดีค่ะ”

“วันนี้มีการบ้านไหมคะ?”

“มีค่ะ การบ้านศิลปะ ให้ระบายสีรูป หนูเก็บไว้ทำที่บ้านคุณยาย”

ลูกสาวพูดแล้วจึงนึกได้ว่า สุดสัปดาห์นี้ครอบครัวของอุษณีย์พรจะไปเที่ยวตากอากาศชายทะเล หล่อนไปด้วยไม่ได้เพราะติดงาน ส่วนตัวเขาก็ไม่อยากไป มิได้มีปัญหากับครอบครัวของหล่อนหรอก แค่ไม่อยากไป โชคดีที่ลูกสาวสนิทสนมกับญาติ ๆ พอที่จะห่างพ่อแม่สองสามวันได้โดยไม่งอแง โปรแกรมนี้จึงตกลงกันว่า เย็นวันศุกร์จะไปส่งลูกที่บ้านคุณยายและรับกลับตอนบ่ายวันอาทิตย์

สาธิตพยายามข่มอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อครู่ และเตือนสติตัวเองว่า ก้องภูเมื่อหลายปีก่อนกับคนที่อยู่ข้างเขาตอนนี้คือคนละคนกัน รุ่นพี่ในอดีตคือความฝัน ชายหนุ่มในปัจจุบันคือพ่อของลูกสาวน่ารัก สามีของสาวเก่ง…เวิร์กกิ้งวูแมนอย่างอุษณีย์พร

สีหน้าและน้ำเสียงเขาจึงดีขึ้น เกือบเป็นปกติเมื่อถาม

“ให้ไปส่งที่ไหนต่อครับ?”

ถึงบ้านคุณยายแม่หนูน้อยแล้ว ก้องภูลงไปกับลูกสาว สาธิตขอคอยในรถ…เขาไม่อยากเห็นว่าก้องภูเป็นลูกเขยที่น่ารักอย่างไร ความคิดล่องเลยไปด้วยเรื่องของเขา ไม่อาจสลัดหลุดได้ สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจก จึงปลดล็อกให้เขาเปิดประตูขึ้นมานั่งเคียง

“เรียบร้อย ขอบคุณคุณหมอมากครับ ที่ช่วยเหลือ”

“เรียกผมว่า บาส ก็ได้ครับ”

ตัดสินใจว่าเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ ถ้ายังอยากรู้จักกันต่อไป

“กลับไปที่โรงแรมเลยนะครับ หรือพี่ก้องมีธุระที่ไหนหรือเปล่า ผมไปส่งได้”

เขาทำท่านึก ควักโทรศัพท์ขึ้นมาดูนัดหมายแล้วว่า

“ไม่มีธุระอะไรแล้วครับ แต่แบตจะหมด ลูกอยู่ไกล ถ้าติดต่อพ่อไม่ได้เป็นเรื่องแน่” เขาเปรยก่อนสรุปว่า “แวะเอาที่ชาร์จแบตที่คอนโดผมหน่อยได้ไหม ทางผ่านไปโรงแรมพอดี ไม่ต้องอ้อม”

“ได้ครับ” สาธิตตอบอย่างเต็มใจ บังคับพวงมาลัยไปตามเส้นทางที่เขาบอก ถือว่าเริ่มสร้างมิตรภาพกันใหม่

ก้องภูยิ้มแสดงความขอบใจ หากแท้จริงแล้ว…สมใจ เก็บมือถือลงในกระเป๋า

หมอสาธิตมีมารยาทพอที่จะไม่ชะโงกดูหน้าจอโทรศัพท์ ถ้าสายตาเขาซอกแซกสักนิดก็จะเห็นว่า หน้าจอโทรศัพท์ของก้องภูนั้น แบตเตอรีเต็ม

 

ห้องพักของก้องภูอยู่บนชั้นสูงของคอนโดมิเนียมกลางเมือง ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเคร่งครัด คนนอกจะเข้าไปไม่ได้หากไม่มากับเจ้าของห้อง แม้แต่ในลิฟต์ก็ยังต้องแตะการ์ด ไปได้ถึงชั้นที่พักเท่านั้น

สาธิตกวาดสายตาดูห้องพักของก้องภูด้วยความรู้สึกพอใจว่าเขาเป็นคนมีรสนิยม เฟอร์นิเจอร์สีขาว เทา ดำ เข้าชุดกันอย่างเคร่งขรึม สง่า ทว่าไม่หม่นหมอง ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาแต่งงานมีลูกหนึ่งแล้ว ห้องนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับห้องหนุ่มโสด เพราะไม่มีสิ่งใดให้บรรยากาศความเป็นห้องชุดของครอบครัว หรือห้องของคุณพ่อลูกหนึ่งไปได้เลย

“หมออยากดื่มอะไรสักหน่อยไหม หาในตู้เย็นได้เลยนะ ตามสบาย”

เจ้าของห้องบอกแล้วเข้าไปในห้องนอน สาธิตจึงนั่งคอยบนโซฟานุ่มหุ้มเบาะหนัง ไม่หาเครื่องดื่มตามที่เขาอนุญาตเพราะคิดว่าใช้เวลาไม่นาน ทีแรกสาธิตกะว่าจะคอยที่รถหรือไม่ก็ล็อบบี้ แต่คำพูดของก้องภูเหมือนแม่เหล็กดูดดึงให้คล้อยตาม

เขามิได้รบเร้าเอาเป็นเอาตาย ใจของเรานั่นแหละที่อยากตามเขามา…สาธิตยอมรับกับตัวเอง

ก้องภูออกมาจากห้องนอนพร้อมที่ชาร์จแบตในมือ ทำทีหมุนสายเก็บได้แนบเนียน

“พี่ก้องจบจาก…มาเหรอครับ” สาธิตเอ่ยชื่อสถาบันแห่งหนึ่ง “ผมเห็นจากใบประกาศ กับรูปรับปริญญาตรงนั้น”

หันไปมองที่ผนังด้านหนึ่งแล้วก็ยิ้มพยักหน้าแทนคำตอบว่าใช่แล้ว นั่งลงตรงข้ามผู้เป็นแขก

“พี่ขอโทษที่ไปไม่ลา ตอนเจอหน้าหมอวันก่อน พี่เซอร์ไพรส์มาก จำได้ แต่แสดงออกไม่ได้”

สาธิตอึ้งไป ไม่คิดว่าจู่ ๆ เขาก็จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง

‘จำได้’ ทำให้จิตใจที่หม่นหมองค่อยสว่างขึ้น ดุจมีน้ำทิพย์ไหลรินให้สดชื่น

‘แต่แสดงออกไม่ได้’ กลายเป็นความเข้าใจ ว่าทำไมเขาต้องแสดงออกแบบนี้ พร้อมกันนั้นหัวใจของสาธิตก็ให้อภัยทุกอย่างเพราะ

เขายังไม่ลืมเรา…แล้วที่ห้องน้ำปั๊มล่ะ มันคืออะไร

“ไม่ดื่มอะไรซักหน่อยเหรอ” เมื่อคำตอบคือการส่ายหน้า เขาก็ว่า “ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ”

“ครับ” สาธิตตอบ ใจวูบลงไปนิดหนึ่งว่าเดินเกมพลาด

ไอ้ธรรมเนียมการชวนมาที่ห้องพักอย่างนี้ ไม่ว่าจะใช้เวลาในการขี่ม้าเลียบค่าย ร่ายอารัมภบท หรือโอ้โลมปฏิโลมนานแค่ไหน ลำดับต่อไปก็คือการสัมผัสชิดใกล้จนเนื้อตัวเบียดเสียดสีกัน แล้วจบลงที่เตียงนอน

งั้นกลับกันเถอะ…เหมือนดังสวรรค์ล่ม

สาธิตเก้อไปเมื่อก้องภูลุกเดินไปที่ประตู เขาจึงต้องลุกตามไปอย่างเสียดายโอกาสที่ลอยมาตรงหน้าแล้วไม่คว้าไว้ ซ้ำปัดออกไปด้วยมือตัวเอง

“พี่ก้อง!” ร้องออกไป เมื่อเขาหันมาก็ถาม “อยู่ห้องนี้คนเดียวเหรอครับ คือผมหมายถึงว่า ห้องนี้ดูเป็นห้องหนุ่มโสดมากกว่าห้องของคนมีครอบครัวแล้วน่ะครับ”

“พี่อยู่คนเดียว อ้อมเขาก็มีคอนโดตัวเองอยู่อีกที่”

สาธิตคิดว่าการพูดถึงห้องพักจะทำให้ก้องภูหันกลับมาอยู่ในวิถีของการเจรจาที่ควรจะดำเนินไป แต่ผิดคาด เขายังตรงไปที่ประตู ออกนอกห้อง…แล้วปิด

“หมอไปฟิตเนสบ่อยไหม ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาเล่นที่นี่ได้ ฟิตเนสที่นี่ดีมาก” ก้องภูโฆษณาขณะเดินนำไป ผ่านลิฟต์

“ไม่ลงลิฟต์เหรอครับ?”

“เดินลงบันไดดีกว่า ช่วงนี้พี่ไม่ได้เข้าฟิตเนส ก็อาศัยเดินขึ้นลงบันไดเป็นการออกกำลังกาย” เขาว่าแล้วนำไปที่บันได มิใช่บันไดปกติ แต่เป็นบันไดหนีไฟ

“ทำไมต้องลงทางนี้ด้วยล่ะครับ”

“มันเงียบดี” เขาตอบ “บางทีก็ขี้เกียจทักทายคนที่สวนกัน”

โดยพลันที่ไม่ทันตั้งตัว ก้องภูก็หันมาดันร่างสาธิตให้แนบติดผนัง กดปลายจมูกลงไปที่แก้ม ทั้งหน้า และลำคอ กลิ่นน้ำหอมผสานกลิ่นตัวของเขาทำให้สาธิตอ่อนยวบลง ที่จะดึงดันขัดขืนกลับปล่อยไปตามใจเขาจะชักพา ว้าวุ่นใจอยู่นิดหน่อยกลัวว่าใครจะผ่านมาเห็น แต่ความตื่นเต้นก็ทำไฟลุกโหมเผาอารมณ์ให้ร้อนซ่า เสื้อผ้าเหมือนรังไหมที่รัดแน่นจนอึดอัด จนเมื่อก้องภูค่อย ๆ ปลดกระดุมทีละเม็ดแล้วซุกลงที่อกของเขา สาธิตก็ ‘กล้า’ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

สนองตอบจนอีกฝ่าย ‘ดิ้น’ ไม่เป็นท่าเช่นกัน

 

สัมผัสจากฟองน้ำที่เกลี่ยบนผิวหน้าและขนอ่อนนุ่มของแปรงปัดบนแก้มช่วยให้รู้สึกว่าชีวิตชีวาไหลเข้ามาเติมอารมณ์ให้สดชื่น เมฆฉายไม่เคยคิดเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะได้มีโอกาสแต่งหน้ากับ ‘น้องปัทม์’ เมคอัพอาร์ทิสชื่อดัง ฝีมือดี ราคาสูง และคิวแน่นยาวถึงปีหน้า

อุษณีย์พรรอบคอบในการจัดงาน โดยเฉพาะงานวิวาห์ หล่อนจะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมารวมกันตั้งแต่คืนก่อนวันงาน ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หล่อนไม่ไว้ใจช่างหน้า ช่างผม ช่างภาพ และช่างอื่น ๆ ที่อาจก่อปัญหาจนสุดท้ายต้องสบถคำว่า ‘ช่างแม่ง’ เพราะมาถึงงานไม่ทันตามนัดหมาย และพานรวนไปเสียหมดทั้งกระบวน

ให้มาอยู่ด้วยกันก่อนงานเริ่มนี่แหละ เซฟที่สุด

น้องปัทม์มาถึงหลังจากที่ก้องภูและสาธิตออกไป หล่อนมาดูช่างจัดดอกไม้แล้วก็ทึ่งในฝีมือประดิดประดอยของเอกอนงค์และเมฆฉาย ความรู้สึกของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์กระมัง ที่ทำให้น้องปัทม์เห็นว่าเมฆฉายไม่มีความสุข

แล้วกะเทยร้อยทั้งร้อย…อาจจะเหมามากไป เอาแค่ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ถ้าได้แต่งหน้าทาปากแล้วจะอารมณ์ดี สวย ไม่สวย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

น้องปัทม์และเมฆฉายทักทายกันแล้วถูกชะตา เพราะมีเวลาว่างบวกกับคันไม้คันมือ และอยากช่วยให้ฝ่ายนั้นอารมณ์ดีขึ้น เมื่องานจัดดอกไม้เสร็จ จึงชวนเมฆฉายไป ‘แต่งหน้าเล่น ๆ’

“เป็นบุญหน้าจริง ๆ ที่น้องปัทม์มาแต่งให้ ไม่มีปัญญาจ้างหน้าละหมื่น” เมฆฉายว่า “ถามจริง ๆ นะ เคยรับแพงที่สุดเท่าไหร่”

“สองแสน”

“ถึงขนาดนั้นเชียว เลิกจัดดอกไม้ ไปเป็นลูกมือได้ไหมเนี่ย” เมฆฉายหยอกเล่น

“ไม่ต้องเป็นลูกมือหรอกพี่ แต่มาเทคคอร์สแล้วไปรับงานเองดีกว่า หนูกำลังจะเปิดสอนแต่งหน้า”

“แล้วถูกที่สุดเท่าไหร่ เผื่อจะได้มีความหวังมั่ง”

“หน้าละยี่สิบหนูก็เคยแต่งมาแล้ว” น้องปัทม์เล่าขำ ๆ

นึกถึงสมัยเป็นช่างฝึกหัดรับงานแต่งหน้างานกีฬาสีและรับปริญญา

“แต่งแบบอุตสาหกรรม พี่เคยได้ยินไหม?”

“ยังไงเหรอ?”

“ก็ขนช่างไปเป็นทีม ตั้งโต๊ะเป็นด่าน ๆ คนแรกรองพื้นผัดหน้า แล้วก็ลุกไปเขียนคิ้วโต๊ะที่สอง แต่งตาโต๊ะที่สาม ปัดแก้ม ทาลิปโต๊ะสี่ แล้วก็ยีผมโต๊ะห้า ออกมาก็เหมือนกันเด๊ะ ส่วนจะเกิดหรือดับก็อยู่ที่เบ้าหน้าว่าแต่งออกมาแล้วควรจะสรรเสริญหรือสาปส่ง”

เมฆฉายหัวเราะสนุกสนาน

“เสร็จแล้วละ”

ตื่นเต้นทีเดียวเมื่อค่อย ๆ ลืมตามองกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาคือผู้หญิงคนหนึ่งในกรอบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวอยู่เหนือขนตางอนช้อย แก้มสีชมพูน้อย ๆ และริมฝีปากบางใสทำให้ดูเหมือนวัยแรกแย้มด้วยเลือดฝาด…ต่างจากรูปเทพีหอพักชายที่ใส่กรอบตั้งไว้ในห้องราวเทพธิดากับคนป่วยหลุดมาจากโรงพยาบาลบ้า

“คุณพระช่วย! นี่ฉันจริง ๆ เหรอ” เมฆฉายอุทาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเป็นตัวเองจริง ๆ

น้องปัทม์ยิ้มอย่างภูมิใจ ปัดแปรงที่อกเรียบให้ดูเป็นอกร่อง แล้วใช้มือถือถ่ายรูปครึ่งตัวให้คล้ายกับเปลือยท่อนบน เพราะหน้ากับเครื่องแต่งกายของเมฆฉายไม่ไปด้วยกัน อัพขึ้นโซเชียลของตนที่มีคนฟอลโลว์หรือติดตามหลักแสน

“ถ้าได้ชุดดีกว่านี้ก็คงดีหรอก” เมฆฉายรำพึงอย่างเสียดาย

ปลื้มและถ่ายรูปเก็บจนพอใจแล้วก็ชวนออกไปข้างนอกเพราะถึงเวลาอาหารเย็นพอดี

อุษณีย์พรกำลังคุยกับผู้ร่วมโต๊ะ เล่าถึงปัญหาเฉพาะหน้าและวิธีแก้ไขของหล่อน เมื่อเมฆฉายและน้องปัทม์มาถึง หล่อนก็ว่า

“มากันพอดี เชิญนั่ง” หันไปให้สัญญาณบริกร “น้อง ลงอาหารได้เลยจ้ะ”

เมฆฉายหันไปสบตาสาธิตก็เห็นว่าเขามองมา รอว่าใครจะแนะนำตัวกันอย่างไรก็ไม่มีใครพูดอะไรสักคน จนเอกอนงค์เย้า

“พี่หมอ มองตาค้างอะไรอย่างนี้ จำไม่ได้จริง ๆ หรือคะ ว่าใคร”

สาธิตพยายามเพ่งเข้าไปในดวงหน้านั้นประหนึ่งว่าจะให้ทะลุ ก่อนจะร้องออกมา

“ฉาย! คุณฉายจริง ๆ หรือนี่”

“ตกใจในทางที่ดีหรือร้ายคะหมอ” เมฆฉายแซว ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงหัวเราะเบา ๆ และยิ้มบาง

“ลูกโทร.หา บอกว่าถึงบ้านคุณแม่แล้วนะคะ” อุษณีย์พรบอกสามีที่กำลังตักข้าวผัดปูลงจาน “ลูกถึงตั้งนานแล้ว พาคุณหมอไปเถลไถลที่ไหนมา กลับเสียค่ำเลย รถติดหรือคะ”

สาธิตอึ้งไป เหมือนวัวสันหลังหวะ ระแวงขึ้นมาว่า คำถามของอุษณีย์พรกำลังรุกต้อนทั้งที่หน้ายิ้มนี่แหละ

เขาเห็นตอนที่หล่อนทำงานอย่างคล่องแคล่ว เห็นตอนที่หล่อนจัดการกับทีมงาน

หล่อนมิได้ ‘อ่อน’ หรือ ‘หวาน’ อย่างตอนยิ้มหรือเจรจาหรอก

สาธิตรู้อีกว่าถ้าจำเป็นต้อง ‘เชือด’ หล่อนจะทำได้อย่างเลือดเย็นและไม่ลังเล

มือไม้ของชายหนุ่มจึงเย็นเฉียบ นึกหาคำพูดอธิบายเมื่อหล่อนถามมายังเขา…โดยตรง

“ว่าไงคะหมอ พี่ก้องพาไป ‘ซน’ ที่ไหน”



Don`t copy text!