เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 2 : ครูสาวบ้านป่า

เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 2 : ครูสาวบ้านป่า

โดย :

Loading

เหมันต์ตะวันรอน นวนิยายรักโรแมนติกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย นวาภัส เรื่องราวของสาวบ้านป่าที่ได้มาพบคนแปลกหน้าที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ทำไมมานอนหายใจรวยรินอยู่ในทุ่งนากลางป่ากลางเขาแล้วยังมีของสำคัญของเธออยู่ในมือ… “เหมันต์ตะวันรอน” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

บ้านเกาะไพร อ.ปากช่อง

ยามรุ่งอรุณ แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องลงมาบนผืนดินที่ชุ่มฉ่ำ หมู่แมลงปอโบยบินเหนือยอดข้าวเขียวขจี หยดน้ำเกาะพราวอยู่บนใบข้าวทั่วท้องทุ่ง ผืนนาของชาวบ้านเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ตกถล่มแทบทุกวัน ผู้ใหญ่จิตรถึงกับกุมขมับ รีบเรียกลูกบ้านมาช่วยกันผันน้ำออกจากนา เพราะถ้าปล่อยให้น้ำท่วมขังเป็นเวลาหลายวันข้าวของพวกเขาจะเน่าตายเสียหายทั้งหมด

ชาวบ้านนับสิบคนแบกอุปกรณ์จอบเสียมกันออกมา เด็กๆ วิ่งตามเป็นพรวน ทุกคนช่วยกันขุด ช่วยกันเจาะเปิดทางน้ำให้ไหลจากนาข้าวลงสู่ลำคลองใกล้ๆ พื้นที่นาเนื้อที่เกือบสิบไร่ต้องใช้เวลานาน แต่ก็ไม่มีใครบ่นร้อนบ่นเหนื่อย ระหว่างนั้นเด็กๆ ก็สนุกสนานกับการวิ่งไล่จับปูปลาในนาที่มีอยู่มากมาย บางคนถูกปูหนีบร้องไห้กระจองอแงกันไป หนักเข้าก็ถูกผู้ใหญ่ดุเพราะวิ่งเหยียบต้นข้าวล้มระเนระนาด

เพียงจันทร์ หรือที่ทุกคนเรียกชื่อเล่นว่า ลูกจัน ลงครัวทำอาหารพร้อมกับบรรดาพี่ป้าน้าอาที่เป็นผู้หญิง เพื่อนำมาเลี้ยงชาวบ้านที่มาช่วยกันทำงาน

ลูกจันเป็นคนสวย รูปร่างเพรียวบาง ผมยาวสลวย ผิวพรรณขาวผ่องผิดกับสาวชาวบ้านทั่วไป ตั้งแต่แม่ของเธอเสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายตอนเธออายุแค่ 4 ขวบ พ่อก็เลี้ยงดูเธออย่างทะนุถนอม ไม่เคยให้ทำงานหนัก มีหน้าที่ดูแลงานบ้านและทำอาหาร ฝีมือการทำอาหารของลูกจันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน ไม่ว่าจะมีงานเลี้ยงบ้านไหนก็ต้องเรียกหาแม่ครัวใหญ่อย่างเธอ

ผู้ใหญ่จิตรส่งเสียลูกสาวให้เรียนหนังสือสูงๆ เท่าที่จะทำได้ เขาภูมิใจมากที่เธอจบออกมาเป็นครู แล้วมาสอนหนังสือที่โรงเรียนเกาะไพร ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน ลูกจันทั้งน่ารัก มีน้ำใจ และยังมีความรู้เป็นที่พึ่งของทุกคนได้ เธอจึงเป็นขวัญใจของชาวบ้านและหนุ่มๆ ทั้งในและนอกหมู่บ้าน แต่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยชายตามองใครสักคน วันนี้ก็เหมือนกัน หนุ่มโสดและไม่โสดต่างพากันหอบหิ้วสิ่งของมาฝาก มีทั้งของป่า ปลาสด ผลไม้ บางคนพอมีฐานะหน่อยก็ซื้อผ้าจากในเมืองมาฝาก สาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันอิจฉา

“เกิดเป็นลูกจันนี่ดีจังนะ ดูสิมีแต่หนุ่มๆ เอาของมาประเคน” หญิงสาวชาวบ้านรุ่นราวคราวเดียวกันกระเซ้าลูกจัน คนอื่นพากันพยักหน้าเห็นด้วยเป็นแถว

“เอามาประเคนทำไม ฉันไม่ใช่พระนะ” ความอารมณ์ดี ขี้เล่น คือข้อดีอีกอย่างของหญิงสาว ที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขและยิ้มได้

“แล้วเมื่อไหร่ลูกจันจะเลือกใครสักทีล่ะ หนุ่มๆ เทียวไล้เทียวขื่อกันจนหัวกระไดบ้านพ่อผู้ใหญ่เป็นมันแผล็บแล้ว  ฉันว่าอ้ายคมก็หล่อดีนะ เอ๊ะ!! หรือว่าลูกจันจะเลือกลูกชายเถ้าแก่ในตลาด ได้ยินว่าเรียนจบมาจากกรุงเทพด้วยนี่ โก้ดีจัง” สาวรุ่นพี่ที่กำลังนั่งเด็ดพริกโดยมีลูกน้อยวัย 2 ขวบอยู่บนตักจ้องหน้าหญิงสาวด้วยความอยากรู้  ลูกจันไม่ได้ใส่ใจคำถาม แต่กำลังลุ้นอย่างหวาดเสียวว่าแม่ของเด็กจะเผลอใช้มือเปื้อนพริกหยิบขนมข้างตัวใส่ปากลูกเมื่อไหร่

“ฉันยังไม่รีบหรอกจ้าพี่ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม สัก 40 ค่อยแต่งก็ได้” ลูกจันยิ้มหวานและคว้าหม้อใส่หน่อไม้ที่สับไว้เป็นชิ้นเล็กๆ ผละหนีออกจากวงแม่ครัว

“ไอ้ที่ไม่ยอมเลือกใครสักคน เพราะยังลืมทิวไม่ได้หรอกหรือ ฉันละสงสารลูกจันมัน นี่ก็สามปีแล้วมั้งที่ทิวมันหายไป”  คำพูดแทงใจดำลอยมาเข้าหูแม้คนพูดจะพยายามเบาเสียงแล้วก็ตาม

ลูกจันสะดุดกึก ในใจเจ็บแปลบ เธอรีบเดินหนีไปจากตรงนั้น แม้จะเจ็บปวดแต่มันคือความจริง สามปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่เธอไม่รอคอยคนรักที่จากไป ทิวเป็นรักแรกและรักเดียวของเธอ ทั้งสองคนเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกัน แต่ว่าผู้ใหญ่จิตรไม่เห็นด้วยและขัดขวางความรักของทั้งคู่ เพราะทิวเป็นแค่ชายหนุ่มชาวบ้าน เรียนน้อย ไม่มีอนาคต ไม่เหมาะสมกับลูกสาวที่ทั้งสวย มีการศึกษา และเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านที่ผู้คนนับหน้าถือตา

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ทิวตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเดินทางออกจากหมู่บ้านไปหางานทำ เขาสัญญาว่าจะกลับมาเมื่อมีชีวิตที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับเธอ ลูกจันพยายามขอร้องไม่ให้เขาไป แต่คำดูถูกดูแคลนของผู้ใหญ่จิตรและชาวบ้านั เป็นแรงผลักดันให้ทิวตัดใจเดินจากคนรัก มุ่งหน้าไปไขว่คว้าหาความสำเร็จที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่

 

เสียงระฆังตีบอกเวลาเลิกเรียนดังก้องกังวานไปทั่ว ลูกจันรวบแบบเรียนบนโต๊ะขึ้นมากอดไว้แนบอก เธอมองดูเหล่านักเรียนตัวน้อยที่กำลังง่วนกับการเก็บหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ ลงกระเป๋าอย่างเอ็นดู การได้มาเป็นครูสอนเด็กๆ ที่บ้านเกิดเป็นความใฝ่ฝันของเธอ

ตอนที่สอบบรรจุครูได้ใหม่ๆ เธอสอบได้อันดับต้นๆ หลายคนแนะนำให้เลือกโรงเรียนประจำจังหวัด หรือประจำอำเภอ แต่ลูกจันยืนยันหนักแน่นว่าขอสอนโรงเรียนเล็กๆ ในหมู่บ้านของตัวเอง เธออยากมั่นใจว่าเด็กๆ ที่เปรียบเสมือนลูกหลานญาติพี่น้องของเธอจะมีครูที่มุ่งมั่นให้ความรู้แก่พวกเขาอย่างเต็มที่ แล้วผลักดันให้พวกเขามีการศึกษาสูงๆ ไม่ใช่เรียนแค่ ป.4 หรือ ป.7 แล้วออกมาทำไร่ทำนาเหมือนกับพ่อแม่ อย่างน้อยถ้าพวกเขาเหล่านั้นอยากเดินตามบรรพบุรุษ เธอก็อยากให้พวกเขาเป็นชาวนาชาวไร่ที่ฉลาด ไม่ถูกพ่อค้าคนกลางเอารัดเอาเปรียบ

ยังไม่ทันที่ลูกจันจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ นิตยสารสตรีสารฉบับล่าสุดหน้าปกนางสาวไทย ประภัสสร พานิชกุล ในชุดสีน้ำเงินสวยหรู ถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ หญิงสาวตาโตรีบคว้ามาชื่นชมด้วยความปลาบปลื้ม

“มัวแต่ยุ่งกับเด็กๆ ทั้งวัน เกือบลืมเอาให้เลย” ครูสาวร่างท้วมทำท่าหมดเรี่ยวแรง

“ขอบใจนะจ๊ะสาที่ไม่ลืม ไม่อย่างนั้นคงต้องรออีกหลายวันกว่าจะมีคนเข้าเมืองอีก” สาวสวยยิ้มแก้มปริ เธอพลิกสำรวจด้านในหนังสือที่ฝากเพื่อนครูซื้ออย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กเห่อของใหม่ แม้ลูกจันจะไม่ค่อยแต่งตัวฟู่ฟ่าตามสมัยนิยมแต่ก็ชอบอ่านนิตยสารผู้หญิงเป็นชีวิตจิตใจ เพราะนอกจากแฟชั่นทันสมัย เนื้อหาสาระที่เธอชื่นชอบ ยังมีนิยายเรื่องยาวที่รออ่านอย่างใจจดใจจ่อทุกสัปดาห์ แต่ไม่ใช่ว่าจะได้อ่านตรงเวลาทุกฉบับ ถ้าเธอไม่ได้ออกไปทำธุระที่ตัวเมืองหรือตัวจังหวัดก็ต้องรอให้มีคนอื่นออกไป จะได้ไหว้วานให้ซื้อกลับมาให้เหมือนครั้งนี้

“นางสาวไทยคนนี้สวยจังเลย อายุแค่ 16 เอง” ครูผู้หญิงพากันมามุงดูภาพบนหน้าปกหนังสือ ชื่นชมหน้าตาที่สวยหวานตามแบบฉบับสาวไทย และบ่นเสียดายที่นางสาวไทยคนล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมประกวดนางงามจักรวาลเพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์การประกวด

คุยกันพอหอมปากหอมคอทุกคนก็เตรียมเก็บของกลับบ้าน ครูส่วนใหญ่จะพักอาศัยอยู่บ้านพักครูของโรงเรียนเพราะมาจากที่อื่น มีเพียงลูกจันที่เป็นคนในหมู่บ้าน เธอจึงต้องปั่นจักรยานกลับบ้านคนเดียวทุกวัน

“อ้าว จะกลับบ้านกันแล้วหรือ” ครูใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจากการประชุมในอำเภอเดินเข้ามาพอดี “อยู่กันครบเลย ถ้าอย่างนั้นบอกตรงนี้เลยก็แล้วกัน ตอนนี้พวกโจรมันออกอาละวาดอีกแล้ว ทางอำเภอเขาเลยเตือนมาว่าให้พวกครูระวังตัวด้วย ถ้าเห็นคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนก็ให้รีบแจ้งพ่อผู้ใหญ่ เมื่อสองวันก่อนเสือหมายก็พาพวกไปปล้นพวกบ้านเหนือ ดีที่ไม่มีใครเจ็บใครตาย” พอได้ฟังเรื่องราวจากครูใหญ่ บรรดาครูต่างอกสั่นขวัญแขวน วิพากษ์วิจารณ์กันขรม

“แล้วอย่างนี้ไอ้เสือหมายมันจะไม่มาปล้นที่นี่เหรอครับ” ครูหนุ่มรูปร่างผอมแห้งที่เพิ่งย้ายมาใหม่ถามด้วยสีหน้าตื่นตูม

“ที่นี่แทบไม่มีบ้านเศรษฐี มีแต่ชาวบ้านจนๆ เสือหมายคงไม่มาปล้นให้เสียแรงเสียเวลาหรอกค่ะ” ลูกจันเคยได้ยินพ่อพูดถึงเสือหมายบ่อยๆ ว่าเป็นโจรที่ปล้นแต่คนรวยนิสัยไม่ดี เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่าหมู่บ้านของเธอจะปลอดภัยจากการปล้นสะดมของเสือร้าย  นอกเสียจากว่าเขาจะต้องการอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินทองของมีค่า

 

เรือนเขียวเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวหลังย่อมสไตล์คอทเทจ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิด หน้าบ้านมีระเบียงยื่นออกมาสำหรับนั่งพักผ่อนจิบชาชมธรรมชาติ ด้านในถูกแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วน มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องหนังสือ และห้องนอน ช่วงที่ท่านชายรวีเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษใหม่ๆ ได้ให้เพื่อนที่เป็นสถาปนิกชาวอังกฤษออกแบบบ้านหลังนี้ เพื่อไว้เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน แต่หลังจากเสกสมรสได้ไม่นาน เรือนเขียวก็กลายเป็นบ้านที่ท่านชายใช้เวลาประทับมากกว่าตึกใหญ่

วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านชายรวีหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือที่ถูกใช้เป็นห้องทำงานด้วยตั้งแต่เช้าจนเที่ยงวันก็ยังไม่ออกมา ท่านง่วนกับการทรงพระอักษรลงในไดอารีเล่มโปรดเหมือนที่ทำเป็นประจำเกือบทุกวัน จนไม่ได้ยินเสียงพระอนุชาเปิดประตูเข้ามา ท่านชายเล็กยืนมองอยู่สักครู่ เมื่อเห็นว่าคนในห้องไม่มีทีท่าจะรู้ตัวจึงยกมือขึ้นเคาะประตูให้เกิดเสียงดัง พี่ชายรีบวางปากกาแล้วหันมาทันที

“ไปเรียนมารยาทมาจากไหนเนี่ยชายเล็ก เขามีแต่เคาะประตูก่อนเข้าห้อง ไม่ใช่เข้ามาแล้วค่อยเคาะ” ปากก็บ่น มือก็เก็บไดอารีใส่ลิ้นชักโต๊ะ ไขกุญแจล็อกอย่างแน่นหนา

“ลั่นกุญแจขนาดนี้ แสดงว่ามีความลับหรือครับพี่ชายใหญ่” น้องชายทำหน้าทะเล้น ในขณะที่พี่ชายหน้านิ่งเหมือนทะเลไร้คลื่นลม

สองพี่น้องแม้จะถือกำเนิดจากพ่อแม่เดียวกัน แต่ก็มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หม่อมเจ้ารวีกานต์เป็นคนจริงจัง ถือตัว ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อกันมาเหมือนกับมารดา ส่วนหม่อมเจ้ารุ่งรดิศมีนิสัยคล้ายพระราชบิดา เป็นหนุ่มสมัยใหม่ รักอิสระ ไม่ยึดติดกับธรรมเนียมเดิมๆ แถมยังทรงขี้เล่นขี้ประจบจนญาติผู้ใหญ่ต่างรักใคร่แต่ก็อ่อนใจในคราวเดียวกัน ถึงแม้ทั้งสองจะมีบุคลิกอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องที่รักกันมาก ไม่เคยมีความลับต่อกัน คอยช่วยเหลือรับฟังปัญหาของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ท่านชายรดิศกำลังสงสัยว่าพี่ชายอาจจะมีความลับที่เก็บซ่อนไว้ไม่บอกใครแม้แต่ตนเอง

“มาหาเรา มีอะไรหรือเปล่า” เจ้าของบ้านเดินตัวตรงผ่านหน้าน้องชายจอมจุ้นออกจากห้องหนังสือ

“เห็นว่าเที่ยงแล้วพี่ชายใหญ่ยังไม่ออกมา ก็เลยจะมาตามไปกินข้าว” ทั้งสองคนเดินตามกันมาจนถึงระเบียงหน้าบ้าน ลมเย็นๆ พัดโชย กระดิ่งลมที่แขวนไว้หน้าบ้านกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ดอกนางแย้มส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วสวน “วันนี้หม่อมแม่ทำขนมจีนแกงเขียวหวานเนื้อด้วยนะ หรือว่าพี่ชายใหญ่จะไปทานที่ตึกใหญ่กับคุณอิ๋วครับ” น้องชายเรียกชื่อเล่นของพี่สะใภ้อย่างเคยชิน

“ไม่ละ ตึกใหญ่มีแต่อาหารฝรั่ง เราไม่ชอบ” สีหน้าของท่านชายรวีเห็นชัดว่าเบื่อหน่ายจริงๆ เพชรพริ้งชื่นชอบอาหารฝรั่งมากถึงกับจ้างกุ๊กฝรั่งจากโรงแรมมาเป็นคนครัวในวังนฤนารถ ในขณะที่สวามีโปรดอาหารไทย ทั้งสองคนจึงไม่ค่อยร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เพราะรสนิยมการกินแตกต่างกันสิ้นเชิง

“วันนี้อากาศดี เรากินกันที่นี่ดีไหม เดี๋ยวให้สมัยยกขนมจีนแกงเขียวหวานมาที่นี่” พี่ชายเสนอ เมื่อน้องชายเห็นดีด้วย เขาจึงสั่งให้คนไปยกสำรับขนมจีนมาที่เรือนเขียว สองพี่น้องกินอาหารฝีมือแม่อย่างเอร็ดอร่อย แม้จะเป็นนักเรียนนอก แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครโปรดปรานอาหารฝรั่ง ตอนเรียนที่อังกฤษต่างพากันบ่นคิดถึงอาหารไทยฝีมือมารดาเกือบทุกวัน

“งานเป็นยังไงบ้างชายเล็ก เห็นหม่อมแม่บอกว่าจะต้องไปคุมงานตัดถนนที่โคราชเหรอ” หลังจากอิ่มท้อง สองพี่น้องก็พากันนั่งจิบชารับลมเย็นๆ

“ใช่ครับ ทางกรมมีโครงการตัดถนนเพิ่มอีกหลายสาย บางที่ไม่ได้มาตรฐานก็ต้องทำใหม่ ตามนโยบายรัฐบาลนั่นแหละครับ”

ตั้งแต่มีการสร้างถนนมิตรภาพช่วงต่อขยายจากนครราชสีมาจนถึงหนองคาย ในปี พ.ศ.2504 การเดินทางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็สะดวกสบายขึ้น ถนนมิตรภาพเป็นทางหลวงสายแรกที่ก่อสร้างถูกต้องตามแบบมาตรฐานการก่อสร้างทางหลวงที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลต์คอนกรีต ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนาถนนทั่วประเทศให้ได้มาตรฐาน

“แต่ผมเสียดายลำคลองที่ถูกถมทำถนนนะครับ พี่ชายใหญ่จำคลองที่พวกเราเคยไปพายเรือเล่นที่บ้านหม่อมป้าที่อยุธยาได้ไหม” ท่านชายรวีพยักหน้าตอบ “คราวก่อนที่ผมไปสำรวจพื้นที่ คลองนั้นกลายเป็นถนนไปแล้ว ไม่รู้กันหรือไงว่าถมคลองทำถนนจะทำให้เกิดน้ำท่วมได้ ผมละเสียดายบรรยากาศร่มรื่น ตอนนี้เป็นตลาดจอแจวุ่นวายมาก” ท่านชายเล็กทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ

“ตกลงเราทำงานที่กรมทางหลวงหรือกรมชลประทานกันแน่” พี่ชายยิ้มขันกับความคิดและท่าทางไม่สบอารมณ์ของน้อง “ประเทศเรากำลังพัฒนา ของเก่าก็ต้องถูกทดแทนด้วยของใหม่ ถนนก็คือความเจริญ มีถนนก็มีการพัฒนาในท้องถิ่น เหมือนกับที่ท่านนายกบอกนั่นแหละ”

ท่านชายรวียกคำพูดของจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีขึ้นมา เขามักมองโลกและวิเคราะห์ตามความเป็นจริงตามแบบฉบับของนายธนาคาร ต่างกับน้องชายที่เมื่อรู้สึกไม่ชอบใจหรือไม่พอใจกับสิ่งใดก็จะแสดงออกมาตรงๆ  ไม่เก็บอารมณ์ความรู้สึก ทำให้มีปัญหากับหัวหน้างานอยู่บ่อยๆ

“ก็จริงนั่นแหละที่ประเทศของเราต้องการการพัฒนา แต่บางอย่างที่ดีอยู่แล้วก็ควรเก็บไว้นี่ครับ ไม่ใช่แห่เปลี่ยนตามฝรั่งและฝังกลบความเป็นไทยทิ้งไปแบบนี้” ทุกครั้งที่เห็นแม่น้ำลำคลองถูกถมเพื่อทำถนน ท่านชายรดิศจะเศร้าใจทุกครั้ง เขาเคยทำหนังสือเสนอให้เปลี่ยนเส้นทางสร้างถนนหรือให้สร้างขนานไปกับคลอง แต่เรื่องก็เงียบหาย จึงทำได้แค่บ่นดังๆ กับเพื่อนร่วมงานด้วยกัน

“นานาจิตตัง คนเราต่างจิตต่างใจ บางคนก็อยากได้การเปลี่ยนแปลง ชอบวัตถุนิยม ชอบตามฝรั่ง แต่บางคนก็ชอบอะไรเดิมๆ พอใจกับสิ่งที่คุ้นเคย ภูมิใจกับความเป็นชาติไทย หรือบางคนก็แค่อยากปกป้องความทรงจำที่มีความสุขเหมือนกับชายเล็กยังไงล่ะ” พี่ชายยิ้มอย่างรู้ทัน เขารู้จักน้องชายตัวเองดี แม้จะเป็นคนทันสมัย เจ้าสำราญ พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ แต่กลับโหยหาความทรงจำวัยเด็ก คงเพราะเป็นช่วงวัยที่มีแต่ความสุขความสนุกของครอบครัว นับตั้งแต่พระองค์เจ้ารังสิรัตน์ พระราชบิดาป่วยด้วยโรคร้าย ความสุขที่เคยมีก็ค่อยๆ จางหายไป จนถึงวันที่ท่านสิ้นพระชนม์

“พอๆ พูดเรื่องการเมืองแล้วปวดหัว ถ้าจะเดินทางเมื่อไหร่ผมจะบอกนะเผื่อว่าพี่ชายใหญ่อยากไปส่องสัตว์ที่เขาใหญ่ด้วย” ท่านชายเล็กขัดใจเมื่อถูกรู้ทันเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“ว่าแต่พี่ชายใหญ่เถอะ แยกห้องนอนกันแบบนี้แล้วเมื่อไหร่หม่อมแม่จะได้อุ้มหลานสักทีล่ะครับ บ่นอยากมีหลานทุกวัน วันก่อนก็แอบกระซิบบอกสงสัยพี่ชายใหญ่จะเป็นหมัน เพราะแต่งงานมาสองปีแล้วยังไม่มีลูกสักที ผมนี่หน้าม้านเลย อยากจะบอกให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า ลูกชายหม่อมแม่ไร้น้ำยา เอาแต่ทำงานหาเงินจนหลับคาห้องทำงานเกือบทุกคืน ถ้าพี่ชายใหญ่ไม่ขอร้องไว้ผมคงบอกหม่อมแม่ไปแล้ว”

ท่านชายรวีถอนหายใจเฮือก เขาเองก็ไม่อยากปิดบังมารดา แต่เพราะเป็นปัญหาในครอบครัวจึงไม่อยากให้ใครมารับรู้ โดยเฉพาะมารดา แต่น้องชายจอมจุ้นกลับสังเกตเห็นความผิดปกติมาคาดคั้นเอาความจริง จนเขาต้องอ้อมแอ้มบอกความจริงไปครึ่งๆ กลางๆ

“นายเล็กก็เห็นนี่ว่าปีสองปีนี้งานเรายุ่งมาก” เหตุผลข้างๆ คูๆ ที่อ้างออกมาไม่น่าเชื่อถือสำหรับน้องชายที่กำลังจ้องจับผิด

“นี่ก็สองปีแล้ว พี่ชายใหญ่ไม่รู้สึกรักคุณอิ๋วบ้างเลยหรือครับ เธอก็สวยดีนะ” ท่านชายรดิศรู้ดีว่าถึงจะแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณี แต่พี่ชายไม่ได้มีจิตพิศวาสพี่สะใภ้สักนิด ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าพี่ชายไม่เคยร่วมหอกับชายาคนสวยสักครั้งเดียว

“ความสวยแลกความรักไม่ได้หรอก มันต้องมีมากกว่านั้น ชายเล็กก็รู้ว่าเขาไม่มีอะไรที่เหมือนหรือเข้ากับเราได้เลย เราแต่งงานก็เพราะไม่อยากให้ท่านพ่อทรงถูกตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ ราชสกุลต้องมัวหมองด้วยคำติฉินนินทาของคนอื่น” สีหน้าของเขาหม่นหมองลง

การแต่งงานที่ไม่ได้เต็มใจทำให้ท่านชายต้องอยู่กับความขมขื่น ปีแรกเขาพยายามทำทุกอย่างให้เพชรพริ้งสบายใจ ให้เกียรติเธอในฐานะภรรยา พาออกงานสังคม  ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือต้องการเพชรนิลจินดาสิ่งของมีค่าอะไรก็ซื้อหาให้ เพราะอยากชดเชยที่ไม่สามารถฝืนใจให้รักและทำหน้าที่สามีตามพฤตินัยได้ แต่นานวันเพชรพริ้งก็ยิ่งเรียกร้องไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อใดที่ถูกขัดใจ เธอก็จะหาเรื่องทะเลาะและพาดพิงไปถึงคนในครอบครัวของท่านอย่างไม่ไว้หน้า บ่าวไพร่ในบ้านได้ยินกันจนชินหู

ท่านชายรวีตรัสสั่งห้ามทุกคนนำเรื่องในบ้านไปพูดให้ใครฟัง โดยเฉพาะมารดาของเขา เมื่อบ่อยครั้งเข้า ตัวเขาเองก็เบื่อหน่ายและรู้สึกเดียดฉันท์ในความร้ายกาจ ความไม่รู้จักพอของชายา จนไม่อยากเห็นหน้าหรือแม้แต่จะพูดถึง ท่านพาตัวเองเสด็จมาอยู่ที่เรือนเขียวบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่สิ่งที่คิดว่าคือทางออกที่ดี กลับทำให้เพชรพริ้งยิ่งแค้นเคืองและต้องการเอาชนะมากขึ้น



Don`t copy text!