เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 1 : งานเลี้ยงที่ไร้เงาสวามี

เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 1 : งานเลี้ยงที่ไร้เงาสวามี

โดย :

เหมันต์ตะวันรอน นวนิยายรักโรแมนติกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย นวาภัส เรื่องราวของสาวบ้านป่าที่ได้มาพบคนแปลกหน้าที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ทำไมมานอนหายใจรวยรินอยู่ในทุ่งนากลางป่ากลางเขาแล้วยังมีของสำคัญของเธออยู่ในมือ… “เหมันต์ตะวันรอน” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

6 เดือนก่อน

อาคารสถาปัตยกรรมสไตล์วิกตอเรียนโกธิคสีไข่ไก่สูง 2 ชั้น โดดเด่นด้วยปีกอาคารที่โค้งหักมุมคล้ายปราสาท หน้าต่างบานใหญ่ประดับลายปูนปั้นสวยงามและได้สัดส่วนกลมกลืน ‘วังนฤนารถ’ เป็นอาคารเก่าแก่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนอันร่มรื่นใจกลางเมืองหลวง ปกติที่นี่จะเงียบสงบแม้อยู่ในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ แต่อาณาเขตที่กว้างขวางก็ทำให้หลบลี้จากความวุ่นวายภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่บ่ายวันนี้กลับแตกต่างจากทุกวัน

ภายในอาคารที่สวยวิจิตร ผู้คนนับสิบวิ่งวุ่น ชุลมุนกับการตกแต่งสถานที่ให้สวยงามยิ่งขึ้น ดอกไม้สีม่วงขาวจำนวนมากถูกประดับประดาไปทั่วชั้น 1 ของวัง ไม่เว้นแม้แต่ราวบันไดเวียน เพื่อเนรมิตงานเลี้ยงเต้นรำวันเกิดของหม่อมหลวงเพชรพริ้งให้เลิศหรูอลังการสมกับเป็นชายาของ หม่อมเจ้ารวีกานต์ วงศ์นฤนารถ นายธนาคารหนุ่มผู้ร่ำรวยเจ้าของวังเก่าแก่

ตั้งแต่แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ 2 ปี คืนนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวครั้งแรกที่เธอได้รับอนุญาตให้จัดได้ ก่อนหน้านี้แม้จะพยายามขอจัดงานต่างๆ แต่ทั้งสวามีและหม่อมแม่ของเขาไม่เคยยินยอม อ้างเหตุผลต่างๆ นานา บ้างก็ว่าไม่เหมาะสม บ้างก็ว่าวุ่นวาย เธอจึงต้องไปจัดที่โรงแรมบ้าง หรือที่บ้านของตัวเองบ้าง ทุกครั้งที่โดนปฏิเสธเธอจะรู้สึกอับอายเพื่อนๆ และคนในวงสังคมผู้ดีที่ต่างคอยจับจ้องซุบซิบนินทา

แม้เธอจะมีเชื้อสายราชนิกุล บิดาคือหม่อมราชวงศ์อดิศร แต่แม่เธอก็เป็นแค่ลูกสาวเถ้าแก่โรงสี เธอจึงเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาที่ไร้ฐานันดรศักดิ์ เมื่อมีโอกาสได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและร่ำรวย จึงหวังว่าชีวิตจะเพียบพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ หรูหรา และสูงศักดิ์  มีแต่คนหมอบกราบ แต่ความเป็นจริงกับความฝันช่างสวนทางอย่างน่าแปลกใจ

การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักแต่ถูกผู้ใหญ่บีบบังคับ ทำให้เธอถูกหมางเมินจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามี  แม้จะมีเงินทองให้ใช้จ่ายไม่ขาดมือ แต่กลับไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่อย่างที่ภรรยาควรได้รับ เพชรพริ้งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ผู้อาศัยไม่ใช่เจ้าของบ้านทั้งที่แต่งงานเข้ามาอย่างถูกต้อง เธอจึงอยากเอาชนะทุกคนในวังนฤนารถ และคนรอบข้างที่คอยดูถูกเหยียดหยาม สักวันเธอจะต้องได้ครอบครองที่นี่อย่างเต็มตัวและชอบธรรม

เพชรพริ้งคร่ำเครียดชี้นิ้วสั่งงานเป็นพัลวัน บรรดาคนรับใช้วิ่งลนลานทำตามคำสั่งจนเหนื่อยหอบ แชมเปญราคาแพงและอาหารเลิศหรูจำนวนมากถูกลำเลียงมาจากโรงแรมดัง แม้แต่วงดนตรีที่จะมาบรรเลงเพื่อสร้างความเพลิดเพลิน เธอก็เลือกวงที่ดีที่สุด คืนนี้จะต้องเป็นงานเลี้ยงที่ผู้คนในวงสังคมชั้นสูงพากันชื่นชมและพูดถึงไปอีกนาน

หญิงสาวแปลกใจเมื่อเห็นทุกคนหยุดมือกับงานที่ทำอยู่ พร้อมใจกันเบี่ยงตัวหลบและยกมือไหว้ใครบางคน เธอหันไปมอง เมื่อเห็นว่าหม่อมเจ้ารวีกานต์ สวามีผู้สูงศักดิ์ในชุดสูทราคาแพงพร้อมกระเป๋าเอกสาร กำลังเดินเข้ามา เธอจึงส่งยิ้มละไมให้เขา

“วันนี้เสด็จกลับเร็วจัง เดี๋ยวหม่อมฉันไปนำน้ำชามาถวายนะเพคะ”

“ไม่ต้องหรอก คุณจัดการธุระไปเถอะ” ท่านชายดำเนินขึ้นบันไดด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามถึงงานคืนนี้ สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับเพชรพริ้ง ยิ่งนานวันเธอยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก มีหลายครั้งที่อยากขอหย่าให้สิ้นเรื่อง แต่มารดาของเธอก็ห้ามไว้และบอกให้อดทน เพราะเมื่อไหร่ที่เธอให้กำเนิดทายาทของท่านชายรวี เธอก็จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทุกอย่าง ไม่ใช่แค่วังนฤนารถ แต่หมายถึงทรัพย์สินมหาศาลที่ใช้กี่ชาติก็ไม่หมด ซึ่งจะทำให้ครอบครัวของเธอที่กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวได้ลืมตาอ้าปากใช้ชีวิตอยู่ในวงสังคมชั้นสูงได้ต่อไป

ทุกครั้งที่เห็นแม่มีความหวัง เพชรพริ้งรู้สึกเศร้าใจ เธอไม่กล้าบอกความจริงกับมารดาว่าตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมา ท่านชายไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอ ไม่เคยร่วมห้องหอกันสักครั้ง ทั้งที่เธอเป็นคนสวยสง่า ถึงขนาดเคยมีผู้ใหญ่มาทาบทามให้เป็นนางเอกละคร แต่บิดาของเธอไม่อนุญาตเพราะเกรงจะถูกครหาว่ามีลูกสาวเต้นกินรำกิน

ก่อนแต่งงานมีผู้ชายมากหน้าหลายตาหมายปองหญิงสาว แต่เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้หมั้นหมายลูกๆ กันเอาไว้ เธอจึงต้องแต่งงานกับเขา เจ้าชายรูปงามผู้สูงศักดิ์และเพียบพร้อม หญิงสาวในสังคมชั้นสูงต่างพากันริษยาในวาสนาของเธอ แม้แต่ตัวเองยังเคยคิดว่าช่างโชคดีที่ได้เป็นชายาของหม่อมเจ้ารวีกานต์ แต่เพียงไม่นานเธอก็รู้ว่าการแต่งงานที่ปราศจากความรัก คือการถูกจองจำดีๆ นั่นเอง

“หม่อมครับ จะให้ผมเอาไปไว้ไหนครับ” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาแต่งกายดี หอบถุงใส่ชุดราตรียาวไว้ในมืออย่างทะนุถนอม

“มาแล้วเหรอเมษา เอาไปแขวนไว้ที่ห้องฉันเลย” เมษาค้อมศีรษะรับคำสั่ง ขณะเดินขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนก็สวนทางกับท่านชายรวีที่เดินลงมาในชุดลำลอง ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลีกทางแล้วยกมือไหว้เจ้าของวังอย่างนอบน้อม ท่านชายพยักหน้าน้อยๆ ให้ผู้ช่วยของชายา พระพักตร์เรียบเฉยแต่ในใจครุ่นคิดบางอย่าง

“ฝ่าบาทจะเสด็จไปทรงงานที่เรือนเขียวเหรอเพคะ”

“ใช่ แต่จะแวะไปหาหม่อมแม่ที่ตึกเล็กก่อน” ท่านชายตั้งใจว่าจะไปรับประทานอาหารเย็นกับหม่อมหลวงสกลวรรณ ผู้เป็นมารดา

“แต่คืนนี้ฝ่าบาทจะเสด็จออกงานเลี้ยงพร้อมหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ” เพชรพริ้งทำสีหน้าอ้อนวอน เพราะตั้งแต่เธอเริ่มวางแผนจัดงานจนถึงวันนี้เกือบหนึ่งเดือน สวามีไม่เคยถามไถ่แม้แต่น้อย จนเธอหวั่นใจว่าเขาจะไม่ยอมออกมาร่วมงาน ถ้าเป็นเช่นนั้นแขกเหรื่อคงได้หัวเราะเยาะและเอาไปนินทากันทั่ววงสังคม

“ไม่ละ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบงานเลี้ยงเต้นรำ” เขาตอบโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย “คืนนี้ผมคงทำงานดึก จะนอนที่เรือนเขียวเลยนะ” เพชรพริ้งกำลังจะอ้าปากตัดพ้อ แต่ท่านชายไม่เปิดโอกาส ก้าวเท้าผ่านหน้าชายาออกไปเหมือนลมพัด หญิงสาวกำมือแน่นทั้งเสียใจ เจ็บใจ และอับอายที่ถูกสามีเมิน คนรับใช้และคนงานต่างพากันก้มหน้าหลบสายตาเกรี้ยวกราดของเธอ คนในวังเคยชินกับความเย็นชาที่ท่านชายรวีมีต่อชายา แต่สำหรับคนนอกวังนี่คือเรื่องแปลก ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดงานเลี้ยงวันเกิดของภรรยาแต่สามีกลับประกาศชัดว่าจะไม่มาร่วมงาน

 

หม่อมหลวงสกลวรรณ เหลือบไปเห็นลูกชายคนโตเดินเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นจากการพับกระทงใบตองสำหรับใส่ห่อหมกปลาเย็นนี้ เสียงละครวิทยุเรื่องโปรดดังไปถึงหน้าประตู หญิงสูงวัยเอื้อมมือไปปิดวิทยุด้วยความเสียดาย เพราะละครกำลังถึงตอนสนุก

“ไม่อยู่ช่วยเมียจัดงานเลี้ยงหรอกรึชายใหญ่” ทันทีที่ลูกชายนั่งลงข้างๆ มารดาก็เอ่ยปากถาม

“ปล่อยให้เขาจัดการไปเถอะค่ะ” ท่านชายตรัสอย่างไม่ใส่ใจ และเอื้อมหัตถ์ไปคว้าใบตองบนโต๊ะมาพับเป็นกระทงด้วยท่าทางคล่องแคล่วและชำนาญ “เย็นนี้มีห่อหมกแน่เลยใช่ไหมคะหม่อมแม่ ชายขอกินข้าวเย็นด้วยนะคะ คิดถึงห่อหมกฝีมือหม่อมแม่มาหลายวันแล้ว”

“อ้าว อย่าบอกนะว่าชายใหญ่จะไม่ออกไปงานเลี้ยงวันเกิดแม่เพชรพริ้ง จะดีเหรอลูก ผู้คนเขาจะนินทาเอาได้นะ” ผู้เป็นมารดาเตือนลูกชายด้วยความเป็นห่วง

“โถ…หม่อมแม่ครับ หม่อมเจ้ารวีกานต์ผู้เย็นชาเขาไม่สนปากคนหรอกครับ” สุรเสียงก้องกังวานของหม่อมเจ้ารุ่งรดิศ ลูกชายคนเล็กดังแทรกเข้ามา หนุ่มหล่อร่างสูงผิวคมเข้มแบบนักกีฬา แววตาขี้เล่น นั่งลงกอดหอมมารดาออดอ้อนเหมือนเด็กๆ กิริยาท่าทางผิดกับพระเชษฐาราวกับไม่ได้เกิดในรั้วในวังเดียวกัน

ท่านชายเล็กเป็นหนุ่มนักเรียนนอกเหมือนพี่ชายแต่หัวสมัยใหม่กว่ามาก เขาไม่ชอบปฏิบัติตามขนบจารีตชาววัง จึงไม่โปรดการพูดราชาศัพท์และรับสั่งกับทุกคนให้พูดธรรมดากับเขา แต่ไม่มีบ่าวไพร่คนไหนในวังนฤนารถที่กล้าทำตามรับสั่ง โดยเฉพาะต่อหน้าท่านชายใหญ่

“ชายเล็กนี่ ชอบแหย่พี่เขาอยู่เรื่อย” หญิงสูงวัยดุลูกชายคนเล็กน้ำเสียงเอ็นดู “กลับมาแล้วก็รีบไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวจะได้ลงมากินข้าวกัน” ท่านชายรดิศส่งสายตาล้อเลียนไปที่พระเชษฐาที่ทรงง่วนกับการพับกระทงใบตอง

“ผมชักเริ่มสงสารชายาของพี่ชายใหญ่ซะแล้วสิ งานวันเกิดทั้งทีแถมเป็นงานวันเกิดที่จัดในวังเป็นครั้งแรก แต่สวามีกลับไม่ออกไปร่วมงาน ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือครับท่านชายรวี…” น้องชายลากเสียงยาวล้อเลียน

“ถ้าอย่างนั้น ชายเล็กก็ไปแทนเราสิ ชอบงานเลี้ยงเต้นรำไม่ใช่เหรอ” เมื่อถูกโบ้ยไปให้ ท่านชายเล็กถึงกับสะดุ้งโหยงส่ายพักตร์โบกหัตถ์ปฏิเสธพัลวัน โวยวายเสียงดังเหมือนเด็กๆ จนพี่ชายต้องแอบอมยิ้ม “แล้วนี่นั่งรถรางไปทำงานอีกแล้วหรือถึงไม่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา” ท่านชายรวีทรงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากตรัสเรื่องส่วนตัว

“ใช่ครับ อีกไม่นานก็จะยกเลิกรถรางสายสุดท้าย ผมเลยอยากนั่งเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้นั่งอีกแล้วครับ” น้องชายทำหน้าเสียดายที่รถรางสายสุดท้ายของกรุงเทพฯ ที่กำลังจะถูกยกเลิกการใช้งาน

“เราก็เสียดายนะ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อทำไปก็มีแต่ขาดทุน” ท่านชายใหญ่เข้าใจความรู้สึกของน้องชายดี เขาเองก็ไม่อยากให้สิ่งบ่งชี้ความเจริญในอดีตต้องหายไปตามกาลเวลา แต่เมื่อกิจการไม่มีกำไร รัฐก็คงไม่เก็บไว้ให้เป็นภาระ “ชายขอไปทำงานที่เรือนเขียวก่อนนะคะหม่อมแม่” ลูกชายคนโตวางมือจากกระทงที่พับเสร็จเรียบร้อยสวยงาม

“ไปเถอะ ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วจะให้สมัยไปตาม”  หม่อมสกลวรรณมองตามแผ่นหลังกว้างของลูกชายคนโตด้วยสีหน้ากังวล แม้ไม่พูดเธอก็รู้ว่าชีวิตสมรสของลูกชายไม่ราบรื่นอีกแล้ว

ท่านชายรวีเกลียดการคลุมถุงชน แต่ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งเสียก่อนสิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้ารังสิรัตน์ผู้เป็นบิดา จึงจำใจเสกสมรสกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก ผู้ใหญ่ต่างก็พูดว่าแต่งไปแล้วเดี๋ยวก็รักกันเอง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 2 ปี ความรู้สึกที่มีต่อภรรยาในนามยังคงเหมือนเดิม หรืออาจแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะวันเวลาทำให้เขาเห็นว่าเพชรพริ้งเป็นผู้หญิงที่ฟุ้งเฟ้อ โอ้อวด ไร้แก่นสาร และชอบดูถูกคนอื่น ซึ่งข้อสุดท้ายเป็นนิสัยที่เขารับไม่ได้เลย

งานเลี้ยงคืนนั้นเต็มไปด้วยสีสันและความเลิศหรูจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่ววงสังคม รวมถึงเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ที่อื้ออึงกว่าคำชื่นชม ก็คือเสียงนินทาที่สวามีผู้สูงศักดิ์ไม่ยอมออกงานพร้อมชายา ผู้คนต่างพากันคาดเดาเหตุผลกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าทั้งคู่มีปัญหากำลังจะเลิกร้าง บ้างก็ว่าปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ ที่หนักหน่อยก็ว่าท่านชายรวีนอกใจแอบมีผู้หญิงอื่น

เมื่อมีผู้หวังดีมาทูลให้ทรงทราบ ท่านชายไม่มีทีท่าจะสนใจกับข่าวลือไร้สาระเหล่านั้นแม้แต่น้อย ต่างกับเพชรพริ้งที่อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี และเมื่อได้เห็นข่าวซุบซิบช่องเล็กๆ ในหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่เขียนทำนองว่าเธอใกล้หมดบารมี อาจเป็นนางฟ้าตกสวรรค์เร็วๆ นี้ ยิ่งทำให้หญิงสาวเดือดดาล อาละวาดขว้างปาข้าวของจนบ่าวไพร่แตกกระเจิง

“หม่อมใจเย็นๆ ก่อนเถอะครับ อย่าทำแบบนี้เลย” เมษาพยายามห้ามปรามเพชรพริ้ง เขาเกรงว่าถ้าท่านชายรวีมาเห็นเข้าจะเกิดเรื่องเพิ่มขึ้นไปอีก

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ คอยดูนะเมษา ฉันจะจัดการกับไอ้พวกที่มันกล้าดูถูกฉัน พวกมันต้องแหลกละเอียดเหมือนข้าวของพวกนี้” เพชรพริ้งคว้าเครื่องแก้วราคาแพงขึ้นมาจะขว้างออกไป แต่เมษาดึงออกจากมือไปก่อน

“หยุดเถอะครับหม่อม ถ้าท่านชายมาเห็นเข้าจะทรงกริ้วเอานะครับ” ชายหนุ่มเตือนด้วยความหวังดี เขารู้ดีว่าท่านชายรวีเป็นคนเข้มงวด และไม่ชอบให้ใครสร้างความวุ่นวายภายในวังของท่าน แม้เพชรพริ้งจะเป็นภรรยา แต่ก็ไม่ได้รับการยกเว้น คำเตือนของเมษาแทนที่จะทำให้เธอสงบลง กลับทำให้ขุ่นเคืองใจมากกว่าเดิม

“จริงสินะ ฉันมันก็แค่คนอาศัย ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ ไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นเมีย ขนาดวันเกิดของเมียตัวเองยังไม่ออกจากห้องทำงาน  เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงได้ถูกพวกชาวบ้านมันนินทาอย่างสนุกปาก ฉันต้องทำยังไงเหรอเมษา ท่านชายถึงจะเห็นคุณค่าของฉันบ้าง” จากความโกรธกลายเป็นความเสียใจ น้อยใจ หญิงสาวน้ำตาไหล ทรุดตัวร้องไห้ออกมา เมษาเห็นใจนายหญิงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“ฉันอยากไปดื่มไปเต้นรำให้ลืมความเจ็บปวดความอับอายให้หมด เธอไปเตรียมรถให้ฉันเดี๋ยวนี้” ร้องไห้ได้ไม่นานเพชรพริ้งก็ปาดน้ำตาทิ้งเรียกความเข้มแข็งกลับมา แม้เมษาจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไร แต่เวลานี้เขาก็ไม่อยากขัดใจเธอ การได้ผ่อนคลายและระบายออกเสียบ้างอาจดีกว่าเก็บความรู้สึกไว้ในใจเพียงลำพัง

 

หลังจากส่งเพชรพริ้งที่เมามายแทบไม่ได้สติกลับวังนฤนารถ เมษาก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านเช่าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก บ้านเช่าของเขาเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ มีพื้นที่สวนขนาดย่อมพอให้ร่มรื่น เขารู้สึกตัวเองโชคดีที่ไม่ต้องไปอยู่ในห้องแถวแออัดเหมือนแต่ก่อน เป็นเพราะเพชรพริ้งที่ดึงเขาขึ้นมาจากความซอมซ่อ ถ้าไม่มีเธอป่านนี้เขาคงยังเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร

เสียงท้องฟ้าคำรามลั่น เมฆหนาบดบังพระจันทร์และดวงดาวจนมืดมิด เมษานั่งมองสายฟ้าที่ฟาดลงมาไกลๆ ท้องฟ้าสว่างวาบทุกครั้งที่สายฟ้าพิโรธ สายฝนเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปรายลงมา มันทำให้เขานึกถึงวันที่โชคชะตาพลิกผัน

วันนั้นเขาไปทำงานเสิร์ฟในภัตตาคารจีนย่านเยาวราชตามปกติ ด้วยความที่หน้าตาหล่อเหลาอย่างกับพระเอกหนัง ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าผู้หญิง แต่มักเป็นที่หมั่นไส้ของลูกค้าผู้ชาย ระหว่างทำงานเขาสะดุดตาในความสวยสง่าของหม่อมหลวงเพชรพริ้ง เธอมาพร้อมกับเพื่อนชายหญิงหลายคน จากบุคลิกการพูดจาที่ไว้ตัวและเจ้ายศเจ้าอย่างก็พอจะเดาได้ว่าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล

‘มึงจ้องแฟนกูทำไมไอ้กระจอก’

เพื่อนชายคนสนิทของเธอเข้ามาผลักอกเขาจนเซ เขายอมรับในใจว่าแอบมองหญิงสาวจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าชื่นชมในความงามของเธอ แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชายคนนั้น เมษาต้องทนก้มหน้าทนฟังคำดูถูกเหยียดหยามสารพัด แม้จะโกรธแต่ก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ เพราะรู้ดีว่าถ้ามีปัญหากับลูกค้าจะต้องถูกไล่ออก จึงได้แต่ก้มหน้าขอโทษ แต่ผู้ชายคนนั้นยังคงหาเรื่องเขาไม่หยุด เพชรพริ้งกับเพื่อนๆ ต้องพากันห้ามปราม เจ้าของร้านเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้เขากลับบ้านไปก่อนเพื่อตัดปัญหา

ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์ฝนก็กระหน่ำลงมา ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเพชรพริ้งลงจากรถหรูมาทะเลาะกับเพื่อนชายที่ริมถนน ผู้ชายฉุดกระชากบังคับเธอให้ขึ้นรถ เมษารีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยและชกต่อยกัน เมื่อสู้ไม่ได้เพื่อนชายของเพชรพริ้งก็ขับรถหนีไป ทิ้งให้เธอยืนเคว้งคว้างตากฝนท่ามกลางความมืด เขาทำได้แค่ปลอบใจและอาสานั่งรถแท็กซี่ไปส่งเธอที่บ้านเพราะกลัวว่าจะอันตรายถ้านั่งไปคนเดียว

วันรุ่งขึ้นผู้ชายคนนั้นก็พาตำรวจมาจับเขาที่ภัตตาคารข้อหาทำร้ายร่างกาย เขาต้องนอนในคุกอยู่ 2 คืน ก่อนที่เพชรพริ้งจะมาพาตัวออกไป เธอขู่เพื่อนชายว่าถ้าไม่ถอนแจ้งความ เธอจะแจ้งความจับเขาข้อหาทำร้ายร่างกายเธอ เมษาจึงไม่ต้องติดคุกและยังได้มาทำงานให้เพชรพริ้งและครอบครัว

ตั้งแต่นั้นมาเขากลายเป็นผู้ติดตามคนสนิท มีหน้าที่ขับรถและดูแลปกป้องเธอจากทุกสิ่งทุกคนที่เธอไม่พึงปรารถนา เขาทำหน้าที่อย่างภักดีจนเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของทุกคนในบ้าน เพชรพริ้งตอบแทนเขาด้วยเงินเดือนที่มากโข จับเขาแต่งเนื้อแต่งตัวจนกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามรสนิยมดี  ชีวิตของเมษาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน ที่สำคัญเขาได้รับการยอมรับมากขึ้น ผู้หญิงรอบข้างไม่ว่าจะชาวบ้านธรรมดาหรือชนชั้นสูงพากันมองเขาด้วยความพึงใจ

เมื่อเพชรพริ้งแต่งงานกับหม่อมเจ้ารวีกานต์  เมษาก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเอง คอยดูแลเพชรพริ้งอย่างใกล้ชิด แม้จะถูกจับจ้องจากคนในวังนฤนารถบ้าง แต่ด้วยความเป็นคนอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ ทำให้ใครต่อใครชื่นชอบและเอ็นดู เขาจึงทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจ มีเพียงพระสวามีของเจ้านาย ที่เขาคาดเดาไม่ได้ ท่าทางเย็นชาเคร่งขรึม และไม่แสดงความรู้สึกของท่าน ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงและมีความไม่สบายใจอยู่ลึกๆ



Don`t copy text!