เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 4 : เสือร้ายแดนอีสาน

เหมันต์ตะวันรอน บทที่ 4 : เสือร้ายแดนอีสาน

โดย :

Loading

เหมันต์ตะวันรอน นวนิยายรักโรแมนติกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย นวาภัส เรื่องราวของสาวบ้านป่าที่ได้มาพบคนแปลกหน้าที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ทำไมมานอนหายใจรวยรินอยู่ในทุ่งนากลางป่ากลางเขาแล้วยังมีของสำคัญของเธออยู่ในมือ… “เหมันต์ตะวันรอน” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

กลางดึกของคืนเดือนมืดที่ไร้แสงดาวและแสงเดือน มีเพียงแสงไฟดวงน้อยนับร้อยดวงจากหิ่งห้อยที่บินล้อลมหนาวอยู่ตามพุ่มไม้ใบบัว ในขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหลดิ่งสู่ภวังค์แห่งฝัน เสียงรถมอเตอร์ไซค์หลายคันเร่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วผืนป่า ตามด้วยเสียงปืนอีกหลายนัดดังกึกก้องทำลายความเงียบสงัด ปลุกผู้คนให้ตกใจตื่น

เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากบ้านหลังใหญ่ของเศรษฐีแก้ว แห่งโคกมะเดื่อ เศรษฐีหน้าเลือดที่รู้จักกันทั่วท้องทุ่งเรื่องการเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน เสียงปืนดังออกมาเป็นระยะ ผสมปนเปกับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาไม่ขาดสาย

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรีบปิดประตูหน้าต่างจนแน่นหนาแล้วพากันสวดมนต์ภาวนาด้วยความกลัว เสียงแว่วๆ ลอยมาตามลม จับใจความได้ว่าเสือหมายกำลังปล้นบ้านเศรษฐีแก้ว ไม่มีใครกล้าออกไปช่วยเพราะรักตัวกลัวตาย ที่สำคัญเศรษฐีแก้วก็ไม่ใช่คนดิบดีที่พวกเขาจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือ บางคนถึงกับสมน้ำหน้าเมื่อรู้ว่าเศรษฐีหน้าเลือดกำลังถูกปล้น เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเสือหมายและพรรคพวกก็พากันหลบหนีหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบดังเดิม

รุ่งเช้าพวกชาวบ้านพากันไปที่บ้านเศรษฐีแก้วเพื่อสอบถามเรื่องราว เจ้าของบ้านนั่งหมดอาลัยตายอยาก ทรัพย์สินมีค่าถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยง เขาเป็นเดือดเป็นแค้นเสือหมายที่จ้องเล่นงานตัวเองแค่คนเดียว ทั้งที่ใกล้ๆ กันยังมีบ้านหลังใหญ่อีกหลังแต่เสือหมายกลับไม่แตะต้อง ถึงขนาดออกปากว่าจะให้รางวัลอย่างงาม ถ้าชาวบ้านคนไหนจับตัวเสือหมายมาให้เขาได้

พวกชาวบ้านก็พากันส่ายหัว ไม่มีใครรับอาสาล่าหัวเสือหมายแม้แต่คนเดียว เพราะทุกคนรู้ดีว่าที่เสือหมายจ้องเล่นงานเศรษฐีแก้ว ไม่ใช่แค่ฐานะร่ำรวยแต่เพราะเขาเป็นคนใจดำอำมหิต ปล่อยเงินกู้ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนแล้วเก็บดอกเบี้ยมหาโหด ถ้าไม่มีเงินคืนก็จะถูกบีบบังคับยึดบ้านยึดที่ดิน หลายคนหมดเนื้อหมดตัวไร้ที่ทำกินต้องฆ่าตัวตายไปก็มี คนแบบนี้แหละที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือหมาย เขาจะปล้นและเอาทรัพย์สินที่ได้มาแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ยากจน

ชื่อเสียงของเสือหมายโด่งดังไปทั่วโคราชและย่านใกล้เคียง เขาเป็นโจรฉกาจที่ตำรวจต้องการตัว แต่เป็นนักบุญของคนจน ตำรวจออกตามล่าตัวเขามานานแต่ก็จับไม่ได้เสียที มีเสียงเล่าลือว่าเขามีวิชาอาคมที่เก่งกาจทำให้รอดเงื้อมมือกฎหมายไปได้ทุกครั้ง แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะชาวบ้านต่างแอบให้ความช่วยเหลือ ปกปิดเบาะแสของเสือหมายไม่ให้ตำรวจรู้ เพื่อไม่ให้นักบุญของพวกเขาถูกจับกุม เสือหมายจึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนทุกวันนี้

เสือหมายสั่งให้ลูกน้องเอาของที่ปล้นมาได้ไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ถูกเศรษฐีแก้วรังแกจนตกระกำลำบาก ส่วนตัวเองก็เช็ดถูทำความสะอาดรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ยี่ห้อ Jawa 353 ที่ผลิตในประเทศเชโกสโลวาเกีย ในปี 1954 – 1962 เป็นรถยอดนิยมที่เขาปล้นมาจากพวกฝรั่งที่มาสร้างทางรถไฟเมื่อสองปีก่อน เสือหมายเอาผ้าคลุมรถไว้อย่างมิดชิดเพื่อซ่อนจากสายตาตำรวจที่อาจผ่านมาเห็น จากนั้นก็แบกจอบออกไปทำไร่ตามปกติ

ชีวิตของเสือหมายก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่อยู่กับไร่กับนาเพียงลำพัง มีบางคืนเท่านั้นที่จะออกปล้น ชาวบ้านหลายคนรู้ดีว่าเขาคือใคร แต่ก็ไม่มีใครคิดจะบอกตำรวจ

เสือหมายเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเห็นใครกำลังเดือดร้อนเขาจะเข้าไปช่วย จนหลายครั้งเกือบทำให้ตัวเองลำบาก ด้วยต้องซ่อนตัวจากตำรวจและปกปิดตัวเองจากเหล่าบรรดาเศรษฐีที่เคยโดนเขาปล้น เขาจึงต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษ เสือหมายอยู่เพียงลำพังไม่มีลูกเมีย แต่มีลูกน้องหลายคนที่คอยแวะเวียนมาดูแลเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด รวมถึงชาวบ้านที่รู้ก็คอยเป็นหูเป็นตาให้

“พี่ ฉันถามหน่อยสิ พวกเราปล้นกันมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว ในโคราชแทบไม่มีบ้านไหนที่ไม่เคยถูกเราปล้น แต่ทำไมพี่ถึงไม่ไปบ้านเกาะไพรสักทีล่ะ ที่นั่นก็มีเศรษฐีอยู่นี่นา” ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้นมาขณะฟันจอบลงในดินที่แห้งแข็ง ฤดูหนาวที่ขาดฝนทำให้ผืนดินแห้งผาก ทุกครั้งที่ออกแรงเหวี่ยงจอบลงไป พวกเขารู้สึกได้ถึงความรวดร้าวบนฝ่ามือ กว่าจะหมดวันมือก็คงแตกเหมือนผืนดิน

“เอ็งเคยเห็นข้าปล้นคนส่งเดชด้วยหรือวะ ข้าปล้นแต่คนรวยที่มันชั่วๆ คนดีๆ ข้าไม่เคยปล้น เอ็งก็รู้” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นมันเป็นคนดี มันอาจจะชั่วเหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ ก็ได้” คนพูดดึงงอบลงมาปิดแสงแดดที่ส่องแยงเข้ามาบนใบหน้ากร้าน

“ข้ารู้ก็แล้วกัน เอ็งอย่าถามอะไรนักเลย รีบขุดเข้า เสร็จแปลงนี้จะได้กลับบ้าน” เสือหมายพูดตัดบท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกน้องถามถึงเรื่องบ้านเกาะไพร แต่เขาก็มักจะยักเยื้องอยู่เสมอ เรื่องราวและความทรงจำในอดีตเป็นความเจ็บปวดที่เขาจะอยากลืมเลือน แต่เมื่อยังลืมไม่ได้ บ้านเกาะไพรจึงเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับเขา

 

ข่าวเรื่องการปล้นบ้านเศรษฐีแก้วแห่งโคกมะเดื่อ ถูกเล่าลือกล่าวขานกันไปทั่วโคราช ผู้ใหญ่จิตที่เพิ่งกลับจากการประชุมในอำเภอก็เลยต้องคอยตอบคำถามชาวบ้านที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาทั้งวัน จนคอแหบแห้ง

“จริงๆ เสือหมายก็เป็นคนดีนะ ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน เหมือนอินทรีแดงในหนังเลย เท่ระเบิด” หนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวสีสันฉูดฉาดขี่มอเตอร์ไซค์พาบิดามาหาผู้ใหญ่จิตร ปากก็พูดถึงเสือหมายด้วยความชื่นชม แต่สายตาสอดส่ายไปทั่วบริเวณบ้านผู้ใหญ่

“ครูลูกจันไปไสล่ะพ่อผู้ใหญ่ ไม่เห็นเลย” คนเป็นพ่อรู้ใจลูกชายจึงถามหาลูกสาวคนสวยของผู้ใหญ่จิตให้แทน ส่วนเจ้าลูกชายก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถูกใจจนปากบาน

“ลูกจันมันไปนา เอ็งไม่ต้องชะเง้อหาหรอกไอ้เป้า ถึงอยู่มันก็ไม่มาเสวนากับเอ็งหรอก” ผู้ใหญ่จิตดักคออย่างรู้ทัน “บักห่า แต่งตัวอย่างกะสายไหมงานวัด” ประโยคสุดท้ายเขาแกล้งเหน็บดังๆ ให้ได้ยินทั้งพ่อทั้งลูก เป้าคอหดยิ้มแห้งๆ เขาค่อยๆ ถอยตัวออกไปยืนเตร่อยู่หน้าบ้าน หวังว่าจะได้เจอลูกจันก่อนกลับ ผู้ใหญ่จิตมองลูกบ้านหนุ่มด้วยสายตาเวทนากึ่งขำ อย่างเจ้าเป้าเขาไม่ต้องออกแรงขัดขวางเพราะรู้ดีว่าลูกสาวไม่มีวันชายตาแล

“ได้ยินเขาลือกันว่าทางการจะตัดถนนเพิ่มอีกหรือพ่อผู้ใหญ่”

“แม่นแล้ว แต่เห็นว่าทำแถวปากช่องนะ คงอีกไม่นานหรอก แถวหมู่บ้านเราก็คงจะมีถนนลาดยางดีๆ กับเขาบ้าง” ผู้ใหญ่บ้านยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะยื่นขันให้ลูกบ้าน

หลายปีมานี้โคราชเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางสะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีทั้งสถานีรถไฟแทบจะทุกหัวระแหง และถนนมิตรภาพที่ก่อสร้างอย่างดี รถราสัญจรขึ้นล่องอีสานได้อย่างสะดวกสบาย เมื่อถนนสายหลักสร้างเสร็จ ถนนสายรองที่วิ่งสู่อำเภอ สู่หมู่บ้าน ก็ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านต่างเฝ้ารอวันที่หมู่บ้านของตัวเองจะมีถนนดีๆ วิ่งเข้าออกหมู่บ้านไปยังตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด เพราะถนนคือสิ่งเชื่อมต่อความเจริญมาสู่ท้องถิ่นของพวกเขา

“ถ้าบ้านเฮามีถนนดีๆ ข้อยจะออกรถเก๋งมาขี่กับเขาบ้าง” พ่อของเป้าคุยโว ผู้ใหญ่จิตหัวเราะชอบใจกับความคิดที่เป็นไปไม่ได้ของลูกบ้าน

“แค่หาเงินผ่อนรถให้ไอ้เป้าก็แทบจะเหลือไม่พอยาไส้ ยังจะฝันถึงรถเก๋งอีกหรือวะ ข้าว่าซื้อควายมาไว้ไถนาน่าจะมีประโยชน์กว่านะ” ผู้ใหญ่บ้านพูดไปก็ขำไป คนฟังค้อนขวับรีบลากลับบ้านทันที

 

ลูกจันนั่งพักผ่อนรับลมเย็นสบายที่เถียงนากลางทุ่งข้าวเขียวขจี เธอสังเกตเห็นว่าข้าวเริ่มออกรวงประปราย สิ้นปีท้องทุ่งแห่งนี้ก็คงจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม

หญิงสาวคิดถึงทิว คนรักที่หายหน้าไปหลายปี เธอยังจดจำวันวานที่หวานชื่นได้ ทั้งสองคนแอบคบกันตอนเรียนมัธยมปลาย เพื่อนๆ ต่างสนับสนุนเพราะทั้งคู่เป็นดาวเด่นของโรงเรียน ทั้งหล่อและสวยแถมเรียนเก่ง เหมาะสมกันมาก แต่เมื่อพ่อของเธอรู้เรื่องก็กีดกันขัดขวาง อ้างว่าลูกจันยังเด็กไม่ควรมีความรัก แต่ชาวบ้านซุบซิบกันว่าเพราะทิวไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ไม่เหมาะสมกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้านที่มีหน้ามีตา พ่อของเธอจึงรังเกลียดเขา

ลูกจันไม่เคยสนใจเรื่องฐานะหรือเงินทอง สำหรับเธอความรักคือสิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่ หญิงสาวไม่ฟังคำทัดทานของพ่อยังคงแอบคบกับทิว แต่เมื่อแม่ของทิวจากไปด้วยโรคร้าย เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันมาทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ยิ่งทำให้พ่อของลูกจันกีดกันมากขึ้น ในที่สุดทิวก็ตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้านแล้วไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย

ก่อนจากไปเขาบอกกับลูกจันว่าถ้ายังไม่ได้ดี สร้างฐานะยังไม่ได้ก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก หญิงสาวมอบแหวนเงินที่สลักชื่อเธอไว้ด้านใน เป็นสิ่งแทนใจเพื่อไม่ให้เขาลืมเธอ และให้เขาสัญญาว่าจะกลับมาหาไม่ว่าจะนานแค่ไหน แม้วันนี้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 3 ปี แต่ลูกจันยังคงรอคอยทิวกลับมา ทุกครั้งที่มองไปยังท้องทุ่งเธอจินตนาการว่าจะเห็นเขาเดินเข้ามาหาตามสัญญาที่เคยให้ไว้

 

ภายในบ้านที่ใหญ่โตโอ่โถง หม่อมราชวงศ์อดิศรเฝ้ามองดูลูกสาวที่นั่งหน้าเศร้าเป็นนานสองนาน บางครั้งเธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เหมือนคนมีความทุกข์หนักหนาสาหัส ผู้เป็นพ่อทนดูเฉยๆ ไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินไปโอบไหล่เพชรพริ้ง ความรักความห่วงใยของพ่อส่งต่อไปถึงลูกสาวโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา

“เป็นยังไงลูก มีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพ่อได้นะ” น้ำเสียงอ่อนโยนใจดีของพ่อ ทำให้น้ำตาของเพชรพริ้งเอ่อล้นขึ้นมา เธอพยายามสะกดไว้ไม่ให้มันไหลอย่างสุดความสามารถ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ อิ๋วแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” หญิงสาวฝืนยิ้มยากเย็น

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่ที่ลูกต้องการใครสักคน จำไว้นะว่าพ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ” ลูกสาวซาบซึ้งใจในความรักของพ่อ เธอกอดเขาแน่น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม คงมีแค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวที่รักเธอมากกว่าใคร ตั้งแต่เกิดมาเพชรพริ้งรับรู้ได้ตลอดเวลาว่าพ่อรักเธอที่สุด ไม่เคยกดดันให้เธอทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ซึ่งต่างจากแม่ของเธอ

“อะไรกันพ่อลูก กอดกันกลมเชียว มีเรื่องอะไรที่แม่ไม่รู้หรือเปล่า” คุณหญิงลำดวนส่งเสียงออกมาจากในบ้านด้วยความสงสัย เพชรพริ้งรีบปาดน้ำตาทิ้ง

“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้ลูกกินบ้างล่ะ คนกำลังท้องกำลังไส้น่าจะหิวบ่อย” ชายสูงวัยเปลี่ยนเรื่อง

“เออนี่คุณ ฉันบอกขายตึกแถวที่สุขุมวิทแล้วนะ ถ้าขายได้เมื่อไหร่เราจะได้หมดหนี้หมดสินเสียที ไอ้พวกปากหอยปากปูมันจะได้เลิกดูถูกเรา” ในหัวของลำดวนคิดเพียงเรื่องเดียวคือการหาเงินมาปลดหนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้เชิดหน้าอยู่วงสังคมได้ต่อไปโดยไม่โดนใครๆ ดูถูก นั่นเพราะก่อนแต่งงานเธอเป็นเพียงลูกสาวเจ้าของโรงสีเล็กๆ แม้จะมีเงินบ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะได้ย่างกรายเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงอย่างที่เธอปรารถนา

เมื่อบังเอิญได้เจอกับหม่อมราชวงศ์อดิศร หนุ่มตระกูลผู้ดีเก่าที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย เธอก็ใช้ความสวยและมารยาร้อยเล่มเกวียนมาจับเขา ในที่สุดเธอก็ได้เฉิดฉายอยู่ในวงชนชั้นสูงอย่างที่ใฝ่ฝัน แต่ความสุขเหล่านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน หนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจผิดพลาดของสามี ทำให้เธอต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยถูกขุดขึ้นมาดูแคลน

เหล่าวงศาคณาญาติของสามีต่างพูดลับหลังเธอว่าถ้าอดิศรได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ชาติตระกูลเท่าเทียมกัน ป่านนี้เขาก็จะมีชีวิตที่แตกต่าง เจริญรุ่งเรือง ไม่ตกต่ำอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามพวกนั้น ทำให้ลำดวนโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดตาย แต่ความอยากเอาชนะมีมากกว่าการยอมแพ้ เธอจึงต้องทำทุกวิถีทางให้ครอบครัวกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง

“ก็แล้วแต่คุณหญิงเลย เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากได้สมบัติพัสถานของวังนฤนารถ คุณหญิงจะเอาไปทำอะไรก็ตามใจเถอะ” สามีไม่ยินดียินร้ายกับทรัพย์สมบัติที่ได้มา แค่ตะขิดตะขวงใจที่ภรรยาเอาสมบัติที่ฝ่ายนั้นยกให้หลานมาขายเพื่อใช้หนี้ ถ้าเจ้าของวังผู้เป็นสหายรักยังมีชีวิตอยู่ ตัวเองคงละอายจนไม่มีหน้าไปเจอเพื่อน

“ใครไม่อยากแต่ฉันอยากได้ สมบัติมากมายของวังนฤนารถจะทำให้พวกเราอยู่ในวงสังคมได้อย่างไม่อายใคร เงินเท่านั้นแหละที่จะทำให้พวกผู้ดีทั้งหลายมาสยบแทบเท้าเรา อีกอย่างก็ไม่เห็นต้องคิดมาก ต่อไปสมบัติพวกนั้นก็ต้องตกมาเป็นของหลานเราอยู่ดี จะได้ตอนนี้หรือตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ” คุณหญิงลำดวนลอยหน้าลอยตาพูดอย่างมั่นใจ

“นี่แม่อิ๋ว ยังไงก็อย่าลืมขอที่ดินที่นนทบุรีมาด้วยนะ แม่หมายตามานานแล้ว ที่สวยๆ แบบนั้นอีกหน่อยคงราคาดี” ผู้เป็นแม่กำชับลูกสาวถึงเรื่องที่เคยคุยกันไว้ สามีส่ายหน้าระอากับความโลภไม่จบไม่สิ้นของภรรยา “หลานรักของยาย อภิชาติบุตรมาเกิดแท้ๆ นี่ขนาดยังไม่ออกจากท้องแม่ ตากับยายก็เริ่มลืมตาอ้าปากได้แล้ว ถ้าเกิดมาดูโลกเมื่อไหร่ ครอบครัวเราคงจะสุขสบายไปทั้งชาติ” มารดาเอามือลูบคลำท้องของลูกสาวคุยกับหลานในท้องอย่างอารมณ์ดี

เพชรพริ้งกระดากใจจนเผลอปัดมือแม่ทิ้ง คุณหญิงมองหน้าลูกอย่างแปลกใจ หญิงสาวขอตัวกลับโดยไม่แตะต้องอาหารที่แม่หาให้แม้แต่น้อย เธอร้อนรุ่มอย่างกับใครมาสุมไฟที่กลางอก อยากระบายกับใครสักคนที่จะไม่ตัดสินตัวเธอ

 

“ฉันจะทำยังไงดีล่ะเมษา นี่ก็เหลืออีกไม่ถึงสองอาทิตย์ที่ฉันต้องบอกความจริงกับทุกคน ถ้าบอกไปพ่อกับแม่คงผิดหวังและเสียใจมาก แต่ถ้าฉันไม่บอกท่านชายก็ต้องเป็นคนบอกอยู่ดี ไม่ว่าจะใครพูด ผลสุดท้ายคนที่จะหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็คือฉัน ชื่อเสียง เงินทอง ศักดิ์ศรี แม้แต่ความเป็นคนก็คงถูกย่ำยีจนไม่เหลืออะไร ถ้าต้องจบแบบนี้ฉันขอตายเสียดีกว่า” เพชรพริ้งระบายความอัดอั้นออกมากับคนสนิท

สีหน้าของเธอเคร่งเครียด เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนจนเห็นได้ชัด เธอไม่เห็นทางออกทางไหนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากความตาย

“หม่อมอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ความตายไม่ใช่ทางแก้ปัญหา การพูดความจริงอาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้นะครับ” เมษาเตือนสติเพชรพริ้ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นความทุกข์ของคนที่อยู่ข้างหลัง พวกเขาจะถูกปล่อยให้เผชิญชะตากรรมอันแสนโหดร้าย จนกว่าจะพบแสงสว่างปลายทางหรือไม่ก็พบกับจุดจบไปอีกคน

“พูดความจริงเนี่ยนะ คิดว่าคนรอบข้างจะให้อภัยและเข้าใจฉันหรือไง มีแต่จะโดนเหยียบย่ำจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดน่ะสิ” หญิงสาวยิ้มหยันให้ชีวิตที่กำลังจะพังพินาศ “หรือฉันจะเอามันออกดี แล้วบอกว่าแท้ง” ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในสมอง มือที่กำลังลูบคลำท้องชะงักนิ่ง

“ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับหม่อม เด็กเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย จะฆ่าแกงกันแบบนี้มันบาปนะครับ อย่าทำเลยครับ” ชายหนุ่มรีบห้ามเสียงแข็ง เขาไม่เห็นด้วยกับการฆ่าเด็กบริสุทธิ์ ถ้าจะมีใครสักคนต้องตาย ต้องไม่ใช่เด็กน้อยที่ไร้ความผิด

“ถ้าไม่กำจัดเด็กคนนี้ ก็ต้องทำให้เขากลายเป็นทายาทวังนฤนารถโดยสมบูรณ์ให้ได้ แต่ฉันจะทำยังไงดีล่ะเมษา ฉันคิดจนจะเป็นบ้าแล้วนะ” เพชรพริ้งคิดไม่ตกจริงๆ ว่าต้องทำยังไงถึงจะแก้ปัญหานี้ได้โดยที่เธอไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย เมษาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาเขาใช้สมองอย่างหนักเพื่อจะช่วยให้เจ้านายได้สิ่งที่ต้องการ ดูเหมือนว่าทางออกของเรื่องนี้คงมีแค่เพียงทางเดียวเท่านั้น

 

เสียงฮัมเพลง In My Life ของ เดอะบีเทิลส์ ดังเบาๆ มาตามลม ท่านชายใหญ่ทรงเงยพักตร์ขึ้นจากหนังสือในมือ วันที่อากาศเย็นสบาย ท่านชายชอบปลีกตัวมานั่งอ่านหนังสือจิบชาที่ระเบียงเรือนเขียว ที่นี่คือสถานที่แห่งความสงบของเขา คนในวังแห่งนี้จะไม่มีใครกล้ามารบกวน นอกจากน้องชายจอมจุ้นที่ชอบมาทำลายความสุขสงบ ดังนั้นเสียงที่ดังแว่วมาแต่ไกลตอนนี้ ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าเป็นใคร

“นึกอยู่แล้วว่าพี่ชายใหญ่ต้องแอบมาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่” ท่านชายรดิศนั่งลงข้างพี่ชาย แล้วถือวิสาสะรินน้ำชาขึ้นดื่ม พี่ชายปรายตามองพร้อมอมยิ้มน้อยๆ

“วันหยุดไม่พาสาวๆ ไปเที่ยวที่ไหนหรือไง” พี่ชายสัพยอกอย่างอารมณ์ดี

“เบื่อ เที่ยวจนทั่วพระนครแล้ว ผมจะมาบอกว่า อาทิตย์หน้าจะเดินทางไปโคราชแล้ว แน่ใจนะครับว่าพี่ชายใหญ่จะไม่ตามไปส่องสัตว์ด้วย ไม่ได้ไปมาเกือบสองปีแล้วนะครับ” ชายหนุ่มรู้ดีว่าพี่ชายโปรดปรานการเดินป่าและส่องสัตว์มาก

สมัยก่อนทั้งสองคนจะชอบชวนกันไปส่องสัตว์ที่เขาใหญ่อยู่เสมอ ปีหนึ่งก็ต้องมี 2-3 ครั้ง แต่หลังจากแต่งงานพี่ชายของเขาก็ไม่ค่อยว่าง นอกจากเรื่องงานที่ธนาคารแล้วยังมีงานสังคมที่ต้องออกคู่กับภรรยาเพิ่มเข้ามาอีก จึงห่างหายจากการเข้าป่าไปโดยปริยาย

“ไม่ละ เรามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ กว่าจะจัดการเสร็จชายเล็กก็คงกลับมาพอดี” เขาหมายถึงเรื่องของเพชรพริ้งที่ขีดเส้นตายไว้ในสิ้นเดือนนี้

น้องชายไม่ได้ซอกแซกถามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องงานที่ธนาคาร เขาเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่มารดากำลังจะยกที่ดินนนทบุรีให้เพชรพริ้ง ชายหนุ่มบ่นยืดยาวต่อว่าครอบครัวพี่สะใภ้ที่เอาหลานมาเป็นข้ออ้างเพื่อปอกลอกสมบัติของตระกูล แม้จะไม่พอใจแต่ก็ห้ามปรามมารดาไม่ได้ ท่านชายรวีนิ่งฟังน้องชายระบายความอึดอัดใจโดยไม่แสดงความคิดเห็น แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของน้องชาย

“ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมบ้านนั้นถึงโลภมากนัก แค่ห้องแถวที่สุขุมวิทก็มูลค่ามหาศาลแล้ว ผมได้ข่าวมาว่าเอาออกขายเปลี่ยนเป็นเงินแล้วด้วย แล้วยังจะอยากได้ที่ดินที่เมืองนนท์อีก เขาคิดจะขายหลานกินกันหรือไง ผมหมดศรัทธาในตัวคุณอาอดิศรไปเลย ไร้ศักดิ์ศรี ไร้ยางอายที่สุด“ เมื่อเห็นว่าเริ่มไปกันใหญ่ท่านชายรวีจึงปรามน้องชายให้หยุดพูด เพราะเกรงว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า

แต่คนที่กำลังหงุดหงิดขัดเคืองใจก็ยังเอาแต่พร่ำบ่นต่อไปไม่ยอมหยุด โดยที่พวกเขาไม่เลยรู้ว่า เพชรพริ้งที่หลบอยู่ในเงาต้นไม้ใหญ่ได้ยินทุกอย่างที่สองพี่น้องคุยกัน เธอหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธ พยายามระงับอารมณ์เดือดดาลที่มันท่วมท้นไม่ให้ทะลักทลายออกมา



Don`t copy text!