รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 4 : เปลี่ยนไปในพริบตา

รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 4 : เปลี่ยนไปในพริบตา

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

รักนี้ไม่มีตำหนิ โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องราวของนักแสดงสาววเบอร์ต้นๆ ของวงการ ผู้ทะนงในความงามพร้อมของตน แต่อุบัติเหตุได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล เธอจะข้ามพ้นความบกพร่อง ผิดพลาดและได้พบความสุขในชีวิตอีกครั้งหรือไม่ มาเอาใจช่วยเธอพร้อมๆ กับอ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายสนุกที่มาพร้อมคุณภาพ

 “ไม่จริงใช่ไหมคะคุณหมอ ที่คุณหมอบอกสามีฉันเมื่อวานนี้น่ะ คุณหมอต้องตรวจผิดแน่ๆ เลยใช่ไหม” จิตราภาร้องขึ้น

มารดาของอัจจิมาบุกเข้ามาในห้องตรวจของนายแพทย์เจ้าของไข้ของอัจจิมาทันทีที่คนไข้ที่หมอเพิ่งตรวจเสร็จเดินออกจากห้องไป สามีของเธอมาฟังผลตรวจของลูกสาวเพียงลำพังเมื่อวานนี้ แต่เธอไม่เชื่อที่เขาบอก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ลูกสาวของเธอจะเป็นอัมพาตท่อนล่าง เอมแค่หกล้มเท่านั้นจะพิการได้อย่างไร

“คุณ อย่าทำอย่างนี้สิ” อรรถพลวิ่งตามภรรยาเข้ามาในห้อง “ขอโทษนะครับคุณหมอ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” นายแพทย์เจ้าของไข้พยายามพูดให้นุ่มนวลที่สุด แต่ดูเหมือนญาติคนไข้จะไม่รับฟัง

“จะให้ใจเย็นได้ยังไงล่ะหมอ” จิตราภาพูดเสียงเครือ

“คุณแม่นั่งลงก่อนนะครับ หมอจะอธิบายให้ฟัง”

“หมอไม่ต้องอธิบาย ฉันอยากให้หมอบอกว่าจะรักษาหายใช่ไหม” จิตราภาถามเสียงเครือขณะที่อรรถพลโอบหลังภรรยาเพื่อปลอบใจ เขาเองก็ตกใจกับข่าวร้ายไม่น้อยไปกว่าจิตราภาแต่เมื่อเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นหลักให้เธอ

“อย่างที่ผมบอกไปแล้วน่ะครับ ไขสันหลังของคุณอัจจิมาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีการกระทบกระเทือนซ้ำและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ถึงจะผ่าตัดก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยคนไข้ฟื้นฟูร่างกายให้สามารถใช้ชีวิตปกติให้มากที่สุดนะครับ”

คำตอบของนายแพทย์หนุ่มทำให้จิตราภาอึ้งอั้น

“ผมทราบนะครับว่าเรื่องแบบนี้มันยากจะทำใจ แต่ยิ่งคนไข้รับความจริงได้เร็วก็จะยิ่งฟื้นฟูร่างกายได้ดีนะครับ”

“ใครจะไปยอมรับได้ ลูกฉันเป็นดาราดัง ต้องมากลายเป็นแบบนี้” จิตราภาพูดได้เท่านั้นก็ร้องไห้ ฟูมฟายอย่างหมดอาย

 

อรรถพลบอกภรรยาว่าไม่ให้บอกความจริงกับลูกสาว แต่เมื่อเขาและภรรยากลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยกลับพบว่าสายเกินไปแล้ว

หมอนสองใบถูกปาลงบนพื้นห้องคนละทิศละทาง โทรทัศน์ในห้องถูกเปิดทิ้งไว้โดยที่คนไข้ไม่ได้สนใจดู อัจจิมานั่งเอกเขนกเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง หน้าตาของหญิงสาวบอกให้รู้ว่าเธอผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก อรรถพลรู้ทันทีว่าลูกสาวรู้ความจริงเรื่องอาการป่วยแล้ว เมื่อเย็นวานนี้มีนักข่าวโทรศัพท์มาถามอาการของอัจจิมาหลังจากไม่ได้คำตอบจากผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาว ภรรยาของเขาเลี่ยงตอบคำถามแต่นักข่าวก็คงไปสืบเสาะหาข่าวจนรู้ความจริงจนได้ และป่านนี้ก็คงมีข่าวออกทางโทรทัศน์แล้ว อรรถพลไม่รู้ว่าลูกสาวตกอยู่ในความเศร้ามานานเท่าไรแล้ว เพราะเมื่อเขาและภรรยามาถึงโรงพยาบาล จิตราภาก็ตรงไปโวยวายใส่หมอทันที เพิ่งจะได้เข้ามาเยี่ยมลูกเดี๋ยวนี้เอง

อรรถพลและภรรยาพยายามปิดบังความจริงด้วยการหลอกอัจจิมาว่าโทรทัศน์ในห้องพักเสีย สายชาร์จโทรศัพท์มือถือก็ใช้งานไม่ได้ เขากำชับกับนางพยาบาลทุกคนว่าไม่ให้บอกความจริงเรื่องนี้ อรรถพลหวังว่าการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกจะทำให้เขามีเวลาคิดหาวิธีว่าจะค่อยๆ บอกกับลูกอย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าถ้าหากเขาเลือกบอกความจริงกับลูกเสียตั้งแต่แรกมันอาจจะดีกว่านี้

“ขอโทษนะลุง หนูเห็นพี่เอมหลับ หนูเลยลงไปกินข้าว พอหนูกลับขึ้นมา พี่เอมก็ร้องไห้โวยวายใหญ่ ขว้างปาของเกลื่อนไปหมด พอหนูเก็บก็ขว้างอีก หนูไม่รู้จะทำยังไง หนูก็เลยบอกไปว่าร้องไห้แล้วมันกลับมาเดินได้หรือไง พี่เอมก็เลยเป็นอย่างนี้” กุ๊ก หลานสาวที่อรรถพลขอให้ทิ้งงานเฝ้าสวนที่นครปฐมมานอนเฝ้าไข้อัจจิมาในช่วงกลางคืนบอก

“ตายแล้ว ยายกุ๊กเธอพูดอย่างนี้กับลูกฉันได้ยังไง” จิตราภาต่อว่าหลานสาวของสามี พูดไม่พูดเปล่ามือยังหยิกเข้าที่ต้นแขนของเด็กสาวด้วย

“โอ๊ย…ป้า ป้าจะมาว่าหนูได้ยังไง พี่เอมไม่ฟังหนูเลยนี่นา พูดดีๆ ก็ไม่ยอมฟัง”

“พี่เขากำลังตกใจ เขาก็ต้องระบายอารมณ์บ้างสิ”

“กรี๊ดดังจนพยาบาลแตกตื่นวิ่งมาดูเกือบทั้งชั้นเนี่ยนะป้า ถ้าหนูไม่ว่าพี่เขา ห้องอื่นเขาได้มาด่าสิป้า”

“เอ๊ะ แกนี่นะ เถียงคำไม่ตกฟาก ก็เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้พี่เขารู้เรื่อง”

“ป้ามาโทษหนูได้ยังไง หนูจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่บ้านเขาจะมาเปิดทีวีให้พี่เอม”

อรรถพลไม่ได้สนใจว่าภรรยากับหลานสาวจะทะเลาะอะไรกัน เขารีบเข้าไปดูลูก เขาเข้าไปจนชิดขอบเตียง ดึงตัวลูกสาวที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างมากอด ปากก็ปลอบโยนเบาๆ “ไม่เป็นไรนะลูกนะ พ่ออยู่นี่นะ”

“เอมจะเดินไม่ได้จริงๆ เหรอคะพ่อ” อัจจิมาเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

อรรถพลไม่ได้ตอบอะไร เขาเองก็รู้สึกตื้อตันไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาปลอบใจลูกได้ดังใจคิด เขาทำได้เพียงกอดลูกให้แน่นขึ้น หวังให้ลูกเข้าใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพ่อก็จะอยู่ตรงนี้

“เอม เอมไม่เป็นไรหรอกนะลูก แม่จะหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาหนู ไปรักษาเมืองนอกก็ได้นะลูก ยังไงหนูก็ต้องเดินได้”

“จิต…” อรรถพลปรามภรรยา เขาต้องการให้ลูกสาวยอมรับความจริงให้ได้ ไม่ใช่หลงในคำโกหกปลอบใจไปวันๆ

“ทำไมล่ะคุณ ฉันพูดจริงนะ ถ้าหมอโรงพยาบาลนี้รักษาไม่ได้ ฉันก็จะพาลูกไปรักษาที่เมืองนอก”

“คุณจิต พอเถอะ” อรรถพลพูดเสียงเข้มกว่าเดิม แต่จิตราภาดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

“คุณมาห้ามฉันทำไม ฉันไม่เชื่อที่หมอพูดหรอก ยังไงฉันก็ต้องหาทางรักษาลูกให้ได้”

“ป้าก็เป็นซะอย่างนี้แหละ” กุ๊กทนฟังไม่ไหวต้องพูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา

หลานสาวคนนี้เห็นผู้เป็นป้าสะใภ้เลี้ยงดูลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวของเธออย่างทูนหัวทูนเกล้ามาตั้งแต่เล็กจนโต เธอคิดว่าที่อัจจิมาเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงจนเกินงามและเอาแต่ใจตัวเองก็เพราะจิตราภาตามใจลูกมากเกินไป ป้ามักจะพูดอยู่เสมอว่า ‘เอมของแม่สวยที่สุด’ หรือไม่ก็ ‘เอมเป็นความหวังของแม่’

อัจจิมากับเธอถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบกัน กุ๊กเป็นลูกของโต้ง ลูกพี่ลูกน้องของอรรถพลที่หญิงสาวเรียกว่าลุงอู พ่อโต้งเลี้ยงกุ๊กกับแจ้ พี่ชายของเธอโดยให้ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง พ่อแม่ไม่เคยประคบประหงมหรือชื่นชมลูกเกินจริง ไม่เคยชมลูกว่าสวยหล่อ จะชมว่าทำดีทำถูกก็ยังนับครั้งได้ พ่อของเธอเป็นเกษตรอำเภอ ส่วนแม่ของเธอเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ฐานะครอบครัวของเธอไม่ดีเท่าลุงป้า เธอกับพี่ชายจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเราเป็นคนธรรมดาไม่ฟู่ฟ่าเด่นดัง แต่สองพี่น้องก็มีความสุขดี

“ฉันเป็นยังไงยะ” ป้าสะใภ้แหวขึ้นมา

“ก็แทนที่ป้าจะปลอบใจให้พี่เอมยอมรับความจริง กลับหลอกให้พี่เอมฝันลมๆ แล้งๆ”

“เงียบไปเลยนะนังกุ๊ก ลูกฉันไม่มีทางพิการหรอก”

“พอที แม่เลิกโกหกเอมซักทีเถอะ” อัจจิมาคว้าแก้วน้ำขว้างลงบนพื้นแตกกระจาย เสียงทะเลาะกันจึงหยุดลงได้

 

เพล้ง…

แก้วน้ำถูกขว้างลงบนพื้นไม้แตกกระจาย

“คุณเมฆใจเย็นๆ ก่อนสิคะ” พุดจีบเก็บเศษแก้วที่แตกไปทิ้ง เธอไม่ทันระวังจึงถูกแก้วบาดมือ

 “คัต…เติมเลือด” เสียงผู้กำกับหนุ่มสั่งดังมาจากหลังจอมอนิเตอร์

ทีมงานรีบวิ่งเข้าไปเติมเลือดปลอมที่นิ้วมือของพิมพ์ระพีที่รับบทเป็นพุดจีบแล้วรีบวิ่งออกจากฉากไป จากนั้นแดนสรวงก็สั่งให้เริ่มถ่ายทำต่อ

“โอ๊ย…” พุดจีบเผลอร้องเบาๆ แต่เมฆที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงก็ยังได้ยิน

สาวใช้ที่ช่วยงานอยู่ในห้องรีบออกไป

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่ง เธอก็เลยต้องมาเจ็บตัว” เมฆบ่นด้วยความหงุดหงิดร้อนใจ

“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าคุณเมฆระบายอารมณ์แล้วรู้สึกดีขึ้น”

“นี่เธอประชดฉันรึพุดจีบ”

“ฉันไม่ได้ประชดค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณสบายใจขึ้นบ้าง”

“ฉันจะสบายใจได้ยังไง ในเมื่อน้องสาวเธอทิ้งฉันไป” เมฆกล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ครามทิ้งคุณไปไม่ได้หรอกค่ะ ถึงยังไงเขาก็ต้องกลับมาหาลูก”

“ลูกจะมีความหมายอะไรกับพวงคราม เงินต่างหากที่สำคัญกับเขา”

“มีสิคะ ถึงยังไงยายหนูก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคราม ครามต้องกลับมา”

สาวใช้กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล

“ช่างมันเถอะ…มานี่ ฉันจะทำแผลให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันทำเอง”

“แขนฉันยังทำงานได้นะ อย่าทำเหมือนฉันไร้ความสามารถหน่อยเลย”

พุดจีบจำใจต้องถือกล่องปฐมพยาบาลไปให้เมฆทำแผลให้ เมฆทำแผลให้พุดจีบแล้วทั้งสองคนจ้องตากันนิ่งนาน

 

“คัต ผ่าน” เสียงผู้กำกับร้องบอกมาจากหลังจอมอนิเตอร์

“เคลียร์เซต เปลี่ยนชุดครับ” เสียงผู้ช่วยผู้กำกับบอกตามมา

“เดี๋ยวแดน เมื่อกี้นางเอกพูดผิดนะ ต้องพูดว่าตาหนู ไม่ใช่ ยายหนูนะ” กัลยาบอกแดนสรวง

“จริงเหรอ เราไม่ได้ยินนะ เดี๋ยวก่อนจี…” แดนสรวงร้องบอกผู้ช่วยแล้วรีบย้อนดูเทปละครที่บันทึกไว้

“ผิดจริงๆ ด้วย” ผู้กำกับหนุ่มบ่นตัวเอง “แค่นี้มันผิดได้ไงวะ”

แดนสรวงโมโหตัวเองจนแทบจะขว้างบทละครในมือลงพื้น แต่ยั้งใจไว้ได้ เขาหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ “ขอโทษที ขอใหม่ตั้งแต่หลังเติมเลือดนะครับ ตาหนูนะครับคุณระพี ไม่ใช่ยายหนู”

“ขอโทษค่ะ” เสียงนางเอกร้องบอกพร้อมยกมือไหว้

จากนั้นแดนสรวงก็สั่งให้ถ่ายทำฉากเดิมใหม่อีกครั้ง

กัลยามองดูเพื่อนทำงานด้วยความเป็นห่วง วันนี้แดนสรวงไม่มีสมาธิในการทำงานเลย มีหลายฉากที่ต้องเทก แดนสรวงก็ไม่สั่งเทก กัลยานั้นแม้เกรงใจก็ต้องบอกเขา หญิงสาวรู้ว่าที่เพื่อนของเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะกังวลใจเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับอัจจิมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซ้ำร้ายเช้าวันนี้เมื่อเข้าประชุมงานกับผู้จัด  เจนกิจได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีแนวโน้มที่อัจจิมาจะพิการถาวร ทางทีมงานจึงต้องเตรียมคัดเลือกนักแสดงที่จะมารับบทพวงครามใหม่ หญิงสาวรู้ว่าเรื่องนี้กระทบใจเพื่อนรักของเธอมาก

ดูภายนอกแดนสรวงดูเข้มแข็ง มั่นใจ รับได้ทุกอย่าง แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนอ่อนไหว ยิ่งถ้ามีเรื่องความเจ็บป่วยพิการเข้ามาเกี่ยวข้องเขาก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนมาก เพราะเขาอยู่ในครอบครัวที่มีสมาชิกเจ็บป่วยเรื้อรัง เมื่อครั้งที่เรียนมหาวิทยาลัยแดนสรวงเป็นเพื่อนคนแรกๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือกัลยาทั้งในเรื่องเรียนและการร่วมกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย การช่วยเหลือของเขาเป็นโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ทำอย่างเสียไม่ได้อย่างเพื่อนบางคนที่จำใจต้องช่วยเหลือเพราะไม่อยากให้ใครมองว่าใจจืดใจดำกับคนพิการ เพียงครั้งแรกที่ชายหนุ่มเข้ามาอาสาช่วยเหลือหญิงสาวก็รู้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้เข้าใจคนพิการเป็นอย่างดี เขาไม่ได้ช่วยเหลือเธอไปเสียทุกอย่าง แต่รู้ว่าจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยตอนไหน และต้องช่วยมากน้อยแค่ไหนจึงจะไม่เป็นการดูแคลนความสามารถของผู้พิการ ด้วยความเข้าใจนี้เองทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว คนภายนอกอาจจะมองเห็นว่าแดนสรวงเป็นที่พึ่งทางกายของกัลยา แต่สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็คือกัลยาต่างหากที่เป็นที่พึ่งทางใจให้กับเพื่อนที่ชอบทำตัวเข้มแข็งแต่ภายในเปราะบาง

“ไหวไหม…” กัลยาถามเพื่อนเมื่อเห็นเขานั่งพิงเก้าอี้ผ้าใบประจำตำแหน่ง เอามือบีบขมับราวกับปวดหัวมากมายในระหว่างที่รอทีมงานจัดฉากใหม่ หลังจากถ่ายทำฉากที่ติดขัดเมื่อครู่ผ่านไปด้วยดี

“อือ…” แดนสรวงรับคำเนือยๆ

“เรื่องคุณเอมใช่ไหม” กัลยาตัดสินใจถามตรงๆ เธอรู้ว่าหากถามอ้อมค้อม เพื่อนก็จะยิ่งหาทางเลี่ยงไม่ตอบ

แดนสรวงลดมือลงแล้วหันมามอง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด

“เราเอาเรื่องนี้ออกจากหัวไม่ได้เลยแก้ว ถ้าวันนั้นเราแวะรับเขา ก็คงไม่…” เสียงพูดขาดไปด้วยคนพูดพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเอง

เพื่อนเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะแดนหรอก ตอนนั้นถึงแดนแวะรับ คุณเอมเธออาจจะไม่ยอมมาด้วยก็ได้”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”

“ถ้าไม่สบายใจแดนก็ควรจะเป็นเยี่ยมคุณเอมนะ”

 

แดนสรวงกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ วันนี้เขาทำงานจนแสงหมด แต่ก็ยังถ่ายทำละครไปได้ไม่กี่ฉาก ทำงานไม่ได้ตามคิวที่วางไว้ ไม่ใช่ความผิดของใคร ทั้งหมดเป็นเรื่องใจของเขาคนเดียว ชายหนุ่มจะปรับเอาฉากกลางคืนมาถ่ายทำต่อเพื่อให้คิวถ่ายทำไม่เหลือค้างมากนัก แต่ทีมงานทุกคนคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันโดยให้ความเห็นว่าสภาพร่างกายและจิตใจของเขาไม่พร้อมที่จะทำงานต่อ แม้ปากอยากจะเถียงแต่ใจกลับต้องยอมรับความจริง เขาจึงยอมกลับบ้าน

แดนสรวงขับรถมาเกือบถึงหน้าบ้าน มองเข้าไปในบ้านก็เห็นมีรถเก๋งจอดอยู่ในที่จอดรถ เขาจึงนำรถเข้าจอดที่ข้างกำแพงบ้านแทนที่จะขับรถเข้าไปจอดในบ้าน เพราะเขารู้ว่าพ่อกำลังมีลูกค้า  ชายหนุ่มคิดว่าลูกค้าคงอยู่ไม่นานนัก เขาจอดรถนอกบ้านรอให้ลูกค้ากลับไปค่อยถอยรถเข้าไปจอดในบ้านจะสะดวกกว่า

บ้านของแดนสรวงเป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างพ่อของเขาเปิดเป็นร้านซ่อมและตัดรองเท้าสำหรับคนพิการ จะเรียกว่าร้านก็ไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่ามุมทำงานมากกว่าเพราะความจริงแล้วสมภพ พ่อของแดนสรวงใช้ห้องชั้นล่างห้องหนึ่งเป็นห้องทำงาน และห้องรับแขกของบ้านก็ใช้เป็นที่นั่งวัดรองเท้า ลานคอนกรีตหน้าบ้านก็เป็นที่ซ้อมเดินของลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เด็กชายวัยประมาณแปดปีกำลังซ้อมเดินไปเดินมาขณะที่แดนสรวงกำลังเดินเข้าบ้าน

“พ่อครับ โอมหายเจ็บแล้ว” เสียงเด็กชายที่ใส่รองเท้าหนังแบบพิเศษทับเฝือกอ่อนช่วยประคองขาทั้งสองข้าง พูดขึ้นเมื่อขณะลองเดินด้วยไม้ค้ำยัน

“ดีจัง ขอบคุณครับคุณภพ” พ่อของเด็กชายหันมาขอบคุณช่างแล้วหันไปบอกลูกชาย “ขอบคุณคุณลุงหรือยังครับ”

“ขอบคุณครับคุณลุง” เด็กชายร้องบอกเสียงแจ๋ว แววตาดูมีความสุข

“ครับ น้องโอมหายเจ็บแล้วลุงก็ดีใจ ถ้ารองเท้าคับอีกเมื่อไหร่ก็กลับมาหาลุงอีกนะครับ” เด็กชายรับคำแล้วสองพ่อลูกก็ลากลับ

สมภพตามไปส่งลูกค้าถึงรถ เขาเห็นลูกชายเดินเข้าบ้านมาอย่างหงอยๆ แต่ก็ไม่ได้ไต่ถาม รอจนลูกค้าออกจากบ้านไปแล้วลูกชายเอารถเข้าจอดในบ้านเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงเอ่ยถาม

“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะลูก พ่อเห็นเวลาแดนเปิดกล้องแล้ว ไม่เคยกลับบ้านเร็วเลย”

ลูกชายไม่ตอบกลับถาม

“พ่อครับ ถ้าสมมุติว่ารองเท้าที่พ่อตัดไม่ช่วยให้เด็กพิการมีอาการดีขึ้น พอใช้ไปมันกลับทำให้พิการมากขึ้น พ่อจะทำยังไงครับ”

สมภพสงสัยว่าทำไมลูกจึงถามเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้ว่าลูกไม่อยากเล่าว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจึงตั้งคำถามโดยใช้สถานการณ์สมมุติ

“พ่อก็จะซ่อมรองเท้าคู่นั้นจนกว่าเด็กจะใส่สบาย”

“แล้วถ้าพ่อไม่มีโอกาสซ่อมต่อแล้ว ถ้ารองเท้าของพ่อทำให้เขาพิการจนแก้ไขไม่ได้แล้วล่ะฮะ”

“พ่อก็จะไปขอโทษเขา ช่วยเหลืออะไรได้ พ่อก็จะทำ”

ลูกชายฟังแล้วยังมีสีหน้าเหมือนแบกโลกทั้งโลกไว้ ผู้เป็นพ่อจึงตบไหล่ปลอบใจแล้วชวนให้เข้าบ้าน

“ไป ไปช่วยพ่อทำกับข้าวหน่อย วันนี้แม่โทรมาบอกว่าจะกลับดึก พ่อนึกว่าจะต้องกินข้าวคนเดียวอีกแล้ว ว่าจะกินอะไรง่ายๆ แดนมาก็ดีแล้ว เราทำอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า ทำเผื่อเป็นมื้อดึกให้แม่เขาด้วย”

 

“เป็นยังไงแม่ ข้าวหน้าไก่ของพ่อ พอจะทำขายได้ไหม” สมภพถามภรรยาหลังจากที่เธอกลับมาจากทำงาน และเสร็จจากการรับประทานอาหารมื้อดึก

“ก็อร่อยเหมือนเดิม” ดารณีตอบสามีด้วยสีหน้าตรงข้ามกับคำพูด

“วันนี้มีแต่คนแบกโลก” สมภพพูดขึ้น เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่ง เมื่อภรรยาหันมามองด้วยความแปลกใจ เขาจึงพูดต่อไป “แดนทำหน้าเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย”

“ลูกเป็นอะไร”

“ไม่บอกตามเคย ว่าแต่แม่น่ะ มีเรื่องอะไรถึงทำหน้าแบบนั้น จำที่พ่อบอกไม่ได้หรือว่า ทำงานเสร็จกลับบ้าน ให้เอาความไม่สบายใจจากที่ทำงานทิ้งลงถังขยะหน้าบ้านเสียก่อนจะเข้ามา”

“โอ๊ย…แม่ก็อยากจะทิ้งหรอกนะพ่อ แต่มันทำใจไม่ได้ สงสารคนไข้”

ดารณีเป็นหัวหน้าพยาบาลวอร์ดผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง วันๆ หนึ่งเธอต้องรับมือกับคนไข้มากมายที่มีภาวะอารมณ์แตกต่างกัน เธอทำงานมานานจนไม่เก็บคำพูดที่คนไข้ระบายใส่เธอมาเป็นอารมณ์ แต่เมื่อเจอคนไข้ที่น่าสงสารเธอมักจะวางไม่ลง

“คนไข้เป็นอะไรล่ะ”

“โดนรถเฉี่ยวจนเป็นอัมพาต เป็นดารา อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเดินไม่ได้ เคยสวยเคยงาม สมบูรณ์ทุกอย่างต้องมากลายเป็นแบบนี้ น่าเห็นใจจริงๆ”

“ดาราชื่ออะไร เดี๋ยวนี้พ่อก็ไม่ค่อยได้ดูทีวีแล้ว”

“เอม อัจจิมา เอ๊ะ…แม่จำได้แล้ว ดาราคนนี้น้องแมนเคยชอบใช่ไหมพ่อ”

“น่าจะใช่นะ ถ้าเป็นคนนั้น สวยๆ อย่างนั้นคงรับไม่ได้ อาละวาดน่าดูเลยสินะ”

“ไม่อาละวาดสิแปลก แต่ก็อาละวาดขว้างปาข้าวของอยู่แค่พักเดียวนะพ่อ หลังจากนั้นก็ซึมไปเลย แม่ว่าเก็บกดไว้แบบนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง สู้โวยวายระบายออกมายังจะดีกว่า นี่เอาแต่บ่นพึมพำว่าตัวเองไม่มีค่า คงทำมาหากินอะไรไม่ได้ สมแล้วที่มีคนว่าว่าเธอเป็นคนตื้นเขิน กลวงๆ”

“ใครว่าเธอนะ”

“แม่ก็ไม่รู้สิพ่อ คนเรานี่ชอบทิ่มแทงกันด้วยคำพูดนะ คนพูดอาจจะพูดแล้วผ่านไป แต่คนฟังน่ะจำฝังใจ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์ที่ตรงกับที่โดนว่าจิตก็ยิ่งตกไปใหญ่เลย”

“วงการบันเทิงก็แบบนี้แหละ ยิ่งพวกนักข่าวชอบจิกกัดกันแรงๆ เอายอดไลก์ยอดวิว เขาไม่สนใจหรอกว่าดาราจะรู้สึกยังไง คนเปราะบางอยู่ยากนะ”

“แม่ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

แดนสรวงกลับเข้าห้องนอนด้วยความหดหู่ใจ เขาอ่อนเพลียจนเผลอหลับไปตั้งแต่รับประทานอาหารเย็นเสร็จและตั้งใจจะขึ้นมาอาบน้ำ ตื่นขึ้นมาตอนได้ยินเสียงพ่อแม่คุยกัน ชายหนุ่มคิดว่าจะไปปรึกษากับแม่ว่าถ้าเขาจะไปเยี่ยมคนป่วยแบบอัจจิมาเขาควรจะเอาอะไรไปเป็นของเยี่ยม และถ้าเธอไม่ให้เข้าเยี่ยมเขาควรจะทำอย่างไร แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง

ในวันฟิตติ้งละครที่อัจจิมาหกล้มนั้น แดนสรวงเป็นคนส่งหญิงสาวขึ้นรถของหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เขาคิดว่าดาราสาวจะถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด ไม่นึกว่าอัจจิมาจะถูกส่งตัวต่อมาที่โรงพยาบาลรัฐที่แม่ของเขาทำงานอยู่ คงเป็นเพราะโรงพยาบาลนี้มีมหาวิทยาลัยแพทย์จึงเป็นที่น่าเชื่อถือว่าจะมีประสิทธิภาพในรักษาดีกว่าโรงพยาบาลแรกที่นักแสดงสาวถูกนำส่ง

นอกจากจะคิดไม่ถึงว่าอัจจิมาจะเป็นคนไข้ในการดูแลของแม่แล้ว แดนสรวงยังใจหายเมื่อรู้ว่าคำพูดปรามาสไม่กี่คำของเขาจะทำร้ายจิตใจเธอมากถึงเพียงนี้ แดนสรวงยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อรู้ว่าเขาพลาดโอกาสที่จะช่วยอัจจิมาให้พ้นเคราะห์กรรม และยังพูดจาทิ่มแทงใจให้เธอหมดหวังในชีวิตอีก

แดนสรวงหยิบกรอบรูปที่มีรูปถ่ายของแมนสรวงน้องชายผู้จากไปขึ้นมาดูแล้วพูดกับรูปนั้นว่า “พี่ทำผิดมากเลยใช่ไหมแมน ถ้าแมนยังอยู่ แมนคงไม่ให้อภัยพี่ที่ทำร้ายจิตใจนางฟ้าของแมนแน่ๆ เลย ขอโทษนะ”

แดนสรวงรู้ว่าการจะขอโทษอัจจิมานั้นไม่ง่ายดายอย่างนี้แน่

 

คุณจะพูดแค่นี้ใช่ไหม ถ้าพูดจบแล้วก็กลับไปเถอะ” อัจจิมาพูดใส่แดนสรวงเมื่อเขาพยายามจะขอโทษที่เคยดูแคลนเธอ

“คุณเอม ที่ผมพูดไปวันนั้นมันไม่ได้หมายความว่า…”

“ที่คุณพูดก็ถูกแล้วนี่…คนอย่างฉันถ้าไม่มีความเซ็กซี่ก็ไม่มีจุดขายอะไร ตอนนี้ฉันก็กลวงๆ อย่างที่คุณว่านั่นแหละ” อัจจิมาพูดแค่นั้นแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจชายหนุ่มอีกเลย

“คุณเอม…” แดนสรวงครางอย่างอ่อนใจ เขาไม่รู้จะพูดให้เธอเข้าใจได้ยังไง เขาอยากให้เธอวีนใส่เขาอย่างเมื่อวันก่อนมากกว่าซึมเศร้าแบบนี้

“พอเถอะพี่…” กุ๊กกระซิบบอกชายหนุ่ม

ลูกผู้น้องของอัจจิมาบุ้ยใบ้ให้ชายหนุ่มออกไปคุยกันข้างนอก แดนสรวงจึงเดินตามออกไปที่หน้าห้องคนไข้

“หนูไม่กล้าพูดในห้อง กลัวพี่เอมได้ยิน” เด็กสาวบอก

“มีอะไรเหรอครับ”

“พี่อย่าว่าหนูว่าเลยนะ หนูว่าต่อไปพี่ไม่ต้องมาหรอกนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ลุงอู พ่อของพี่เอม เขาไม่อยากให้เพื่อนในวงการมาเยี่ยมพี่เอม ลุงแกกลัวพี่เอมคิดมาก เดี๋ยวพี่เอมเห็นเพื่อนในวงการมาจะคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไงพี่ ยังไงก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ลุงแกอยากให้พี่เอมปรับตัวได้เร็วๆ”

“ถ้าอย่างนั้น คุณต้น แฟนเขาก็มาเยี่ยมไม่ได้น่ะสิ” แดนสรวงคิดไปว่าเวลาอย่างนี้อัจจิมาน่าจะต้องการให้คนรักอยู่เคียงข้างมากที่สุด

“คนนั้นน่ะ ลุงยังไม่ทันห้ามไม่ให้มาเขาก็หายหน้าไปแล้ว หนูเห็นเขามาเยี่ยมพี่เอมแค่สองสามวันแรกเอง ทำเป็นพูดให้ความหวังว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็จะไม่ทิ้งพี่เอม หลังจากนั้นก็ไม่เห็นมาอีกเลย พูดก็พูดเถอะนะพี่ หนูว่าผู้ชายหล่อๆ แบบนั้น เขาคงไม่เอาพี่เอมแล้วละ พอรู้ว่าพิการน่ะ”

แดนสรวงใจหายแทนอัจจิมาเมื่อได้ยินเด็กสาวพูดเช่นนี้ แต่คนพูดก็ยังไม่รู้ตัว เธอยังพูดไปตามนิสัยคนช่างพูด

“อีกคนที่หายหน้าไปก็คือผู้จัดการของพี่เอมเขานั่นแหละ คงเพราะพี่เอมหมดประโยชน์แล้ว”

 



Don`t copy text!