รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 2 : เพลิงพรางตา

รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 2 : เพลิงพรางตา

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

รักนี้ไม่มีตำหนิ โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องราวของนักแสดงสาววเบอร์ต้นๆ ของวงการ ผู้ทะนงในความงามพร้อมของตน แต่อุบัติเหตุได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล เธอจะข้ามพ้นความบกพร่อง ผิดพลาดและได้พบความสุขในชีวิตอีกครั้งหรือไม่ มาเอาใจช่วยเธอพร้อมๆ กับอ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายสนุกที่มาพร้อมคุณภาพ

“เพลิงพรางตา เป็นเรื่องของหญิงสาวสองพี่น้องที่มีเป้าหมายในชีวิตต่างกัน พุดจีบและพวงครามเป็นลูกสาวแม่บ้านในบ้านของคุณนายมัลลิกา พุดจีบเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เธอดูแลรับใช้คุณนายมัลลิกาและครอบครัวอย่างดี สำนึกบุญคุณคุณนายที่ส่งเสียให้เธอเรียนจนจบมหาวิทยาลัยและได้มีงานทำแม้เธอจะเป็นครูเงินเดือนไม่มาก ต่างจากพวงครามน้องสาวที่เฝ้าแต่คิดทะเยอทะยานถีบตัวเองให้พ้นจากการเป็นลูกคนใช้อยู่ตลอดเวลา พวงครามไม่เคยพอใจในชีวิตตนเอง พวงครามเคียดแค้นหาว่าคุณนายมัลลิกากีดกันความรักในวัยเรียนของเธอกับนพดล เพื่อนนักเรียน ทั้งที่ความจริงแล้วคุณนายทำไปเพื่อหวังจะให้เธอเป็นคนดีอยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรเหมือนกับพุดจีบ

พวงครามโปรยเสน่ห์ให้เมฆลูกชายคนเดียวของคุณนายจนได้แต่งงานกับเมฆ พุดจีบแอบรักเมฆมาตลอดแต่เธอก็เสียสละให้น้องสาว เมื่อเมฆพาพวงครามออกจากบ้านเพราะแม่ของเขาไม่พอใจพวงครามก็ทนกัดก้อนเกลือกินไม่ไหว เธอมีลูกกับเมฆ แต่ก็ทิ้งเมฆและลูกไปมีสามีใหม่ เมฆไม่ยอม ทั้งสองคนทะเลาะกันจนรถเกิดอุบัติเหตุทำให้เมฆพิการ

พวงครามกลายเป็นภรรยาไพโรจน์ เศรษฐีใหญ่ที่รักและตามใจเธอทุกอย่าง แต่พวงครามไม่เคยลืมความเคียดแค้นที่มีต่อคุณนายมัลลิกา พวงครามให้คนไปวางเพลิงห้องแถวและตลาดของคุณนายทำให้คุณนายหมดเนื้อหมดตัวจึงมากู้หนี้ยืมสินจากไพโรจน์โดยไม่รู้ เมื่อคุณนายไม่มีเงินใช้หนี้พวงครามก็เข้ามายึดบ้านและขับไล่คุณนายมัลลิกาและครอบครัวของเมฆออกจากบ้าน คุณนายตรอมใจจนเสียชีวิต พุดจีบยังคงดูแลเมฆจนชายหนุ่มเห็นถึงความรักที่พุดจีบมีให้เขาเสมอมา เมฆแต่งงานกับพุดจีบและสร้างครอบครัวที่มีความสุขแม้จะไม่ร่ำรวย พวงครามได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่กรรมทำให้เธอได้พบกับนพดลที่ยังหลงใหลในตัวพวงคราม นพดลแย่งชิงพวงครามจากไพโรจน์ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม กรรมที่พวงครามกระทำต่อผู้มีพระคุณก็ทำให้ชีวิตของเธอมีจุดจบเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเพลิงแค้นที่มีต่อคุณนายมัลลิกาพรางตาเธอ เรื่องย่อก็ประมาณนี้แหละค่ะ”

กัลยาเล่าเรื่องย่อละครเรื่องเพลิงพรางตาให้นักแสดงที่มาทดสอบบทฟังก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ผู้เข้าทดสอบบททั้งหมดนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องโถงกลางของบริษัท ส่วนผู้จัดและทีมงานนั่งรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่ง

หลังจากกัลยาอ่านเรื่องย่อให้ทุกคนฟังแล้วเธอก็หมุนรถเข็นกลับเพื่อจะเข้าไปในห้องคัดเลือกนักแสดง แดนสรวงมาช่วยเปิดประตูห้องให้ ผู้จัดและทีมงานเดินตามเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้สำหรับการทดสอบบท ทีมงานอีกคนก็มาแจ้งให้นักแสดงรอสักครู่

“พล็อตเรื่องก็เฉยๆ ผู้กำกับก็หน้าใหม่ คนเขียนบทก็…ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลยว่าบทจะออกมาดี นี่เอมคิดถูกแล้วใช่ไหมคะที่มาแคสติ้งเรื่องนี้น่ะ” อัจจิมาพูดกับกุ้งนางผู้จัดการส่วนตัวคนสนิทของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ

“คิดถูกสิจ๊ะ เอมไม่รู้อะไร เรื่องนี้น่ะสถานีมั่นใจว่าต้องดี ต้องดังแน่ๆ นะคะ ถึงได้ให้คุณต้นเป็นพระเอก” กุ้งนางส่งยิ้มให้ตรีภพที่นั่งประกบอยู่อีกข้างหนึ่งของอัจจิมา ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างเปิดเผย

“เออ แล้วเอมอย่าไปพูดให้ใครเขาได้ยินนะคะว่าเอมไม่เชื่อมือคนเขียนบท” กุ้งนางพูดด้วยเสียงเบาลง

“ทำไมล่ะคะพี่กุ้ง เอมพูดความจริงนะคะ ก็ดูสภาพเขาสิคะ”

“น้องเอม…” กุ้งนางพูดเสียงแหลม “อย่าพูดอย่างนี้สิคะ เดี๋ยวคนเขาหาว่าเราบุลลีคนพิการน่ะแย่เลยนะคะ”

“ใช่ เอม ถึงคิดก็อย่าพูด เสียภาพลักษณ์หมดนะคะ ถ้าถูกมองแบบนั้นแล้ว จะพูดแก้ให้กลับมาเหมือนเดิมมันยากนะ” ตรีภพบอก

เมื่อแฟนหนุ่มกับผู้จัดการพูดเป็นเสียงเดียวกันอัจจิมาจึงต้องสงบปากสงบคำ แต่ในใจเธอก็ยังคิดว่าเธอไม่ผิดที่จะคิดแบบนั้น คนพิการง่อกแง่กแบบนั้นมาเขียนบทละครมันดูไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย

“เราจะเริ่มที่บทพุดจีบ นางเอกของเรื่องนะคะ คนแรกเชิญคุณลิลลี่ ลลิตาค่ะ” ทีมงานออกมาเรียกตัวนักแสดง

“ลิลลี่เป็นคนแรกเลยลูก คนที่หนึ่งต้องเป็นที่หนึ่งแน่ๆ” มารดาของนักแสดงสาววัยรุ่นดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าลูกสาวเสียอีก

“แม่ ไม่ต้องตื่นเต้นได้ไหม ทำเหมือนหนูไม่เคยมาแคสงานไปได้ หนูอายเขานะ แม่รออยู่นี่แหละ หนูเสียสมาธิ” ลิลลี่ ลลิตาบอกผู้เป็นแม่แล้วเดินตามทีมงานไป

“ดูสิคุณกุ้ง แม่อุตส่าห์มาเป็นกำลังใจให้ ลิลลี่กลับมาพูดกับแม่แบบนี้” ลักษณาแม่ของลลิตาขยับมานั่งแทนที่ลูกสาวแล้วบ่นกับกุ้งนาง

“คุณแม่อย่าไปถือสาน้องเลยค่ะ น้องคงจะตื่นเต้น” กุ้งนางพูดปลอบใจแต่ก็ลอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายในความจุ้นจ้านของลักษณา

นอกจากกุ้งนางจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอัจจิมาแล้วเธอยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของลิลลี่ ลลิตาด้วย หญิงสาวรำคาญแม่ของเด็กในสังกัด เมื่อหันไปเห็นว่าอัจจิมากำลังคุยสนุกอยู่กับแฟนหนุ่ม กุ้งนางจึงหลบไปหาที่นั่งเช็กโทรศัพท์มือถือรับคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ยังไม่ได้ตอบกลับตั้งแต่เช้า

 

“ผมว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะได้บทนางเอกนะ บทนี้ไม่มีใครเหมาะเท่าเอมแล้วละ” ตรีภพพูดเอาอกเอาใจแฟนสาว

“ไม่แน่นะคะ ลิลลี่เล่นบทใสๆ มาบ่อย เขาอาจจะถนัดกว่าเอมก็ได้”

“ไม่หรอก เอมแหละเหมาะแล้ว เราจะได้เล่นคู่กันไง”

“คู่แข่งไม่ใช่น้อยๆ เอมไม่มั่นใจ แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด เพราะเอมอยากเล่นคู่กับต้น”

“ต้องอย่างนี้สิคะ” คำพูดยังหวานไม่พอ ตรีภพยังส่งสายตาหวานฉ่ำให้อัจจิมาด้วย

แม้จะได้กำลังใจจากแฟนหนุ่มแต่นางเอกสาวก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับบทที่เธอมาดหมาย เพราะคู่แข่งคนสำคัญของเธอก็มาทดสอบเพื่อรับบทนางเอกละครเรื่องนี้เช่นกัน พิมพ์ระพี นางเอกไฮโซฝีมือดีเป็นนางเอกที่เข้าวงการบันเทิงไล่เลี่ยกับอัจจิมา ทั้งสองคนมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมานานตั้งแต่สมัยที่อัจจิมาเข้าวงการใหม่ๆ

เมื่อสิบสองปีก่อนอัจจิมาเข้าวงการด้วยการชักนำของกุ้งนาง เธอเข้าประกวดนางแบบรุ่นเยาว์ที่จัดโดยนิตยสารวัยรุ่นฉบับหนึ่ง พิมพ์ระพีก็ร่วมประกวดด้วย อัจจิมาเป็นตัวเก็งที่จะชนะการประกวดตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้าย เพราะเธอแสดงบนเวทีได้ดีและในรอบสัมภาษณ์เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด แต่พอประกาศผลสายสะพายกลับตกเป็นของพิมพ์ระพี อัจจิมาเชื่อว่าพิมพ์ระพีชนะเพราะใช้อิทธิพลและเงินทอง เธอจึงผูกใจเจ็บตลอดมา หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงต่างช่องกัน สถานีโทรทัศน์ทั้งสองแห่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน เมื่ออัจจิมาและพิมพ์ระพีเป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของช่อง ทั้งสองคนจึงเป็นคู่แข่งกันมาตลอด หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทั้งสองคนต่างก็ออกมาเป็นนักแสดงอิสระ เพิ่งมีโอกาสมาทดสอบการแสดงเพื่อช่วงชิงบทบาทการแสดงเดียวกันในวันนี้เอง

“ถ้าไม่เพราะต้นเป็นพระเอก เอมไม่มีทางมาแคสหรอกค่ะ”

“เอมไม่ถูกกับคุณระพี” ตรีภพพูดต่อให้เพราะเขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว

“ทำไมต้องเรียกเขาว่าคุณ” อัจจิมาต้ดพ้อทันที

“ก็เขาเป็นลูกเพื่อนแม่ผม เขาก็เรียกผมว่าคุณต้น เรียกกันมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ไม่มีอะไรสักหน่อย อย่างอนสิคะ รักษาภาพนางเอกแสนดีหน่อย”

อัจจิมาไม่พูดอะไรอีก เธอมองดูลลิตาออกมาจากห้องทดสอบบทพลางคิดในใจว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คู่แข่งของเธอ อัจจิมาอดคิดไม่ได้ว่าการที่เพื่อนนักแสดงสังกัดผู้จัดการคนเดียวกับเธอใช้เวลาทดสอบน้อยอาจแสดงว่าผลงานการแสดงไม่เป็นที่พอใจของทีมงาน

“คนต่อไปคุณเอม อัจจิมาค่ะ”

หญิงสาวลุกขึ้นด้วยความมั่นใจว่าคราวนี้เธอจะต้องชนะพิมพ์ระพีได้แน่นอน

 

“ครามทำไมครามถึงทำแบบนั้นกับคุณเมฆ” อัจจิมาในสวมบทพุดจีบสาวใช้ใสซื่อ โต้ตอบกับทีมงานที่รับบทเป็นพวงคราม นางร้ายของเรื่อง

“ครามทำอะไร”

“ก็ที่ยั่วยวนคุณเมฆ”

“ครามไม่ใช่แค่ยั่วยวน ครามจะเอาคุณเมฆเป็นผัว”

“ครามรู้ไหมว่าครามพูดอะไรออกมา” อัจจิมาพยายามแสดงให้นุ่มนวลสมบทบาทนางเอกที่สุด

แต่แล้วเสียงใครคนหนึ่งก็สั่งให้เธอหยุดแสดง

“หยุดก่อนครับ คุณลองเล่นบทพวงครามแทนได้ไหม” แดนสรวงเดินมาถามเธอ

“แต่ฉันมาทดสอบบทนางเอกนะคะ”

“แต่ทางการแสดงของคุณมันโอเวอร์แอ็กติงเหมาะเป็นนางร้าย”

“คุณ…” อัจจิมานึกโกรธแต่ก็พยายามเก็บอาการ

“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่คุณ นักแสดงตัวจริงต้องแสดงได้ทุกบทไม่ใช่เหรอครับ คุณลองต่อบทกับผมดู มาพี่เอง” แดนสรวงบอกกับทีมงานสาวที่ทำหน้าที่ต่อบท เธอจึงส่งบทละครในมือให้ผู้กำกับทำหน้าที่แทน

นี่มันอะไร เขาเป็นผู้ชายมาต่อบทผู้หญิง นายผู้กำกับคนนี้ตั้งใจแกล้งกันชัดๆ อัจจิมาได้แต่คิดในใจ เธอรู้ว่าแดนสรวงคิดว่าถ้าเธอต้องต่อบทกับผู้ชายแล้วเธอจะไม่อินกับบทเท่ากับผู้หญิง เธอจะต้องพิสูจน์ให้ผู้กำกับหน้าอ่อนนี่เห็นว่าเธอเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบท

อัจจิมาตั้งใจแสดงบทนางเอกอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่แดนสรวงต่อบทอย่างไร้ความรู้สึก เธอยิ่งแน่ใจว่าเขาแกล้งเธอ ยิ่งรู้อย่างนี้เธอก็ยิ่งอยากเอาชนะ แต่ต่อบทไปได้ยังไม่ทันจะจบฉาก เจนกิจก็สั่งให้หยุดอีก แล้วผู้จัดหนุ่มก็สั่งให้ตามพิมพ์ระพีที่อยู่ในคิวต่อไปมาต่อบทนางเอกแทน อัจจิมาไม่พอใจแต่เธอก็ไม่กล้าขัดใจผู้จัด

“คุณระพี เริ่มตรงนี้เลยนะครับ” แดนสรวงบอกกับพิมพ์ระพีเมื่อเธอเข้ามาในห้องทดสอบการแสดง อัจจิมานึกขวางที่ผู้กำกับหนุ่มพูดกับนางเอกไฮโซที่เป็นคู่แข่งของเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่า

แล้วการต่อบทก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

“ครามว่าอะไรนะ…” พิมพ์ระพีในบทพุดจีบเอ่ยขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์

“ครามบอกว่า ครามจะเอาคุณเมฆทำผัว” อัจจิมาแสดงบทพวงคราม หญิงสาวผู้ทะเยอทะยาน เมื่อพิมพ์ระพีส่งอารมณ์มาแรง อัจจิมาก็ส่งอารมณ์กลับไปแรงไม่แพ้กัน

“พูดออกมาได้ไม่อายปาก”

“ทำไมต้องอาย มัวแต่อายแล้วดักดานเป็นขี้ข้าเขาเหมือนพี่จีบ ครามไม่เอาด้วยหรอก”

“ทำไมครามถึงคิดแบบนี้กับคุณท่าน คุณท่านเลี้ยงดูส่งเสียเรามานะ”

“เลี้ยงไว้เป็นขี้ข้าน่ะสิ พี่จีบน่ะโง่ คุณท่านน่ะไม่ได้หวังดีอะไรหรอก เขาก็แค่เอาคำว่าบุญคุณมาล่ามเราไว้ให้ไปไหนไม่ได้”

“ครามพูดอย่างนี้เพราะโกรธที่คุณท่านไม่ให้ครามคบหากับนายนพดลนั่นใช่ไหม”

“ใช่ ยายแก่นั่นกลัวว่าครามจะแต่งงานไปได้ดิบได้ดีก็เลยกันท่า”

“หยุดก้าวร้าวคุณท่านเดี๋ยวนี้นะคราม”

“ไม่หยุด แล้วครามก็จะไม่หยุดอ่อยคุณเมฆด้วย พี่จีบห้ามครามไม่ได้หรอก” พวงครามพูดจบแล้วก็เดินออกไป

“คราม…” พุดจีบพูดเสียงเครือ โกรธน้องสาวจนแทบจะร้องไห้

เจนกิจปรบมือให้นักแสดงทั้งสองก่อนจะเอ่ยว่า “ดีมากทั้งสองคนเลยครับ”

“ผมว่าเราน่าจะได้ทั้งสองบทเลยนะครับ” จีรพัฒน์ที่ทำหน้าที่เป็นตากล้องบันทึกภาพเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก

“จี…” พิมพ์ระพีรำพึงเรียกชื่อ แต่ดูเหมือนคนที่เธอเรียกจะไม่สนใจฟัง เธอจะเรียกเขาซ้ำ แต่แดนสรวงพูดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“ขอบคุณครับ คุณสองคนแคสติ้งจบแล้วครับวันนี้” แดนสรวงบอก

“นี่หมายความว่าเอมจะได้เล่นบทพวงคราม แทนที่จะได้เล่นบทพุดจีบงั้นเหรอคะ” อัจจิมาถามเจนกิจ

“ยังไม่แน่หรอกครับ ยังทดสอบไม่ครบทุกคน”

“อาจจะไม่ได้ซักบทเลยก็ได้” แดนสรวงพูดเบาๆ แต่อัจจิมาก็ยังได้ยิน

“คุณว่าอะไรนะ” อัจจิมาถามอย่างเอาเรื่อง

“คุณได้ยินว่ายังไงก็อย่างนั้นแหละครับ” แดนสรวงพูดอย่างไม่แยแส

อัจจิมาโกรธจนแทบจะกรี๊ด ถ้าเธอไม่เกรงใจเจนกิจเธอคงตอบโต้เขาด้วยคำพูดเจ็บๆ แต่ที่เธอทำได้ก็คือเดินหนีไป แสดงให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอไม่แคร์เขา

พิมพ์ระพีกล่าวขอบคุณทีมงานก่อนจะออกไป เธอมองหาจีรพัฒน์เหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ผู้ช่วยผู้กำกับหนุ่มเอาแต่คุยกับกัลยา เขาไม่ได้สนใจเธอเลย พิมพ์ระพีจึงตัดใจเดินออกจากห้องทดสอบการแสดงไป

กัลยาสังเกตเห็นจึงถาม “จี พี่ว่าคุณพิมพ์ระพีเขามีอะไรจะพูดกับจีนะ รู้จักกันเหรอ”

จีรพัฒน์หยุดชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะบอกว่า “เรียนคณะเดียวกัน แค่นั้นแหละฮะ”

อัจจิมาได้ยินเข้าก็รู้สึกว่าพิมพ์ระพีกำลังจะใช้เส้นสายเพื่อให้ได้งานอีกแล้ว

 

โอ๊ย…ดีจังเลย ที่เอมได้บทพวงคราม” กุ้งนางจับไม้จับมือแสดงความยินดีกับนักแสดงในสังกัดของเธอทันทีที่เจนกิจประกาศผลการคัดเลือกนักแสดง

“ดีใจอะไรกันคะพี่กุ้ง” อัจจิมาพูดเสียงแข็งแล้วลุกออกจากที่นั่งทันที

“เดี๋ยวสิเอม…เอมจะไปไหน” กุ้งนางรีบเดินตามอัจจิมาออกไป

“เอมจะกลับ”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเอม” ผู้จัดการดาราสาวเดินมาทัน เธอดึงมือเด็กในความดูแลให้เดินตามไปคุยที่ช่องทางเดินไปห้องน้ำ

“เอมจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ มันดูไม่เป็นมืออาชีพเลย”

“ก็รู้ผลแล้ว ไม่มีอะไรแล้วนี่คะ ทำไมจะกลับเลยไม่ได้”

“กลับน่ะกลับได้แต่ต้องไปร่ำลาผู้จัดก่อนสิ ไปขอบคุณที่เขาเลือกเรา เอมไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่นะ จะได้ทำแบบนี้”

อัจจิมาคิดได้ว่าเธอวู่วามเกินไปจึงกล่าวกับกุ้งนางด้วยเสียงอ่อนลง “เอมขอโทษค่ะพี่กุ้ง เอมใจร้อนไปหน่อย”

“เอาเถอะพี่เข้าใจ พี่รู้ว่าเอมคงไม่ชอบที่ได้บทนางร้ายแทนที่จะได้เป็นนางเอกคู่กับคุณต้น แต่บทนี้ส่งมากเลยนะเอม พวงครามเป็นตัวเดินเรื่องเลยนะ เด่นกว่าบทนางเอกอีก”

“ไม่รู้ละ ที่เอมมาแคสก็เพราะอยากเล่นคู่กับต้น ถ้ารู้อย่างนี้เอมไม่มาแคสหรอก ละครก็ดูไม่น่าจะไปรอด”

“เอม พูดอย่างนี้อีกแล้วนะ” กุ้งนางมองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า

“ก็จริงนี่ พี่กุ้งดูสิว่าเหมือนที่เอมบอกไหม ทีมนี้มีแต่หน้าใหม่ ผู้กำกับ ผู้จัดก็เพิ่งทำละครแค่สองเรื่อง คนเขียนบทนั่นยิ่งแล้วใหญ่”

“ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะ รู้ไหมว่าละครเรื่องที่แล้วทีมนี้เขาได้รางวัลด้วยนะ”

“เอมว่าละครดีก็ต้องเริ่มที่บทดี งานนั้นพี่สุชาติเป็นหัวหน้าทีมบท มันก็ต้องดีอยู่แล้ว เอมไม่เชื่อหรอกว่าคนง่อกแง่กอย่างนั้นจะเขียนบทได้ดี”

“เอม…” กุ้งนางร้องเสียงสูง “พี่บอกแล้วไงว่าอย่าไปบุลลีเขา ถ้าโดนสังคมแบน ถึงกับหมดอนาคตเลยนะเอม”

“เอมแค่พูดตามที่เห็น แล้วนายผู้กำกับนั่นก็แกล้งเอมด้วย เขาจงใจจะให้เอมเล่นบทร้าย กีดกันไม่ให้เอมได้แสดงฝีมือในบทนางเอก”

“เอมก็ไปว่าเขา พี่ว่าเอมได้เล่นประกบกับคุณระพี ต้องดังแน่ๆ”

“คุณระพีๆ พี่กุ้งก็เหมือนต้นไม่มีผิด” อัจจิมาพูดแล้วก็เปิดประตูเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ผู้จัดการสาวถอนใจหนักหน่วง

 

หลังการประกาศผลการคัดเลือกนักแสดง แดนสรวงเดินมาคุยกับนักแสดงกลุ่มที่ไม่ได้รับคัดเลือก เขาให้กำลังใจนักแสดงหน้าใหม่หลายคนที่แสดงได้ดีแม้ยังไม่ได้รับคัดเลือก ขากลับเขาเดินผ่านทางไปห้องน้ำและได้ยินคำพูดของอัจจิมาเต็มสองหู

แดนสรวงเสียความรู้สึกมาก สิ่งที่เขาเห็นวันนี้แตกต่างจากเอม อัจจิมา นักแสดงสาวดาวรุ่งที่เขาพบเมื่อสิบสองปีก่อนมาก ตอนนั้นอัจจิมาเป็นคนร่าเริงสดใส เมื่อได้พบกับแฟนคลับเธอจะให้ความเป็นกันเองและน่ารักกับทุกๆ คน

ละครเรื่องแรกที่อัจจิมาแสดงเธอรับบทเป็นนางพยาบาลสาวใจดี ละครเรื่องนั้นมาถ่ายทำที่โรงพยาบาลที่แมนสรวงน้องชายของเขารักษาตัวอยู่ แมนสรวงรบเร้าให้พี่ชายพาไปดูการถ่ายทำละคร ในช่วงพักการถ่ายทำอัจจิมาหันมาเห็นแมนสรวง เธอเข้ามาพูดคุยกับน้องชายของแดนสรวงอย่างเป็นกันเอง ทำให้แมนสรวงมีความสุขและมีกำลังใจรักษาตัวมากขึ้นและคนเป็นพี่ชายอย่างแดนสรวงก็ประทับใจไม่รู้ลืม สองพี่น้องกลายเป็นแฟนคลับของเอมอัจจิมาอย่างเหนียวแน่น แดนสรวงคิดว่าความฝันที่จะเป็นผู้กำกับการแสดงของเขาถูกจุดประกายขึ้นในวันนั้น

แต่วันนี้อัจจิมาทำให้ภาพประทับใจนั้นพังทลายไปหมดสิ้น

แดนสรวงสังเกตเห็นสายตาที่นางเอกสาวมองกัลยาตั้งแต่ตอนที่เพื่อนของเขาอ่านเรื่องย่อให้ทุกคนฟัง เขาเฝ้าแต่บอกตัวเองว่าเขาอาจจะมองผิดหรือคิดไปเองว่านั่นเป็นสายตาดูแคลน อัจจิมาอาจแค่ไม่ค่อยเคยเห็นคนพิการที่ใช้ชีวิตอยู่บนรถล้อเข็นอย่างกัลยา เธออาจเคยเห็นแต่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลจึงรู้สึกแปลกใจและมีสายตาแบบนั้น แต่คำพูดที่แดนสรวงได้ยินจากปากอัจจิมาเป็นเครื่องยืนยันความคิดของเธอ อัจจิมาดูถูกฝีมือการกำกับการแสดงของเขา เขาไม่ว่า แต่ที่เธอดูแคลนเพื่อนรักของเขา แดนสรวงรับไม่ได้

 

ผู้กำกับหนุ่มยืนรอจนนางเอกสาวเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่มีผู้จัดการเดินตามมา เขาจึงเปิดฉากเคลียร์ใจกับเธอ

“คุณอัจจิมา คุณคิดว่าบทละครเพลิงพรางตานี่มันไม่สนุกเลยเหรอ”

“เอ่อ…ฉัน” อัจจิมาอึ้งอั้น นี่เขาได้ยินที่เธอพูดหรือ ถ้าเขาคิดว่าเธอบุลลีคนพิการอย่างที่พี่กุ้งนางว่า ภาพลักษณ์ของเธอคงไม่เหลือชิ้นดี “ฉันก็แค่คิดว่าคนเขียนบทมือใหม่ งานมันจะออกมาไม่ดีก็เท่านั้นเอง”

“แล้วที่คุณว่าผมแกล้งคุณ กีดกันไม่ให้คุณเป็นนางเอกล่ะ”

“ก็มันจริงไหมล่ะ ตอนฉันทดสอบบทนางเอก คุณยังไม่ทันได้ฟังด้วยซ้ำ”

“ผมฟังแล้ว ผมเห็นแล้ว คุณน่ะ มีแต่แอ็กติง ไม่มีอินเนอร์”

“คุณเป็นใคร กำกับใครมาบ้าง คุณถึงได้มาวิจารณ์ว่าฉันไม่มีอินเนอร์”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ คุณน่ะเอาการแสดงมากลบความรู้สึก คุณแค่แสดงเป็นตัวละครแต่ไม่ได้รู้สึกว่าคุณเป็นตัวละครตัวนั้น”

“คุณจะดูถูกฉันมากไปแล้ว”

“ผมดูไม่ผิดหรอกคุณ ผมขอแนะนำให้คุณเอาดีทางเป็นนางร้าย เพราะคุณน่ะไม่มีความอ่อนหวานแบบที่จะเป็นนางเอกได้เลย”

“นี่คุณ…” อัจจิมาเดินเข้าหาแดนสรวงอย่างจะเอาเรื่อง

“มีอะไรกันคะ” กุ้งนางที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำรีบเข้ามาห้ามทัพแล้วหันไปถามนักแสดงในสังกัดของเธอ “มีอะไรกันเอม”

“ก็เขา…” อัจจิมายังพูดไม่จบ แดนสรวงก็พูดสวนขึ้น

“ผมแค่อธิบายเรื่องงานให้คุณเอมเธอฟังน่ะครับ ผมขอย้ำว่าบทพวงคราม เป็นบทที่เหมาะกับบุคลิกของคุณที่สุดแล้ว อ้อ แต่ขอให้คุณเล่นให้ลึกกว่าที่เคยเล่นมาหน่อยนะครับ ไอ้แบบตื้นๆ กลวงๆน่ะ ผมไม่เอานะ แต่คุณเอมผ่านงานมาเยอะแล้ว เยอะกว่าผมอีก คงจะเข้าใจ ผมเบื่อนักแสดงประเภทอวดเนื้อหนัง โชว์ความเซ็กซี่ไปวันๆ พวกเนี้ยะ พอหมดความเซ็กซี่แล้วก็ไม่มีใครเหลียวแลหรอกครับ เพราะกลวง มีแต่เปลือก” แดนสรวงพูดจบก็เดินจากไป

“พี่กุ้งดูสิ เขาว่าเอม”

“เขาว่าเอมตรงไหน พี่ว่าเขาก็พูดถึงนางร้ายทั่วๆไปนะ”

“โอ๊ย…พี่กุ้งเนี่ย” อัจจิมาได้แต่ร้องขึ้นอย่างขัดใจ เพราะเธอไม่รู้จะอธิบายให้ผู้จัดการของเธอเข้าใจได้อย่างไรว่าเธอถูกผู้กำกับหน้าอ่อนนั่นหลอกด่าเข้าให้แล้ว

หลังจากร่ำลาผู้จัดแล้วอัจจิมาก็ออกมานั่งรอในรถของแฟนหนุ่มที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงตรีภพจึงได้ออกมาจากตึก หญิงสาวที่ต้องเปิดประตูรถนั่งรออยู่จึงค่อนข้างจะหงุดหงิด

“ทำไมนานจังคะ เอมคิดว่าคุณจะตามออกมา”

“โทษทีนะคะเอม พี่เจขอคุยเรื่องบทกับผม นึกว่าจะแป๊บเดียว” ตรีภพพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเคย เสียงนี้เองที่มักละลายใจอัจจิมาได้

“ไปกันเถอะค่ะ เอมหิวแล้ว” อัจจิมาพูดด้วยเสียงติดจะแง่งอน

“เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง เอมเลือกร้านเลย วันนี้เอมจะเลือกเมนูแพงแค่ไหนก็ได้นะ เป็นค่าปรับที่ผมมาช้า” ตรีภพรู้ว่าอัจจิมาแกล้งแง่งอนเพื่อให้เขาง้อ ชายหนุ่มชอบท่าทีงอนพองามของแฟนสาว ชีวิตของเขาพบแต่ผู้หญิงที่วิ่งเขาหาและพร้อมเอาอกเอาใจ การได้เป็นฝ่ายง้อบ้างทำให้ความรักไม่น่าเบื่อ

อัจจิมายังบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่เธอได้รับบทนางร้ายแทนนางเอก ตรีภพได้แต่ปลอบใจแฟนสาวว่าการได้เล่นละครเรื่องเดียวกันก็นับว่าดีแล้ว

“ผมได้ยินมาว่าน้องลิลลี่เกือบจะได้บทพวงครามแล้วนะ” ตรีภพพูดขึ้นขณะที่รถจอดติดไฟแดงภายในซอย

“ลิลลี่น่ะเหรอคะ ใสซื่ออย่างนั้นน่ะเหรอจะเล่นร้ายได้”

“ก็ไม่รู้สินะ ได้ยินว่าผู้กำกับเขาชอบการแสดงของลิลลี่”

“แน่ละ หมอนั่นไม่ชอบเอม”

อัจจิมาตั้งท่าจะบ่นอีกยาว แต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของตรีภพดังขึ้นเสียก่อน

ชายหนุ่มฟังโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง เขาแอบเหลือบมองดูอัจจิมานิดหนึ่ง แต่หญิงสาวก็ยังจับได้ “ครับแม่” ตรีภพรับคำสั้นๆ แล้ววางสาย

“เอม ขอโทษทีนะ ผมไปเลี้ยงข้าวเอมไม่ได้แล้วละ ผมต้องไปกินข้าวกับคุณแม่ เอาไว้พรุ่งนี้ผมชดเชยให้นะ”

“พรุ่งนี้เอมมีเดินแบบ”

“งั้นวันที่ฟิตติ้ง ผมเลี้ยงคืนนะ”

“เอมไปทานข้าวกับคุณแม่คุณด้วยไม่ได้เหรอคะ คุณแม่ก็ทราบอยู่แล้วนี่คะว่าเราเป็นแฟนกัน”

อัจจิมารู้ว่าแฟนหนุ่มไม่อยากให้เธอไปร่วมโต๊ะกับมารดาของเขา ด้วยเพราะมารดาของเขาไม่ชอบเธอเพราะฐานะไม่เสมอกัน แต่หญิงสาวก็อยากลองใจว่าคนรักของเธอจะทำอย่างไร

“ไม่ได้หรอกเอม มีเพื่อนคุณแม่ไปด้วย เอมไปก็ไม่สนุกหรอก”

‘เพื่อนคุณแม่’ คำนี้ทำให้อัจจิมาเอะใจ เธอยังจำได้ดีที่ตรีภพเคยบอกว่าแม่ของเขากับแม่ของพิมพ์ระพีเป็นเพื่อนกัน เธอจึงถามออกไปตามสัญชาตญาณของผู้หญิง

“เพื่อนคุณแม่คุณคือแม่ของพิมพ์ระพีใช่ไหม ยายนั่นไปด้วยใช่ไหม”

“เอม…มันก็แค่กินข้าว ผมไม่มีอะไรกับเขาสักหน่อย ผมบอกเอมหลายครั้งแล้วนะ”

“งั้นก็ให้เอมไปด้วยสิคะ”

“เอม…” ตรีภพโอดครวญ เขารู้ว่าเธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มเข้าใจว่าคนรักกำลังหึงหวงและหาเรื่องมาตีรวนเขา “ไม่เอาน่า ไว้วันหลังนะคะ เอมว่างวันไหนผมเทคิวให้เอมได้ทั้งวันเลยนะ นะ…”

อัจจิมาไม่ได้ตอบคำ เธอรู้ว่าถ้าเธอไปร่วมโต๊ะกับมารดาของคนรักคงรับประทานอาหารอย่างไม่มีความสุข แต่กระนั้นก็ยังอดน้อยใจไม่ได้จนรู้สึกตื้อตันในลำคอ

“เดี๋ยวผมแวะไปซื้ออาหารร้านที่เอมชอบ แล้วจะเลยไปส่งเอมที่บ้านก่อนค่อยไปนะคะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ จอดตรงนี้แหละ เอมจะลง”

“เอม…เข้าใจผมหน่อยสิ”

“เอมเข้าใจค่ะ ต้นจอดรถเถอะ” อัจจิมาตอบเสียงแข็ง สะบัดสะบิ้ง

ตรีภพรู้ว่าถ้าอัจจิมาอยู่ในอารมณ์นี้ ไม่มีทางที่เขาจะง้อเธอได้ง่ายๆ ทางที่ดีเขาควรโอนอ่อนผ่อนตาม รอให้หญิงสาวใจเย็นลงแล้วค่อยคิดหาวิธีง้อเธอใหม่อีกครั้ง

ตรีภพนำรถเข้าจอดข้างทาง เมื่ออัจจิมาลงจากรถแล้ว เขาไม่ลืมบอกเธอว่า “ถึงบ้านแล้วโทรหาผมด้วยนะ”

เมื่อยืนอยู่ลำพังที่ริมทางเท้าในซอยอัจจิมาจึงได้รู้ตัวว่าเธอตัดสินใจผิดถนัด ตึกที่ตั้งบริษัทเจนจัด พลัส สตูดิโออยู่ในซอยเปลี่ยวในแถบชานเมือง การที่เธอขอลงรถกลางซอยเป็นการสร้างความลำบากให้ตัวเอง เพราะไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาให้เรียกรับบริการเลยสักคัน

แดนสรวงขับรถผ่านมาพอดี เขาเห็นอัจจิมายืนหารถอยู่ริมทาง ใจหนึ่งเขาก็อยากจะแวะรับเธอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอดูแคลนเพื่อนรักของเขาความโกรธก็หวนกลับมาทำให้เขาตัดสินใจขับรถผ่านไป

อัจจิมายืนโบกรถอยู่นานเมื่อเห็นรถแท็กซี่ที่เปิดไฟว่างผ่านมา เธอก็รีบเดินลงไปโบกรถบนถนน หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็นรถสามล้อเครื่องที่วิ่งสวนเลนมา รถคันนั้นเร่งเครื่องแซงรถคันอื่นจึงเสียหลักแล่นกินเลนพุ่งมาหาเธอ คนขับรถตกใจพยายามหักหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น กว่าจะรู้ตัวอัจจิมาก็ถูกรถเฉี่ยวล้มหงายหลัง คนขับรถสามล้อเครื่องรีบเร่งเครื่องรถขับออกไปทันที

“เฮ้ย ชนแล้วหนีเหรอ…” อัจจิมาตะโกนไล่หลังรถสามล้อเครื่องคันนั้น ขณะลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เธอรู้สึกเจ็บหลังมาก แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไร หญิงสาวรีบขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรอก่อนที่สายฝนจะตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 



Don`t copy text!