ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา พญานาคหนุ่มจาก พนมนาคา เผยถึงความท้าทายกับผลงานชิ้นล่าสุด

ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา พญานาคหนุ่มจาก พนมนาคา เผยถึงความท้าทายกับผลงานชิ้นล่าสุด

โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

Loading

กระแสดีและแรงขึ้นเรื่อยๆ เลยสำหรับละครเรื่อง ‘พนมนาคา’ จากบทประพันธ์ของ ‘พงศกร’ ที่ออกอากาศทางช่องวัน 31 ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. เพราะนอกจาก อนันตชัย พญานาคหนุ่มที่แสดงโดยตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา จะคลั่งรักไปกับเอเชียหรืออนัญชลี (กรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) จนคนดูฟินจิกหมอน เขายังกร้าวใจสุดๆ เวลาแบทเทิลกับพญานาคคนน้อง เอนกชาติ (เพชร โบราณินทร์) จนคนดูแอบตั้งให้เป็นศึกวันธงชัย มุมแดง มุมน้ำเงินกันเป็นที่เรียบร้อยอีกด้วย

โชคดีของอ่านเอามากที่ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับตรี พระเอกของเรื่องหลังจากละครออกอากาศมาได้พักหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวถึงกับยิ้มแก้มปริเมื่อถามถึงกระแสการตอบรับที่เททะลักท่วมใจ พร้อมกับยกความดีความชอบให้กับทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมทั้งหมด “ผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่ผลงานของผมคนเดียว แต่เป็นผลงานของช่องวัน 31 พี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับ) ทีมงานและเหล่านักแสดง ฯลฯ…เราทุกคนตั้งใจเต็มที่ที่จะรังสรรค์สิ่งดีๆ ออกมาให้คุณผู้ชมได้ดู ซึ่งละครเรื่องนี้ที่เป็นแนวโรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี ที่ถึงแม้เรื่องพญานาคจะไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ แต่การเล่าเรื่องที่ผสมผสานความเชื่อระหว่างไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ส่วนเรื่องซีจีผมรับรองว่าไม่แพ้ต่างประเทศ อยากให้ทุกคนติดตามพนมนาคาเยอะๆ เพราะฟีดแบคที่ดี ล้วนเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักแสดงและทีมงานทุกคนครับ…”

๙ เดือนกับ พนมนาคา

หลังจากทักทาย แจกความสดใสกันเสร็จเรียบร้อย ตรีก็นั่งลงเล่าถึงผลงานชิ้นล่าสุดให้ฟังอย่างออกรส “ฟีดแบคเรื่องพนมนาคาดีตั้งแต่เริ่มออกอากาศแล้วครับ ผมรู้สึกดีใจแทนพี่ๆ และผู้ใหญ่ในช่องวัน 31 ดีใจแทนทีมงาน บริษัท ดีใจแทนผู้กำกับ และดีใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ที่ลืมไม่ได้อีกคนคือต้องขอบคุณตัวเองที่ทำได้ออกมาขนาดนี้ ต้องให้กำลังใจตัวเองด้วยครับ

เราใช้เวลาเก้าเดือนในการถ่ายงานเรื่องนี้ที่ต้องบอกว่าทั้งเหนื่อย ทั้งโหด อย่างฉากในคุกเนี่ยไม่มีง่ายเลย ผมกับเพชรได้แผลกันเยอะอยู่นะ เพราะเป็นหิน ใส่สลิง ตีลังกา บู๊กันเดือด ด้วยอารมณ์ที่ต้องฟาดฟันกันก็เลยต้องรับแผลกันไปจริงๆ

ก่อนถ่ายซีนบู๊เราจะมีการฝึกกันหน้าเซ็ตอยู่แล้ว ต้องบอกก่อนว่าน้องเพชรเก่งในเรื่องการต่อสู้มากๆ เก่งกว่าตัวผมเองมาก เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย เขาเรียนเรื่องต่อยมวยมาตั้งแต่เด็ก ศิลปะการต่อสู้ของเพชรเลยจะสวย พอเวลาอยู่หน้าเซ็ต เพชรก็จะแนะนำว่าทำท่านี้สิพี่ น้องจะรู้ท่าและรู้ชื่อท่า ผมก็จะฟังน้อง อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็บอกว่า ‘เฮ้ย เพชร ไม่ไหวว่ะ ท่านี้มันยากไป’ เพชรก็เลยได้ออกแบบท่าการต่อสู้ด้วย แล้วก็ยังมีทีมงานทางด้านศิลปะป้องกันตัวที่พี่สันต์จ้างมา รวมถึงทีมสตันต์แมนเพื่อมาซัพพอร์ตกัน แต่พี่สันต์ก็ไม่ค่อยให้ใช้สตันทต์แมนเท่าไหร่ เขาจะบอกว่า ‘วัยรุ่น’ (หัวเราะ) เหมือนเป็นคนปลุกใจพวกผมเวลาอยู่หน้าเซ็ต เพราะมันร้อนจริงๆ แล้วเราก็ตื่นกันแต่เช้า แถมซีนหนึ่งกว่าจะได้ก็ใช้พลังงานเยอะ แต่ว่าพี่สันต์เขาจะบิ้ว ‘วัยรุ่นๆ’ พวกเราก็ ‘เฮ้ย วัยรุ่น เว้ย อย่าไปยอม…’

เรียกว่าทั้งทีมงานและนักแสดงเขาทุ่มกันสุดตัวกันจริงๆ กับผลงานชิ้นนี้ “อย่างซีนระบำนาคนารีที่ออกอากาศไปแล้ว ตอนถ่ายคือห้าทุ่มครึ่ง ซึ่งเราถ่ายกันมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าครับ ทุกคนล้วนทำงานนัก ผมเองก็เสียน้ำตาไปเยอะ เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด และอยากทำออกมาให้ดีที่สุด แต่ผมก็เสียน้ำตาอยู่คนเดียวนะครับ ไม่มีใครรู้ ผมไม่ได้อยากร้องไห้นะ คืออย่าแตะบ่า เพราะถ้าแตะบ่าน้ำตาจะไหล มันเหนื่อยจริงๆ แต่พอมองทีมที่ยังสู้อยู่ผมก็เลยไม่ท้อ เพราะเราก็ต่างเหนื่อยเหมือนกัน แล้วพอได้คุยกับคนข้างๆ ที่อยู่กับเรา อย่างคุณแม่ พี่ผู้จัดการ พี่สันต์ซึ่งก็แมนๆ คุยกัน ‘เฮ้ย เอาหน่อยวะ…สู้เว้ย…’ ก็ดีขึ้นครับ เหมือนเป็นการปลุกใจ และพอมาถึงวันนี้ที่พวกเราช่วยกันให้ผ่านมาได้ และผลงานยังได้รับเสียงตอบรับที่ดีด้วย ก็ทำให้หายเหนื่อยเลยครับ”

 

๗ ปี ๗ เรื่อง

นับไปนับมา พนมนาคา นับเป็นผลงานชิ้นที่ ๗ ของตรี ซึ่งหมายความว่าหนุ่มคนนี้เขาทำงานแค่เรื่องละปีเท่านั้น  “ผมไม่ได้เล่นละครเยอะนะครับ เพราะไม่อยากให้พี่ๆ ต้องมาเสียเงิน เสียเวลา ถ้าผมรับเล่นสองเรื่องในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วออกมาไม่ดี เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราไหวในระดับไหน  ทำได้แค่ไหน อะไรที่ไม่ได้ควรจะพูดตรงๆ มีการคุยกันก่อนตลอด ผมบอกก่อนเลยว่าผมไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่ผมตั้งใจ และรับผิดชอบกับงานที่ผมได้

…ทุกเรื่องที่ผ่านมาผมจะมีกระบวนการในการรับงานของผมอยู่แล้ว อย่างแรกคือผมต้องอ่านบทให้หมดทั้งเรื่อง รู้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้จักทุกตัวละครว่าแต่ละคนคือใคร เป็นยังไง แล้วก็เริ่มมาวิเคราะห์ตัวละครที่ตัวเองเป็น เช่น  อนันตชัยเป็นใคร เกิดที่ไหน อยู่มานานแค่ไหน ชอบทำอะไร เพราะในเรื่องไม่ได้บอกหรอกครับว่าพันปีที่แล้วอนันตชัยเกิดมายังไง ทำอะไร ไม่รู้เลย ซึ่งเราต้องทำเอง คิดเอง สร้างเอง เป็นเรื่องที่ยากมากๆ กับการที่ต้องหาแบ็กกราวนด์ตัวละครหนึ่งพันปี เพราะผมเพิ่งเกิดมายี่สิบแปดปีเอง (หัวเราะ) แล้วก็กลับไปเกาะเส้นอดีตที่เขาเล่ามาว่าระหว่างหนึ่งพันปีที่เกิดมา เราเป็นพญานาคสูงส่งกำลังจะเป็นกษัตริย์ แต่สูญเสียคนรักไปจากการเข้าใจผิด เลยอยากแก้ไขสิ่งนั้น ผมเชื่อว่าตัวละครตัวนี้มีทั้งความดีและความรู้สึกผิดที่ทำให้อนัญชลีตาย เขาคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมก็เลยสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาว่ารอหนึ่งพันปีเนี่ย รอยังไง มันคือกี่ชั่วโมง กี่นาที กี่วินาทีกับการรอ…

แล้วอนันตชัยทำอะไรบ้างในหนึ่งพันปีนั้น ยุคนี้ทำอะไร ยุคนี้ทำอะไร สร้างความดีกับใคร พยายามแค่ไหน ผมลองดูหนังเรื่องแวมไพร์ ทไวไลท์  แต่ก็ยังไม่ได้ปรับมาใช้เท่าไหร่ สรุปแล้วก็มาคุยกับครูที่สอนเวิร์กช็อป คุยกับพี่สันต์ พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) เพื่อนๆ นักแสดงด้วยกันว่าอยากให้สร้างตัวละครเป็นแบบไหน เป็นพญานาคแบบไหน ท่าเดินเป็นยังไง เสียงเป็นยังไง ซึ่งทุกเรื่องที่เรารับบท ผมจะชอบคิดกับตัวเองเสมอว่าเรื่องที่เราเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของเราแล้ว เพื่อที่จะทำงานชิ้นนี้ให้เต็มที่ที่สุด พร้อมจะใส่ให้หมด ไม่มีกั๊ก ไม่มีอ่อนข้อ…”

ส่วนเรื่องหุ่นฟิตๆ กล้ามแน่นๆ ที่ใครๆ คาดหวังว่าจะเห็นในเรื่องนี้ เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้กล้ามอาจหายไปเยอะ “ผมมีปัญหากับช่วงหลังส่วนล่างทำให้ออกกำลังกายได้น้อยมาก เพราะมีช่วงหนึ่งผมได้ไปเรียนศิลปะการต่อสู้ แล้วทำให้มีปัญหากับหลังและขาจนทำให้เราไม่สามารถออกกำลังกายได้หนักเท่าเมื่อก่อน คือตอนเด็กๆ ช่วงที่ออกกำลังกายแรกๆ ก็อาจบ้าบิ่นหน่อย เล่นทุกวัน ซึ่งเราไม่รู้ว่าร่างกายของเราอ่อนลงตามอายุ ตามวัย บวกกับที่เราไปเรียนศิลปะป้องกันตัวก็หนักหนาสาหัสเหมือนกัน ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นว่ายน้ำแทน แต่ก็พยายามรักษาหุ่นให้คงที่แต่ตัวคงไม่ใหญ่ และกล้ามคงไม่ชัดเหมือนเมื่อก่อน แต่เรื่องการแสดงไม่ตกแน่นอนครับ”

เรื่องราวสุดท้าทายและประทับใจในพนมนาคา

“ผมประทับใจตั้งแต่บทประพันธ์จากคุณหมอโอ๊ต (นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ) ที่สร้างสรรค์ผลงานเรื่องนี้ขึ้นมาเลยครับ ซึ่งเค้าโครงเรื่อง ตัวละครต่างๆ ก็มาจากคุณหมอ แต่ก็ได้มาปรับเปลี่ยนบทโดยได้ขออนุญาตคุณหมอแล้ว ขอบคุณในเรื่องความอัจริยะ มุมมอง รวมถึงศิลปะในการเขียนการเล่าเรื่อง แล้วก็ประทับใจผู้กำกับ ทีมงานทุกคน เพื่อนๆ นักแสดง โลเคชั่น ซีจี ไม่มีอะไรที่ผมไม่ประทับใจ…

ผมประทับใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น บรรยากาศในกองถ่ายพนมนาคาเหมือนครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่ง ทุกคนน่ารักหมดเลยครับ พวกเขาสนุกไปกับโลกของพนมนาคามากๆ เวลาในซีนกับนอกซีนมันต่างกันนะ ถ้ายังไม่เข้าซีนก็คุยกันแฮปปี้ แต่พอจะถ่ายแล้วก็แยกย้ายกันไปทำสมาธิของใครของมัน แล้วพร้อมที่จะกระโจนเข้าไปกับบทบาทที่ได้รับ ทุกคนมีของ รู้ว่าต้องทำอะไร และจะทำอะไรต่อไปโดยที่ไม่ต้องให้พี่สันต์มาสั่งการ อย่างพี่กรีนเอง ผมไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน แต่เคยเจอกันตอนถ่ายปฏิทินของช่องวัน 31 แค่ครั้งเดียว พอได้มาเจอกันในเรื่องนี้ผมก็พยายามคุย สังเกตว่าพี่เขาเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร จะคุยทางไหน จะเปิดเข้าไปทางไหนดี แต่โชคดีที่พี่เขาไม่ได้มีกำแพงเยอะ ไม่ได้หวงตัวตนก็เลยละลายน้ำแข็งกันเข้าไปได้ง่ายๆ

…พอเราสนิทกันก็ยิ่งทำงานง่ายขึ้น มีเรื่องคุยกันได้มากขึ้น มีความผูกพันกันในฐานะนักแสดง แล้วในฐานะตรีกับพี่กรีนก็ดีครับ เราเป็นพี่น้องที่คอยปรึกษากัน คุยกันในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องส่วนตัวว่าใช้ชีวิตยังไง ชอบทำอะไร ก็คุยกันได้หลายๆ แบบ หมายถึงเราก็หาภาษาที่คุยกันลงตัวได้ ส่วนกลุ่มผู้ชายเราก็คุยกันหมดเพราะอายุพวกเรา ผม เพชร ก้อง (วิทยา เทพทิพย์) ปาแปง (พรหมพิริยะ ทองพุทธรักษ์) พี่อาร์ (อาณัตพล ศิริชุมแสง) ไม่ได้ห่างกันเยอะ และป็นผู้ชายแบบเดียวกันก็เลยคุยกันง่าย โดยเฉพาะผมกับเพชร เรามีการเวิร์กช็อปกันมาเยอะพอสมควร แล้วก็โชคดีที่มีผู้จัดการคนเดียวกันคอยดูแลด้วย ซึ่งเพชรก็จะเปรียบเสมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง แล้วในเรื่องก็แสดงเป็นน้องชายด้วย มีอะไรก็คอยแนะนำกัน ไปด้วยกัน คือเรื่องนี้เราไม่ทิ้งใคร ทุกๆ คนต้องไปด้วยกันครับ”

 

สายมูต้องเข้า

ระหว่างการถ่ายทำเรื่องพนมนาคา นอกจากจะโหดสุด เหนื่อยสุดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นคือฝนจะตกตอนฉากที่อนันตชัยกับอเนกชาติบู๊กันเสมอ “พี่น้องทะเลาะกันทีไรจะมีปัญหาเกิดขึ้นทุกที อุปสรรคเยอะมาก เช่น ฝนตก กล้องพัง เดี๋ยวถ่ายไม่ติด อย่างโน้นอย่างนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราก็เลยมีการขอขมา และทุกครั้งที่ผมเล่นผมจะอธิษฐานว่าขออนุญาตไปเป็นท่านนะครับ อะไรที่ไม่ถูกก็ขอออภัย ขออโหสิกรรมให้ด้วย แต่เจตนาของพวกเราคืออยากทำให้ดีที่สุดทุกครั้ง สำหรับส่วนรวมก่อนถ่ายก็มีจุดธูปไหว้ตลอด แต่ช่วงที่หนักๆ เลย ก็มีการบวงสรวงกันเองก่อนที่ปราสาทเมืองสิงห์เพื่อขมาด้วย อย่างที่รู้กันว่าพญานาคเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยให้ความเคารพบูชา แล้วก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ผมเป็นคนที่ไม่ลบหลู่และเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้ว และก็พยายามทำให้ดีที่สุดครับ”

 

จากเรื่องที่หนึ่งถึงเรื่องที่เจ็ด กับมุมมอง ความคิด ที่เปลี่ยนไป

คุยกันมาได้พักใหญ่ เราเลยขอให้ตรีพาย้อนเวลากลับไปถึงผลงานเรื่องแรกเรื่อยมาจนถึงเรื่องล่าสุด “พอมองย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เรายังเล่นละครไม่เป็นก็ตลก ขำตัวเองครับ ต้องบอกก่อนว่าวิธีคิดก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นนักแสดง คือ ผมมองว่าทุกอย่างว่าง่าย แค่ร้องไห้ได้ก็สบายแล้ว เดี๋ยวพอเป็นนักแสดงก็รวยแล้ว คิดแค่นั้นแหละครับ แต่พอได้เข้ามาทำงานจริงๆ ก็พบว่ามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย ไม่มีคนรู้หรอกว่าผมเจออะไรมาบ้าง ผมเจอการนั่งรอออดิชัน เจอการโดนต่อว่า ดูถูก ครหา ต้องฝ่าฟันอุปสรรค…ฯลฯ ต้องใช้ความพยายามและบากบั่นอย่างมากกว่าเราจะสะสมวิชา ประสบการณ์มาจนถึงวันนี้ และสาหตุที่ไม่เคยถอดใจเพราะผมมองว่าเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น มีหลายคนที่อยากเข้ามาทำงานตรงนี้แต่ไม่มีโอกาส ในขณะที่เรามี ดังนั้นจึงต้องทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุดในทุกๆ วันเพราะเราไม่รู้เลยว่าจะได้อยู่ตรงนี้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะสามารถทำออกมาได้แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ในขณะเดียวกันเราต้องขอบคุณตัวเอง ขอบคุณคนข้างๆ ขอบคุณครอบครัวทุกคนที่ยังเชื่อมั่นเสมอแม้ว่าเราจะทำอะไรผิดพลาดไป เพราะทุกอย่างมาจากพื้นฐานของความตั้งใจจริงๆ ของเราครับ”

เมื่อวันและวัย รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ทำให้ตรีเติบโต ดังนั้นเมื่อเขาได้มองย้อนกลับไปและมองดูสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เรื่องราวเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนริ้วรอยของประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่พาให้เขาก้าวมาถึงวันนี้ “พอมาถึงวันที่อายุเท่านี้แล้ว และมองย้อนกลับไปผมกลับแฮปปี้นะครับ และมองว่าเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าจะดีหรือร้ายคือประสบการณ์ที่ดี ทำให้เราคิดว่า ถึงวันนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ได้เอาใหม่ ทำเต็มที่ ทำจนกว่าเราจะไม่ได้ทำงานตรงนี้แล้ว”

 

GIVE & TAKE

ระหว่างการเดินทางบนถนนสายบันเทิงตรีบอกว่ามีหลายคนที่ได้มอบคำแนะนำที่ดีที่สุดให้กับเขา โดยเฉพาะเรื่องของการให้ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความสุขง่ายขึ้น “ต้องขอบคุณพี่บอย พี่ป้อน พี่ผู้จัดการ ช่องวัน 31 ครับ เพราะที่นี่สอนให้ผมรู้จักคำว่า ‘ให้’ มากขึ้น ให้ ในที่นี้คือให้ความสุขกับคนอื่นก่อนที่เราจะรับ อย่างการเล่นละครก็เหมือนกัน เราก็ให้ความเพลิดเพลินกับทีมงานเรา ตัวละครของเรา เราก็ให้กับเขา คือเป็นเขาให้ได้เต็มที่ หรือกับคนรอบข้างก็ให้ความสุขกับเขาเช่นกัน ผมมองว่าถ้าจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ และควรต้องให้เขาไปก่อนร้อยเปอร์เซนต์ นอกจากนั้นทุกๆ คนได้สอนให้ผมรู้จักรับฟังมากขึ้น และเคารพในความคิดของคนอื่น เพราะเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของใครได้ ดังนั้นก็ควรเคารพการตัดสินใจของเขาด้วยครับ”

ขอให้เป็นที่จดจำในฐานะ นักแสดงที่ดี

“ถามว่าตอนนี้ผมก็แฮปปี้กับตัวเองแค่ไหน ผมบอกเลยครับว่าผมแฮปปี้กับสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นนะครับ วันนี้ผมมองว่าชีวิตผมไม่ได้ง่าย แต่อะไรที่ยากแล้วผมทำได้หมายความว่าผมมาถูกทาง และอะไรที่ได้มายากๆ เวลาทำได้เราจะมีความสุขมากๆ แล้วยังเห็นคุณค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยครับ

แต่ถ้าถามว่าอยากพัฒนาตัวเองในเรื่องไหน ก็คงเป็นเรื่องการแสดงมากกว่า ผมอาจต้องไปเจออะไรใหม่ๆ หมายถึงการเล่นหนัง ไปเรียนรู้เพิ่ม แล้วก็ต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ เพราะผมก็เป็นคนที่ชอบโทษตัวเอง ชอบว่าตัวเอง เมื่อก่อนผมเป็นมากกว่านี้นะ แต่เดี๋ยวนี้ผมยอมรับและผ่านไปได้มากขึ้น อะไรที่ไม่ดีเข้ามาก็ต้องบอกตัวเองว่า ‘ต้องยอมรับมันให้ได้’

ส่วนในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง ตรีมีความตั้งใจว่าวันหนึ่งเขาอยากให้แฟนๆ จดจำเขาในฐานะนักแสดงที่เล่นได้หลากหลายแนว แค่เห็นว่าเขารับบทบาทนี้ก็เชื่อมั่นว่าเขาจะเข้าถึงบทบาทเหล่านั้นได้ “ไม่ต้องจำ ตรี ภรภัทร ก็ได้นะครับ แต่อยากให้เขารู้สึกว่า เห็นคนนี้เล่นแล้วอยากดู รู้ว่าคนนี้เล่นแล้วทำได้ เชื่อไปกับสิ่งที่จะแสดงให้เขาดู สำหรับผมแค่นั้นก็พอแล้วครับ”

แล้วตรีเชื่อเรื่องพญานาคไหมคะ?

“เชื่อสิครับ แสดงเป็นท่านก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว…”

 

Don`t copy text!