A MIND จิตอริยะ บทที่ 6 : ความสุขที่โหยหา

A MIND จิตอริยะ บทที่ 6 : ความสุขที่โหยหา

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

“หนีไปได้อีกแล้วเรอะ” ร.ต.ท. พิศวัติ พอพลน์เค้นเสียง แต่การบ่นครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงคนร้ายเพียงคนเดียวหรอก

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีนครบาลเขต A ขยี้จมูกตัวเองเมื่อได้ยินข่าวจากปากรุ่นน้อง คนร้ายในคดีสังหารทายาทของบริษัทการ์ด แอนด์ ลิงก์ยังคงลอยนวล แม้มีคนพบเห็นเบาะและยืนยันแล้วว่าเป็นมันกำลังเดินนวยนาดอยู่แถวแหล่งแฟชั่นย่านมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่พอเริ่มตามสืบมันกลับหายตัวไร้ร่องรอย แม้แต่พวกเจ้าหน้าที่ในกองกำกับการสืบสวนยังต้องกุมขมับ

ส่วนอีกข่าวคือการหนีหายของนายทุนชื่อ พันทศ ผู้หลอกเอาเงินหุ้นส่วนและคนรู้จักมาเปิดอาคารขนาดใหญ่ ข้อมูลแจ้งว่าเป็นโครงการสร้างศูนย์การแพทย์ครบวงจร แต่พอเอาเข้าจริงดันไม่มีหน่วยงานทางการแพทย์มายุ่งเกี่ยวด้วยซ้ำ พอเรื่องเป็นข่าวก็ทิ้งอาคารให้ร้างแล้วหนีหายเข้ากลีบเมฆ เอกสารการก่อสร้างทั้งหมดก็ชี้ไปที่ผู้ลงทุนย่อย แทบจะโยงไปถึงตัวพันทศไม่ได้เลย แถมยังมีอีกหลายอาคารที่ถูกปล่อยร้างและมีความเชื่อมโยงกับมัน

ลูกน้องเดินจากไป ทิ้งเขาไว้หน้ากองเอกสาร เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เหลือต่างคนก็นั่งเครียดกับงานตนเอง เวลาบ่ายสามแล้ว อากาศร้อนเกินกว่าเครื่องปรับอากาศจะช่วยไหว

พิศวัติเริ่มอยากบุหรี่และของมึนเมาในทันทีที่เริ่มเครียด แต่ก็อดใจไว้และเปลี่ยนเป็นพายไส้หวานขนาดพอดีคำมาเคี้ยวแทน แน่นอนว่าหมดไปหลายแผงแล้วก็ยังไม่หายเสี้ยน แต่ร่างกายวัยสี่สิบกลางมันแจ้งออกมาจากผลเลือดแล้วว่า หากไม่หยุดมึงก็ตาย

เขานั่งพิงเก้าอี้ แอบก่นตนเองว่าผิดไปไกล จากที่คิดว่าเมื่อโดนย้ายมาแล้วจะมีกำลังใจในชีวิตมากขึ้น แต่ผ่านไปห้าปี ทั้งหมดที่ทำคือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำให้บ้านเมืองดีขึ้นด้วยซ้ำ ยศและตำแหน่งก็นิ่งสนิทไปนานแล้ว อย่างนี้สู้ลาออกแล้วไปหางานอื่นทำน่าจะเหมาะกว่า

สักพักก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาในมือถือเครื่องเก่า เป็นของรองผู้กำกับวิเธียร

เข้ามาที่ห้องประชุมย่อย ด่วน เป็นคำสั่งสั้นๆ ที่น่าฉงน ทำไมไม่ให้ใครมาบอกนะ พิศวัติเคยได้รับคำสั่งพิเศษจากรองสารวัตรโดยตรง แต่คราวนี้กลับมาจากรองผู้กำกับ สังหรณ์ใจว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ชุดตำรวจคับไปหน่อยแล้ว แต่ยังพอไหว เดินก้าวไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นห้องประชุมย่อย มองผ่านกระจกเข้าไปพบเจ้าของข้อความนั่งรออยู่ วิเธียร รองผู้กำกับเป็นชายวัยห้าสิบสอง ร่างหนาและดูผึ่งผาย กำลังนั่งจ้องเขาทะลุกระจกออกมา โดยมีชายอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ผมยาวสีน้ำตาลเข้มตัดกับเสื้อนอกสีแดงสด มองจากด้านหลังยังรู้สึกว่าคล้ายนักกีฬา

เปิดประตูกระจกเข้าไปจึงถูกเรียกให้นั่งอีกมุมหนึ่งของโต๊ะ มองเห็นได้ทั้งรองผู้กำกับและชายผู้มาเยือน รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด และเมื่อรอง ผกก. แนะนำชื่อก็เผลอร้องอ๋อ

อลิน ริช ผู้ฟื้นสติรายแรกของโครงการสลับจิตนั่นเอง…พิศวัตินั่งนิ่ง ไม่แน่ใจว่าควรยกมือไหว้หรือแค่ก้มหัว อายุของอลินคงมากกว่าเขา แต่สภาพภายนอกนั้นก็ยังหนุ่มเฟี้ยว และอีกอย่าง เขาไม่สู้อยากจะสนทนากับคนในโครงการนี้สักเท่าไร จะบอกว่ารังเกียจก็ไม่ผิดนัก

สายตาของรองฯ สั่งให้เขาไหว้ พิศวัติจึงยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ สงสัยจริงว่าคนคนนี้มาทำอะไรในสถานีตำรวจกันวะ แต่ในอดีตอลินเคยเป็นคนสร้างระบบตรวจสอบบางอย่างให้กับทางตำรวจ เส้นสายและอำนาจนั้นนับว่าเอาเรื่องทีเดียว

“เอาละ ในเมื่อมาแล้ว ผมจะให้พวกคุณคุยกันเป็นส่วนตัวแล้วกัน” จู่ๆ วิเธียรก็กล่าวเช่นนี้ แล้วก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างไว เล่นเอาพิศวัติถึงกับงง

“เชิญครับ” อลินผายมือไปฝั่งตรงข้าม เชิญให้เขาไปนั่งแทนที่รอง ผกก.ที่เพิ่งลุกจากไป

มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย

มองวิเธียรที่เดินไกลออกไป รองผู้กำกับไม่มีท่าทีหวาดกลัวอลิน ริชหรอก แต่เหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยวเสียมากกว่า ความรู้สึกแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน

“ผมอยากพบคุณมาสักพักแล้ว” อลิน ริชทำลายภวังค์งุนงงของเขา

“คุณมีธุระอะไรกับตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างผมครับ”

ผู้ฟื้นสติยิ้มแย้ม และเขาเกลียดรอยยิ้มนั่น “เปล่าเลย ผมมีธุระกับภรรยาของคุณต่างหาก”

เท่านั้นเองที่เขาตบโต๊ะเสียงดัง จ้องตาอลินอย่างเคียดแค้น และเริ่มคำราม “อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย ถ้าไม่มีธุระก็ไปเสีย”

อลินไม่มีท่าทีหวาดกลัว กลับกันเขาใช้สายตานับถือจ้องตอบ “คุณนี่ช่างไม่ต่างจากที่ผมคิดเลย คุณมีสายตาแบบเดียวกันกับภรรยา สายตาที่แฝงไว้ซึ่งอุดมการณ์อย่างที่ปานรุ้งเชื่อมั่น”

ไม่เกี่ยวกับคำน้ำเน่าที่พ่นออกมาหรอก แต่เมื่อได้ยินชื่อของภรรยาผู้จากไปก่อนวัยอันควร ความโกรธเริ่มพลุ่งพล่าน แต่เขาก็ยั้งใจไว้โดยเร็วด้วยความเป็นมืออาชีพ ทว่าอีกเพียงหนเดียวเท่านั้น หากมันยังล้ำเส้นอีกเพียงครั้งเดียว เขาจะขยี้มันคาตีน

“คุณปานรุ้งทุ่มเททุกอย่างเพื่อ A MINDโดยหวังให้สังคมดีขึ้น แต่พวกผมกลับทำให้เธอผิดหวัง ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ว่าแล้วก็ก้มหัวแทบติดโต๊ะ

แม้จะไม่ทราบว่าเสแสร้งหรือไม่ แต่พอได้ยินคำขอโทษอันอ่อนโยน ใจก็บรรเทาอาการพลุ่งพล่านลง

อลินเงยหน้าขึ้นมากล่าวต่ออย่างเศร้าสร้อย “ประเทศนี้กำลังเดินหน้า ทุกอย่างกำลังดีขึ้น แต่เธอกลับไม่ได้อยู่ดูมัน เพราะความสะเพร่าของพวกเราเอง ชดใช้อย่างไรก็คงไม่พอ แถมมาวันนี้ยังมีเรื่องให้ช่วยอีก ที่จริงหากเป็นไปได้ก็ไม่อยากรบกวนคุณสักนิด”

ร.ต.ท.พิศวัติกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินคำว่าชดใช้ แน่ละว่าเขากับลูกสาวได้เงินมาก้อนใหญ่ทีเดียว

“ต้องการอะไรกันแน่”

อลินหยิบภาพของคนคนหนึ่งออกจากกระเป๋าเอกสารสีเทา เขารับมาดู ชายหน้าตาหล่ออย่างกับดารา ด้านล่างมีชื่อเขียนอยู่

ธาดาร์ โพ้นวิไสย + ปกป้อง ปักษ์ดนู

เขาร้องอ๋อในใจ ฆาตกรที่เคยถูกจับได้เมื่อไม่กี่ปีก่อน รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่เขตนั้นจะได้รับความดีความชอบไปอื้อ ส่วนคนชื่อปกป้องคงเป็นผู้ฟื้นสติที่ได้รับร่างของมันไปสินะ

แต่ว่า…หมวดพิศวัติเบะปาก “ไอ้ธาดาร์ไม่สมควรจะเป็นร่างตัวแทน น่าจะยังมีนักโทษอื่นที่เหมาะสมกว่า อย่างน้อยก็ในสายตาของผมนะ”

อลินผายมือสองข้างออกพร้อมเอียงคอ อารมณ์ว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว

“สรุปว่า…” เขาเริ่มหมดความอดทนอีกครั้ง “จะให้ช่วยอะไร”

อลินเริ่มคุยธุระ และเมื่อเขาได้ยินคำขอนั้นก็ต้องสะอึก…

“ไม่ต้องตกใจ” อลินส่งเสียงคล้ายจะปลอบ “คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากตรวจสอบแล้วรายงานผมมาก็เท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียงานของตำรวจด้วย ผมดีลเรื่องด่วนเอาไว้แล้ว”

เขาส่ายหัว “ผมไม่อยากยุ่งกับโครงการนี้แล้ว มันพรากเมียผมไป ทั้งที่ผมก็เตือนรุ้งมาตลอดว่าแม่งโคตรอันตราย มาวันนี้คุณยังจะให้ผมสืบข้อมูลผู้ฟื้นสติที่ความทรงจำ ‘น่าจะกลับมางั้นหรือ”

อลินใช้นิ้วจุปากตัวเอง “กำแพงมีหูครับ”

ผู้หมวดนิ่งไป เค้นเสียงหนักแน่นแต่ลดความดังลงมา “ทำไมไม่ใช้ฝ่ายปราบปราม พวกนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินจากโครงการสลับจิตไม่ใช่หรือ”

“ตำรวจฝ่ายปราบปราม” อลินกล่าวแล้วทำหน้าอ่อนล้า “เป็นหน่วยพิเศษไว้สำหรับรับมือกับผู้ฟื้นสติที่ก่อเรื่องก็จริง แต่ก็เหมือนเรื่องแฟนตาซีที่ไม่มีวันเกิดขึ้น พวกนั้นไม่เคยออกภาคสนามสักครั้ง และผมจะยินดีมากที่มันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป”

ก็จริง หน่วยที่ว่าถูกตั้งมากินเงินเดือนไปวันๆ เพราะระบบการสลับจิตไม่เคยผิดพลาด และจะต้องไม่มีวันพลาด หน้าที่หลักของหน่วยจึงเป็นการอยู่นิ่งๆ เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพและมาตรฐานของโครงการสลับจิตที่เกี่ยวกันทั้งภาครัฐและเอกชน หากเคลื่อนไหวเมื่อไร…ทุกอย่างก็จบเห่

ช่างเปลืองภาษีจริงๆ พิศวัติแอบส่ายหัว

“คุณปานรุ้งเคยกล่าวว่าจะทำทุกอย่างเพื่อโครงการ และผมเห็นเธออยู่ในตัวคุณ ผมเชื่อว่าคุณจะยอมช่วย คุณคงไม่อยากปล่อยให้คนที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฆาตกรเดินไปมาในเมืองใช่ไหมครับ อีกอย่างหนึ่ง…คุณเป็นคนที่ชอบออกนอกกฎ สร้างปัญหาให้กับทางกรมหลายครั้ง และนั่นยิ่งทำให้คุณเหมาะกับงานนี้มาก”

สายตานั้นยั่วเย้าให้ตอบ มันคงทราบว่าหลังเสียภรรยา นายตำรวจผู้นี้พยายามอยู่หลายปีในการจับผิดโครงการ แต่ก็ไม่พบอะไรให้เล่นงานได้ การวอนขอให้ช่วยในเรื่องนี้จะมอบความหอมหวนของชัยชนะให้กับเขา

แน่นอน มันคงไม่มีช่องให้พิศวัติเผยแพร่ข่าวที่ก่อเกิดความเสื่อมเสียแก่ A MIND หรอก แค่มอบความรู้สึกเปี่ยมปีติให้เท่านั้น เปรียบกับรางวัลปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ และคงรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่กล้าปล่อยให้ประชาชนเผชิญความเสี่ยงจากธาดาร์ โพ้นวิไสยแน่

ว่าอย่างไรครับ” อลินถามอีกครั้ง

พิศวัติสูดหายใจแล้วตอบไป “ไม่ ข้อเสนอนั้นยังไม่น่าสนใจ”

คราวนี้อลินหัวเราะร่วน หน้าตาประมาณว่ากะไว้แล้วเชียว จากนั้นจึงเขยื้อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ กระซิบที่ข้างหู “ข้อเสนอจริงๆ ของผม…คือคุณปานรุ้งครับ”

กลิ่นวานิลลาจากปากไม่ได้ทำให้เขาพิศวาสอะไรอลิน ริช แต่ข้อเสนอนั้นเองที่ส่งให้ทั้งร่างสั่นระริก ผู้หมวดมองหน้ากลับไปในระยะประชิด

“ศพของคุณปานรุ้งยังถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รวมถึงตรงนี้” อลินชี้ที่ขมับ สายตานั้นรอคอยคำตอบที่คาดเดาไว้แล้ว เป็นสายตาที่มองออกว่าจะได้รับคำตอบตกลง

และแล้วเขาก็ทำตามที่มันคาดไว้

 

หลังจากทำสัญญากับปีศาจ ช่วงที่กำลังเดินออกมาส่งอลินที่หน้าสถานี เขาก็สังเกตเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานด้านนอก ทุกคนจับจ้องเขาด้วยความงุนงง

อลิน ริชมาคุยธุระอะไรกับเขา พวกนั้นคงกำลังอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา

“พอดีว่าเป็นโครงการลับน่ะครับ รบกวนไม่แพร่งพรายนะครับ” อลินก้มหัวแล้วส่งเสียง พลางหันมากระซิบกำชับว่า “ผมจะคุยกับสารวัตรและรองฯ ให้ อยากได้อะไรก็บอกนะครับ

“ผมไม่กล้าเรียกร้องอะไรหรอก”

อลินหัวเราะก่อนจะเอียงคอแล้วบ่นเบาๆ “แถวนี้มีเสียงวิ้งๆ น่ารำคาญจังนะครับ แต่ช่างเถอะ สรุปว่าเรามีดีลกันแล้วนะ”

เมื่ออลินกลับไป เขาถูกผู้กำกับและรองฯ เรียกตัวไปพบ

ด้านในห้องผู้กำกับ เจ้าของห้องชื่อมาวิชย์ เป็นชายวัยหกสิบในร่างสันทัด ผิวคล้ำ สายตาดุดัน เขายืนเท้าโต๊ะรับแขกที่กลางห้อง ข้างกายคือรอง ผกก.วิเธียร

นายตำรวจวัยอ่อนกว่าทำความเคารพ กล่าว “สวัสดีครับท่าน” ทราบแล้วว่าทั้งสองต้องการบอกเรื่องใด

ผกก.มาวิชย์ทำหน้าปั้นยาก “หลายปีก่อนที่ A MIND ผุดแนวคิดวิเศษนี้ขึ้นมา…ซึ่งก็ใช่ว่าจะผิดอะไร แต่การใช้ประโยชน์จากนักโทษคดีร้ายแรง ย่อมต้องติดต่อกับฝ่ายผู้รักษากฎหมายและหน่วยงานอื่นเต็มไปหมด และเอ็ดเวิร์ดทำได้ดีทีเดียว”

รอง ผกก.วิเธียรเสริมต่อ “เวลานี้มีการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับฝ่ายโฆษกและสวัสดิการ แม้จะถือเป็นการข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่หลายคน แต่โดยรวมแล้วก็ช่วยได้มาก”

คนบริจาคคือ A MIND ภายใต้การบริหารของวิริยะ เขาทราบดี

“ฝั่งนั้นกำไรไม่ได้เฟื่องฟูอะไร แต่อลินเป็นคนจัดการให้ เพื่อหวังว่าสองฝั่งจะจับมือกันได้” ผู้กำกับทำท่าจับมือแล้วดึง แต่จงใจให้เห็นว่าออกแรงเท่าไรก็ดึงไม่ออก

“ตัวอลินจะขอให้ช่วยอะไร คุณก็สนับสนุนเขาหน่อยนะ เพื่อความสงบสุขของประเทศเรา” รอง ผกก.หน้านิ่งสงบดูไม่ออกว่าคิดอะไร “แต่หากเจออะไรแสดงให้เห็นว่าโครงการนั้นผิดพลาด ขอให้ช่วยรายงานพวกผมด้วย”

พิศวัติก้มหัว ก่อนที่รองฯ วิเธียรจะผายมือให้ออกไปจากห้องได้

“เป้าหมายคือให้อยู่กันอย่างราบรื่นภายใต้ความเปลี่ยนแปลง” ผกก.มาวิชย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียงเยือกเย็น

 

ผมหลงลืมไปแล้วว่าความโกรธเป็นเช่นไร ทั้งที่ยามมีชีวิตอยู่นั้นต้องคอยเก็บซ่อนมันไว้ในอกแท้ๆ

ฟ้าสีครามราวกับภาพวาด ทะเลกับชายหาดเห็นอยู่ตรงหน้า เหมือนจะไกลออกไปแต่ในอีกมุมก็ใกล้เพียงเอื้อมมือเท่านั้น ผมกำลังนอนหรือยืนอยู่นะ ไม่แน่ใจเลยสักนิด แต่มันรู้สึกสุขสงบดีจัง ถ้าที่แห่งนี้คือนรกภูมิก็คงไม่ยุติธรรมสำหรับคนอื่น ผมไม่คู่ควรกับความสุขแบบนี้เลยสักนิด

แต่ว่า…เมื่อครู่ได้ยินเสียงพิณเพลงจากที่ไหนสักแห่ง เสียงที่ทำให้ความเป็นมนุษย์มันตื่นขึ้นมาในตัวปีศาจอย่างผม

อยากพบเธอจัง เป็นอย่างไรบ้างนะ มีคนดีคอยอยู่เคียงข้างหรือยัง

ไม่ช้าผมก็หลับไป และรู้สึกตัวด้วยว่ากำลังฝันอยู่

ผมเห็นพิณเพลงกำลังถูกทำร้ายจากโจรชั่ว สองเท้ารีบพาร่างตัวเองเข้าไปถีบใส่มันสุดแรง

ฝันต่อมาผมเห็นว่าตนกำลังกอดกับเธอ ไม่ดีเลย ผมไม่ควรแตะตัวเธอแบบนี้ มันจะทำให้เธอบาดเจ็บได้

จากนั้นทุกอย่างก็ประดังเข้ามาเรื่อยๆ แทบทนไม่ไหว ภาพของใครสักคนกำลังอ่านนิยายรักโรแมนติก กำลังทานเบอร์เกอร์ที่ดูน่าอร่อย แต่ทั้งหมดเป็นความทรงจำที่ไม่ใช่ของผม

เมื่อนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางวิวทะเลสวยและชายหาดอีกครั้ง แต่ในใจรู้ดีว่ามีบางอย่างต่างไปจากเดิม

ผมทิ้งกายลงบนพื้นทราย พึมพำชื่อของใครสักคนที่ติดอยู่ในใจ ราวกับเป็นชื่อของผมเอง

ปกป้อง ปักษ์ดนู

เขาคือชายที่กำลังอยู่เคียงข้างกับพิณเพลงในเวลานี้…

 

จากวันนั้นก็สองสัปดาห์แล้ว ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของเขากับพิณเพลงเป็นไปอย่างราบรื่น ช่างน่าแปลกที่ทั้งคู่สนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ปกป้องไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ารู้จักกันในฐานะอะไร ทว่าเมื่อได้พบหน้าก็รู้สึกยินดี และเมื่อได้พูดคุยก็รู้สึกอบอุ่น ทั้งสองไม่กอดกันอีก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าห่างเหิน

“แล้วลุงคนนั้นก็กินข้าวกล่องแบบไม่อุ่นไมโครเวฟ” พิณเพลงส่งเสียงในคอตามมาคล้ายจะอาเจียน “แล้วแกงมันยังแข็งโป๊กอยู่เลย แต่ลุงบอกว่ารีบมาก พอหันไปทางอื่นแป๊บเดียว ลุงเขาก็หายตัวไปไหนไม่รู้แล้ว”

อึ๋ย ปกป้องพยายามตั้งสติกับการขับรถ แต่เรื่องเล่าจากพิณเพลงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำให้ขนลุกไปหมด เลยบอกว่า “มีเรื่องอื่นที่ไม่น่ากลัวไหม”

“ถ้าจะเอาที่แปลกรองลงมาก็เรื่องป้าที่พยายามจะจ่ายค่าไฟที่ร้านให้ได้” พิณเพลงหัวเราะ “ทั้งที่บอกแล้วว่าร้านนี้ไม่ได้ดีลกับการไฟฟ้าไว้ แต่ป้าก็ไม่ยอม”

เรื่องนี้ทำเอาปกป้องถึงกับหลุดขำตาม นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะเสียงดังอย่างนี้

 

ก่อนหน้านี้พิณเพลงบอกว่าเธอทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อชื่อ ESS ซึ่งเป็นร้านประจำของเจ้าหน้าที่การ์ด แอนด์ ลิงก์ ช่างบังเอิญดีจริง และนับจากวันนั้นปกป้องก็รับหน้าที่รับส่งพิณเพลงไปทำงานและกลับบ้าน บางครั้งก็ขับรถไปส่ง บางครั้งก็เดินไปด้วยกัน ที่พักของเธอนั้นใกล้กับร้าน เพราะงั้นจะทางไหนก็ไม่ลำบากทั้งนั้น

น่าแปลก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสามารถคุยกับใครได้เกินสามประโยคโดยไม่เบือนหน้าหนี แถมยังมีเรื่องให้คุยกันไม่หยุด ทั้งเรื่องที่มีสาระและไม่มี ตัวพิณเพลงเองก็ร่าเริงขึ้น สดใสกว่าวันที่เจอกันแรกๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากทำความรู้จักกันที่ห้องทำงาน พิณเพลงเล่าเรื่องที่เจอกับธาดาร์เป็นครั้งแรกให้เขาฟัง และเรื่องราวนั้นกระตุ้นบางอย่างในสมองอย่างต่อเนื่อง เล่นเอารู้สึกหวาดกลัวที่จะฟังต่อ โชคดีที่เธอหยุดแค่นั้น ไม่ยอมเล่าว่าหลังจากที่ธาดาร์ไปส่งขึ้นรถสองแถวแล้วเป็นอย่างไรต่อไป แต่เขาคาดว่าทั้งสองคงได้พบกันอีกหลายครั้ง

นอกจากเรื่องอดีตแล้ว หากจะมีสิ่งใดที่น่าวิตก ก็คงเป็นการเรียกชื่อกระมัง

“ธาดาร์ ชามนี้มันให้เยอะอ้ะ สลับกันได้ไหม” พิณเพลงส่งเสียงอ้อน สายตาจ้องไปที่ราเม็งของเขา เสียงในร้านนั้นจอแจมากจนเกือบจะรู้สึกหนวกหูทีเดียว

“อย่าเรียกว่าธาดาร์สิครับ ต้องเรียกว่าปกป้องนะ” เขาเอ็ดแล้วมองซ้ายขวา

“นั่นสิเนอะ” พิณเพลงก้มหัวแล้วห่อตัวทำท่าสำนึกผิด แต่ดูแล้วคงแกล้งทำ “เดี๋ยวใครรู้เข้าจะเป็นเรื่อง”

รอยยิ้มที่ส่งมานั้นแสดงชัดเจน ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่พิณเพลงทราบเรื่องที่ความทรงจำของธาดาร์กำลังจะกลับมา แต่ไม่ต้องการจะนำไปบอกใคร อันที่จริงคงมองว่าเป็นผลดีกับตัวเธอเองด้วยซ้ำ บางทีพิณเพลงอาจจะต้องการให้ธาดาร์กลับมาแทนที่เขาก็เป็นได้

ว่าแล้วก็เกือบลืมเรื่องที่ถูกขอเมื่อครู่ เขารีบสลับชามราเม็งทันที พิณเพลงยิ้มหวานแล้วกล่าวขอบคุณ เล่นเอาใจฟูเลยทีเดียว

“มีใครรู้อีกบ้าง” เธอถามในขณะที่กำลังปรุงน้ำซุป จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองแล้วจิ้มที่หัวตัวเอง สายตานั้นไร้เดียงสาเหลือเกิน

“มีพิณเพลงคนเดียว”

“ดีแล้ว ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด” เสียงนั่นหนักแน่นแต่ก็น่ารัก “แล้วก็…ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“หา” ปกป้องส่งเสียง “ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรหรือครับ”

“ธาดาร์น่ะ…จะไม่เอาร่างคืนหรอก” เธอว่าแล้วก็สูดเส้นราเม็งเข้าปาก

‘อย่างนั้นหรือ มองในแง่ดีไปหรือเปล่านะ’ เขาคิดในใจ ทั้งที่ไม่เคยบอกอะไรเรื่องความทรงจำสักนิด แต่อีกฝ่ายกลับรู้หมดทุกอย่าง เซนส์ดีชะมัด

“ที่ปกป้องเริ่มจำได้ คงเพราะธาดาร์ต้องการจะช่วยไง”

เขากลืนน้ำลาย ใจเริ่มเห็นด้วยกับพิณเพลง

“เขาอาจจะแบ่งตัวเองมาให้แค่เล็กน้อย พอให้ปกป้องดูแลตัวเองและดูแลฉันได้ไงคะ”

ปกป้องพยักหน้าตอบ ความจริงควรจะกลัวเรื่องตนเองจะถูกยึดร่างเข้าสักวัน ทว่าเมื่อได้พบกับพิณเพลง ความรู้สึกในสมองกลับสงบลงอย่างน่าประหลาด ความเป็นธาดาร์นั้นต้องการจะปรากฏออกมาจริงๆ แต่ไม่ใช่เพื่อครอบงำ ไม่ใช่เพื่อมีอิทธิพลเหนือเขา ราวกับต้องการแสดงว่าตนยังอยู่ และต้องการช่วยอะไรสักอย่างตามที่พิณเพลงบอก เรื่องนี้เขามั่นใจด้วยชีวิต

แต่ดูเหมือนอันตรายก็ยังไม่หมด

ข้อมูลของธาดาร์นั้นถูกปิดกั้นจากสาธารณะแล้วก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครคุ้นหน้าเลย คิดแล้วชักอยากจะศัลยกรรมให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะทางพ่อแม่กับพี่ชายเล่นหนีไปเทียวทริปสกีหิมะที่เยอรมัน การขออนุญาตจึงล่าช้าออกไป

แต่เอาเข้าจริงก็คงไม่ได้ทำแน่นอน…อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คิดจะมีชีวิตอยู่นานเสียด้วย

“ปกป้อง” พิณเพลงเรียกเขาที่กำลังเหม่อ

“ว่าไงครับ”

“ขอบคุณนะคะที่มากินข้าวด้วยกัน ฉันกินคนเดียวมาหลายปีแล้ว”

ไอ้อ่อนอย่างเขานิ่งงันครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบระรัว “ผมเองก็เหมือนกันครับ ทานข้าวคนเดียวมานานมากแล้ว”

ทั้งคู่จ้องหน้ากันแล้วยิ้ม สายตาหวานเยิ้มนั่นมองที่เขาหรือธาดาร์กันนะ อย่างไรก็ตามในความคิดของปกป้อง ข้าวเย็นในวันนี้ช่างอร่อยเกินจะกล่าว แม้ภายในใจจะทราบดีว่าทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปหมด ทั้งความสัมพันธ์ บทสนทนา รอยยิ้ม และสักวันทุกอย่างก็จะจบลง

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เขาอยากจะช่วยผู้หญิงคนนี้…ให้พ้นจากบางสิ่งที่น่ากลัว

จากสิ่งทีเรียกว่าธาดาร์

 

สองวันต่อมา เพราะพิณเพลงบอกว่าช่วงนี้เครียดเรื่องงาน ปกป้องจึงรู้สึกเป็นห่วง เขาเดินทางออกจากออฟฟิศเวลาสี่ทุ่มครึ่ง เดินไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงร้าน ESS

เป็นร้านที่กว้างขวางจริงๆ แม้มองจากด้านนอกเข้าไปยังรู้สึกได้ว่าน่าซื้ออะไรกลับไป แม้จะไม่ใช่แฟรนไชส์หรูหราหรือโด่งดัง แต่ก็เป็นร้านที่มีของค่อนข้างครบ ส่วนตัวเขามักจะกินอาหารจากโรงอาหารของการ์ด แอนด์ ลิงก์ แต่พนักงานจำนวนมากก็ฝากท้องไว้กับร้านนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ไม่อย่างนั้นโรงอาหารคงล้นแน่นอน

เมื่อมองตรงแคชเชียร์ก็พบหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มลายทางสีส้ม พิณเพลงนั่นเอง เธอมัดผมไปไว้ด้านหลัง น่ารักถึงขั้นเขาเผลอหลุดยิ้มออกมา แถมยังโดดเด่นกว่าพนักงานอีกสองคนที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด น่าแปลกที่หัวใจเริ่มหวั่นไหว ความคิดกับเธอในเชิงชู้สาวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

จากนั้นเห็นเธอถูกใครคนหนึ่งชวนคุยระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้ามาชำระเงิน หญิงวัยรุ่นผมสีแดงซึ่งแต่งหน้าจัดเต็มขนาดที่เขายังดูออก น่าจะเป็นรุ่นร้อง พิณเพลงสอนงานเธอบ้าง คอยชี้ให้ไปทำความสะอาดพื้นบ้าง ไร้ซึ่งสีหน้าไม่พอใจจากรุ่นน้องคนนั้น ดูท่าพิณเพลงท่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ใจดีและสอนงานเก่ง

ทว่าดูแล้วทั้งสองก็ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไร เขาเห็นว่าสาวผมสั้นพยายามชวนคุยตลอด แต่พิณเพลงนั้นเหมือนจะถามคำตอบคำ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานก็จะคุยแบบละเอียด แต่หากรุ่นน้องเปิดหน้าจอโชว์ภาพน้องหมาให้ดู เธอก็จะแค่พยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ ให้ครั้งหนึ่งเท่านั้น

ราวกับว่าไม่ต้องการสนิทกับใคร นอกจากเขาและธาดาร์

พิณเพลงตาเป็นประกายเมื่อหันมาเห็นหน้าเขา ทั้งที่บอกไปแล้วว่าจะมาหา ท่าทางดีใจนั้นทำให้เขารู้สึกดีและภูมิใจอย่างไรไม่รู้

เขาเอานิ้ววนเป็นวงกลมในอากาศจากนั้นชี้ไปที่อีกฝั่งนอกร้าน สื่อว่าจะเดินเล่นแถวนี้สักหน่อยเพื่อรอเวลาออกกะของเธอ พิณเพลงยิ้มแล้วเอียงคอ จากนั้นเขาจึงเดินวนไปมาละแวกนี้อีกเกือบสองชั่วโมง แต่ไม่รู้สึกเมื่อยล้าสักนิด จะมีก็แค่รำคาญเสียงวิ้งๆ ที่แทรกเข้ามาในหูเท่านั้น และดูเหมือนเป็นเสียงเดียวกับที่ได้ยินในห้องทำงาน

อะไรกัน ยังมีการก่อสร้างหรือซ่อมแซมในเวลานี้อยู่อีกหรือ เขามองไปมาเพื่อหาอาคารที่เป็นต้นตอของเสียง กวาดสายตาออกไปกว้างๆ ก็พบว่ามีหลายอาคารที่มีการปฏิบัติงานอยู่ จึงไม่อาจทราบว่าเสียงมาจากแหล่งใดกันแน่

หรือจะเป็นผลข้างเคียงของการสลับจิต เห็นในรายงานว่าจะแตกต่างออกไปตามบุคคล แถมมีบางคนที่ทรมานกับอาการข้างเคียงยาวนานไปหลายเดือนทีเดียว

แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่ได้รำคาญอะไรขนาดนั้น อีกอย่างจะติดต่อไปทางโครงการก็อันตรายอยู่ พลาดขึ้นมาอาจจะถูกจับเคลียริงเร็วกว่าที่วางแผนไว้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงพยายามไม่สนใจมัน

 

พิณเพลงออกกะในเวลาเที่ยงคืนกับอีกสองนาที วิ่งหน้าตั้งออกมาหาเขา

“คิดว่าปกป้องกลับไปแล้วเสียอีก”

“จะกลับได้ไงล่ะ แถวนี้โจรชุมนะครับ แถมยังมีข่าวเรื่องฆาตกรหลบหนีอีก เห็นว่าหนีมาแถวนี้ด้วยนะ” เขาหมายถึงคนที่เคยฆ่าตัวเองในสวนร้างชานเมืองนั่น น่าแปลกที่บัดนี้ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ราวกับที่ตายไปเป็นชีวิตของคนอื่นเสียอย่างนั้น

“ขอบคุณนะ” เสียงนั้นฟังดูมีความสุข

เขาเองก็มีความสุข เป็นความรู้สึกที่เคยอยากลิ้มลองมาโดยตลอด

‘คนเราบางทีก็ต้องตายสักครั้งหนึ่ง จึงจะได้ใช้ชีวิต’

คำพูดของอลินลอยแว่วเข้ามาในหู รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจในทันที งั้นหรือ หมายความว่าอย่างนี้สินะ…

เขาเดินไปส่งพิณเพลงที่หน้าห้องพัก ทั้งสองไม่ได้จับมือกัน แต่ก็เดินในระยะประชิด ภายในหัวยังคิดวนเวียน

หากสรุปได้แล้วว่าความทรงจำของธาดาร์กำลังกลับมา พวกผู้ฟื้นสติที่เหลือจะเป็นอย่างไรต่อไป จะถูกสั่งตรวจสอบทุกคนเลยไหม จะมีใครถูกเคลียริงเหมือนเขาบ้าง

เราจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนหรือเปล่านะ ความกังวลนั้นเริ่มกัดกินปกป้อง ในขณะที่อีกฝั่งของสมองยังคงหาข้ออ้าง ไม่สิ มองในแง่ดีไว้ อาจจะผิดพลาดที่เราคนเดียวก็ได้

A MIND นั้นน่าจะคุณภาพต่ำลงเพราะการจากไปของเอ็ดเวิร์ด ถ้าเช่นนั้นคงที่ต้องรับผลกระทบก็จะมีเราแค่คนเดียว นั่นคือสิ่งที่ปกป้องสรุปให้กับตนเอง

ขอให้เป็นอย่างนั้น และขอรับความสุขครั้งนี้ไว้อีกสักพัก

ขออีกสักพักนะ ขอซึมซับช่วงเวลานี้อีกสักหน่อย

และเขา…จะยอมให้มันจบลง

 

ปกป้องมาส่งพิณเพลงที่ห้องพัก ก่อนจะจากไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข…แน่นอนว่าเธอก็มีความสุขเช่นกัน ชายที่แสนดีไม่ซักไซ้เรื่องความรู้สึกของเธอกับธาดาร์ แถมยังพยายามดูแลไม่ห่าง เป็นไม่กี่ชีวิตบนโลกที่ดีกับเธอ

ส่วนเธอก็ตั้งมั่นว่าจะดีกับเขาให้ถึงที่สุดเช่นกัน

และแม้ไม่ทั้งหมด แต่ความคิดถึงธาดาร์ที่แทบจะฆ่าเธอทั้งเป็นในอดีต บัดนี้กลับลดทอนลงมากเมื่อพบหน้าปกป้อง ทั้งสองคือคนคนเดียวกัน เธอทราบดี ธาดาร์มิได้จากไปไหน อาจจะอยู่ใกล้กว่าสมัยที่เจอกันแรกๆ ก็เป็นได้ด้วยซ้ำ

 

พิณเพลงเข้ามายังห้องนอนคับแคบ อาบน้ำแล้วออกมาพร้อมชุดนอนลายทาง ทิ้งกายที่เตียง ก่อนจะยืดแขนขาแล้วร้องครางเพื่อคลายเมื่อย มองดูภาพของเธอและธาดาร์ที่ถูกอัดใส่กรอบรูปแล้ววางไว้ตรงชั้นเล็กๆ ข้างเตียง

เธอในชุดเสื้อสเวตเตอร์สีขาว ซึ่งเป็นชุดเก่งตัวเดียวจากตู้เสื้อผ้าในสมัยนั้น กำลังยืนข้างกับธาดาร์ที่สวมเสื้อไหมพรมสีครีมแขนยาว ด้านในคือเสื้อเชิ้ตตัวเก่งของเขา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พิษณุโลกหนาวอย่างน่าตกใจ

 

สิบวันหลังจากแยกกับธาดาร์ครั้งแรก มีข่าวคนถูกฆ่าตายอีกครั้ง แน่นอนว่าเรื่องในโรงเรียนก็เป็นข่าวดังอยู่พักหนึ่ง แต่จากนั้นไม่นานก็ถูกกลบไป เห็นว่าคนใหญ่คนโตของเครือโรงเรียนไม่ต้องการให้เสียชื่อเสียง เธอไม่ทราบหรอกว่า ผอ.ใช้วิธีไหนจึงลบข่าวออกจากกลิตเตอร์ได้เกือบหมด ส่วนอัญญะที่คิดว่ามีพ่อแม่รวยล้น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น

แต่พิณเพลงก็ไม่ได้สนใจจะตามเรื่องราวต่อ เพราะแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว ยิ่งทางโรงเรียนประกาศหยุดยาวเป็นกรณีพิเศษยิ่งสบายใจ อากาศช่วงนั้นก็เย็นสบาย น่าจะเพราะผลกระทบจากลมพายุอะไรสักอย่าง

ส่วนเหยื่อคราวนี้เป็นพนักงานชายของร้านเครื่องเสียงที่ชอบตีรันฟันแทง มีข่าวว่าเคยตีหัวเด็กนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องเสียเกือบตาย ร้านนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไรนัก พิณเพลงจึงจงใจไปแถวนั้นในช่วงบ่าย ที่เลือกเวลานี้เพราะสังหรณ์ล้วนๆ ไม่มีเหตุผลรองรับ

แล้วก็ได้พบกับธาดาร์ ราวกับปาฏิหาริย์

ชายในชุดไหมพรมกำลังทานโจ๊กในร้านตึกแถวสองชั้น เขาส่งยิ้มหวาน แล้วขยับเก้าอี้อีกตัวเชื้อเชิญให้นั่ง พิณเพลงเดินเข้าไปในร้านทันที ได้ยินเสียงพนักงานกล่าวต้อนรับอย่างเอาการเอางาน

“นึกว่าจะไปไกลจากที่เกิดเหตุเสียอีก” เธอกระซิบขณะหย่อนตัวลง

“ไม่ละครับ ผมชอบแถวนี้” ธาดาร์ใช้ดวงตาหวานจ้องมองมา “ชอบคุยกับคุณด้วย”

ประโยคนั้นทำให้เธอยิ้มแก้มปริ ดูไม่ออกหรอกว่าแค่เย้าเล่นหรือพูดจริง

เขาหันไปสั่งโจ๊กเพิ่มอีกชาม แล้วบอกว่า “ร้านนี้อร่อยมาก ลองชิมดูนะครับ” และพิณเพลงไม่ปฏิเสธ

เมื่อทานเสร็จแล้วจึงออกมาเดินเล่นและเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง บทสนทนาในวันนั้นมีทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องสังคมภายนอก ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนถามและเธอเป็นคนตอบ

“งั้นหรือ ชีวิตลำบากแย่เลยนะครับ” เมื่อได้ยินเรื่องของพ่อแม่พิณเพลง ธาดาร์ถึงกับหน้าสลดไป

ไม่ช้าก็มาจบที่ป้ายรถสองแถว จุดเดิมที่เขาเคยส่ง ทั้งสองนั่งข้างกันตรงเก้าอี้ไม้ยาว ไม่มีใครอยู่ละแวกนั้นเลย

“คุณพิณเพลง” ธาดาร์เรียกชื่อเธอแล้วเอ่ยถาม “ไม่กลัวหรือครับ ผมเป็นคนชั่วช้ามากๆ เลยนะ”

คำถามนั้นทำให้อยากหัวเราะออกมา “คนดีไม่เคยปกป้องฉันสักครั้ง”

“ไม่จริงหรอกครับ ตำรวจ หมอ พยาบาล ยังมีคนดีอีกมากที่พร้อมจะดูแลพิณเพลง พิณเพลงแค่หลงรูปลักษณ์ภายนอกของผม หรือไม่ก็เป็นอาการอย่างหนึ่ง น่าจะเรียกว่า Hybristophilia (ไฮบริสโทฟิเลีย) นะ เป็นอาการที่ไปหลงรักฆาตกรหรืออะไรประมาณนี้”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” พิณเพลงก้มหน้า ไม่พูดอะไรต่อ ได้ยินเสียงธาดาร์แอบกลืนน้ำลาย

“มันไม่ใช่เรื่องในเทพนิยายนะครับ รู้ไหมว่ามีคนตายเพราะดันไปหลงรักฆาตกรมาแล้ว ผมไม่อยากให้พิณเพลงเป็นอย่างนั้น ที่ทำอยู่มันอันตรายมากนะ”

เสียงนั่นฟังคล้ายไม่พอใจ เมื่อเอียงหน้าขึ้นไปมองตาธาดาร์จึงทราบ แววตาของเขาฉายแววเป็นห่วงเป็นใยอย่างแท้จริง

“ถ้าต้องการจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญไว้ปรึกษา ผมหาเบอร์ติดต่อให้ได้นะ…”

“เราเปลี่ยนเรื่องคุยเถอะค่ะ” เธอรู้ดีว่าเสียงตัวเองแสดงอารมณ์โกรธออกมาอย่างชัดเจน

ธาดาร์พยักหน้าเบาๆ ดูลังเลพอควร “ผมถามเรื่องพิณเพลงมาเยอะแล้ว ตัวคุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้างล่ะ”

“จะตอบทุกคำถามเลยใช่ไหม”

เขาทำปากเบ้แล้วหัวเราะแหยๆ ทำหน้าเหมือนตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว “ขอตอบเฉพาะที่สะดวกแล้วกันครับ”

ถ้างั้นก็…เธอเขย่าหัวไปมาช้าๆ “ทำไมถึงฆ่าคนล่ะคะ”

“หูย คุณพิณเพลงถามอย่างงี้ ผมจะตอบอย่างไรดีล่ะ” รอยยิ้มหายไปจากโครงหน้าคมได้รูป ดวงตาและคิ้วบิดด้วยความเครียด ดูออกทันทีว่ากำลังคิดหนัก

“อืม…ถ้าคุณพิณเพลงหิวไส้กิ่ว คุณพิณเพลงจะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ก็คง…หาอะไรกินละมั้ง”

“ถ้าหากไม่สบาย เป็นหวัดหรือว่าปวดหัวล่ะครับ”

“ก็ไปมาหมอ พักผ่อนให้มากๆ”

“ก็อย่างนั้นละครับ” เขาประกบมือหลวมๆ ราวกับให้คำตอบครบแล้ว

“ธาดาร์ฆ่า เพราะต้องฆ่างั้นหรือ”

“ใช่”

“มีหลักการในการเลือกไหม”

“ฆ่าคนที่ชอบทำร้ายคนอื่น พวกคนชั่ว” เสียงนั้นฟังดูอารมณ์ดี คงกำลังคิดย้อนภาพตัวเองกำลังฆ่าอยู่ “เลยต้องเฟ้นหาอยู่นานกว่าจะได้แต่ละราย”

“เหมือนกับพวกแอนตี้ฮีโรหรือคะ”

“ไม่ ไม่ ไม่เหมือนสักนิด เป็นฆาตกรแท้ๆ เลย” เขาโพล่งขึ้นมา “ไม่มีความดีในตัวสักนิด ที่ฆ่าคนชั่วก็เพราะเป็นความต้องการส่วนตัว แค่จริตหรือรสนิยม ไม่เกี่ยวกับความดีหรือเพื่อสังคมเลยครับ”

เธอยิ้มด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร

“ห้ามหลงใหลในสิ่งที่ผมทำนะ ผมขอร้อง” สายตาอ้อนวอนนั่นทำให้พิณเพลงต้องรับปากออกไป

“ก็ได้ค่ะ…แล้วก็ทำเรื่องแบบนี้คนเดียวมาตลอดสินะ”

อยากจะบอกว่าคงเหงาแย่ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

“ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้นครับ”

“ส่วนใหญ่งั้นหรือคะ”

ธาดาร์เหม่อมองฟ้า “ปกติแล้วผมก็ลงมือคนเดียว แต่ความจริงก็มีเพื่อนอีกคนที่รู้ใจกัน นัดเจอกันแบบลับๆ เป็นประจำ” เขาดูไม่สบายใจเมื่อพูดถึงเพื่อนคนนั้น พิณเพลงก็เช่นกัน อยากจะรู้จักตัวตนของธาดาร์แค่คนเดียว ไม่ชอบเลยที่มีคนเคยสนิทกับธาดาร์อยู่ก่อนแล้ว

“แต่ผมก็ไม่ได้ชอบมันสักเท่าไร แค่คุยกันรู้เรื่องก็เท่านั้น” เขาพูดคล้ายไม่อยากให้รู้สึกกังวล นั่นเรียกรอยยิ้มจากเธอได้อีกครั้ง

“นึกว่าจะถามเรื่องประวัติชีวิตหรือเรื่องคนรักอะไรแบบนี้”

“ไม่อยากรู้” พิณเพลงตอบซึมๆ ส่วนธาดาร์นั้นฉีกยิ้มหวาน คงดีใจที่ไม่ถาม

“คำถามสุดท้ายที่อยากรู้” พิณเพลงลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ถ้าหากฉันถูกทำร้าย คุณจะทำอย่างไรคะ”

“ก็ต้องปกป้องคุณสิ” ธาดาร์ทันทีตอบโดยไม่เสียเวลาคิด “แต่ว่า…”

แต่ว่าใจหนึ่งก็อยากจะฆ่าเหมือนกัน หรือเปล่านะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ธาดาร์ก็ไม่เติมคำให้จบประโยค ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าต่อไป

“จะว่าไปแล้ว” ธาดาร์คล้ายจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สาเหตุที่คุณพิณเพลงเข้ากับใครได้ยาก คงเพราะมีเซนส์ดีแบบผมละมั้ง”

“หา ฉันไม่มีอะไรเท่ๆ อย่างนั้นหรอก”

“มีสิ คุณมองเห็นไปถึงส่วนลึกของจิตใจคน นั่นทำให้รู้สึกขยะแขยงคนเลวๆ รวมถึงคนที่ซุกซ่อนความเลวไว้ด้านในด้วย”

พอได้ยินเช่นนั้น พิณเพลงมองหน้าเขาแล้วยิ้มให้

“รวมถึงผมด้วย แต่กรณีของผม พิณเพลงอาจจะใช้อคติบดบังวิสัยไว้ครับ”

“ไม่หรอก” เธอเถียงกลับไป “ธาดาร์ไม่ใช่คนเลว หรือไม่ก็ไม่ได้เลวขนาดนั้น”

ทั้งที่ถูกเอ่ยชม แต่ธาดาร์ทำปากขมุบขมิบดูไม่ค่อยพอใจ “เรื่องนั้นช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมจะสอนคุณเรื่องหนึ่งนะครับ

 

สติของพิณเพลงหวนกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง เพราะเสียงเตือนจากสมาร์ตโฟนแจ้งว่ามีข้อความเข้ามา เป็นสติกเกอร์บอก ราตรีสวัสดิ์ จากปกป้องผู้แสนดี

เธอส่งกลับไปเช่นกัน และแอบชวนไปทานขนมที่ร้านดังใกล้ๆ ESS ในวันพรุ่งนี้ช่วงเย็น

ไม่กี่วินาทีก็มีคำตอบเข้ามา และเขาตอบตกลง

 

ร.ต.ท.พิศวัตินั่งนิ่งในร้านกาแฟหรู มันตั้งอยู่กลางห้างสรรพสินค้าแถวอโศก จิบเอสเพรสโซช็อตที่ใช้เวลาสั่งอยู่หลายนาทีเพราะไม่รู้ศัพท์ หากไม่จำเป็นก็คงไม่มาเยือนสถานที่แพงๆ แบบนี้ สายตาจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นร้านของหวาน มันถูกคั่นกลางด้วยทางเดินโล่งของตัวห้าง แต่กระนั้นก็ยังพอมองเห็นท่าทีของปกป้อง ปักษ์ดนูได้ชัดเจน

พอทราบชื่อและที่อยู่ การตามตัวจากสถานที่ทำงานมาถึงตรงนี้ก็ไม่ยากสักนิด อันที่จริงบริษัทการ์ด แอนด์ ลิงก์อยู่ห่างจากสถานีตำรวจที่เขาประจำอยู่ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ

หนุ่มหน้าหยกกำลังใช้มีดหั่นแพนเค้กหรืออะไรสักอย่างที่ฟูราวกับก้อนเมฆ หรืออาจจะเป็นพุดดิ้งก็ไม่ทราบ จากนั้นจึงตักแบ่งไปใส่จานของหญิงสาวปริศนา เขาเผลออมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อไอ้หนุ่มเกิดรนแล้วดันศอกไปชนกับแก้วน้ำ ยังดีที่ฝ่ายหญิงรับไว้ทันจึงไม่หกเลอะ

แต่อีกด้านก็ยอมรับว่าเริ่มตงิดๆ กับใบหน้าของปกป้อง เพราะมันคือหน้าของธาดาร์ โพ้นวิไสยชัดๆ ฆาตกรต่อเนื่องรูปงามที่สร้างเรื่องเลวร้ายมาหลายจังหวัด บัดนี้กลับมาเที่ยวห้างกับสาวงาม ไปๆ มาๆ เริ่มจะอิจฉากับความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วด้วยซ้ำ

…ก่อนจะปรับอารมณ์ใหม่ เตือนตัวเองว่า…มึงมาทำงานนะโว้ย อย่าไปสนใจเรื่องเล็กน้อยสิวะ

‘งานของผู้หมวดพิศวัตินั้นง่ายมาก’ เสียงของอลินยังแว่วไปมาในหู

‘แค่สังเกตพฤติกรรมและส่งข่าวมาเป็นระยะก็พอ หรือจะใช้ประสบการณ์การสืบสวนของคุณสรุปผลเลยก็ได้ว่า ปกป้อง ปักษ์ดนูเป็นตัวอันตรายที่สมควรเข้าสู่กระบวนการเคลียริงหรือไม่’

ขนลุกที่แขน เคลียริงงั้นหรือ มันก็คือการส่งคนไปโดนประหารละวะ อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนแค่นหัวเราะ หยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความ

อย่าลืมนะครับ ว่างานทั้งหมดเป็นความลับ ต่อให้ล้มเหลวก็ยังเป็นความลับ

นั่นคือสิ่งที่อลินส่งมาให้เมื่อคืน ไม่เห็นจะต้องย้ำแล้วย้ำอีกเลย เขารู้หน้าที่ดีน่า แม้ตัวเองจะไม่ได้มีผลงานสืบสวนที่เข้าท่าเท่าไรก็ตาม แต่ก็คงไม่พลาดหรอก ว่าแล้วก็ทำงานต่อ

อันที่จริงในแง่ของคนธรรมดา ช่วงก่อนแต่งงานเขาก็ผ่านยุทธภพมาบ้าง แม้จะไม่ช่ำชองแต่ก็พอมองคนออก ไอ้หน้าหล่อปกป้องก็แค่หนุ่มละอ่อนไร้เดียงสาที่เพิ่งจะรู้รสรัก ส่วนหญิงสาวที่เดินคู่กันนั้นแสร้งทำเป็นยั่วยวนพองาม แต่ความจริงถือตัวเอาเรื่อง นอกจากจังหวะเดินข้ามทางม้าลายที่เต็มไปด้วยรถฝ่าไฟแดงแล้ว ทั้งสองคนก็แทบจะไม่จับมือกันด้วยซ้ำ แต่ก็สนิมสนมกันเกินคำว่าคนรู้จัก น่าจะเรียกว่าคนรักก็ได้

และในแง่ของงานสืบสวนเชิงอาชญากรรม ปกป้องไม่มีท่าทีห่าเหวอะไรที่ผิดวิสัยสักนิด

โครงการนี้แม่งก็สร้างความสุขให้กับคนที่ไม่สมควรตายได้จริงๆ นะ พิศวัติแอบยอมรับเมื่อเห็นรอยยิ้มของทั้งสอง

และอีกด้านก็แอบปวดใจ เดิมทีเขาคือตัวตั้งตัวตีต่อต้านโครงการสลับจิต มองว่าเป็นการชุบตัวของพวกนักโทษประหารที่มีเงินเหลือเฟือ แค่แสร้งว่าถูกสลับจิต หลังจากนั้นก็เดินตัวลอยออกจากห้องขังแบบง่ายๆ แต่เมื่อได้รับทราบข้อมูลจากฝ่ายภรรยา รวมถึงเคยได้ร่วมโต๊ะทานข้าวกับเอ็ดเวิร์ด ฮเดลผู้ล่วงลับไป เขาก็ลังเล

โครงการของเอ็ดเวิร์ดจะเป็นอย่างไรก็คงให้คำตอบไม่ได้ แต่กระนั้นก็เชื่อว่าคงไม่เลวร้ายตามที่คิดไว้หรอก

แม้การจากไปของภรรยาจากอุบัติเหตุของโครงการจะทำให้เขาแทบคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ เพื่อนตำรวจที่รับผิดชอบตรวจสอบเหตุก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย ตลอดมาเขาจึงทำได้แต่มองตัวโครงการประสบความสำเร็จด้วยความปวดร้าวเท่านั้น…

 

ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว วันนี้ปกป้อง ปักษ์ดนูกางร่มให้หญิงสาวในชุดเอี๊ยมลูกฟูก ดูจากป้ายชื่อที่เสื้อเวลาทำงานในร้าน ESS แล้ว หญิงสาวนั้นชื่อ พิณเพลง ปานแสงตะวรรณ หน้าตาและชื่อนั้นคุ้นหูคุ้นตา แต่ตรวจสอบแล้วก็ไม่พบว่ามีประวัติอาชญากรรม

ทว่าก็ยังไม่เห็นมีท่าทีของฆาตกรแพลมออกมาให้เห็นสักนิด อลิน ริชคงคงคิดมากไปเอง ระหว่างนั้นในใจก็แอบคิด มีตำรวจมากมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่รู้เรื่องของ A MIND ทำไมต้องเป็นเขา เหตุผลเรื่องภรรยานั้นก็ฟังขึ้นอยู่หรอก แต่มาคิดดูแล้วยังมีคำตอบเสริมอีกอย่าง

เพราะเขาคือคนที่ตายไปก็ไม่มีคนสนใจนะสิ ต่อให้พลาดหรือสำเร็จก็ไม่มีค่าอะไรเท่าไรนัก

แต่กระนั้นสำนึกของความเป็นตำรวจก็สั่งให้เขาระแวดระวังเต็มที่ ตราบใดที่ประชาชนอยู่ในความเสี่ยง ก็ต้องทุ่มเททำงานส่วนของตนให้ดี

 

อันที่จริงถ้าจะให้พูดตามตรง คนที่เคยเห็นหน้าของธาดาร์ก็มีไม่มาก ที่ออกข่าวก็ใช่ว่าจะมีคนสนใจเท่าไรนัก หรือไม่ก็เลือนหายไปตามกระแสอื่นแล้ว ยิ่งจบกระบวนการสลับจิตยิ่งหาภาพยาก ที่น่าสนใจคือเรื่องญาติของเหยื่อที่เสียชีวิตต่างหาก สมมติว่าดันมาเห็นคนหน้าเหมือนฆาตกรที่ฆ่าลูกสาวตัวเองกำลังเดินชมทิวทัศน์แบบนี้มีหวังใจสลาย แอบสงสัยว่าทำไมปกป้องถึงไม่ทำศัลยกรรมนะ

เดี๋ยวสิ เหยื่องั้นหรือ

เมื่อคิดได้เขาจึงรีบเผ่นกลับสถานีในช่วงเที่ยง เดินไปยังโต๊ะทำงาน แล้วค้นในเก๊ะที่ล็อกเอาไว้ ด้านในมีแฟ้มหนาที่อลิน ริชส่งมาให้ภายหลังจากดีลครั้งแรก พวกมันมีอยู่ทั้งหมดสามชุด แน่นอนว่าเขาอ่านไปสอบรองแล้ว เดิมทีแอบสงสัยว่าทำไมไม่ให้เป็นไฟล์มา แต่มาคิดอีกทีแบบนี้คงไม่กระโตกกระตาก และหากทำสำเนาไฟล์ในระบบทางการมาอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากในภายหลังได้

เขาเปิดแฟ้มไปที่หน้าของเหยื่อคดีฆาตกรรมในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่พิษณุโลก มีภาพเด็กหญิงชายในชุดนักเรียนนอนเรียงราย น่าสงสารจับใจ จากนั้นจึงเป็นภาพถ่ายหน้าตรงขณะยังมีชีวิตที่ได้มาจากข้อมูลโรงเรียน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผู้หมวดจะสนใจในเวลานี้

นั่นไง เขาเปิดไปอีกหน้าแล้วก็ร้องออกมา ความจำของชายวัยสี่สิบกว่ายังดีอยู่

รายชื่อนักเรียนในชั้นเดียวกับเหยื่อที่ให้ข้อมูลแวดล้อมกับทางตำรวจ มีทั้งหมด ๒๘ คน เขากวาดตามองรายชื่อในตารางไปเรื่อยกระทั่งพบชื่อที่คุ้น และรีบเปิดไปดูหน้าตาของนักเรียนคนนั้นในเอกสารอีกแฟ้มทันที

เขาพบรูปภาพของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่มีผมแสกกลางยาวยุ่งเหมือนไม่ได้หวี หน้าตาเศร้าหมองและเหนื่อยล้า แต่ไม่ผิดแน่ เธอคือพิณเพลง หญิงสาวหน้าสวยสดใสที่เดินเคียงคู่กับไอ้เวรนั่น

ปกป้องในร่างของธาดาร์ มีความสัมพันธ์กับพิณเพลง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเหยื่องั้นหรือ

รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้าย และสังหรณ์ของเขาไม่เคยพลาด มุมมองที่มีต่อปกป้อง ปักษ์ดนูเปลี่ยนไปอย่างกลับทิศทาง

ไม่ธรรมดาแล้ว…ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน และเขาต้องทำอะไรสักอย่าง

 

กว่าจะรู้เป้าหมายของตนเองก็เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว คำกล่าวนั้นไม่เกินจริงสักนิด อลิน ริชแอบเพ้อในขณะขับรถกลับบ้าน

เวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที บนทางด่วนที่โล่งราวกับมีรถอยู่คันเดียวในโลก กระนั้นก็ไม่เหยียบเกินกำหนด เขารักชีวิตใหม่นี้มาก และจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นอันขาด

หวังว่าภรรยากับลูกสาวยังคงรอเขาอยู่นะ แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัวไปสักนิด แต่การกลับมาเจอครอบครัวหลังเสร็จงานยามดึกมันช่วยให้สดชื่นขึ้นได้จริงๆ

ผู้ฟื้นสติรายแรกแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปสวมกอดลูกสาววัยสิบขวบ ชิชาลูกรักเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ หัวใจของเด็กน้อยพร้อมจะอักเสบได้ทุกเมื่อ เป็นชนิดตรวจจับได้ยากมากและเป็นโรคอุบัติใหม่ที่แทบไม่มีข้อมูล ทางครอบครัวเองก็เพิ่งทราบเมื่อห้าปีก่อน

ในช่วงที่เริ่มพบความผิดปกติ อาการของลูกสาวที่ขณะนั้นเพียงห้าขวบก็ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แม้จะรักษาได้ทันแต่ก็อยู่ในสถานะติดตามอาการไปตลอดชีวิต โชคดีชะมัดที่แพทย์ยืนยันว่าหากเข้ารับตรวจต่อเนื่อง นอกจากเสียเงินทองแล้ว อย่างไรลูกก็ยังอยู่ต่อไปได้

แต่นั่นก็ทำให้เขาในตอนนั้นตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิต อลินจึงคิดว่าจะหยุดงานสักระยะ เพื่อให้เวลากับลูกได้เต็มที่ แม้เอ็ดเวิร์ดที่บ้างานยังยอมอนุญาต แถมยังสนับสนุนความคิดนี้ด้วยซ้ำ

‘ฉันขโมยนายมาจากครอบครัวนานเกินไปแล้ว อีกอย่าง ด้วยความทุ่มเทของเราสองคนรวมถึงวิริยะ โครงการนี้พร้อมจะทดลองของจริงได้แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องรีบหรอก’ เสียงสำนึกบาปของเอ็ดเวิร์ดนั้นยังตรึงในความทรงจำ

ทว่าไม่กี่สัปดาห์ต่อมาหลังจากชิชาเริ่มพักฟื้น อาการด้านกล้ามเนื้อของเขาก็แสดงออกมาทันที

ปรากฏว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม ลูกสาวนั้นแสดงผลก่อนเขา แต่ร้ายแรงน้อยกว่ามาก

อลินพบว่าตนเองไม่มีทางรอดเลย และเริ่มเสียใจภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความโชคดีอันเกินจะกล่าว เขาตายในเงื้อมมือของฆาตกรรายหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตพ่อครัวที่ฆาตกรรมหมู่เพื่อนร่วมงานและผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ก่อนจะอำพรางศพอย่างน่าสยอง

ความตายกลับกลายเป็นเรื่องดี นั่นทำให้เขามีคุณสมบัติพร้อมจะเข้ารับการสลับจิต อลินจึงกลายเป็นคนแรกที่ได้เข้าร่วมโครงการ ส่วนฆาตกรนั้นกลับมีลักษณะที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อและถูกตัดสินแบบด่วนพิเศษ ไม่นานก็กลายมาเป็นร่างตัวแทนให้กับเขา

มันคือปาฏิหาริย์ คือการกระทำของเทพที่ช่วยให้โครงการเดินหน้าได้ อลินทราบดี

จิตและวิญญาณของอลินกลับมาอีกครั้งในร่างของฆาตกร แต่นั่นยังไม่ใช่บททดสอบแท้จริง

เขาปรึกษากับภรรยาว่าควรทำอย่างไรกับลูกสาว คริสตี้ผู้เป็นภรรยาก็อึดอัดใจเช่นกัน การถกครั้งนั้นจบลงที่ภรรยาแจ้งชิชาว่าพ่อนั้นหย่าขาดจากแม่แล้ว และเขาในร่างชายหนุ่มคือพ่อคนใหม่…นั่นฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไรแต่กลับได้ผล

ทว่าเรื่องที่น่าเศร้ากระทั่งอยากตายอีกรอบคือชิชาในวัยห้าขวบกลับไม่มีอาการโหยหาพ่อในตัวอลินเลย ไม่มีแม้สักนิด…ราวกับว่าที่ผ่านมานั้นมีพ่ออย่างเขาก็เหมือนไม่มี

จากวันนั้น อลินเริ่มใช้ชีวิตใหม่ทุ่มเทดูแลลูกสาวและเธอก็เริ่มติดเขาแจ นั่นสร้างความสุขสันต์และทุกข์ตรมในเวลาเดียวกัน หน้าตาร่าเริงของชิชานั้นไม่อยู่ในความทรงจำก่อนหน้านี้ มันไม่ได้หายไปจากการสลับจิตหรอก แต่เขาไม่เคยเห็นมันเลยในช่วงชีวิตก่อนต่างหาก

อลินตระหนักชัดเจนว่าหลายปีก่อนหน้า ตนได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไปแล้ว พลาดเกินไปมากด้วย และเขายินดีใช้ทั้งชีวิตเพื่อชดเชยเรื่องนี้

 

อลินขับรถเข้ามาในหมู่บ้านหรู จอดที่สวนหน้าบ้านเดี่ยวราคาแพง สะบัดหัวสองครั้งเพื่อขับไล่เสียงวิ้งในหู ยังดีที่เสียงเริ่มเบาลงไปมากแล้ว แอบเตือนตนเองว่าแกทำงานหนักเกินอีกแล้วนะ จากนั้นจึงพาตัวเองเข้าบ้าน แล้วเดินรี่ไปยังห้องรับแขกทันที

ชิชาในชุดกระโปรงบานวิ่งเข้ามาสวมกอดเขา หน้าตาน่ารักมาพร้อมดวงตากลมโตและปากเรียวเหมือนกับเขา พลางถามเสียงแจ้วว่า “พ่อจ๋า…เหนื่อยมั้ย” ช่างทำให้ชื่นใจอะไรอย่างนี้นะ

พอถอดเสื้อนอกให้พี่เลี้ยงหญิงของลูกสาวนำไปเก็บ จึงทราบว่าคริสตี้ ภรรยาของเขายังไม่กลับ เธอโทร.มาบอกเมื่อครู่ว่าอีกสิบห้านาทีจะมาถึง กลายเป็นว่าเขากลับมาก่อน

อลินแอบขำ รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะ

“พ่อจ๋า หนูหิว” เสียงอ้อนของชิชาดังขึ้น มองกลับไปเห็นเธอนั่งลูบท้องบนโซฟาสีครีม แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะคนรับผิดชอบเรื่องอาหารคือคริสตี้ แม้แต่พี่เลี้ยงหญิงก็ไม่มีสิทธิยุ่ง อันที่จริงเคยมีพ่อครัวประจำบ้านอยู่หรอก แต่ก็โดนเลิกจ้างไปแล้วเพราะรสชาติและคุณภาพไม่ถูกปาก จึงกลายเป็นว่าคริสตี้ต้องรับหน้าที่ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยและแม่ครัวไปพร้อมกัน

เขาเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบขนมหวานออกมาให้ชิชา อันที่จริงไม่ควรให้กินก่อนทานข้าว แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ ก็แม่ครัวเล่นมาสายเองนะ

ชิชาโลดเต้นไปมาพร้อมตักคัสตาร์ดใส่ปาก ตะโกนว่ารักพ่อที่สุดเลย

ครึ่งชั่วโมงกว่าภรรยาจะกลับถึงบ้าน เธอเข้ามาในสภาพหน้าแดงแจ๋ รู้เลยว่ามีไข้ ชุดเบลาส์ที่สวมนั้นยับยู่ยี่ไปหมด การตรวจแบบวันนี้คงกินพลังงานไปเยอะ

“ขอทำกับข้าวก่อนแล้วจะไปนอนพักนะ” ภรรยาวัยสี่สิบบอกด้วยเสียงสั่น หน้าตาเจ้าระเบียบนั้นดูหมดพลังอย่างชัดเจน

และแน่นอนว่าเขากับชิชาไม่อนุญาต “ไปพักเถอะ ผมจะสั่งอาหารมากินเอง”

พอพยุงไปถึงเตียงใหญ่ คริสตี้ก็คว่ำหน้าลงแล้วหลับไปทันที เขาจึงจัดท่าทางให้นอนสบายๆ ก่อนจะปิดไฟแล้วออกจากห้อง เตรียมตัวสั่งอาหาร

ทว่าฝนเจ้ากรรมดันถล่มลงมาเสียงั้น ตัวเขาเองที่เคยเป็นนักวิจัยด้านความปลอดภัยสาธารณะย่อมทราบดีว่าการเรียกคนมาส่งอาหารในเวลานี้อาจเกิดอันตรายได้

แต่เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของชิชา อลินจึงตัดสินใจลงมือ หยิบผ้ากันเปื้อนสีขาวมาสวมแล้วเดินเข้าครัว แสดงฝีมือทำสเต๊กปลาแซลมอนและไส้กรอกผัดซอสโปะไข่ดาวให้ลูกสาว

เมื่อทานคำแรก เด็กน้อยก็ยกสองนิ้วโป้งขึ้น และลงมือทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย ส่วนภรรยานั้นเขาไม่กล้าปลุก

ในขณะที่อลินกำลังตัดไส้กรอกส่วนของตนเองเข้าปาก เสียงจากภรรยาก็ดังมาจากด้านหลัง

“อ้าว อาหารที่สั่งมาแล้วหรือคะ ว้าว ไข่ดาวแบบไม่สุกเสียด้วย จากร้านไหนเนี่ย”

“พ่อทำให้ค่ะ” ชิชาตอบอย่างภาคภูมิ ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปมองหน้าภรรยาก็พบว่ามันเต็มไปด้วยความกังวล

อลินนึกอะไรออกในทันที เขาหน้าซีดอย่างรู้สึกได้ แน่นอนว่าคริสตี้ก็เช่นกัน เธอปิดปากและตาค้าง

ใช่แล้ว…ตนทำอาหารไม่เป็น พยายามมาตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยอร่อย เป็นปมด้อยเดียวของอัจฉริยะอย่างเขา

อลิน ริชนั้นต่างจากผู้ฟื้นสติรายอื่น ด้วยตำแหน่งที่มีทำให้เขาทราบดีว่าตนนั้นสลับจิตกับใคร

และร่างที่เขาสลับด้วยนั้นคือพ่อครัวที่สังหารเหยื่อไปสิบราย…

 

บนโต๊ะมีแก้วใส่เครื่องดื่มจำนวนหกแก้ว สี่แก้วเป็นน้ำสีน้ำตาลทอง อีกสองเป็นสีน้ำตาลเข้มจัดเกือบจะดำ และทุกแก้วไม่ใช่น้ำชา

ปกป้องนั่งเท้าคางกับโต๊ะสเตนเลสโยกเยก จ้องมองหน้าของพิณเพลงอย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่ปากของเธอแตะเข้ากับน้ำสีน้ำตาลเข้มในแก้วใส ท่าทีที่ตามมาก็เป็นไปตามที่เขาคาด

พิณเพลงทำหน้าเหยหลังจากดื่มเข้าไป แม้แค่จิบเดียวก็พอจะทำให้เธอรีบวางแก้วลง และยกอีกแก้วที่เป็นน้ำสีน้ำตาลทองขึ้นดื่มแทน ส่วนเขานั้นหลุดขำออกมา รู้สึกผิดพอสมควร

“อ้า เก๊กฮวยร้านนี้อร่อยจัง ว่าแต่…แก้วนี้คืออะไรอ้ะ ทำไมมันขมแบบนี้” เธอชี้นิ้วขาวไปที่แก้วใส่น้ำสีน้ำตาลเข้ม

“น้ำขมไง ดีต่อสุขภาพนะ” เขาเองก็เริ่มดื่มน้ำขมแก้วของตนเองแบบรวดเดียวหมด ในขณะที่พิณเพลงหน้าตาตื่นตะลึงเกินเหตุ

“ดื่มเข้าไปได้ไงอะ แค่จิบวิญญาณก็จะหลุดจากร่างแล้ว”

“ฝึกกินดูก็ดีนะ”

พิณเพลงส่ายหัวรัวแล้วบอกเสียงอ่อยว่าไม่ไหว ก่อนจะจิบเก๊กฮวยอีกแก้ว ร้านนี้เป็นแบบหวานน้อยจึงทานอีกแก้วได้โดยไม่เลี่ยน หน้าตาเธอดูอารมณ์ดีจัด

แต่เมื่อสมาร์ตโฟนที่วางไว้บนโต๊ะสั่น เธอส่งสายตารำคาญเล็กน้อย

“ใครส่งข้อความมาหรือ” ปกป้องเอียงคอมอง ส่วนพิณเพลงนั้นเปิดหน้าจออย่างเงอะงะ นั่นเพราะเขาเพิ่งซื้อเครื่องใหม่ให้เมื่อสองวันก่อนนี้เอง จึงยังไม่คุ้นมือ เธอยื่นให้เขาดู มันเป็นข้อความจากพราว เพื่อนรุ่นน้องที่ร้าน ESS

ปกป้องโล่งใจ กลัวว่าจะถูกใครตามคุกคามเสียอีก หากเป็นเรื่องรุ่นน้องที่ทำงานก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ว่าแล้วจึงขอหยิบมาอ่านดูชัดๆ พบว่าเป็นข้อความถามเรื่องทั่วไป เช่น วันหยุดทำอะไรคะ มะรืนนี้พี่จะไปเที่ยวไหนอะ

แน่นอนว่าคำถามส่วนใหญ่ของรุ่นน้องนั้นได้รับคำตอบอย่างเย็นชา มากสุดไม่ถึงสามพยางค์

“ใจร้ายไปไหมครับ ดูท่าน้องชื่อพราวจะอยากสนิทด้วยนะ”

“แต่ฉันไม่อยากสนิทด้วย แค่มีปกป้องกับธาดาร์ก็พอแล้ว”

ปกป้องจิบน้ำขมแก้วที่สอง แอบกังวลกับคำตอบของเธอ หากวันหนึ่งทั้งเขาและธาดาร์หายไป พิณเพลงจะเป็นอย่างไรนะ คิดในใจว่าคงถึงเวลาต้องคุยเรื่องการส่งไปบำบัดแล้วสิ…

แม้จะดูบังคับไปเสียหน่อย แต่เขาอยากชวนพิณเพลงไปขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพราะความต้องการสนิทชิดเชื้อกับฆาตกรแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยของหญิงสาวทั่วไป แม้ว่าจะเป็นคนที่เคยช่วยชีวิตเธอก็ตาม

แต่ว่าก็ยังไม่ได้ทำ เพราะที่ผ่านมาเขาแอบเห็นแก่ตัวนั่นเอง วันเวลาแห่งความสุขนี้ล้ำค่าเกินไป แอบคิดไปในบางทีว่าหลังเขาจากไป พิณเพลงอาจจะก้าวไปข้างหน้าด้วยตนเองก็ได้ หรือจะมีคนใจดีชวนไปเข้ารับการบำบัดก็ได้ มันอาจเป็นเรื่องที่รอไปก็ไม่เสียหายหรือเปล่านะ

แม้จะเป็นแค่การหลอกตัวเอง แต่นั่นก็ทำให้ปกป้องกล้าใช้ชีวิตต่อไป อีกอย่างปกป้องกลัวมากว่าพิณเพลงจะโกรธเกลียดหากถูกเขาชวนไปบำบัดจริงๆ เรื่องนั้นน่ากลัวกว่าการถูกเคลียริงเสียอีก

เขาต้องการให้เธอสนิทกับเพื่อนมากขึ้นจึงลองเสนออะไรดู “ส่งข้อความยาวๆ กลับไปบ้างเถอะ”

“ไม่” เธอตอบสั้นๆ เสียงที่เริ่มไม่พอใจนั้นทำให้เขาใจเสีย

“พิณเพลงเองก็มีคนดีอยู่รอบตัวนะ ไม่ต้องยึดติดกับผมมากก็ได้ อย่างเจ้าของร้านกับเพื่อนที่ทำงานไง”

พิณเพลงดื่มอีกสองอึก ก่อนจะมองไปที่หน้าจอสมาร์ตโฟน “สองคนนั้น… นินทาว่าฉันขายตัว…”

ปกป้องสะอึก ใจปวดหนึบทันทีเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

“พวกเขาแอบคุยกันแต่ฉันได้ยิน”

“พิณเพลง ผม…”

“เขาบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงขายตัวที่มายั่วพ่อหนุ่มหน้าโง่จากการ์ด แอนด์ ลิงก์”

พริบตานั้นความโกรธพุ่งทะลุสมองของปกป้อง เขาไม่ได้เคืองที่ว่าตน แต่เคืองที่บังอาจว่าพิณเพลง

แต่เมื่อฝ่ามือของหญิงสาวมาประกบที่ฝ่ามือเขา ไออุ่นของพิณเพลงก็ส่งเข้ามา อีกจังหวะหนึ่งใจก็สงบลง

“ฉันไม่ควรบอกคุณเรื่องนี้…ขอโทษนะ”

“ไปร้านอื่นกันเถอะ วันหยุดทั้งที ตระเวนกินให้พุงกางไปเลย” ปกป้องเปลี่ยนเรื่องในทันที “แล้วพรุ่งนี้ก็ตามสัญญา เราไปสวนสนุกกัน”

“เย้” พิณเพลงร้องเสียงดังราวกับเด็กน้อย “ฉันไม่เคยไปสวนสนุกสักครั้งในชีวิตเลย”

 

วันต่อมาเขาขอลางาน แม้จะได้รับสายตาสงสัยจากเหล่าเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่มีใครห้ามปรามออกมาเป็นคำพูด ส่วนปกปักษ์และพ่อแม่นั้นยังไม่กลับจากทัวร์ ทางจึงสะดวกเกินคาด ส่วนพิณเพลงนั้นก็ได้หยุดพิเศษเช่นกัน คงเพราะทำงานดีมาโดยตลอด

ปกป้องขับรถไปรับพิณเพลงแต่เช้า ไปถึงสวนสนุกประมาณสิบโมงตรง

มันเป็นสวนสนุกสร้างใหม่แถวสายไหม มีเนื้อที่กว้างขวางและสวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปลงโซเชียล เท่าที่ตามข่าวน่าจะเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่น เพราะเป็นวันธรรมดาคนจึงไม่เยอะเท่าไรแต่ก็ไม่ถึงกับร้าง แถมยังมีทัวร์จากต่างประเทศมาลงด้วย ส่งผลให้บรรยากาศดูไม่โหวงเหวงเกินไป

ลมก็เย็นสบายกว่าปกติ แดดก็อ่อนมาก

พิณเพลงหน้าตาตกใจกลัวเมื่อทราบว่าเขาเองก็ไม่เคยมาสวนสนุกสักครั้งในชีวิต พึมพำเสียงเบาว่า ‘มืดมนยิ่งกว่าที่คาด’ เล่นเอาเขาหลุดหัวเราะออกมา

หลังจากตะบันเล่นไปห้าเครื่อง เวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงจึงพากันมาพักที่ร้านของหวาน เครื่องปรับอากาศในร้านเย็นสบาย พิณเพลงที่เล่นเต็มที่ถึงกับหมดแรงฟุบไปกับโต๊ะ

ส่วนเขานั้นแม้จะสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสลัดบางสิ่งออกจากหัวไม่หลุด มันเป็นความรู้สึกตงิดๆ ตรงขมับขวา ไม่ใช่อาการปวดหัว ไม่มีบาดแผล เรียกว่าแค่รู้สึกตงิดๆ เท่านั้น เป็นคนละแบบกับเสียงก่อสร้างน่ารำคาญที่ได้ยินช่วงก่อนหน้าจะมายังสวนสนุกแห่งนี้

เมื่อไอศกรีมถูกยกมาเสิร์ฟ พิณเพลงที่เห็นท่าทางแปลกไปจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง และเมื่อเขาบอกเรื่องอาการบริเวณขมับ หญิงสาวก็ตอบทันควันราวกับเป็นเรื่องปกติวิสัย

“สัญชาตญาณมันกำลังเตือนไงคะ” แววตานั้นงุนงงว่าทำไมเขาไม่รู้ “ไม่ใช่พลังวิเศษอะไรหรอกนะ แต่คล้ายพรสวรรค์ในการเอาตัวรอดมากกว่า ธาดาร์ก็เคยบอกไว้ว่าเวลามีคนมองเขาด้วยความมุ่งร้าย ขมับจะกระตุกเตือน

ปกป้องยิ้มออกมา รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอก แต่พิณเพลงกลับขมวดคิ้วใส่ “เป็นเรื่องจริงนะ ฉันเองก็ได้เขาสอนให้ระวังสายตาของคนเหมือนกัน ถึงเอาตัวรอดมาได้ถึงป่านนี้ไง”

เมื่อเห็นว่าเธอจริงจัง ปกป้องจึงเริ่มกดดันขึ้นมา

รังสีอำมหิตแบบในมังงะงั้นหรือ ธาดาร์มันส่งอะไรให้เราบ้างวะเนี่ย หรือการที่จิตของธาดาร์นั้นฟื้นกลับมาได้เพราะมันมีพรสวรรค์อะไรแบบนี้ ในหัวของเขาปั่นป่วนไปหมด ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

เรื่องของธาดาร์นั้นช่างก่อน…ปกป้องชะงักงันไป แต่ที่เกิดอาการแบบนี้แสดงมีคนมองเขาด้วยความมุ่งร้ายจริงๆ งั้นหรือ ว่าแล้วก็พยายามมองซ้ายขวาอย่างช้าๆ และก็พบอะไรน่าสงสัยในทันใด เป็นชายที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้หน้าร้านขายของที่ระลึกซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านของหวาน ไกลออกไปสักสิบเมตร ด้านนอกนั้นมีผู้คนเดินตัดไปมาอยู่บ้าง แต่หากต้องการจะส่องก็ไม่เป็นอุปสรรค และตรงนั้นยังสามารถมองเห็นด้านข้างของเขาและพิณเพลงได้ชัดเจน

จากตรงนี้เดาอายุไม่ออก แต่ไม่แก่ไม่เด็ก เครื่องแต่งกายนั้นคือเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป สวมหมวกสีดำ ปกป้องระลึกได้ในทันทีกว่าช่วงซื้อตั๋วขึ้นรถไฟเหาะและช่วงเข้าห้องน้ำก็เจอกับคนคนนี้

ต้องการอะไรจากเขา เป็นญาติของผู้ที่ธาดาร์สังหารไปงั้นหรือ

แต่ ควรทำทีว่ามองไม่เห็นสินะ ปกป้องพยายามข่มตนเองให้เป็นปกติ แม้จะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าปกติเป็นอย่างไร ส่วนพิณเพลงนั้นคงเดาจากสีหน้าของเขาออก และหลุดทำหน้าไม่สบายใจออกมาวูบหนึ่ง

แค่วูบหนึ่งเท่านั้น

“ยิ้มเข้าไว้สิ” เธอบอกแบบทีเล่นทีจริง ปกป้องจึงเริ่มได้สติ

“นั่นสินะ งั้นเดี๋ยวจะพาไปดูโชว์ที่บ้านแฟนตาซีนะครับ”

พิณเพลงยิ้มออกมาทันที แทบจะเหมือนรอยยิ้มปกติ สายตาที่มองออกไปนอกร้านนั้นสื่อให้รู้ว่าเข้าใจเรื่องที่เขาหวาดกลัวแล้ว

 

แม้จะพยายามทำตัวปกติเพื่อให้มีความสุขที่สุด ทว่าสายตาของชายปริศนาที่ส่งมานั้นช่างน่าหงุดหงิด ไปตรงไหนก็รู้สึกได้ มองแบบไม่ตั้งใจยังเห็นว่ามันยืนโง่ๆ อยู่ในระยะสายตา

ใกล้ๆ หลังเสาไฟ ข้างหลังตู้โทรศัพท์ปลอม หรือต่อแถวตามกันมาอยู่ห่างๆ

บางส่วนในใจเริ่มทนไม่ไหว ความเป็นธาดาร์กระมังที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้

แต่แล้วเมื่อผ่านไปสักชั่วโมง ชายปริศนาจึงเดินมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาและพิณเพลงที่หยุดอยู่หน้าโรงภาพยนตร์แปดมิติรู้สึกได้ จึงมองหน้ากันแล้วเริ่มเดินไปทางชายปริศนาทันที มันแสดงท่าทีลังเลว่าจะเดินหนีหรือเดินเข้าหาดี

เมื่อได้มองตรงๆ จึงพบว่าเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่พอดู ปกป้องรีบส่งเสียงทักทาย

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากเราวะ”

ปกป้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาเผลอหลุดปากถามอย่างหยาบคาย คิดในใจว่าฉิบหายแล้ว

ชายปริศนาถอดหมวกออกมา เป็นวัยรุ่นร่างหนาปึกเกินวัย เดาว่าน่าจะมัธยมปลายได้ ท่าทีนั้นอ่อนลงอย่างน่าตกใจ “ขอโทษครับ ผมจำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่เรียนพิเศษมาด้วยกัน เลยเดินตามมา แต่ไม่กล้าถาม” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ขอโทษ “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

เขาโล่งอก นึกไปว่าเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเสียอีก ไม่สิ มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า

“แล้วพี่ธาดาร์สบายดีไหม” เด็กหนุ่มถามทันทีที่เห็นเขาผ่อนคลายลง ก่อนที่พิณเพลงที่ยืนด้านหลังจะดึงที่ปลายแขนเสื้อด้านขวาของเขาเบาๆ

ปกป้องสะดุ้งทันที ใช่แล้ว เราต้องไม่รู้ชื่อของธาดาร์ โพ้นวิไสย

“คงจำคนผิดแล้วครับ พี่ชื่อปกป้องครับ” เขาพยายามใช้เสียงเรียบนิ่งที่สุด

สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่พอใจ จากนั้นจึงเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ปกป้องทันที

“ไอ้เชี่ยเอ๊ย”

กำปั้นซ้ายขวาพุ่งเข้าใส่ปกป้องที่ได้แต่ปัดไปมา เด็กหนุ่มตะโกนร้องไม่หยุดในขณะที่รัวหมัด

“ธาดาร์ โพ้นวิไสย มึงคือ ธาดาร์ โพ้นวิไสย!”

 

เลือดจากจมูกกระเซ็นรดใส่เสื้อขาว ปกป้องนั้นอยากจะซัดกลับไปเต็มข้อ แต่ก็ห้ามใจไว้ อาจเป็นญาติของเหยื่อที่ธาดาร์สังหารไปหรือเปล่า สังหรณ์ใจว่าการพบกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

ปกป้องทำได้เพียงไม่ให้ถูกต่อยถึงตายเท่านั้น ในขณะที่พิณเพลงเริ่มหยิบกระเป๋าสะพายมาตีใส่ท้ายทอยเด็กเวรคนนั้น จนกระทั่งมันทรุดลงไป ก่อนที่มันจะเพ่งมองเธอด้วยสายตาอำมหิต

พริบตานั้นเขาเกือบจะห้ามใจไว้ไม่ได้ รับรู้เลยว่าหากมันแตะเธอแม้เพียงนิด มันจะถูกหักคอกองอยู่กับพื้น ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร เหตุการณ์ก็คลี่คลายลงเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสวนสนุกเข้ามาหยุดการอาละวาดไว้ได้

ไอ้บ้าเลือดถูกจับใส่กุญแจมือแล้วพาออกไปจากบริเวณนั้น ส่วนพวกเขาถูกพามาพักตรงม้านั่งข้างร้านอาหาร เมื่อได้หายใจหายคอสักพัก พิณเพลงก็พยายามเช็ดเสื้อที่เปื้อนเลือดให้เขา

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวกลับไปค่อยซัก” ปกป้องห้ามไว้ แต่พิณเพลงไม่หยุดแถมยังกระซิบถาม

“สังหรณ์มันบอกว่าอะไร”

และนั่นทำให้เขาสะอึก นั่นเพราะสังหรณ์มันไม่ได้บอกเรื่องดีสักนิด

“ผมว่าเด็กคนนั้นถูกจ้างให้มาอาละวาด” เรื่องนี้เท่านั้นที่มั่นใจ แม้แต่ตอนนี้ปกป้องยังรู้สึกถึงความมุ่งร้ายจากที่ไหนสักแห่ง ทั้งที่เด็กคนนั้นก็ถูกลากออกไปแล้ว

ว่าแล้วก็มีเสียงเรียกจากไกลๆ

“คุณครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาใจดีคนเดิมวิ่งเหยาะๆ เข้ามาคุย “เราจะขอสอบถามอะไรพวกคุณสักหน่อยครับ ไม่มีอะไรมาก ใช้เวลาห้านาทีก็คงเสร็จครับ แค่ทางคุณตำรวจจะถามว่ารู้จักกันกับคนที่อาละวาดเมื่อกี้ไหม แล้วทำไมถึงถูกทำร้ายอะไรแบบนี้ครับ” ชายวัยกลางคนสรุปให้พร้อมรอยยิ้ม ดูท่าว่าเจ้าหน้าที่ในสวนสนุกจะพูดจาดีแบบนี้ทุกคน

ปกป้องไม่ทราบกลไกการทำงานของตำรวจ แต่คิดว่าให้สอบถามแถวนี้แทนที่จะต้องถ่อไปถึงสถานีตำรวจก็น่าจะสะดวกดีเหมือนกัน

 

เขากับพิณเพลงถูกเชิญไปยังอาคารเจ้าหน้าที่ของสวนสนุก เป็นอาคารที่ตกแต่งภายนอกคล้ายร้านขายขนม แต่ภายในซอยเป็นแผนกคล้ายออฟฟิศทั่วไป บางห้องมองผ่านประตูกระจกเห็นกองเอกสารและเจ้าหน้าที่หน้าตาเหนื่อยหน่ายอยู่ด้วย

เมื่อไปถึงห้องรับแขกที่คล้ายห้องประชุมขนาดเล็ก อากาศหนาวจัดกว่าพื้นที่อื่น มีชายในชุดตำรวจนั่งรออยู่แล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเชิญให้ทั้งสองเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับตำรวจ ส่วนเจ้าหน้าที่เองขอตัวไปที่อื่น

ตำรวจที่รับผิดชอบเป็นชายร่างกำยำวัยประมาณสี่สิบกลาง มีผมขาวแซมชัดเจน หน้าตาดูเศร้าหมองและนิ่งเฉย แจ้งพวกปกป้องด้วยเสียงราบเรียบว่าชื่อร้อยตำรวจโท พิศวัติ พอพลน์ และเป็นตำรวจที่ถูกส่งมาตรวจสอบเรื่องนี้

หลังจากทักทายตามมารยาทแบบเนือยๆ แล้ว ก็เริ่มการสอบถามทันที

“ขอโทษด้วยนะครับที่ขัดจังหวะการเดินเที่ยวของพวกคุณ แถมยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ทางสวนสนุกแจ้งว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่ตอนนี้ผมขอซักถามรายละเอียดของเหตุการณ์เมื่อครู่สักหน่อยครับ”

ปกป้องกับพิณเพลงไม่ได้มีปัญหาอะไร จากนั้นก็เริ่มตอบคำถาม

สิ่งที่ ร.ต.ท.พิศวัติต้องการทราบก็มีแค่เดินทางมาจากไหน เคยพบกันกับเด็กชายคนนั้นมาก่อนหรือไม่ ซึ่งเป็นการสอบถามพื้นๆ มาก แทบไม่มีการลงรายละเอียดสักนิด จะว่าขอไปทีก็น่าเกลียดเกินไป

“เดี๋ยวช่วยกรอกสิ่งนี้ด้วยครับ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว” จากนั้นจึงส่งเอกสารที่ถูกหนีบไว้บนบอร์ดแข็งมาให้เขา

พิณเพลงเขยิบเข้ามาใกล้แล้วตีที่ขา จากนั้นปกป้องจึงเริ่มลงมือกรอกรายละเอียด

ชื่อ สกุล สาเหตุที่มายังที่เกิดเหตุงั้นหรือ ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ถามไปเมื่อครู่

ข้อมูลของเหตุการณ์โดยละเอียดงั้นหรือ ปกป้องเอียงคอไปมา เขาที่ถนัดเรียงความอยู่แล้วจึงเขียนไปอย่างไม่ลำบากใจนัก

‘…อีกฝ่ายอ้างว่าข้าพเจ้าชื่อธาดา พ้นวิสัย จากนั้นจึงเข้ามาทำร้าย และตะโกนซ้ำอีกหลายครั้ง’

ปกป้องเขียนไปเรื่อย กระทั่งผ่านไปห้านาทีก็เสร็จ จึงยื่นให้ ร.ต.ท.พิศวัติที่ทำหน้าราวกับทนรอไม่ไหวแล้ว จากนั้นหยิบไปอ่านแทบจะทันที บอร์ดที่ใช้เขียนปิดหน้าของตำรวจจากมุมที่ปกป้องนั่งอยู่ แต่ยังสามารถได้ยินเสียงเดาะลิ้นด้วยความโกรธได้เลย

“แน่ใจหรือครับว่าชื่อถูกแล้ว”

เขาส่ายหัว “ก็ไม่ค่อยแน่ใจครับ แต่เอาจริงๆ ชื่อมันดิ้นไม่ได้หรอก ตะโกนออกชัดขนาดนั้นก็ต้องชื่อนี้ละครับ”

พิศวัติลดบอร์ดลง แค่นยิ้มออกมา “งั้นขอบคุณมากครับ เชิญพวกคุณไปใช้บริการสวนสนุกต่อได้แล้ว”

 

เมื่อออกจากห้องรับแขก เจ้าหน้าที่ชายร่างเล็กคนเดิมเดินมาหาพร้อมหยิบบัตรส่วนลดมาให้ แจ้งว่าครั้งหน้าค่าบริการทั้งหมดจะลดลงครึ่งหนึ่ง ทั้งสองรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ

มองกลับไปที่ห้องประชุม เบื้องหลังกระจกใสคือหมวดพิศวัติที่นั่งเล่นมือถืออยู่ สีหน้าคาดเดาไม่ออกว่าต้องการอะไร แต่น่าจะไม่พอใจพอสมควร

เมื่อครู่เขาจงใจสะกดชื่อธาดาร์ผิด เพราะคนทั่วไปคงไม่คิดว่าจะมีตัว ร์ ลงท้ายหรอก โพ้นก็เปลี่ยนเป็นพ้น ส่วน ไสย ในนามสกุลก็ควรจะเป็นคำว่า สัย ซึ่งมาจากวิสัยทัศน์อะไรทำนองนั้น แต่ต่อให้เผลอเขียนไปอย่างถูกต้อง ก็คงต้องอ้างสีข้างเข้าถูว่าเคยอ่านข่าวในอดีตของธาดาร์มาก่อน แม้ข้อมูลจะถูกลบในระบบออนไลน์ไปหมดแล้ว แต่ดันจำได้โดยบังเอิญ

เพราะอะไรก็ไม่ทราบหรอก แต่ที่แน่นอนคือตำรวจคนนี้สงสัยในตัวเขา และต้องการโยงเขากับธาดาร์ โพ้นวิไสยแน่

ตำรวจสงสัยว่าความทรงจำฟื้นกลับมางั้นหรือ ไม่สิ ถ้าเป็นเช่นนั้นคนที่น่าจะติดต่อมาควรจะเป็นโครงการ A MIND ไม่ใช่ตำรวจ อีกอย่างฝั่งตำรวจเองก็เข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน และก็คงทราบดีว่าเขาสลับจิตกับใคร แล้วจะลงมือซึ่งหน้าแบบไม่เนียนแบบนี้ไปเพื่อ…

พิณเพลงกระตุกแขนเสื้ออีกครั้งเหมือนอ่านใจออก “คิดไปก็ไม่ได้อะไร”

“นั่นสินะ” เขาพึมพำ “เรากลับกันเถอะ พิณเพลงน่าจะเหนื่อยแล้ว”

พิณเพลงไม่คัดค้านอะไร จากนั้นเขาจึงขับไปส่งเธอ ช่วงเวลาบนรถนั้นเขาพยายามจะคุยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่พิณเพลงบอกไม่อยากคุยเท่าไร บรรยากาศโดยรวมจึงค่อนข้างเงียบ

ทว่าพอถึงที่จอดรถด้านหน้าบ้านพักแล้ว เจ้าตัวดันไม่ยอมลงเสียงั้น

“ไม่อยากกลับเลยอะ”

“พรุ่งนี้ต้องทำงานนะครับ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนมาดูเวลา

เกือบหกโมงเองหรือ แต่ท้องฟ้ามืดจัง อ๊ะ แบตเกลี้ยงเลย ทั้งที่วันนี้ไม่ได้ใช้อะไรแท้ๆ ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น พิณเพลงก็เขยิบเข้ามาใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว

“ปกป้องหน้าซีดจัง” พิณเพลงลูบที่หน้าผากเขา “ถ้าไม่สบายหรือมีอะไรผิดปกติก็ต้องไปหาหมอนะ”

เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็กล่าวเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมา เล่นเอาปกป้องงงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเรื่อง

“แต่ก็สนุกจังเลยนะ ถึงจะเกิดเรื่องบ้าบอขึ้นก็เถอะ” พิณเพลงว่าแล้วก็เปิดประตูลงจากรถ

พอเขาเดินมาส่งถึงทางเข้าอาคารห้องเช่า พิณเพลงก็ยิ้มติดตลก ก้าวเข้ามากระซิบข้างหูของเขา “ก็หน้าปกป้องมันหล่อ เลยดูเหมือนหาเรื่องดีอ้ะ” แอบจั๊กจี้เล็กน้อย เป็นการบ๊าย บาย ที่น่าจดจำ

“งั้นฉันไปนะ” เธอเดินหายเขาไปในอาคารเก่าๆ พริบตานั้นเขาหลุดฝันว่าจะซื้อบ้านสักหลังไว้อยู่กับพิณเพลง ก่อนที่สมองจะต่อต้านทันที

ไม่เอา แบบนั้นไม่ได้ นายมันตัวอันตราย นายต้องถูกกำจัด ที่ผ่านมาก็เห็นแก่ตัวมากแล้ว เขาส่ายหัวเบาๆ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ ในใจยังคงตระหนกกับเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น

 

ร.ต.ท.พิศวัติกลับมาที่บ้านด้วยความเหนื่อยล้า ทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดเล็ก ห้องรับแขกไม่ถึงกับสะอาดเป๊ะแต่ก็ไม่รก เพื่อนร่วมอาชีพมาเห็นยังแอบชมอยู่บ่อยครั้ง เขามองว่าเพราะตนเป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อในการดำรงชีวิต หรือไม่ก็เพราะติดนิสัยการจัดของจากภรรยา

คิดถึงภรรยาแล้วก็รู้สึกผิดบาป ปานรุ้งเคยภูมิใจในอาชีพของเขา

และวันนี้เขาเพิ่งทำในสิ่งที่ตำรวจไม่สมควรทำลงไป

ทั้งหมดเริ่มขึ้นจากข้อความล่าสุดที่อลิน ริชส่งมาเมื่อวาน ทางนั้นขอรายละเอียดและความคืบหน้า โดยแจ้งว่าเรื่องของพิณเพลงที่เคยส่งไปนั้นยังไม่พอให้สรุปผล นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเร่งงาน จะใช้คนอื่นก็คุมลำบาก จึงต้องยอมออกหน้า และต้องลงทุนเล่นใหญ่ถึงขั้นสลับบทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบในเขตสวนสนุกเป็นกรณีพิเศษ ที่น่ากลัวคือเมื่อแจ้งว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ A MIND ไม่ว่าใครก็ยอมถอยให้

เวลาทุ่มสี่สิบ ผู้หมวดพิศวัติย้ายมานั่งบนโต๊ะอาหาร ในบ้านปิดไฟมืด แสงสว่างมีเพียงสองจุดคือมือถือเก่าๆ ในมือและโทรทัศน์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงหยิบไดรฟ์ทรงแปลกๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันเป็นทรงคล้ายยางลบที่หัวโค้งมนเกินงาม เขาเสียบปลายข้างหนึ่งเข้ากับแล็ปท็อปที่เปิดค้างอยู่ ทำตามขั้นตอนที่อลินสอนสักพักก็เสร็จ

หน้าจอยังมืดอยู่ แต่มีเสียงลอดออกมาจากลำโพง…เป็นเสียงร้องเพลงยามอาบน้ำของเป้าหมาย…

ปกป้อง ปักษ์ดนู ไม่สิ ธาดาร์ โพ้นวิไสยต่างหาก

อุปกรณ์ที่เสียบอยู่นี้ใช้สำหรับติดตาม ทำหน้าที่คล้ายตัวส่งสัญญาณไวไฟ หากสมาร์ตโฟนของอีกฝ่ายตั้งเชื่อมต่อไวไฟอัตโนมัติไว้ ขอแค่เข้าไปใกล้ก็สามารถลิงก์กันได้แล้ว จากตรงนี้เขาสามารถตรวจสอบหน้าจอและแอปพลิเคชันทั้งหมดของปกป้องได้แบบเรียลไทม์ โดยที่เจ้าของเครื่องนั้นไม่รู้ตัวสักนิด แถมยังดักฟังเสียงโทร.ได้อีก แน่นอนว่าเป็นของผิดกฎหมาย แต่อลินกลับสรรหามาได้โดยง่าย แถมยังโม้อีกว่ามันประดิษฐ์ขึ้นมาเองเพื่อใช้งานการทหาร คิดถึงหน้าของอลินในเวลานั้นแล้วก็แอบขนลุก แต่ก็ยอมรับว่าช่วยให้เรื่องง่ายขึ้นมาก จริงๆ อยากจะดักฟังเครื่องของพิณเพลงด้วย แต่ทางนั้นไม่ได้เปิดไวไฟไว้จึงทำอะไรไม่ได้

แน่นอนว่าแค่มีเครื่องนี้อยู่ การแสดงละครตบตาโง่ๆ นั่นก็ไม่จำเป็น แค่หาเรื่องเขาไปใกล้ๆ ปกป้องได้ก็จบแล้ว แต่เพราะไม่อยากทำตัวเหมือนคนร้ายจึงเลือกวิธีนี้เป็นทางออกสุดท้าย เลยกลายเป็นว่าทำให้ฝั่งนั้นสงสัยไปแล้วอย่างแน่นอน

แต่ก็ช่างแม่งเถอะ อีกอย่าง…เขาเริ่มจะเชื่อแล้วว่าความทรงจำของธาดาร์กลับมา ท่าทางของปกป้องช่วงที่ถูกต่อยนั้น มันดูไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับกำลังฝืนตัวเองอยู่ และเมื่อกำลังจะโดนอัดเข้าจุดตาย มันก็จะหลบฉากไปแบบเนียนๆ

เด็กที่ส่งไปนั้นอันที่จริงอายุเกินยี่สิบแล้วและเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ ทางตำรวจก็ไว้ใช้งานประจำ และมันยืนยันด้วยตัวเองว่าปกป้องนั้นไม่ธรรมดา

ข้อมูลจากอลินแจ้งชัดว่าปกป้องไม่เคยเรียนวิชาป้องกันตัวอะไร แต่เทคนิคที่มันใช้ในวันนี้ หากไม่ใช่คนที่เรียนมาก็เป็นพวกที่มีประสบการณ์ต่อยตีแน่นอน

ได้ยินเสียงปกป้องคุยงานกับลูกน้องในยามดึก แม้จะใช้น้ำเสียงสุภาพเกินงาม แต่อีกไม่นานก็คงเผยอะไรออกมา ในใจของพิศวัติเริ่มมีความหวัง แม้จะแอบเผื่อใจว่าถูกอลินหลอกใช้อยู่แล้ว แต่หากทั้งหมดไปได้สวย… เขาอาจจะได้ปานรุ้งกลับมาก็ได้ ระยะหลังเริ่มเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น

หากงานนี้สำเร็จ ชีวิตครอบครัวจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง เขาเริ่มหวังไปเรื่อย

 

เมื่อพูดถึงครอบครัว ในหัวก็หวนคิดเรื่องของพิณเพลงอีกครั้ง หญิงสาวที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง ผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเหยื่อคดีฆาตกรรม

ในรายงานแจ้งว่าพิณเพลงไม่เห็นหน้าของฆาตกร ในระหว่างที่เกิดเรื่องนั้นเธอนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ แน่นอนว่าไม่มีพยานสถานที่ยืนยัน แต่คงถูกปล่อยผ่านเพราะดูแล้วไม่น่าเกี่ยวกับตัวธาดาร์ โพ้นวิไสยซึ่งเป็นคนร้ายหลบหนีคดีร้ายแรง จึงเป็นแค่การสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเอามาประกอบรายงานเท่านั้น เพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคนก็ไม่มีพยานสถานที่เช่นกัน

แต่คิดอีกทีก็เป็นได้หลายกรณี ผู้หมวดวัยสี่สิบเศษแม้ไม่ฉลาดนักก็พอคิดออก

หากพิณเพลงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาธาดาร์จริง หมายความว่าทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญที่กรุงเทพ ก่อนจะสนิทชิดเชื้อกันงั้นหรือ มันจะบังเอิญไปหรือเปล่านะ

ในอีกมุม หากพิณเพลงไม่รู้จักจริงๆ แต่ฝั่งธาดาร์กลับรู้จักเธอ เท่ากับว่าภัยสังคมรายนี้จงใจเข้ามาตีสนิทพิณเพลงสินะ

และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากพิณเพลงโกหกเรื่องที่ไม่เคยเห็นหน้า…นั่นจะเปลี่ยนทุกอย่างไปเลย

ทั้งสองที่รู้จักกันมาพบกันที่กรุงเทพฯ โดยบังเอิญรึ หรือจงใจนัดมาพบกัน หากว่าในช่วงที่เกิดการฆาตกรรมนั้นตัวพิณเพลงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นภาพในแง่ร้ายเพิ่มขึ้น

อลิน ริชอาจไม่สนใจพิณเพลง แต่เขามองว่าหญิงสาวคนนี้แหละที่น่าสงสัยไม่แพ้ธาดาร์

 



Don`t copy text!