โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อนในสมัยราชวงศ์ถัง ชีวิตของผู้คนเนิบช้าและเวลาไม่เคยมีค่าเหมือนดังทองเพราะมันไม่เคยถูกให้ค่า มีเพียงพระอาทิตย์ขึ้นและตกเท่านั้นเป็นตัวกำหนดกิจวัตร ในตอนนั้นลู่อวี่ได้รจนาคัมภีร์ชาขึ้นมาเป็นครั้งแรก

คัมภีร์ที่ว่านี้ได้ถูกเขียนขึ้นมาทั้งหมดสามเล่มรวมทั้งหมดสิบบท ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมชา ศิลปะ ประวัติศาสตร์ สายพันธุ์ของชา สรรพคุณทางยา ไปจนถึงอุปกรณ์และการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในการชงชา

ในขณะที่ตำราชาของลู่อวี่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจวบจนทุกวันนี้ หากว่ายังมีตำราอีกเล่มที่เขียนเกี่ยวกับชาเช่นกันแต่ไม่ทราบนามผู้แต่ง และแทนที่จะให้ความรู้ทางสรรพคุณกลับบรรยายไปในทางอภินิหาร

น้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันเพราะถูกซ่อนไม่ให้ใครล่วงรู้ เก็บเร้นเอาไว้อย่างลึกลับไม่ปล่อยเล็ดลอดออกมา ด้วยเกรงว่าหากตกอยู่ในมือคนผิดบ้านเมืองจะวุ่นวายจนเกิดเป็นภัยร้ายกลายเป็นกลียุคขึ้นมาได้

ชาที่ว่านี้คือชาสีชาดซึ่งสามารถให้ชีวิตอมตะได้

ตำราชาอมตะถูกส่งต่อกันไปมาระหว่างคนในตระกูลหนึ่ง เป็นของตกทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น ทว่าน่าแปลกที่แม้จะได้ครอบครองของมีค่าในมือแต่กลับไม่มีใครในตระกูลมีอายุอันเป็นนิรันดร์เลยสักคน

คนสกุล ‘หง’ ทุกคนเกิดมา เติบโต แก่ตัว และจากไปตามกฎธรรมชาติ อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ตำราชาอมตะที่ว่าจึงได้ดำรงอยู่เป็นความลับมาหลายยุคหลายสมัย ไม่เคยมีใครในสายสกุลของผู้สืบทอดแม้แต่คนเดียวได้มีโอกาสลิ้มรสของชาและสัมผัสกับความเป็นอมตะที่คล้ายจะเป็นเรื่องเล่าปรัมปรา เว้นแต่คนผู้หนึ่ง…

 

รัชศกฉุนซี ปีที่สิบห้า ราชวงศ์ซ่งใต้

เมืองหลินอัน ทะเลสาบประจิม (1) ในฤดูสารทนั้นเต็มไปด้วยความสวยงามยากจะบรรยาย แม้แต่จิตรกรที่โด่งดังที่สุดก็ยังไม่อาจรังสรรค์สีของน้ำให้ดูงดงามเทียบเท่าสีสันอันแท้จริงได้ กวีเอกของยุคยิ่งไม่อาจบรรยายสายน้ำพลิ้วไหวหรือสายลมพัดอ่อนซึ่งม้วนหอบเอากลิ่นหอมของใบชาชั้นดีอย่างชาซีหูหลงจิ่งให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้

โชคดีโชคร้ายมักอยู่คู่กัน มีสีดำย่อมมีสีขาว เรื่องราวบนโลกล้วนไม่อาจคาดเดา จนถึงตอนนี้หลุมศพของเยว่เฟย (2) ได้ถูกย้ายมาฝังยังริมทะเลสาบแห่งนี้หลายปีแล้ว

ศาสนาพุทธเบ่งบาน เต๋าและขงจื่อโดดเด่นเป็นที่กล่าวขาน เฉินเอินในตอนนั้นอายุได้สิบปี คิดแต่ว่าทุกอย่างคงดำรงคงอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่าตนก็คงเป็นเช่นเดียวกับต้นท้อที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล คงมีเวลาเติบโต ออกดอกผลผลิบานงดงาม และวันหนึ่งก็ต้องร่วงโรยลงไปเช่นเดียวกัน

แต่เขาคิดผิดไป เพราะอีกสิบกว่าปีหลังจากนั้นดังแผ่นดินผืนฟ้าจะพลิกกลับ

 

เฉินเอินถือกำเนิดจากบิดาสกุลเฉินมารดาสกุลหง แต่เดิมสองตระกูลอยู่ฝั่งเดียวกันทางการเมือง ทว่าเมื่อผลัดแผ่นดินถึงสองครั้ง การเมืองภายในย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย

แผ่นดินจีนในครั้งนั้นอยู่ในการปกครองของราชวงศ์ซ่ง ถึงอย่างนั้นดินแดนอันเคยเป็นของตนทางเหนือกลับถูกยึดไปจนต้องอพยพย้ายกันลงมาทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซี ทั้งยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจคุกคามของราชวงศ์จินของชนเผ่าหนี่ว์เจินมานานหลายสิบปี ยังต้องส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมหาศาลทั้งเงินและผ้าไหม และในตอนนี้ซึ่งได้เกิดขั้วการเมืองใหม่ ความคิดที่อยากจะกรีธาทัพไปยึดดินแดนเดิมคืนก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญคนใหม่มีทัศนะต่อต้านขงจื่อ หลายตระกูลที่สมาทานขงจื่อเป็นหลักในการปกครองถูกขจัดทิ้ง และหนึ่งในรายชื่อนั้นยังมีเฉินเสียงบิดาของเฉินเอินและตัวของเฉินเอินรวมอยู่ด้วย

ในตอนนั้น ‘หงอวี้เหนียน’ มารดาของเฉินเอินได้มีจดหมายให้ลูกชายคนเล็กนำไปให้พี่ชายของนางที่รั้งตำแหน่งผู้นำตระกูลหงและยังเป็นขุนพลคนสำคัญของฝ่ายอำนาจใหม่ และเพราะจดหมายฉบับนี้นี่เองที่ทำให้เฉินเอินต้องเข้าไปเกี่ยวข้องโยงใยกับตำราชาอันลึกลับของต้นตระกูลมารดา

“ขี้ขลาดตาขาว ไม่รักชาติแต่รักชีวิต ถึงขนาดให้สตรีจดหมายมาทวงหนี้บุญคุณหนี้ชีวิต ดี ดี” หงเป่าพึมพำออกมา สีหน้าไม่ชวนมอง

เฉินเอินขมวดคิ้วยุ่งยากใจพอจะเดาเนื้อความในจดหมายได้

แม่ของเขาเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตพี่ชายจนตนเองเกือบต้องตายมาก่อน ถือเป็นหนี้เลือดผูกพันแน่นเหนียวกระชับเกลียวความเป็นพี่น้องขึ้นไปอีกชั้น และในตอนนี้ที่สามีและลูกชายมีความเสี่ยงถึงตายนางถึงได้มีจดหมายขอให้สกุลหงออกหน้าให้

เดิมทีหงเป่าคิดว่าจะต่อรองทัดทานการกรีฑาทัพขึ้นไปรบกับทัพจินด้วยกองทัพซ่งยังขาดความพร้อม แต่สัญญาที่เคยให้ไว้ต่อพี่สาวตอนพ้นความตายในครั้งนั้นจำเป็นต้องรักษา

คำพูดที่ว่าลูกสาวแต่งออกไปกลายเป็นคนนอกไม่ได้กล่าวขึ้นลอยๆ แม้จะรักผูกพันเพราะเติบโตด้วยกันมาท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของคนในตระกูล สองคนพี่น้องก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แต่พอเวลาผ่านไปความทรงจำในวัยเด็กแม้จะยังอยู่ แต่ความรักใคร่กลมเกลียวถึงขนาดสละชีวิตให้กันได้กลับหายลับไปกับกาล

กลายเป็นว่าเมื่อก่อนยิ่งรักมากเท่าไรความแค้นเคืองก็ยิ่งมากเท่านั้น เป็นความอึดอัดคับข้องใจปนตัดพ้อที่น้องสาวของตนเห็นชีวิตสามีและลูกชายดีกว่าชีวิตของพี่ชายสายเลือดเดียวกัน

เย็นนั้นเฉินเอินกลับมาบ้านพยายามโน้มน้าวมารดาให้คืนคำในจดหมายเสีย เพราะแม้ ‘หง’ และ ‘เฉิน’ จะยืนอยู่กันคนละขั้วทางการเมืองแต่ทัพซ่งยังเป็นคนชาติเดียวกัน ทหารในนั้นก็คงเป็นพ่อแม่พี่น้องของใครสักคน จากสถานการณ์ยังไม่พร้อมที่จะออกศึกใหญ่ จดหมายของมารดาดังจะเป็นเส้นตายที่ทำให้หงเป่าหมดข้อต่อรองยืดเวลาการกรีธาทัพ

แต่บัดนี้ทุกอย่างได้สายไปแล้ว เพราะการตัดสินใจของหงเป่าได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยแรงอารมณ์ในชั่วขณะที่อ่านจดหมาย และโดยไม่รู้ตัวเฉินเอินก็ได้ถูกเชื้อเชิญให้ดื่มชาถ้วยนั้นเข้าไป

เขากลับบ้าน นำจดหมายของหงเป่าตอบกลับยังผู้เขียนคือมารดาของตนซึ่งถือจดหมายด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะเหลือบตาอันเบิกกว้างขึ้นมองลูกชายแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้

“ดื่มไปแล้วใช่หรือไม่ เจ้าดื่มชาสีชาดของสกุลหงไปแล้วใช่หรือไม่”

เฉินเอินนึกถึงชาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบแดงซึ่งลุงเป็นผู้รินให้ คลับคล้ายคลับคลาสติเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ทว่าบัดนี้กลับจำได้แม่นยำถึงบุญคุณความแค้นภายใต้รสฝาดเฝื่อนของชาสีชาดถ้วยนั้นและยังคำพูดของลุงในตอนนั้น

‘หนึ่งในคุณธรรมสำคัญของขงจื่อคือกตัญญูรู้คุณใช่หรือไม่ เช่นเดียวกับชื่อของเจ้า เช่นนั้นเจ้าถือว่าเป็นหนี้บุญคุณคนสกุลหงและยังทหารซ่งอีกหลายพันชีวิต จงดูแลคนสกุลหงให้ดีจนกว่าจะถึงห้วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต’

สุดท้ายทัพซ่งก็พ่ายแพ้ เป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุด หงเป่าพลีชีพในสนามรบอย่างไม่ต้องคาดเดา ค่าปฏิกรรมสงครามคือจำนวนเครื่องบรรณาการที่ต้องส่งมากขึ้นพร้อมกับความอ่อนแอลงของราชวงศ์ซึ่งอีกไม่กี่ปีก็ได้ล่มสลายลง

เฉินเอินทั้งรู้สึกผิดและเสียใจต่อคนสกุลหงรวมถึงทหารผู้ที่พลีชีพอย่างไร้ประโยชน์ในครั้งนั้น แต่นอกจากความรู้สึกพวกนั้นแล้วเขาเองไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่าชีวิตตนมีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไป จนเมื่อความเสียใจค่อยๆ เบาบางลงจากเวลาที่เยียวยารักษา และหน้าที่ซึ่งรับถือคำมั่นเอามาเป็นจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตคือการดูแลคนสกุลหงให้ดีที่สุด

ลูกชายของหงเป่ายังเล็กนัก เมื่อบิดาวายชนม์อำนาจวาสนาของตระกูลก็เสื่อมตามไปด้วย เฉินเอินถึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจประคับประคองสกุลเดิมของมารดาให้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้

ทายาทสกุลหงเติบโตขึ้น วันคืนผันผ่านโดยไม่ทันได้รู้คิด กว่าจะสำนึกรู้ตัวคนข้างกายก็เริ่มตายจากไปทีละคนสองคน เริ่มจากบิดามารดา พี่น้องใกล้ชิด เขาถึงตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นดังเช่นต้นท้อยามฤดูสารท ไม่ได้ร่วงโรยร่วงหล่นโดยธรรมชาติไปตามกาลเวลา

เฉินเอินจำได้ ตอนนั้นก่อนมารดาจะสิ้นตนได้ถามคำถามหนึ่งออกไป ว่าเพราะเหตุใดสกุลหงถึงไม่มีใครได้รับชาสีชาดถ้วยนั้นเลยแม้สักคนเดียว ชาอันจะทำให้ผู้รับมีชีวิตเป็นอมตะสมควรจะเป็นของมีค่าที่ผู้คนเสาะแสวงหาและปรารถนาจะได้มา ทว่าคำตอบของมารดาในตอนนั้นเขาขบคิดได้อย่างไม่ลึกซึ้งนัก

ต่อเมื่อมารดาจากไป บิดาจากไป พี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาวจากไป ทายาทสกุลหงและเฉินรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เขาคอยเฝ้าดูจากไป เขาถึงได้เข้าใจคำตอบของมารดาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของนางในตอนนั้นได้อย่างถ่องแท้

“ไม่มีใครอยากให้คนที่รักประสบกับชะตากรรมแบบนี้” มืออันอ่อนแรงของมารดายื่นออกมาในอากาศขณะหายใจรวยริน “แม่ผิดต่อคนมากมายเหลือเกิน ผิดต่อพี่ชาย ผิดต่อสายเลือดสกุลหง และยังผิดต่อเจ้า เพราะความเห็นแก่ตัวที่อยากจะรั้งตัวเจ้าและพ่อของเจ้าเอาไว้ เพราะกลัวจะสูญเสียทุกอย่างไปเลยทำให้ความเห็นแก่ตัวทำให้เห็นผิด”

ประโยคนั้นของมารดาก่อนสิ้นลมมีแต่การโทษตนเอง ไม่มีคำใดเป็นดังแสงสว่างส่องทางอันมืดมนอ้างว้างที่รออยู่ข้างหน้าของบุตรชายแม้สักครึ่งคำ ชาถ้วยนั้นเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของผู้นำสกุลหงในยามมอบมันให้กับสายเลือดในอุทรของน้องสาว คือทั้งรักทั้งเกลียด แฝงการประชดประชันโดยเอาชีวิตคนหนึ่งเป็นเดิมพัน ก็ในเมื่อไม่อยากให้คนที่ตนรักตายถึงขนาดนั้น เช่นนั้นก็จงรับเอาความเป็นนิรันดร์อันเดียวดายนี้ไว้เสีย

ภายใต้น้ำชาหน้าตาธรรมดากลับซ่อนความลับเอาไว้ ใต้ความเป็นอมตะกลับซ่อนคำสาปให้เฉินเอินมีอายุยืนยาว ประสบพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงและโดดเดี่ยว ผ่านเรื่องยากจะทำใจยอมรับได้มาหลายครั้งต่อหลายครั้ง เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา ตัดทอนความคิด ค่านิยม ความเชื่อ หล่อหลอมตัวตนขึ้นมาใหม่ บางครั้งแม้รู้สึกยากจะรับได้ แต่สุดท้ายความเปลี่ยนแปลงนั้นก็มาถึงอยู่ดี

ทางแก้ทางเดียวที่เขาสามารถทำได้คือความตาย ถ้าเพียงแต่เขาจะมีความเด็ดเดี่ยวในการที่จะปลิดชีวิตตนเอง แต่เฉินเอินกลับไม่ได้เลือกทางนั้นเพราะยังคงยึดมั่นในคำสั่งเสียของหงเป่า

เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าตกลงตนนั้นเป็นคนขี้ขลาดหรือกล้าหาญกันแน่ กล้าหาญที่จะยืนหยัดสานเจตนารมสุดท้ายของผู้เป็นลุงและชดใช้หนี้บุญคุณสกุลหงมานานหลายศตวรรษ หรือแท้จริงตัวเองก็เป็นแต่เพียงคนขี้ขลาดตาขาวกลัวความตายอย่างที่ลุงของเขาเคยเอ่ยยามได้รับจดหมายกันแน่

 

เชิงอรรถ :

(1) ทะเลสาบซีหู

(2) ขุนพลจีนซึ่งมีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ เกิดในยุคปลายราชวงศ์ซ่งเหนือ



Don`t copy text!