ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

นันท์เปิดประตูเข้าบ้านมาพร้อมสีหน้าประหลาดใจ ที่เห็นฉันกินข้าวพร้อมทั้งพูดคุยอย่างเบิกบานกับพ่อของแก

“แม่หิวมากเลยลูก เมื่อช่วงบ่ายพ่อเขาพาแม่ไปเดินเล่นที่สวน…แม่รอนันท์ไม่ไหวเลยขอกินก่อน…นี่ถ้านันท์ยังไม่หิวในตู้เย็นมีผลไม้นะ แม่กับพ่อไปเดินเลือกกันมาจากตลาดท้ายสวน”

ลูกทำหน้าประหลาดใจจนฉันรู้สึกเอ็นดู ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนยายนันท์ทำหน้าตาท่าทางแบบนี้ฉันได้เป็นดุแหวใส่แน่นอน

“นันท์ไปล้างหน้าตามือไม้ก่อนก็ได้ลูก เดี๋ยวพ่อเตรียมมื้อเย็นไว้ให้ ลงมาคงพร้อมกินพอดี” พี่ติบอกลูก ยายนันท์ทำตามอย่างว่าง่าย

มื้อเย็นวันนี้คงเป็นมื้อที่ยายนันท์วางตัวไม่ถูก เพราะบรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยายนันท์คงมีจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ เมื่อถูกฉันถามขึ้นก็สะดุ้งโหยงทันที

“นันท์ วันหยุดนี้กฤตย์เขาต้องเข้าเวรไหม”

“แม่…แม่มีอะไรคะ” ยายนันท์ถามเสียงระแวง

“ก็ไม่มีอะไรมาก วันอาทิตย์นี้แม่ตั้งใจจะทำแกงมัสมั่น จำได้ว่ากฤตย์เขาชอบกิน เลยจะให้เราชวนเขามากินข้าวเย็นที่บ้านเรา…” ฉันบอก แต่ยายนันท์ส่งสายตาเคลือบแคลงสงสัย

“นอกจากกินข้าวเย็น…แม่มีอะไรมากกว่านั้นไหมคะ” ยายนันท์ซัก

“ก็ไม่มีอะไรมาก แม่แค่อยากขอความช่วยเหลือจากเขานิดหน่อย” ฉันตอบ

“เดี๋ยวหนูจะถามกฤตย์ให้ค่ะ”

หลังเสร็จจากอาหารมื้อเย็น พี่ติขอตัวกลับที่พัก ส่วนยายนันท์อ้างว่าค่ำแล้วขอเดินไปส่งพ่อที่คอนโดฯ ซึ่งห่างออกไปในซอยเดียวกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ฉันเองก็ไม่ขัดขวางเพราะรู้ดีว่าลูกน่าจะมีคำถามหลายอย่างกับพ่อของตัวเอง

ส่วนฉันก็มีภารกิจที่ต้องทำด้วยตัวเองเช่นกัน

เมื่อสองพ่อลูกออกไปแล้ว ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองกรอกหมายเลขที่จำได้อย่างขึ้นใจตั้งแต่สมัยยังทำงาน…สัญญาเรียกรอผู้รับสายเพียงไม่นาน

“สวัสดีครับคุณกุนตี” สายปลายสายทักทายมา

“คุณเฉลิมพลใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมเฉลิมพล คุณกุนตีมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” ปลายสายพูดกับฉันอย่างอ่อนน้อมคงเส้นคงวาแม้ฉันจะเกษียณออกมาหลายปีแล้ว

“ฉันจะรบกวนคุณเฉลิมพลส่งลูกน้องมือดีมาช่วยฉันหน่อยค่ะ ฉันอยากได้คนที่ชำนาญเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืม” ฉันบอกความประสงค์

“เรื่องสำคัญมากไหมครับ”

“สำคัญมากและควรเป็นความลับค่ะ”

“เช่นนั้นผมจะให้เฉลิมชัยลูกชายผมไปดูแลครับ รับรองว่าไว้ใจได้แน่นอน พรุ่งนี้ผมจะให้เข้าไปพบคุณกุนตีเลยครับ ว่าแต่คุณกุนตีสะดวกให้เข้าพบที่ไหนดีครับ”

“ที่บ้านฉันเลยค่ะ…ค่ะ…ฉันจะรอ”

ฉันวางสายจากคุณเฉลิมพลอดีตฝ่ายกฎหมายของบริษัท ที่ผันตัวไปเปิดสำนักงานกฎหมายตามคำแนะนำของฉัน ที่เห็นความสามารถของเขาว่ามากเกินกว่าจะมาจมกับการเป็นนิติกรเล็กๆ ในฝ่ายกฎหมายของบริษัท เฉลิมพลเป็นรุ่นน้องของฉันหลายปี เป็นคนมีความซื่อสัตย์ ขยัน เฉียบคม และกัดไม่ปล่อย หลายครั้งที่ฉันต้องจัดการปัญหาการทุจริตภายในบริษัท มีเพียงฉันและผู้บริษัทระดับสูงบางคนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ดังนั้นฉันจึงเสนอให้สำนักกฎหมายและนักสืบของเฉลิมพลมารับงานอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่กระจายจนคนผิดไหวตัว ซึ่งผลงานของเฉลิมพลก็ทำได้ดี ช่วยฉันและผู้บริหารแก้ไขปัญหาได้อย่างลุล่วง

เมื่อมีงานเกี่ยวกับกฎหมายที่ต้องการให้เป็นความลับไม่ให้คนในรู้ หรือฝ่ายกฎหมายงานล้นมือจากการขยายงาน สำนักงานกฎหมายและนักสืบของเฉลิมพลจะรับช่วงงานด้านกฎหมายต่อ ทำให้สำนักงานกฎหมายของเขาเติบโตและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ จนพัฒนากลายเป็นบริษัทด้านกฎหมายขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป จากการช่วยเหลือและแนะนำของฉันทำให้เฉลิมพลมีความเคารพและให้เกียรติฉันมากเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อฉันร้องขอความช่วยเหลือเขาจึงยินดีให้ช่วยฉันอย่างเต็มที่

 

ฉันยืนส่องกระจกเห็นเงาป้าแก่ๆ คนหนึ่งที่ดูไร้พิษสงสะท้อนกลับมา หากบอกว่ายายป้าในกระจกคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยกุมอำนาจบริหารด้านการเงินของบริษัทมหาชนชื่อดัง เป็นที่เคารพยำเกรงของพนักงานในบริษัท เป็นที่ไว้วางใจของผู้บริหารระดับสูง มีความเฉียบคม เฉียบขาดในการทำงาน รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมในวงการธุรกิจจนขึ้นชื่อ ใครกันเขาจะเชื่อ ยิ่งยายป้าคนนี้ยังตกเป็นเหยื่อของแก็งต้มตุ๋นอีก ใครเล่าจะเชื่อว่านี่คืออดีตผู้บริหารระดับท็อปของบริษัทมหาชนในตำนาน

คิดแล้วก็ห่อเหี่ยวใจ ฉันตัดสินใจไปอาบน้ำให้สดชื่น ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนที่เบาสบาย แล้วเดินไปชงกาแฟไร้กาเฟอีนที่พี่ติซื้อมาติดบ้านไว้ให้ ฉันเชื่อว่ากลิ่นหอมๆ ของกาแฟ จะปลุกเร้าพลังของอดีตผู้บริหารที่เฉียบขาดซึ่งซ่อนอยู่ในตัวฉันออกมาได้

ฉันนำเอกสารข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่มาคลี่เต็มโต๊ะอ่านหนังสือ ทั้งสำเนาสัญญาที่อ้างว่าฉันเซ็น สำเนาโฉนดบ้านที่มีที่เท่าแมวดิ้นตายของพี่ติ ฉันเห็นพิรุธหลายอย่างที่ชวนสงสัย ฉันค่อยเขียนข้อพิรุธ จากนั้นค่อยๆ ระลึกเหตุการณ์สำคัญที่ฉันคิดว่าน่าจะเกี่ยวของกับเรื่องนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ธารีพาสืบธารเข้ามาหาฉัน ฉันเชื่อว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาครั้งนี้ ฉันคิดอะไรออกก็เขียนใส่กระดาษโน้ตที่มีแถบกาว จากนั้นก็นำกระดาษเหล่านั้นมาติดฝาผนังเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลา

ในที่สุดฉันก็พอเข้าใจเรื่องราวและสาเหตุอย่างเลาๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนั้นถึงลงทุนทำอะไรตั้งมากมาย เพื่อบ้านที่มีที่ดินเท่าแมวดิ้นตายขนาดนี้ ถึงแม้จะอยู่กลางซอยที่ถือว่าที่ดินแพงราวก็ปูด้วยทอง แต่ทั้งบ้านและพื้นที่ว่างในบ้านรวมแล้วก็ไม่น่าเกิน 1 งาน จะทำให้พวกนั้นวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนได้ขนาดนี้เลยหรือ

จนฉันหันกลับไปพิจารณาโฉนดที่ดินของบ้านอีกครั้งนั้นล่ะ…

‘แม่เจ้าโว้ย…ทำไมฉันไม่ยอมรับโอนที่ดินตามที่พี่ติเสนอไว้ตั้งแต่ตอนนั้นนะ!’

ขณะที่ฉันกำลังตื่นเต้นตื่นตายอยู่นั้น เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู เห็นพี่ติส่งสติกเกอร์ฝันดีผ่านโปรแกรมสนทนา สักพักก็มีข้อความตามมาว่า ยังไม่นอนอีกหรือ ดึกแล้วนะ

ฉันอ่านแล้วกรอกข้อความลงตอบลงไปว่า ทราบได้ไงคะว่ากุนยังไม่นอน

สักพักก็มีคำตอบมาว่า ก็มันขึ้นมาว่ากุนอ่านข้อความแล้ว และตามด้วยข้อความว่า นอนได้แล้ว สุขภาพสำคัญกว่า ไม่ว่าอะไรเก็บไว้ทำต่อวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวพี่ไปช่วยทำ

ฉันยิ้มให้โทรศัพท์ ก่อนพิมพ์ตอบไปว่า นอนแล้วค่ะ พี่ติก็รีบนอนนะคะ พรุ่งนี้กุนรอกินอาหารเช้าฝีมือพี่ติ ฝันดีค่ะ

พี่ติส่งสติกเกอร์คำว่า โอเค

ฉันส่งสติกเกอร์ ฝันดี ตอบกลับ พี่ติกดสัญลักษณ์รูปหัวใจที่สติกเกอร์เป็นการปิดบทสนทนา

พี่ติเป็นผู้เล่นโทรศัพท์และใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมี่คุณภาพ เพราะพี่ติจะไม่แชร์ข่าวจำพวกที่พี่ตินิยามว่า ‘ข่าวผีบอก’ ที่ต้องส่งต่อให้คนที่คุณรัก 7 คน ข่าวสารที่พี่ติส่งจะผ่านการคัดกรองมาอย่างดีแล้วว่าเชื่อถือได้ และจำเป็นต่อฉัน แต่ถึงอย่างไรในทุกเช้าพี่ติก็ยังส่งภาพดอกไม้ตามสีประจำวันพร้อมข้อความเช่นว่า ‘สวัสดีวันจันทร์’ มาให้ฉันทุกวัน…

 

เช้าวันต่อมา ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนทุกวัน หลังจากศาตนันท์ออกไปทำงานแล้ว ส่วนฉันกับพี่ติก็กินอาหารเช้าจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เปิดคำถามกับพี่ติว่า

“ถ้าบ้านนี้ถูกพวกนั้นยึดไปจริงๆ ล่ะคะ พี่ติจะว่ายังไง”

พี่ติเปลี่ยนมานั่งข้างๆ ฉันแล้วพูดว่า “พี่บอกแล้วไงว่า ในชีวิตของพี่ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากุนและลูกอีกแล้ว ถ้ามันจำเป็นต้องเสีย พี่ก็ทำใจยอมรับได้ และหากพี่ทำใจยอมรับได้ พี่ก็อยากให้กุนยอมรับมันเหมือนกัน อย่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองให้ทุกข์ใจเลย” พี่ติพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฉันก้มกราบที่อกพี่ติ ก่อนพูดว่า “กุนขอบคุณพี่ติค่ะที่ไม่ถือโทษโกรธกุน แต่คราวนี้กุนขอสู้สักตั้ง ขอให้กุนได้ปกป้องและกอบกู้ทุกสิ่งเพื่อครอบครัวของเราอีกครั้ง กุนขอดื้ออีกสักครั้ง หากสู้ไม่ได้กุนจะยอมแพ้โดยไม่นึกเสียใจ”

“เรามาสู้ด้วยกัน พี่จะสนับสนุนกุนทุกอย่าง ขออย่างเดียวคือกุนอย่าเครียด และต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้มาก กุนจำไว้กุนคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของพี่ และไม่ต้องกลัวต่อให้ไม่มีบ้านหลังนี้ พี่ก็ยังสามารถดูแลกุนได้ กุนและลูกไม่มีทางจะตกอยู่ในสภาพคนไร้บ้านแน่นอน พี่สัญญา”

ฉันโน้มตัวไปกอดพี่ติอย่างขอบคุณ ในใจก็บอกตัวเองว่า…หลังจากพิจารณาโฉนดบ้านอย่างถี่ถ้วนเมื่อคืนแล้ว ฉันไม่มีทางยอมเสียบ้านหลังนี้ให้พวกมิจฉาชีพอย่างพวกแกเด็ดขาด…

 

เฉลิมชัยมาพบฉันตามที่นัดไว้ตรงเวลา เขาทักทายฉันอย่างนอบน้อม หลังจากพักพอหายเหนื่อยเขาก็เริ่มให้คำปรึกษาแก่ฉันทันที

“คุณกุนตีมั่นใจนะครับว่าไม่ได้เซ็นสัญญาเงินกู้ฉบับนี้จริงๆ”

“คุณเฉลิมชัยเรียกว่าป้าก็ได้ค่ะ…ป้าเป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ของพ่อคุณ เวลาคุยจะได้ไม่ต้องเกร็งมาก” ฉันบอก

“ได้ครับคุณป้า อย่างนั้นคุณป้าก็เรียกผมว่าชัยก็พอนะครับ คิดว่าผมเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง ก่อนมาที่นี่ พ่อก็กำชับว่าให้ดูแลคุณป้าให้ดี ดูแลให้เหมือนญาติผู้ใหญ่ไม่ใช่ลูกค้า…พ่อพูดเสมอครับว่าบริษัทเรามีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งเพราะความกรุณาของคุณป้า”

ฉันยิ้มรับก่อนที่จะวกกลับไปตอบคำถามที่เฉลิมชัยถาม

“ป้าขอตอบพ่อชัยแบบนี้ ป้าไม่ได้เซ็นสัญญากู้เงินฉบับนั้น แต่ลายเซ็นนั้นเป็นลายเซ็นของป้าจริงๆ”       เฉลิมชัยทำหน้างง “หมายความว่ายังไงครับ”

“เรื่องน่าจะเป็นแบบนี้” ฉันอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันคิดจนตกผลึกถึงความน่าจะเป็น เฉลิมชัยนั่งฟังแล้วก็พยายามลำดับเหตุการณ์และทำความเข้าใจ ก่อนที่จะถามฉันว่า

“ฟังคุณป้าเล่ามาแล้ว หากมีการฟ้องร้องขึ้นมา ผมคิดว่าเราน่าจะสู้คดีกลับในฐานความผิดปลอมเอกสารสัญญา”

“ป้าประเมินว่าพวกนั้นคงไม่กล้าฟ้องหรอก ป้าคาดว่ามันคงใช้ความเป็นนักเลงขู่ให้ป้ากลัว ถ้าโชคดีมันก็จะทำให้ป้ายอมเซ็นยกบ้านพร้อมที่ดินผืนนี้ใช้หนี้ อย่างแย่หน่อยมันก็ต้องได้เงินสักก้อนไปแทน ฟังที่ป้าเล่า คุณก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่บริษัทที่ทำธุรกิจถูกกฎหมาย และมันก็ประเมินว่าผู้หญิงแก่ๆ ตัวคนเดียวอย่างป้าคงกลัวจนลนลาน ถ้าถูกมันขู่เข็ญเอา มันก็เลยกล้าใช้วิธีนี้กับป้า”

“ให้ผมแจ้งความเลยไหมครับ” เฉลิมชัยอาสา

“ป้ามีแผนจัดการไว้แล้ว เพียงแต่ป้าอยากมั่นใจว่า จากเอกสารสัญญาเหล่านี้ ถ้าพวกมันเล่นแง่คิดจะเอาไปฟ้อง มันจะมีโอกาสชนะและได้บ้านหลังนี้ไปไหม”

“ไม่มีทางได้แน่นอนครับ…” เฉลิมชัยบอกข้อมูลฉันอีกครั้งให้ฉันมั่นใจ

“พ่อชัย ถ้าสัปดาห์หน้าป้าจะเรียกพวกมันมาคุย และจัดการปิดเกมบ้าๆ นี่ พ่อชัยจะสะดวกมาช่วยคุยกับป้าไหม…”

“ยินดีที่สุดเลยครับ ดีเหมือนกันพวกเราจะได้จัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆ ไป นอกจากเรื่องนี้คุณป้ามีอะไรที่ต้องการให้ผมทำอีกไหมครับ”

“มีค่ะ…ช่วยตามสืบเรื่องนี้ให้ป้าหน่อย…” ฉันส่งซองใส่เอกสารซองหนึ่งให้เฉลิมชัย “…รายละเอียดอยู่ในซองนี้แล้ว…”

 

วันอาทิตย์ฉันลงครัวทำแกงมัสมั่นด้วยตนเอง ตอนแรกพี่ติค้านเพราะเป็นอาหารรสจัดและฉันยังอยู่ในช่วงควบคุมอาหาร ด้วยกำลังเฝ้าระวังค่าการทำงานของไต จนฉันต้องรับปากว่าฉันทำไว้ต้อนรับตากฤตย์เท่านั้น ส่วนฉันก็จะกินอาหารคลีนฝีมือพี่ติอย่างทุกวัน พี่ติถึงยอมให้ลงมือทำ

ในครัววันนั้นสนุกเป็นพิเศษ เพราะทั้งฉันและพี่ติต่างก็ลงมือทำอาหาร เมื่อฉันต้องการชิมแกงมัสมั่นฝีมือของตนเองก็ต้องเรียกให้พี่ติมาชิมแทน ส่วนพี่ติก็เรียกให้ฉันชิมอาหารที่พี่ติลงมือทำ สลับไปมาเช่นนี้ตลอดทั้งบ่ายของวันอาทิตย์

แกงมัสมั่นต้องใช้ไฟอ่อนเคี่ยวเนื้อสัตว์ให้เปื่อยนุ่มน่ากิน ฉันยืนมองหม้อเคี่ยวเนื้อสัตว์ที่มีไอเดือด อย่างพินิจก็ระลึกได้ว่าชีวิตที่ราบง่าย มีคนที่รักและหวังดีอย่างจริงใจอยู่รอบกาย นั้นคือความสุขของชีวิต ฉันหันไปมองพี่ติที่กำลังพิถีพิถันทำอาหารให้ฉันก็เกิดความอบอุ่นใจอย่างประหลาด

ตอนสาวๆ ฉันเคยอ่านหนังสือนวนิยายเล่มหนึ่ง ผู้เขียนท่านนั้นบอกว่า การมีสามีก็เหมือนการซื้อหวย มันมีความเสี่ยงทั้งที่จะเป็นผู้ถูกรางวัลหรือถูกกิน ฉันยืนมองพี่ติแล้วก็ได้คำตอบของตัวเองว่า ถ้าการเลือกสามีของฉันคือการเลือกซื้อสลากกินแบ่ง และฉันก็คือผู้ถูกรางวัลที่ 1 แต่ดันลืมตรวจ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกรางวัลก็ล่วงเลยไปถึงสามสิบกว่าปี แต่ก็ยังดีนะที่ยังสามารถขึ้นรางวัลได้ และในขณะที่ฉันเองยังมีโอกาสเลือกและเสี่ยงดวงของตัวเองได้ ทำไมศาตนันท์ถึงจะไม่มีโอกาสและได้รับสิทธิ์เหมือนกันบ้าง

ตอนที่ฉันนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ฉันสังเกตเห็นกฤตย์ที่คอยเป็นธุระบางอย่างแทนยายนันท์เสมอ ฉันสังเกตรอยหนวดเคราเขียวครึ้ม และขอบตาที่คล้ำของเขาก็รู้ว่าช่วงนั้น นอกจากภาระงานที่หนักแล้ว เขายังพยายามเข้ามาดูแลนันท์ในยามที่กำลังเป็นทุกข์และกังวลใจ สายตาที่กฤตย์มองลูกสาวของฉันนั้นแฝงไปทั้งความรักและความห่วงใย สายตาเช่นนี้กฤตย์มีมาตั้งแต่วัยรุ่นจนมาถึงวันนี้ ฉันอาจจะพลาดไปก็ได้ ไม่มีอะไรจะประกันว่าความคิดของฉันจะถูกต้อง แต่อย่างน้อยการยอมรับและเปิดโอกาสให้ลูกตัดสินใจทางชีวิตของตนเอง มันก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคนไม่ใช่หรือ

 

กฤตย์มาถึงบ้านเราเกือบทุ่ม ในมือหิ้วถุงผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัดนานาชนิดมาด้วย

“อ้าวมาแล้วหรอกฤตย์…นั่นผลไม้เอามาฝากแม่หรือยายนันท์” ฉันทักทายเขาก่อน

กฤตย์สีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันตา “ครับผม… ผมตั้งใจเอามาฝากแม่โดยเฉพาะเลยครับ เลือกเอาอย่างที่หวานน้อยและนันท์บอกว่าแม่กินได้”

“ขอบใจมาก นันท์เอาไปเก็บในครัวทีลูก…แล้วนี่หิวหรือยัง หรือจะนั่งคุยกันเล่นๆ ก่อนสักครู่ค่อยกินข้าวกัน…” ฉันถาม

“นั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ สักพักแล้วค่อยกินก็ดีครับ”

“งั้นนันท์เอาอะไรเย็นๆ มาให้กฤตย์หน่อยนะลูก นั่งคุยกันไปก่อน เดี๋ยวแม่ไปปอกผลไม้ที่กฤตย์เขาซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ จะได้เป็นผลไม้ล้างปากหลังกินข้าวเย็นกัน”

“มากุน เดี๋ยวพี่ไปช่วย” พี่ติรีบอาสา พี่ติก็คงอยากเปิดโอกาสให้เด็กทั้งสองได้คุยกัน

 

อาหารค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างชื่นมื่น ฉันสังเกตเห็นว่ายายนันท์ดูมีความสุขขึ้นมาก เมื่อเห็นลูกมีความสุขฉันก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย

หลังจากอิ่มอาหารคาวแล้ว เราย้ายไปกินผลไม้และเครื่องดื่มย่อยอาหารที่ชุดเก้าอี้สนามหน้าบ้าน ระหว่างคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อกัน ฉันสังเกตกฤตย์มีทีท่าลังเลว่าอยากพูดอะไรบางอย่าง หลายครั้งที่เขาหันไปมองหน้ายายนันท์เหมือนขอความเห็น สุดท้ายยายนันท์คงอึดอัดเต็มที่จึงโพล่งขึ้นมาว่า

“แม่คะ กฤตย์เขามีข่าวจะบอกแม่ค่ะ แต่กลัวแม่จะยิ่งกังวล”

“อะไรหรือกฤตย์…ถ้าเป็นเรื่องที่แม่จำเป็นต้องรู้ก็พูดเถิด แม่พร้อม”

“คือ…เพื่อนผมได้รับรายงานจากตำรวจตระเวนชายแดนแถบบ้านแซร์ออว่า สืบธารเขาหนีข้ามพรมแดนตามช่องทางธรรมชาติออกนอกประเทศไปแล้ว”

“อืม…แม่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ก็รังใหญ่ของขบวนการนี้อยู่ที่นั่นนี่นา” ฉันจิบน้ำขิงร้อนๆ อย่างใจเย็น

“แม่รู้?” ยายนันท์ด้วยเสียงประหลาดใจ

“นันท์คิดว่าแม่ของนันท์เป็นยายป้าเบ๊อะบ๊ะ ไม่มีเขี้ยวเล็บไว้ป้องกันตัวหรือไง คิดว่าแม่ไม่มีเส้นสายคอยหาข่าวบ้างหรือไง…” ฉันหันไปถามกฤตย์ต่อว่า “…เรื่องสืบธารแม่ไม่ค่อยห่วงอะไรมาก คิดไว้แล้วว่าหากถึงตาจน มันคงหลบออกนอกประเทศ แต่ที่มันหลบหนีออกไปนี่เพราะความผิดเรื่องบ่อนออนไลน์ หรือความผิดเรื่องหลอกให้คนลงทุนแชร์ลูกโซ่กันแน่”

“ทั้งสองอย่างเลยครับ ตอนแรกก็มีผู้เสียหายรวมตัวกันมาร้องเรียนว่าบริษัทที่นายสืบธารรับลงทุนเทรนหุ้นเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่มีผู้เสียหายนับพันคน จนดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ พวกทีมสืบก็พบความเชื่อมโยงว่าสืบธารเขาเกี่ยวของกับธุรกิจบ่อนออนไลน์อีก แต่สืบธารเป็นพวกนกรู้ วันที่ออกหมายจับ เขาก็หลบหนีไปได้ก่อน ระหว่างนี้เราก็ตามตัว จนมีสายแจ้งว่าเขาน่าจะออกนอกประเทศไปทางช่องทางธรรมชาติแล้ว” กฤตย์สรุปเรื่องราวของสืบธารให้ฟัง

ฉันถอนหายใจอย่างสังเวชก่อนจะถามต่อว่า “เขาหนีไปคนเดียว หรือพาแม่เขาไปด้วย”

“หนีไปคนเดียวครับ…”

ฉันนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะพูดกับกฤตย์ว่า “ถึงสืบธารจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่พรรคพวกมันยังอยู่ แม่คิดว่าอีกไม่นานมันต้องมาขู่เข็ญจะเอาบ้านหลังนี้ต่อแน่…ว่าแต่กฤตย์คิดว่าทางดีเอสไอเขาอยากได้ผู้ต้องหาร่วมขบวนการนี้ไว้ใช้ขยายผลไหมล่ะลูก….”

 



Don`t copy text!