รักในรอยน้ำตา บทที่ 2 : ชีวิตใหม่ของรินรดา
โดย : ปิ่นฟ้า
รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco
หลังจากงานศพของปรางทิพย์ พรพรรณจัดการสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย ก่อนพารินรดาย้ายโรงเรียนและมาพักอยู่กับเธอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเธอทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้แต่ห้องเช่าก็มีขนาดเล็กราคาถูก ยิ่งพอรินรดาเข้ามาพักด้วยอีกคน ทำให้ห้องเช่าที่เล็กอยู่แล้วดูคับแคบไปถนัดตา
เด็กหญิงมองสำรวจรอบๆ ห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เตียงขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ริมผนังห้อง ลึกไปด้านหลังมีห้องน้ำเล็กๆ และระเบียงด้านหลังอีกนิดหน่อย
“ริน เราเหลือกันสองคนแล้วนะลูก น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หนูเอง ต่อไปนี้หนูไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองมาทำข้าวแกงขายแล้ว ถึงห้องนี้จะคับแคบไปสักหน่อย ไม่ได้กว้างเหมือนบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่ก็อดทนอยู่ไปก่อนนะ หากน้ามีรายได้มากขึ้น เราค่อยขยับขยายกันนะ แต่คงต้องช่วยกันประหยัดสักหน่อย”
“น้าอ้อยให้หนูช่วยทำงานหาเงินก็ได้นะจ๊ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย หนูทำงานได้ น้าอ้อยจะได้ไม่เหนื่อยไง”
“เฮ้อ…ตัวแค่นี้รู้จักเป็นห่วงน้าด้วยเหรอเนี่ย”
“หนูโตแล้วนะจ๊ะน้า หนูอยากทำงานช่วยน้าหาเงินจริงๆ หนูสัญญานะจ๊ะ ถ้าหนูทำงาน หนูจะไม่ให้เสียการเรียนเด็ดขาด หนูจะตั้งใจเรียน อนาคตหนูอยากทำงานมีเงินเยอะๆ เราสองคนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องลำบาก โตขึ้นหนูจะเป็นคนดูแลน้าเองนะจ๊ะ”
“โถ รินของน้า น้าขอบใจมากนะลูก แต่รินต้องรับปากกับน้า หากจะทำงานเสริมก็ทำเท่าที่ไหว อย่าหักโหมจนร่างกายแย่หรือเสียการเรียนนะ” หญิงสาวน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันใจ
“จ้ะน้า หนูรับปาก”
“นี่ริน…เอาอย่างนี้ดีไหม ในเมื่อรินย้ายมาอยู่กับน้าที่นี่แล้ว หนูเปลี่ยนชื่อดีไหมลูก เผื่ออนาคตหนูจะมีชีวิตที่สดใสขึ้น ดีไหมจ๊ะ”
“เปลี่ยนชื่อเหรอจ๊ะน้า” เด็กหญิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “แล้วจะตั้งชื่ออะไรล่ะจ๊ะ”
คำถามของหลานสาวทำให้พรพรรณนิ่งไปอึดใจอย่างใช้ความคิด ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“ระริน ระรินดีไหมลูก”
“เปลี่ยนจากรินรดา เป็น ระรินเหรอจ๊ะน้า”
“เปล่า ชื่อรินรดา น้าเป็นคนไปขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้เอง ชื่อนี้ดีอยู่แล้ว แต่เราเปลี่ยนแค่ชื่อเล่น จาก ‘ริน’ เป็น ‘ระริน’ ถือว่าแก้เคล็ดเริ่มต้นชีวิตใหม่”
แม้ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เด็กหญิงก็ไม่คิดจะขัดความปรารถนาดีของน้าสาว
“ก็ได้ค่ะน้าอ้อย ถ้าน้าว่าดี ต่อไปหนูชื่อระรินก็ได้ เพราะดีเหมือนกัน หนูชอบ”
“ชอบก็ดีแล้วละ ต่อไปนี้ถ้าใครถามชื่อเล่น หนูก็บอกนะว่าชื่อ ‘ระริน’ น้าเองก็จะเรียกว่า ระรินเหมือนกัน เผื่อชื่อนี้จะทำให้ชีวิตของหนูต่อไปนี้พ้นทุกข์พ้นโศก หมดเวรหมดกรรมเสียที น้าขอให้หนูพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ มีแต่คนรัก คนเมตตานะจ๊ะ เด็กดีของน้า”
“จ้ะ น้าอ้อย” เด็กหญิงโผเข้ากอดน้าสาวด้วยความรัก
รินรดาไม่รู้หรอกว่าต่อไปในภายภาคหน้าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกินสามมื้อ ได้เรียนหนังสือต่อ เธอก็พอใจแล้ว
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปถึงสิบเอ็ดปี จนรินรดาอายุย่างเข้าสิบเก้าปี โตขึ้นเป็นสาวเต็มวัยที่มีหน้าตาดีคนหนึ่ง และการที่เธอตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ทำให้เธอสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้ในที่สุด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา รินรดาทำตามคำพูดที่เคยรับปากไว้กับพรพรรณทุกประการ หลังจากเลิกเรียน เธอมักใช้เวลาหมดไปกับการรับจ้างทำงานต่างๆ จากเพื่อนบ้าน ก่อนจะขยับไปเป็นลูกจ้างในร้านขายข้าวแกงตอนเย็นหลังเลิกงาน และในวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ภาพลักษณ์ของเธอในสายตาคนภายนอกเป็นคนมีอัธยาศัยดี พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส และสวยชนิดหาตัวจับยาก เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลยาวประบ่า รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ส่วนสูงราวร้อยหกสิบกว่าเซนติเมตร กิริยาท่าทางทะมัดทะแมงแคล่วคล่องว่องไว ใบหน้ารูปไข่ดวงตากลมโตรับกับริมฝีปากได้รูป ทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ความสวยน่ารักของเธอเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น หากความขยันขันแข็ง นิสัยดี และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แถมยังหาเงินส่งตัวเองเรียน ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของน้าสาว จนกระทั่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาได้ในที่สุด ทำให้คนที่ได้รู้จักเธอต่างเอ็นดูรินรดามากขึ้น
แต่ใครจะรู้ล่ะว่า หากเธอพบคนแปลกหน้านอกเหนือเวลางาน รินรดาจะกลายเป็นอีกคนที่เงียบขรึมเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจา ยกเว้นคนใกล้ชิดสนิทเพียงไม่กี่คน หญิงสาวถึงจะไว้ใจพูดคุยได้โดยไม่มีอะไรปิดปัง
หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงาน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา รินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
คืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พอเห็นชื่อที่หน้าจอเธอก็รีบกดรับสาย
“ระริน เป็นยังไงบ้างลูก เปิดเทอมแล้วเรียนหนักไหม”
เสียงพรพรรณดังมาตามสายทำให้คนฟังคิดถึงน้าสาวขึ้นมาจับใจ
“เรียนก็หนักอยู่ค่ะน้าอ้อย แต่กิจกรรมเยอะกว่าค่ะ บางกิจกรรมถ้าโดดได้หนูก็จะโดดรีบกลับมาทำงานค่ะน้าอ้อย”
“น้าว่า ถ้าเรียนและกิจกรรมมันหนักมาก หนูเรียนอย่างเดียวดีกว่าไหมลูก ไม่ต้องรับสอนพิเศษ แล้วก็ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อหรอก น้าไม่อยากให้หนูหักโหมทำทุกอย่าง เดี๋ยวร่างกายเราจะแย่เอา น้าเป็นห่วง อีกอย่างตอนนี้เงินเดือนน้าก็ได้เยอะกว่าเมื่อก่อนแล้ว หนูไม่ต้องกังวลว่าน้าจะส่งไม่ไหวนะลูก”
“ขอบคุณมากนะคะน้าอ้อย หนูก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจจะเลิกทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เพราะแค่รับสอนพิเศษให้เด็กๆ กับเรียนตอนนี้ก็แทบจะอ่านหนังสือไม่ทันแล้วละค่ะ”
“รับสอนพิเศษอย่างเดียวก็พอแล้วลูก ส่วนค่าใช้จ่ายขาดเหลืออะไรก็บอกน้าเดี๋ยวน้าจัดการเอง เข้าใจไหม อีกอย่าง ระรินต้องรับปากน้านะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรต้องรีบบอกรู้ไหม อย่าเก็บไว้คนเดียว หนูยังมีน้าคนนี้เสมอนะลูก”
“จ้ะน้าอ้อย ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูสบายมาก”
“จ้า แม่คนเก่ง เอาเถอะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกันนะ เอาละน้าไม่กวนแล้ว แค่นี้ก่อนนะลูก”
รินรดารับคำ ก่อนจะกดวางสาย
ดวงตาคู่งามมองหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้วด้วยความคิดถึง หลังจากแม่เสียไป เธอก็มีเพียงน้าอ้อยคนนี้ที่คอยดูแลห่วงใย ส่วนบุพการีที่เหลืออีกคน ตอนนี้เธอไม่คิดสนใจหรือตามหาแล้ว และพ่อเองก็คงลืมว่ามีลูกสาวทางนี้อีกคน ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลที่เธอต้องเอาดีให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนน้าสาวที่เลี้ยงมา พร้อมกับทำให้คนที่ทิ้งเธอไปมีความสุขกับครอบครัวใหม่ได้เห็นว่า…
ลูกสาวคนนี้ก็เอาดีได้เหมือนกัน!
วันหนึ่งหลังจากเรียนเสร็จในช่วงเช้า รินรดาจึงชวนกนกอรเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร หญิงสาวก้มหน้าก้มตานั่งกินข้าวขณะที่สายตาก็อ่านหนังสือควบคู่ไปด้วย ทำให้คนเป็นเพื่อนที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยถึงกับเบ้หน้า แกล้งยื่นมือไปปิดหนังสือที่รินรดากำลังอ่านอยู่
“ระริน แกจะขยันไปไหนวะ นี่เราเพิ่งเรียนเสร็จมานะ พักสมองบ้างก็ได้ ดูโน่นสิแก พวกผู้ชายโต๊ะโน้นกำลังจ้องมองแกแล้วหันไปกระซิบกระซาบกันใหญ่เลยเห็นไหม นี่ฉันสังเกตมาพักใหญ่แล้วนะ ฉันว่า…ต้องมีคนในกลุ่มสนใจแกแน่ๆ เลยว่ะ”
“แล้วยังไง” รินรดาถามไปงั้นๆ สายตายังคงไม่ละไปจากหน้าหนังสือเรียน
“ถ้าให้เดานะ ฉันว่าผู้ชายหล่อๆ แน่เลยว่ะแก ดูสิหน้าแดง เขินใหญ่เลย”
รินรดาปรายตามองตามที่กนกอรบอกเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเองจะหันกลับมากินข้าวและอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจ จนคนเป็นเพื่อนอดค้อนไม่ได้
“ระริน แกไม่สนใจเลยเหรอวะ ผู้ชายคนนั้นหล่อนะเว้ย”
“ก็ทั่วๆ ไปนะ ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเลย หน้าตาก็งั้นๆ”
“แกนี่นะ ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าหล่อ แล้วแบบไหนของแกถึงจะหล่อวะ”
“ไม่มี”
คำตอบแสนสั้นของรินรดาทำเอากนกอรถึงกับมองบน
“เออๆ แม่สวยเลือกได้ ชิ นี่ถ้าเขามาจีบฉันละก็ จะรีบตกลงเลยละแกเอ้ย”
“อร คนมันก็เหมือนกันแหละ จะสวยหล่อแค่ไหนแก่ไปก็เหี่ยวเหมือนกันหมด ถ้าจะเลือกคบแกก็เลือกคบที่นิสัยดีกว่าไหม ไอ้หล่อๆ แบบนี้ไม่ดีก็เยอะ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก เห็นหน้าตาดีๆ แบบนี้ร้ายก็เยอะ รู้หน้าไม่รู้ใจนะแก”
“แหม ระริน ฉันว่าแกมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่าวะ ก็แกคิดแบบนี้ยังไงล่ะถึงไม่มีแฟนสักที อนาคตได้มีหวังขึ้นคานแน่ๆ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“ฉันยอมขึ้นคานดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีนะ ผู้ชายดีๆ หายาก อย่าไปสนใจกับแค่หน้าตาดีๆ หน่อยเลย ตั้งใจเรียนดีกว่าแก”
“แกพูดอย่างกับว่า เคยอกหักหรือถูกผู้ชายทิ้งมา ถึงได้มองโลกในแง่ร้ายแบบนั้น”
“เปล่า ฉันยังไม่เคยมีแฟน และฉันก็ไม่คิดจะมีแฟนด้วย”
“นี่ระริน ฉันว่าผู้ชายเลวๆ มันก็มี แต่ผู้ชายดีๆ ก็คงมีเหมือนกัน เราไม่ควรตัดสินใครตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอว่าเขาดีหรือเลวนะแก” รินรดามองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเพื่อนรัก
“อร ฉันว่าเรื่องผู้ชายตอนนี้ช่างมันก่อนเหอะ นี่ใกล้เวลาเรียนวิชาต่อไปแล้ว เรารีบไปเรียนกันดีไหม วิชานี้อาจารย์เช็กชื่อด้วยนะ
รินรดาตัดบทพร้อมกับรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากโรงอาหารทันที แต่ความรีบร้อนทำให้เธอเผลอทำของสำคัญหล่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน รินรดาก็รีบไปที่ห้องสมุดต่อเพื่อค้นหาหนังสือประกอบวิชาเรียน ในขณะที่กนกอรขอแยกตัวกลับไปก่อนแล้ว หญิงสาวใช้เวลาหาหนังสืออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดให้บริการ เธอจึงรีบหยิบหนังสือที่ต้องการแล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือทันที
ระหว่างยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอก็พยายามควานหาบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสะพาย ทว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอ
“หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอามาแล้วนี่”
“หาบัตรนักศึกษาไม่เจอเหรอครับ พี่ยืมหนังสือให้ก่อนดีไหม”
จู่ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมองก็จำได้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนหล่อของกนกอรที่พบในโรงอาหารนั่นเอง
“เอ่อ…”
หญิงสาวหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวนคนแปลกหน้า แต่อีกใจก็แอบลังเล เพราะเกรงใจบรรณารักษ์ห้องสมุดที่มองมาด้วยสายตากดดันในที
“ตกลงจะยืมไหมคะ ห้องสมุดใกล้ปิดแล้วนะ”
บรรณารักษ์ถามขึ้นพร้อมสายตาที่มองมาเหมือนรำคาญ ทำให้เธอตัดสินใจขอรับความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้ารูปหล่อทันที
“งั้นรบกวนหน่อยนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอบอุ่นดูใจดี พลางรับหนังสือสามเล่มจากมือเธอยื่นให้บรรณารักษ์เพื่อทำการยืมจนเสร็จสรรพ ก่อนที่สองหนุ่มสาวจะเดินออกมาจากห้องสมุดเป็นสองคนสุดท้าย รินรดาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เฮ้อ! เกือบยืมไม่ทันแล้ว”
“นี่ครับหนังสือของน้อง” ชายหนุ่มยื่นหนังสือในมือส่งให้ยิ้มๆ
“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่…”
“พี่ชื่อสรวิชญ์ หรือจะเรียกพี่ต้นก็ได้ อยู่ปีสอง แล้วน้องล่ะครับชื่ออะไร”
“ชื่อระรินค่ะ อยู่ปีหนึ่ง”
“ชื่อเพราะนะครับ นี่น้องเรียนบริหารใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“พี่ก็เรียนบริหารเหมือนกัน ดูจากหนังสือที่น้องยืม น้องระรินน่าจะขยันมากเลยนะครับ นี่ถ้าเรียนติดปัญหาตรงไหน สอบถามพี่ได้นะ พี่ยินดีช่วย”
“ขอบคุณมากค่ะพี่ต้น แค่วันนี้ก็เกรงใจมากแล้ว ไม่รู้ว่าบัตรนักศึกษาหายไปไหน สงสัยจะทำหล่นไว้น่ะค่ะ ถ้ายังไงระรินจะรีบคืนหนังสือให้เร็วที่สุดนะคะ” หญิงสาวพูดจบก็ยกมือไหว้แล้ว ขยับจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิครับน้องระริน พี่ยังไม่ได้เบอร์โทรน้องเลย” สีหน้าฉงนของรินรดาทำให้สรวิชญ์ต้องรีบอธิบาย “คือ…อย่าเข้าใจผิดนะครับ ถ้าพี่ติดต่อน้องไม่ได้ แล้วพี่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าน้องระรินคืนหนังสือแล้ว ดีไม่ดีถ้าน้องอ่านเพลินจนลืมคืนหนังสือ พี่ก็แย่สิครับ”
“ระรินไม่ทำหรอกค่ะ”
“คำพูดคนเชื่อยากนะครับ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่รู้จักน้องดีพอ จะรู้ได้ยังไงว่าน้องระรินพูดจริงหรือโกหก ให้เบอร์โทรไว้ พี่จะได้อุ่นใจไง”
หญิงสาวอึกอักเพราะปกติตัวเองไม่ค่อยอยากให้เบอร์ส่วนตัวกับคนที่ไม่รู้จัก แต่เพราะความมีน้ำใจและเหตุผลของอีกฝ่ายทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“งั้นก็ได้ค่ะ”
“อ้อ! พี่ขอเบอร์ที่ติดต่อน้องได้จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ให้เบอร์โทรของคนอื่น”
สรวิชญ์รีบดักคอ ทำเอารินรดาเม้มริมฝีปากนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะยอมให้เบอร์โทรเขาไปอย่างเสียไม่ได้ พอได้เบอร์โทรมา เขารีบกดโทร.ออกไปหารินรดาทันที พลางพูดขึ้น
“นี่เบอร์พี่นะ เผื่อพี่โทรไปน้องระรินจะได้รู้”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำ ก่อนจะขอตัวเดินจากไปในที่สุด
ชายหนุ่มมองตามเธอไปจนลับหายไปจากสายตา เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ดวงตาพราวอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
มันคือ…บัตรนักศึกษาของรินรดาที่เจ้าตัวทำตกไว้ที่โรงอาหารนั่นเอง
“รินรดา…ระริน ช่างเป็นผู้หญิงสวยและน่าสนใจจริงๆ” ชายหนุ่มพูดกับบัตรนั้นก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ไม่คิดจะคืนให้เจ้าของ
วันนี้ดูเหมือนว่าโอกาสจะเป็นใจให้กับสรวิชญ์ หลังจากที่เขาคอยเฝ้าตามหญิงสาวมากว่าสองสัปดาห์ นอกจากอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เธอยังไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ แต่แล้วเขาก็สบโอกาส เมื่อเห็นรินรดาทำบัตรนักศึกษาหล่นที่โรงอาหาร เขาจึงเดินไปเก็บบัตรนั้นมาไว้กับตัว และสวมบทเป็นรุ่นพี่ผู้ใจดี ซึ่งนี่คือบันไดก้าวแรกที่ทำให้เขาได้คุยกับเธอ และเขาตั้งใจว่าหลังจากนี้เขาจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปในหัวใจของเธอให้จงได้
เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่า หัวใจของมนุษย์จะแข็งแกร่งจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงอย่างเธอ ไม่คณนามือเขาหรอกน่า…