ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 6 : แหวนหมั้นหรือไข่มด

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 6 : แหวนหมั้นหรือไข่มด

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เมื่อกรผกามารศรีเดินเกาะแขนบิดาเข้ามาในห้องโถงของบ้านมรกต ทุกอย่างได้เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว

แสงไฟแฟลชจากกล้องนับสิบดังพรึ่บพรั่บขึ้นพร้อมๆ กัน ถึงแม้ในใจจะหม่นเศร้า หากกรผกามารศรีรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นใด หญิงสาวหันไปจิกสายตายิ้มให้อย่างรู้มุมกล้อง พร้อมกับโบกมือให้อย่างผู้ชำนาญ ก่อนจะเดินตรงไปนั่งพับเพียบอยู่บนพรมแดงตรงหน้าโซฟาใหญ่ ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดราชปะแตนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

อนึกส่งยิ้มหวานบาดใจให้กับหญิงสาวผู้แสนสวยในชุดไทยบรมพิมานสีเขียวอมฟ้า เขายกมือขึ้นรับไหว้กรผกามารศรีด้วยความตื่นตะลึง เคยได้ยินใครต่อใครร่ำลือกันถึงความงามของหล่อน หากไม่เคยได้เห็นตัวจริงจนกระทั่งเช้าวันนี้

แสงไฟที่ส่องสะท้อนสร้อยมรกตบนคอระหงของหญิงสาวเจิดจ้าจนเขาแสบตา ไม่เคยเห็นมรกตเม็ดไหนน้ำงามเท่านี้มาก่อนเลย

สร้อยมรกตเส้นนี้ดูเหมือนจะสรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อกรผกามารศรีโดยเฉพาะ หากสร้อยเส้นโตไปอยู่บนคอผู้หญิงคนอื่นอาจจะดูเป็นตัวตลก แต่เมื่อมาอยู่บนเรือนร่างของสาวงามอย่างธิดาสาวของเจ้าสัวทินกรแล้ว กลับมองดูสวยสง่าคลาสสิกอย่างที่มิอาจจะมีใครกล้าแข่งรัศมี

เมื่อเห็นโฉมงามราวหยาดลงมาจากฟ้าของกรผกามารศรีมานั่งอยู่ตรงหน้า เขาก็ได้แต่อ้าปากค้าง พร้อมกับนึกว่าตนเองช่างโชคดีเป็นอย่างมากที่มีคู่หมั้นสาวแสนสวยขนาดนี้

“น้องกรผกาสวยจริงๆ ครับ” อนึกแอบกระซิบบอกกับหญิงสาว

“แล้วมาบอกกรผกาทำไมคะ” กรผกามารศรีช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มด้วยท่าทางไร้เดียงสา “เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า กรผกาเบื่อค่ะ เบื่อมาก ฟังจนเบื่อแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่คนบอกกรผกาแบบนี้ ขืนคุณอนึกยังพูดชมแบบนี้ต่อไปอีก กรผกาอาจจะอ้วกออกมาก็ได้นะคะ”

“ก็น้องกรผกาสวยจริงๆ นี่ครับ” อนึกยังคงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าของเขาราวกับต้องมนตร์สะกด

“เอาละค่ะลูกอนึกขา” คุณอนงค์นาถผู้เป็นมารดารีบเตือน “ได้เวลาแล้วค่ะ รีบสวมแหวนให้น้องเลยสิคะ”

ชายหนุ่มรับกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมาจากมารดา แล้วเปิดออกต่อหน้าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็หยิบแหวนเพชรขึ้นมาเตรียมสวมให้กับกรผกามารศรี

“เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งสวม” คุณหญิงสายหยุดส่งเสียงร้องห้ามขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน

และก่อนที่อนึกจะทันสวมแหวนหมั้นให้กับบุตรสาวของเธอ คุณหญิงสายหยุดก็คว้าแหวนหมับ แล้วยกขึ้นมาส่องกับแสงไฟ พร้อมกันนั้นก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ท่าทางไม่สบอารมณ์

“ต๊ายยยยย อะไรกันยะ เพชรอะไรเนี่ย เล็กอย่างกับไข่มด สงสัยต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องถึงจะมองเห็น กล้าดีอย่างไร ถึงเอาแหวนแบบนี้มาหมั้นลูกกรผกามารศรีของฉัน ลูกสาวของฉัน…กรผกามารศรี มรกตนะยะ ไม่ใช่นางสาวอะไรที่ไหน ฝ่ายของเธอจะได้เอาแหวนกระจอกๆ แบบนี้มาหมั้น”

อธิบดีอนันต์และคุณอนงค์นาถหน้าซีดเผือด เพราะไม่คิดว่าคุณหญิงมารดาของกรผกามารศรีจะออกฤทธิ์เช่นนี้ อนึกเองก็หน้างอ รู้สึกอายที่คุณหญิงสายหยุดกล้าฉีกหน้าครอบครัวของเขาต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งหลาย

“หยุดก่อนค่ะ” คุณหญิงแม่ของกรผกามารศรียังไม่หมดฤทธิ์แค่นั้น เธอหันไปทางช่างภาพและกล้องโทรทัศน์พร้อมกับลุกขึ้นโบกมือร้องห้ามเสียงดังลั่น “ห้ามถ่ายภาพใดๆ จนกว่าจะได้รับอนุญาตค่ะ ขอเวลาคุณหญิงแม่ตรวจสอบแหวนเพชรก่อนว่าผ่านมาตรฐานหรือไม่…คุณหญิงแม่รู้สึกไม่ปลื้มมากๆ ทำแบบนี้เหมือนไม่ให้เกียรติลูกกรผกาของคุณหญิงแม่เลยนะคะ”

หลังจากใช้ความเพียรพยายาม ส่องแหวนเพชร ส่องแล้วส่องอีกจนตาแทบบอด คุณหญิงสายหยุดก็เริ่มจะหมดความอดทน เลยหันไปเรียกสาวใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับสั่งเสียงเข้มว่า

“ส่องจนตาจะหลุดอยู่แล้วยังมองไม่เห็นน้ำเพชรเลย ช่วยไปเอาแว่นขยายมาหน่อยสิ เร็วๆ นะยะหล่อน เดี๋ยวเสียฤกษ์”

สาวใช้คนนั้นวิ่งหายไปอย่างรู้ใจ ก่อนจะรีบกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับแว่นขยายในมือ

คุณหญิงแม่ของกรผกามารศรีรับแว่นขยายนั้นมา แล้วส่องดูเพชรหัวแหวนด้วยความชำนาญการ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“เพชรแท้อยู่หรอก น้ำก็งามใช้ได้ แต่เล็กมาก” คุณหญิงสายหยุดหันไปหาสื่อมวลชนพร้อมกับเน้นประโยคสุดท้ายซ้ำอีกหน “เล็กมากๆ”

“แล้วจะเอายังไงคะคุณหญิง”

คุณอนงค์นาถชักจะเหลืออดขึ้นมาบ้าง จึงลุกขึ้นยืนเท้าเอวถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง เธอเอื้อมมือไปคว้าเอาแหวนหมั้นในมือของคุณหญิงสายหยุดมาถือเอาไว้ ก่อนจะถามด้วยเสียงอันดังดุจเดียวกันว่า

“ตกลงจะหมั้นหรือเปล่า”

“หมั้นค่ะ” คุณหญิงสายหยุดตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “แต่ต้องไปเปลี่ยนเอาแหวนวงใหม่มา อย่าบอกนะคะว่าคุณหญิงเป็นหนี้เป็นสินเสียจนไม่มีเงินซื้อเพชรเม็ดโตกว่านี้”

“คุณหญิงสายหยุด” คุณอนงค์นาถเลือดขึ้นหน้า “มันจะมากไปแล้วนะยะ ถ้าเรื่องมากนักเราก็กลับ ไม่หม้ง ไม่หมั้นกันแล้ว ถึงแหวนของฉันจะเล็ก แต่ขอบอกว่าเป็นแหวนโบราณของเสด็จพระองค์หญิงต้นตระกูลของอธิบดีอนันต์เชียวนะยะ ปกติแล้วคนธรรมดาอย่างลูกสาวของหล่อนน่ะ ไม่มีบุญจะได้ใส่หรอก จะบอกให้ เคยเอาไปตีราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ นะยะ ลงทุนขนาดนี้แล้วยังเรื่องมากไม่พอใจ ก็ไม่ต้องหมั้นแล้ว ก็ให้มันรู้ไปว่าสองครอบครัวเราจะไม่ดองกัน ไปอนึก กลับบ้านเรากัน ไปค่ะคุณอนันต์ กลับบ้าน ไม่ต้องหมั้นแล้ว ดิฉันทนให้นังคุณหญิงสายหยุดมาดูถูกลูกของเราไม่ได้ ดูเอาเถอะ ขนาดยังไม่ได้แต่งงานกัน ลูกอนึกยังโดนข่มเสียขนาดนี้ ถ้าแต่งกันแล้วจะขนาดไหน”

“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณอนงค์นาถ เฮ้ย อนันต์ ใจเย็นๆ ก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้”

เมื่อเห็นครอบครัวของเพื่อนลุกขึ้นทำท่าจะยกขบวนกลับ เจ้าสัวทินกรก็รีบลุกขึ้นห้ามทัพ พร้อมกับหันไปทำสายตาปรามภรรยาให้หยุดพูดจาดูถูกดูหมิ่นอีกฝ่าย

“ผมขอโทษแทนภรรยาของผมด้วยครับ คุณหญิงสายหยุดคงแกล้งล้อเล่นน่ะ ใช่ไหมจ๊ะ แม่”

คุณหญิงสายหยุดยังคงยืนนิ่ง ทำหน้าเชิดคอแข็ง หากสุดท้ายก็นึกถึงธุรกิจของสามีขึ้นมาได้ จึงยอมละพยศหันมาปั้นยิ้มให้คุณอนงค์นาถพร้อมกับแกล้งหัวเราะสนุกสนาน

“ใช่ค่า ต๊ายตาย คุณหญิงแม่แกล้งล้อลูกเขยเล่นหน่อยเดียวเอง คุณอนงค์นาถไม่น่าจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่”

“ไม่ได้หรอกค่ะ ลูกอนึกของดิฉันมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไม่แพ้กรผกามารศรีเช่นเดียวกัน การที่คุณหญิงมาฉีกหน้าอนึกต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ทำให้อนึกเสียใจมากๆ”

มารดาของอนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ด้วยรู้ว่าฝ่ายตัวเองกำลังเป็นต่อ เพราะยังไงเจ้าสัวทินกรก็ต้องการฐานอำนาจของอธิบดีอนันต์มาช่วยพยุงธุรกิจของตน

“ใช่ไหมคะลูกอนึก” คุณหญิงหันไปหยิกแขนบุตรชายที่กำลังยืนงง “ใช่ไหมคะลูก พูดไปสิว่าลูกเสียใจมากที่ถูกว่าที่แม่ยายดูถูกเช่นนี้”

“ใช่ครับ” อนึกรับลูกของมารดาได้ทันท่วงที “ผมไม่นึกเลยว่าจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้ ผมเสียใจมากถึงมากที่สุด”

“โธ่ หลานชาย แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ อย่าถือสาหาความเลยนะ”

เจ้าสัวทินกรชักกลุ้มใจ ที่เรื่องราวดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่คิด “เอาเป็นว่าลุงขอโทษก็แล้วกัน มา…มาหมั้นกันต่อเถอะ ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ไปเสียก่อน”

“ไม่ค่ะ” คุณอนงค์นาถเดินเกมของเธอต่อไปทันที “เราจะกลับ ไม่หมั้นแล้ว ลูกอนึกเสียใจมากๆ”

“ผมขอโทษแล้วไงครับคุณอนงค์นาถ ยังไม่พอใจอีกหรือ แล้วนี่ผมต้องทำอย่างไรครับ ทางฝ่ายคุณถึงจะพอใจ”

เจ้าสัวทินกรหันไปทางเพื่อนเก่า คิดว่าอธิบดีอนันต์อาจจะช่วยพูดอะไรสักหน่อย หากเพื่อนของเขากลับทำท่าอยู่ในโอวาทของภรรยา ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว

“ฉันก็ไม่รู้นะคะ” คุณอนงค์นาถลอยหน้าลอยตา “ปกติเวลาที่ลูกอนึกของดิฉันไม่สบายใจ ดิฉันก็มักจะให้เซ็นเช็คไม่กรอกตัวเลขให้ลูกเอาไปซื้อของเล่นแก้กลุ้มน่ะค่ะ ลูกอนึกพอได้ออกไปซื้อของได้ช็อปปิงบำบัดสักหน่อยก็จะกลับมาอารมณ์ดีดังเดิม แต่ขอเน้นค่ะ…เช็คเงินสด ไม่กรอกตัวเลขค่ะ เพราะลูกอนึกจะได้ไปกรอกเองตามชอบใจ”

“ได้เลยครับ ถ้าทำเช่นนี้แล้วหลานอนึกจะสบายใจ ผมก็ยอม”

เจ้าสัวทินกรหน้าแดงก่ำด้วยความเครียด ก่อนจะจำใจคว้าเอาสมุดเช็คเงินสดออกมาเซ็นชื่อ โดยไม่กรอกจำนวนตัวเลขส่งให้กับชายหนุ่มที่กำลังจะมาเป็นลูกเขยในอนาคต

แต่ก่อนที่อนึกจะพับเช็คนั้นเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง คุณอนงค์นาถก็ฉกไปใส่กระเป๋าถือตนเองอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาทันควัน

“โอ๊ะ โอ๊ะ” คุณอนงค์นาถยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา แล้วรีบบอกกับทุกคนว่า

“ตายจริงๆ เกือบจะเลยฤกษ์ไปเสียแล้ว เหลืออีกแค่นาทีเดียวเท่านั้นเองค่ะ เอาเลยค่ะลูกอนึก สวมแหวนให้น้องเลยสิคะลูกขา”

และก่อนที่กรผกามารศรีจะทันตั้งตัว คุณอนงค์นาถก็กระชากแขนหญิงสาวผู้บอบบางอย่างแรงจนร่างระหงเซถลา แล้วเหวี่ยงให้หญิงสาวลงไปนั่งพับเพียบบนพรม เคียงคู่กับบุตรชายของเธอตามเดิม

จากนั้นมารดาของอนึกก็ส่งแหวนที่ถืออยู่ในมือให้กับบุตรชาย แล้วจับมือของบุตรชายช่วยสวมแหวนให้กับกรผกามารศรีที่นั่งทำหน้างุนงงอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฤกษ์พานาทีจะเคลื่อนผ่านไป

“เอ้า ตบมือสิค้า”

เห็นว่าทุกคนยังทำหน้าสับสน คุณอนงค์นาถก็ลุกขึ้นสั่งการ พร้อมกับตบมือนำขึ้นก่อนเป็นคนแรก

ต่อจากนั้นทั่วทั้งห้องโถงแห่งบ้านมรกตก็ดังกระหึ่มไปด้วยเสียงตบมือของบรรดาแขกเหรื่อในแวดวงสังคมที่ตั้งใจมาร่วมงานหมั้นของกรผกามารศรีและอนึกในวันนี้

 



Don`t copy text!