ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 10 : เศรษฐีใหม่

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 10 : เศรษฐีใหม่

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เขาลุกขึ้นประคองกรผกามารศรีเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะล้มลง และยื้อมือของคุณอนงค์นาถเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มารดาของอนึกจะตบซ้ำลงมาบนแก้มนวล

“พอได้แล้วครับ” เสียงของทินพันธ์เกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาที่จ้องมองคุณอนงค์นาถและบุตรชายมีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์ “หัดมีสมบัติผู้ดีเสียบ้างสิ คุณกำลังทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปนะ”

“ไอ้เศรษฐีใหม่” คุณอนงค์นาถสะบัดมือหลุดจากทินพันธ์ เธอถอยหลังไปเกาะแขนของบุตรชายเอาไว้แน่น “แกมายุ่งอะไรด้วยยะ นี่เป็นเรื่องภายในของสองครอบครัว แกเป็นคนนอกไม่รู้เรื่องอะไร อย่าได้เสนอหน้ามายุ่ง กรผกามารศรี…” ประโยคสุดท้าย คุณอนงค์นาถหันมาทางหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าสะอื้นไห้ แล้วพูดเสียงแผ่ว ท่าทางเหี้ยมเกรียม “นี่เป็นแค่การสั่งสอนให้หล่อนรู้สำนึก ว่าทีหน้าทีหลังอย่าได้มาทำปากกล้าแบบนี้กับฉันอีก”

“ไปนั่งพักทางโน้นเถอะครับ”

ทินพันธ์รีบพยุงให้กรผกามารศรีเดินหนีไปทางอื่น เพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชักจะบานปลายมากขึ้นทุกขณะ แถมยังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่อยู่ในวัด ซึ่งกำลังมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แม้ทินพันธ์จะมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ด้วยความหวังดี หญิงสาวก็ยังอดรู้สึกรังเกียจเศรษฐีใหม่อย่างเขามิได้ หากในตอนนี้หล่อนกำลังอ่อนล้าสิ้นแรง หมดกำลังกายกำลังใจ จึงยอมให้เขาประคองหล่อนไปนั่งพักที่มุมห้องแต่โดยดี

“ไหวไหมครับ” น้ำเสียงและสายตาที่เขามองมายังหล่อนนั้นเอื้ออาทร

“ขอบคุณนะคะ” กรผกามารศรีเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หล่อนหันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มขณะบอกกับเขาว่า “เสร็จธุระแล้วก็กลับไปนั่งที่ของคุณสิคะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

งานศพของเจ้าสัวทินกรเสร็จสิ้นลงในที่สุด ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวมรกต และพนักงานทุกคนในบริษัทอสังหาริมทรัพย์

หลังจากทำพิธีฌาปนกิจเรียบร้อย คุณหญิงสายหยุดก็นำเถ้ากระดูกของสามีไปลอยที่ภูเก็ต เมื่อกลับมากรุงเทพฯ เธอก็เข้าไปที่บริษัทมรกตพรอพเพอร์ตี้เป็นครั้งแรก

บัดนี้สามีของเธอไม่อยู่แล้ว ก็เหลือแต่เธอเท่านั้นที่จะเป็นหลักให้กับมรกตพรอพเพอร์ตี้…แต่ลึกลงไปแล้วคุณหญิงสายหยุดรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ไม่มีความรู้เลยว่าจะดำเนินกิจการของสามีต่อไปได้อย่างไร

ยิ่งกรผกามารศรียิ่งแล้วใหญ่ คุณหญิงเลี้ยงลูกสาวมาแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทะนุถนอมยิ่งกว่าไข่ในหิน แม้แต่จะล้างแก้วล้างจานเองยังทำไม่เป็น ที่จะพึ่งให้มาช่วยกันคิดบริหารงานบริษัทยิ่งเป็นไปไม่ได้

“คุณหญิงครับ” ประพนธ์รู้สึกทั้งดีใจและหนักใจระคนกัน เขาเดินนำนายหญิงคนใหม่ไปยังห้องทำงานของเจ้าสัวทินกรที่สั่งให้คนจัดเตรียมเอาไว้สำหรับคุณหญิงสายหยุด “ผมดีใจที่คุณหญิงแวะเข้ามาที่บริษัท พนักงานทุกคนก็คงดีใจ เพราะพวกเราทำงานด้วยความท้อแท้มานานหลายสัปดาห์แล้ว แต่ผมเสียใจที่จะต้องเรียนให้คุณหญิงทราบว่าเราเหลือเงินสดหมุนเวียนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่มีเงินหมุนเข้ามาในบริษัท มรกตพรอพเพอร์ตี้คงอยู่ได้อีกแค่เดือนเดียว เงินกู้ต่างๆ เมื่อเจ้าสัวไม่อยู่ก็ไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว ตอนนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมดของเราถอนตัวออกไปหมดแล้ว เราไม่เหลือใครอีกแล้วครับคุณหญิง ลูกค้าที่จองคอนโดของเราก็ยกเลิกกันหมด ทุกคนไม่มีความมั่นใจโครงการมรกตพรอพเพอร์ตี้เหลืออยู่ พวกเขากลัวว่าเราจะทำคอนโดไม่รอด ดอกเบี้ยธนาคารที่เรากู้มาก็ต้องจ่ายทุกวัน วันละหลายสิบล้าน”

“หมายความว่ายังไงจ๊ะ” คุณหญิงสายหยุดยังคิดตามไม่ทัน “ช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยเถิดประพนธ์”

“แปลว่าเรากำลังจะล้มละลาย อาจจะถึงขั้นต้องขายบริษัทเพื่อใช้หนี้” ประพนธ์บอกตามตรง

“ตายจริง” คุณหญิงสายหยุดยกมือขึ้นทาบอก รู้สึกหายใจขัดขึ้นมาในทันใด “แล้วเราจะทำยังไงดีประพนธ์ มีทางไหนหรือเปล่าที่จะประคองให้บริษัทของเรารอดพ้นวิกฤติครั้งนี้”

“มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณหญิงต้องใช้สัมพันธ์ทางสังคมที่มีอยู่ พยายามหาเงินก้อนใหญ่มาหมุน….ขอสักพันล้าน เพื่อให้บริษัทเราอยู่รอดให้ได้ คงมีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น” ชายวัยกลางคนผู้ทำงานมากับเจ้าสัวทินกรด้วยความซื่อสัตย์แนะนำ

“ตายจริง” คุณหญิงสายหยุดถอนหายใจยาว หน้าตาซีดเซียวด้วยความหนักใจ “แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ ฉันจะไปขอยืมเงินใครที่ไหนตั้งพันล้าน…มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่ เวลานี้เรากำลังลำบาก ใครที่ไหนเขาจะอยากคบหา”

“อธิบดีอนันต์ไงครับ” ประพนธ์ซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไรเสนอ “ลองขอยืมท่านดูสิครับ ท่านเป็นพ่อของคุณอนึก คู่หมั้นคุณหนูกรผกามารศรีไม่ใช่หรือ สมัยก่อนครอบครัวของท่านอธิบดียังเคยขอยืมเงินเจ้าสัวออกบ่อยไป ยืมทีหนึ่งเยอะด้วยนะครับ ครั้งละไม่ต่ำกว่าสิบล้านยี่สิบล้าน ผมรู้ดีเพราะเป็นคนไปโอนเงินให้เจ้าสัวเอง”

“เฮอะ” คุณหญิงสายหยุดพ่นลมหายใจออกอย่างแรง ก่อนจะเชิดหน้าไม่สบอารมณ์ “ประพนธ์ไม่รู้หรือไงว่าลูกของฉันถอนหมั้นกับอนึกแล้ว”

“อะไรนะครับ” ประพนธ์หน้าซีด เหมือนกับความหวังสุดท้ายได้หลุดลอยไปเสียแล้ว “โธ่…แล้วแบบนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาหมุนล่ะครับคุณหญิง”

“เดี๋ยวก่อน” คุณหญิงสายหยุดเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ประพนธ์ว่าเรายังมีเงินเหลืออยู่อีกก้อนหนึ่งใช่ไหม”

“ครับ” ประพนธ์พยักหน้า ยังตามความคิดคุณหญิงไม่ทัน “แต่เป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้าหมดเงินก้อนนี้เราก็ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย คุณหญิงคิดจะทำอะไรหรือครับ”

“ประพนธ์เชื่อใจฉันไหม” คุณหญิงสายหยุดไม่ตอบคำถามของรองกรรมการบริษัท แต่กลับถามเขาแทน

“เชื่อสิครับ” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แต่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณหญิงจะทำอะไร”

“เราเหลือเงินสดอีกเท่าไหร่” คุณหญิงถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ในใจมีความมุ่งหมายบางประการ

“หนึ่งพันล้านพอดีครับ” ประพนธ์คำนวณ

“ไปเบิกเงินพันล้านที่เหลือออกมาให้ฉันบ่ายวันนี้” คุณหญิงสายหยุดประกาศิต

“คุณหญิง…” ประพนธ์ตกใจจนหน้าซีด “ไม่ได้นะครับ เงินก้อนนี้เป็นก้อนสุดท้ายของบริษัทเราแล้ว ถ้าสูญไปละก็ สิ้นเดือนนี้ก็จะไม่มีเงินจ่ายเป็นเงินเดือนให้พนักงาน ไม่มีเงินชำระหนี้นะครับ”

“ประพนธ์” คุณหญิงสายหยุดจ้องตาลูกน้องคนเก่าแก่ของสามี “เงินก็ต้องต่อด้วยเงิน เธอจงไปเบิกมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ สามีของฉันสร้างมรกตพรอพเพอร์ตี้มา ยังไงฉันจะต้องรักษาเอาไว้จนสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องการบริหาร ไม่มีความชำนาญในด้านธุรกิจ แต่ฉันพอจะมองเห็นทางแล้วละว่าจะหาเงินมาได้อย่างไร ประพนธ์…ขอรับรองด้วยเกียรติของคุณหญิงสายหยุดว่ายังไงฉันจะต้องหาเงินมาให้บริษัทให้จงได้”



Don`t copy text!