เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

บรรยากาศชายแดนเมืองอัมพุเต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนได้ยินข่าวเรื่องการหมั้นหมายของเทวกุมารีมิรามาลินทร์และจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีแห่งศิขราช เรื่องเล่าลือที่ถูกพูดกันอย่างทั่วถึงนั้นทำให้ผู้ที่ถูกกักขังราวเป็นนักโทษอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์มานาน ต้องยอมเปิดหูเปิดตาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของลูกศิษย์อันเป็นที่รักของตน

“เจ้าว่าผู้ใดนะที่หมั้นหมายกับจอมพลแห่งศิขราช”

“ท่านหญิงมิรามาลินทร์ค่ะ”

องค์อมราวดีเทวนารีนิ่งงันไปหลังจากที่นักบวชหญิงผู้คอยพิทักษ์รับใช้เอ่ยตอบ ลึกๆ แล้วแน่ใจว่าสิ่งที่มิรามาลินทร์ทำลงไป ล้วนแต่มีเหตุมาจากตนเองทั้งสิ้น

“เรากำลังทำให้ทุกคนเดือดร้อนหรือเปล่า”

“องค์เทวนารีทำเพื่อชาวอัมพุและคนในวิหารศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต่างหากค่ะ อย่าได้คิดมากไปกว่านั้น”

“แล้วตอนนี้เตโชเป็นอย่างไรบ้าง”

“ดิฉันแอบปรุงยาไปให้ แต่ก็คงช่วยได้ไม่มาก นายพลชาตรีโหดเหี้ยมจนน่ากลัวเหลือเกินค่ะ”

“นี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา”

“อย่าโทษตัวเองอีกเลยค่ะเทวี หากมิใช่เพราะความโลภของราชินีชโลธร ทุกคนก็คงไม่ต้องเดือดร้อนอย่างนี้ พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขมาเป็นสิบๆ ปีแล้วแท้ๆ”

“ระวัง…หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ตอนนี้แม้ราชินีมิได้เสด็จมาแต่องค์รัชทายาทก็ประทับอยู่ที่นี่ อย่าเผลอพูดพล่อยสิ่งใดไป จะเป็นภัยถึงตัว”

“น่าขันเหลือเกินที่บัดนี้แม้กระทั่งจะพูดความจริง ก็ยังไม่สามารถพูดได้ เพียงเพราะความจริงนั้นไม่ถูกใจ ระคายหูคนฟัง”

“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ถ้าพูดมากไป อาจตายได้”

“หากเราปล่อยให้บางสิ่งเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย สุดท้ายพวกเราก็จะตายอยู่ดีมิใช่หรือคะ ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ราชินีต้องการจริงๆ นั้นมิใช่เพียงยึดเมืองอัมพุ หากทรงต้องการทำลายวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อสินแร่ที่อยู่ใต้แผ่นดินนี้ต่างหาก สุดท้ายแล้วเมืองอัมพุที่เป็นแหล่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเราปกป้องกันมารุ่นสู่รุ่น ก็จะกลายเป็นแหล่งยาพิษที่คร่าชีวิตผู้คน ไม่สามารถปกปักรักษาชีวิตผู้คนให้เป็นอยู่อย่างยั่งยืนไปได้”

“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไม่ยอมให้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไป”

“แต่องค์เทวนารีเพียงผู้เดียว จะขัดขวางได้นานแค่ไหนกันคะ”

องค์อมราวดีเทวนารีเหม่อมองไกลออกไปยังขุนเขาตระหง่านด้านนอกประตู แม้ในยามนี้ยังถูกกักขัง แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ในใจเสมอ

“เราไม่ได้สู้อยู่เพียงคนเดียว ณาณเทวีจะกลับมา พร้อมกับความหวังของเรา”

 

มิรามาลินทร์มองความฮึกเหิมของทหารในค่ายจตุรทิศด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงมีบัญชาแก่เหล่านักรบในกองทัพราวกับจะเปิดสงครามระหว่างแคว้น และความวุ่นวายภายนอกก็เริ่มลุกลามมาถึงเธอ เมื่อองค์จอมพลเดินนำคนงานหญิงที่หอบชุดเสื้อผ้าหลากหลายแบบมาให้ และรับสั่งถามว่า เธอจะใส่เสื้อผ้าอะไรบ้าง

มิรามาลินทร์ได้แต่ครุ่นคิดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยต้องคิดว่าจะใส่ชุดอะไรเนื่องจากชุดเดียวที่กุมารีแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์จะสวมใส่ก็คือชุดกระโปรงสีขาวล้วนห่มทับด้วยส่าหรีสีขาว และผ้าคลุมเศียรประดับอาภรณ์แห่งเทวาลัย หากบัดนี้ ชุดหลากสีคละแบบจำนวนมากที่วางเรียงรายให้เธอเลือกดูนั้นช่างห่างไกลจากความเคยชินตลอดชีวิตที่ผ่านมา และชุดที่คาดไม่ถึงที่สุดก็เห็นจะเป็นชุดลำลองทหารที่องค์พระคู่หมั้นเลือกประทานให้นี่แหละ

“ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉัน สวมชุดทหารพรานจริงๆ หรือเพคะ”

หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะร้องไห้ มือกุมแนบตัวเองไว้แน่น เพราะหากเธอยื่นมือไปรับชุดมา เกรงว่าเธอจะได้สวมเครื่องแบบเช่นเดียวกับที่ทรงชุดทหารพรานได้ตลอด 365 วันแน่ๆ

หญิงสาวพยายามเหลียวหาตัวช่วยอื่น แต่เมื่อหันไปทางแพทย์หญิงอลินาที่แม้จะไม่ได้สวมชุดทหาร แต่ชุดที่สวมก็ต่างจากหญิงสาวชาวศิขราชทั่วๆ ไป เสื้อยืดกางเกงขายาวพร้อมคลุมเสื้อกาวน์แบบแพทย์สนาม แลดูทะมัดทะแมงพร้อมเดินทางก็ยังไม่ใช่ทางที่เธอชอบอยู่ดี

“หม่อมฉันสวมชุดชาวบ้านเฉยๆ ได้ไหมเพคะ”

มิรามาลินทร์ชี้ไปทางชุดเสื้อเอวลอยและกระโปรงบานกรอมเท้าหลากสีสันที่บรรดาสาวๆ ในค่ายจตุรทิศสวมใส่กัน ทว่าจอมพลตุลธรฯ กลับขมวดขนงอย่างคิดหนัก ครู่ใหญ่จึงยอมตรัสตอบเสียงค่อย

“ก็ได้ แต่อย่าลืมผ้าคลุมเศียรด้วย เดี๋ยวจะไม่ครบชุด”

รับสั่งเสร็จก็ยอมเก็บชุดทหารที่ตั้งใจประทานให้กลับคืน มิรามาลินทร์จึงรีบหยิบเสื้อผ้าพื้นเมืองแบบชาวศิขราชไปเปลี่ยนในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สมเด็จจะเปลี่ยนพระทัย จนอลินาถึงกับหันไปหัวเราะกับพี่ชายที่แกล้งบ่นลอยๆ อย่างรู้ทันเจ้านายที่ใจไม่กล้าพอจะห้ามพระคู่หมั้น

“ชาวศิขราชใส่เสื้อผ้าพื้นเมืองกันมาตลอด เสื้อสั้นบ้างยาวบ้าง หวังว่าคงจะไม่มีใครไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับเจ้าหลวงให้ปรับปรุงแก้ไขชุด เพราะว่าสั้นเกินงามไปหรอกมั้ง”

“ไม่เห็นจะมีชุดไหนงามจนเกินงาม ลินก็อยากใส่ถ้าไม่ติดว่าต้องตะลอนไปทั่ว” อลินารับลูกพี่ชายที่ยังคงเย้าไม่หยุด

“แต่ฝ่าบาทน่าจะไม่ชอบ เพราะไม่เห็นทรงชุดพื้นเมืองเลย ทรงแต่ชุดทหาร”

“เราถนัดแบบนี้” องค์จอมพลรับสั่งสวนขึ้นมาเสียงเข้มอย่างพร้อมจะมีเรื่อง จนกระทั่งมิรามาลินทร์ก้าวออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับลอกคราบชุดถือศีล เป็นชุดกระโปรงบานยาวกรอมเท้าสีชมพูเข้าชุดกับเสื้อเอวลอยปักดิ้นทองลายดอกกุหลาบอ่อนช้อยขับผิวนวลให้ผ่องจับรัศมี เกศายาวดำขลับเป็นคลื่นไพล่เคลียไหล่ยาวจรดกลางหลังที่มิได้รวบมัดไว้ดังเคยทำให้ดวงหน้างามละไมยิ่งละมุนหวานราวกุหลาบแรกแย้ม คราวนี้ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่า ชุดชาวศิขราชนั้นงามเกินไปจริงๆ

เจ้าชายตุลธรธิบดีทอดพระเนตรพระคู่หมั้นอย่างไม่อาจละสายตา ความงามที่เคยสะกดจนใจจนไหวหวั่น บัดนี้ยิ่งคูณทวี

“สวย…มากเกินไป ห้ามไปไหนโดยไม่มีเราเด็ดขาด” องค์จอมพลรับสั่งพลางคว้าผ้าคลุมเศียรมาคลุมประทานให้ แววพระเนตรชื่นชมปนห่วงใยทำให้คนที่เพิ่งย่อถวายคำนับทูลตอบอุบอิบ

“หม่อมฉันโตแล้วไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

“เป็นห่วง…รอบตัวมีแต่อันตราย”

รับสั่งพลางส่งโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กให้พร้อมกำชับเสียงเข้มงวด

“โทรศัพท์ต้องพกติดตัวตลอด เบอร์โทรด่วนเบอร์แรกเป็นเบอร์เรา เบอร์ที่ 2 อารัญ เบอร์ที่ 3 คือ อลินา พกติดตัวไว้ห้ามเอาไปวางทิ้งไว้ห่างตัวเด็ดขาด เราต้องติดต่อเธอได้ตลอดเวลาที่เราไปปฏิบัติภารกิจที่สินธุรัฐ”

“ฝ่าบาทจะเสด็จที่คุกหลวง ตามข่าวนายพลชาตรีก่อนหรือไม่พระเจ้าค่ะ” อารัญทูลถามเพื่อเตรียมตัว หากเจ้าชายทรงส่ายพระพักตร์อย่างเด็ดเดี่ยว

” ไม่…เพราะคนในคุกต่างหากที่ต้องมาหาเรา”

รับสั่งพลางเสด็จพระราชดำเนินไปยังโต๊ะทำงานที่กางแผนที่เมืองสินธุรัฐเอาไว้ จุดที่ลากเชื่อมระหว่างคุกหลวงและเมืองอัมพุ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจับมาใช้ประโยชน์ได้…หัวใจแห่งสินธุรัฐ!

“เรียกรวมพลหน่วยแนวหน้าของเราทั้งหมด รวมทั้งท่านโมราและคามินด้วย เราจะไปสินธุรัฐด้วยกัน!”

 

ขบวนรถยนต์พระที่นั่งของจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีจำต้องหยุดยั้งลง ณ ป่ากุหลาบพันปี เนื่องจากมองข้ามไปยังอีกฟาก ทหารฝั่งสินธุรัฐยืนประจำการแน่นขนัดตลอดแนวผ่านแดน

“เสด็จอ้อมไปฝั่งสะพานข้ามแม่น้ำอัมพุไม่ดีกว่าหรือกระหม่อม เส้นทางนี้แม้จะเป็นถนนทางตรง แต่สองข้างทางเป็นแนวป่ายาวหลายกิโล อันตราย”

โมรากราบทูลปรึกษา หากจอมพลตุลธรฯ ทรงปฏิเสธ

“ไม่! เรามาพร้อมกองทหาร เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน”

“เช่นนั้น กระหม่อมจะล่วงหน้าไปก่อน ทรงประทับรอกับพระคู่หมั้นที่นี่”

โมราเอ่ยย้ำประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ เจ้าชายจอมทัพจึงทรงยอมอนุญาต

ดังนั้น คามินและโมราที่ตามมาสมทบในขบวนกองทหารเกียรติยศจึงอาสาเป็นแนวหน้าในการเชิญพระราชสาสน์ของเจ้าหลวงแห่งศิขราชไปเจรจาที่จุดผ่านแดนของสองประเทศเอง

 

“เราคือ คามิน ผู้พิทักษ์ของท่านหญิงมิรามาลินทร์แห่งวิหารเทพอัมพุพิมาน และนี่คือท่านโมรา เป็นที่ปรึกษาหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ของเจ้าฟ้าตุลธรฯ พระอนุชาแห่งเจ้าหลวงศิขราช ต้องการอัญเชิญพระราชสาสน์ขององค์เจ้าหลวงไปทูลเกล้าถวายแด่องค์ราชินีชโลธรแห่งสินธุรัฐ โปรดเปิดทางให้ขบวนเสด็จด้วย”

“เจ้าชายรัชทายาทมีรับสั่งว่า ห้ามมิให้ผู้ใดผ่านเข้าชายแดนไปโดยเด็ดขาด หากท่านหญิงมิรามาลินทร์มิลงมาเจรจากับพระองค์ด้วยตนเอง”

“แต่ในยามนี้ท่านหญิงคือว่าที่พระชายาปติแห่งพระอนุชาธิราช หาได้เหมาะสมไม่หากเจ้าชายรัชทายาทจะทรงพบปะเพียงลำพัง”

โมราแย้งอย่างใจเย็น หากบุคคลในรถยนต์พระที่นั่งไม่พระทัยเย็นพอ เพราะเสียงจากวิทยุสื่อสารของโมรานั้นทำให้ทรงได้ยินชัดทุกประโยค ดังนั้นรถพระที่นั่งจึงขับมาจอดใกล้ และเสด็จลงมาเจรจาเอง

“ถ้าหากเจ้าชายรัชทายาทต้องการเจรจา เรากับพระคู่หมั้นยินดีรับคำเชิญ จงนำไป…”

“แต่พระรัชทายาททรงรับสั่งเฉพาะท่านหญิง…”

“เราจะนับถึงสาม ถ้าครบ ก็จะไม่มีการเจรจาอีก”

สุรเสียงเข้มรับสั่งอย่างไม่อ้อมค้อมและไม่เปิดทางเลือกอื่นให้อีก แค่ชั่วอึดใจเสียงวิทยุประจำตัวนายทหารก็ดังขึ้นคำเดียวว่า “อนุญาต” ทำให้นายทหารผู้นั้นจำต้องนำเสด็จไปยังอาคารหลังเล็กชั้นเดียวสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำด่านชายแดนฝั่งสินธุรัฐ ที่บัดนี้มีเพียงเจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาทประทับอยู่ด้านใน

องค์จอมพลทรงหันไปสั่งท่านโมราเพียงคำเดียว ‘ราชสาสน์’ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันใด ไม่นานนักสมเด็จเจ้าฟ้าจึงเสด็จมาหาพระคู่หมั้นที่รออยู่ในรถ พลางยื่นพระหัตถ์ให้และตรัสปลอบใจ

“ไม่เป็นไร เราจะไปด้วยกัน”

“แต่ถ้าเจ้าชายรัชทายาททรงปฏิเสธ…”

“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เริ่มภาวนาตั้งแต่ตอนนี้ได้เลย”

เจ้าฟ้าตุลธรทรงแกล้งรับสั่งแซวให้พระคู่หมั้นคลายกังวลลง มิรามาลินทร์ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะวางมือของตนลงบนพระหัตถ์ที่กุมกระชับไว้มั่น อย่างปรารถนาที่จะให้กำลังใจคนข้างกายว่า ทุกอย่างจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดีอย่างที่ทรงรับสั่งไว้จริงๆ

วรองค์ผอมสูงที่ประทับเด่นอยู่กลางห้องรับรองนั้นมีร่องรอยของความไม่พอพระทัยฉายชัดจนพระพักตร์เรียวขาวขึ้นสีด้วยความโกรธ มิรามาลินทร์ตามเสด็จเจ้าชายตุลธรฯ เคียงคู่กันมา พระหัตถ์แห่งจอมทัพศิขราชไม่ยอมปล่อยให้หญิงสาวห่างกาย แม้แต่ในยามที่มิรามาลินทร์ย่อถวายคำนับ พระรัชทายาทแห่งสินธุรัฐที่ทรงได้ยินข่าวมาแล้วและได้ทอดพระเนตร ก็ถึงกับทรงเอ่ยตัดรอนอย่างไม่ไว้ไมตรี

“เราไม่ยอมรับการหมั้นหมายในครั้งนี้ของเธอมิรามาลินทร์ เธอเป็นเทวกุมารีแห่งสินธุรัฐ เธอไม่มีสิทธิ์หมั้นหมายกับใครทั้งนั้นหากเราไม่อนุญาต”

“พระองค์รับสั่งถูกต้องเพคะ หม่อมฉันเป็นเทวกุมารีแห่งสินธุรัฐ แต่หม่อมฉันอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารี ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องกลับมาที่นี่เพื่อขออนุญาตล้างศีลเพื่อครองเรือนจากท่านอาจารย์ ‘เพียงผู้เดียว’ เพคะ”

“อย่าลืมว่าเธอยังมีชื่ออยู่ในประกาศจับข้อหาความมั่นคง หากเธอกลับมาก็ต้องถูกควบคุมตัวอยู่ดี เราหวังดีกับเธอนะมิรา” ประโยคท้ายทรงเอ่ยนามเฉพาะที่เคยเรียกขานในยามเยาว์วัย สุรเสียงที่หมายความเช่นนั้นจริงๆ ทำให้มิรามาลินทร์ชะงักไป หากเรื่องนี้ทั้งเธอและเจ้าชายตุลธรฯ ต่างเตรียมการมาพร้อมแล้ว

“หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งที่ทรงเตือน แต่…พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าทำไมหม่อมฉันถึงถูกจับข้อหานั้น และพระองค์ก็ทรงทราบดีว่า เหตุผลเดียวที่หม่อมฉันกลับมาก็เพราะอาจารย์และคนในวิหารอัมพุพิมานที่กำลังจะถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็นเพราะความโลภของคนเพียงคนเดียว!”

“หยุดนะ มิรามาลินทร์!”

“พระทัยเย็นๆ ก่อนดีกว่า” เจ้าฟ้าตุลธรธิบดีที่ทรงเงียบฟังทุกอย่างมานานแย้งขึ้นเมื่อเห็นว่าสุรเสียงของเจ้าชายรัชทายาทเริ่มไม่น่าฟัง พลางเป็นฝ่ายรับสั่งสรุปทุกอย่างเสียเอง

“หม่อมฉันและมิรามาลินทร์มาที่นี่เพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามธรรมเนียมพิธีของวิหารเทพ แต่ไม่ได้หมายความว่าหากไม่ทำแล้วพันธะระหว่างหม่อมฉันและกุมารีจะเปลี่ยนไป เพราะถึงอย่างไรบัดนี้มีพระบรมราชโองการจากเจ้าหลวงแห่งศิขราชแล้วว่ามิรามาลินทร์ คือพระชายาปติของหม่อมฉัน และหากสินธุรัฐไม่ยินดีให้เราเข้าไปทำพิธีล้างศีลเทวกุมารีตามธรรมเนียมของวิหารศักดิ์สิทธิ์ หม่อมฉันก็ไม่เห็นเป็นสาระสำคัญใด”

“แต่มิรามาลินทร์จะมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต”

รัชทายาทแห่งสินธุรัฐหันไปรับสั่งกับคนที่เติบโตด้วยกันมาด้วยแววตาที่ห่วงใย ก่อนจะจำใจตรัสในสิ่งที่รู้ดีว่าจะได้รับคำตอบเช่นไรกลับมา…หากมิทรงมีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

“มีแต่เราเท่านั้นที่ช่วยเธอได้มิรามาลินทร์ หากเธอยินยอมร่วมราชวงศ์สินธุของเรา ทุกข้อกล่าวหา ทุกมลทินที่เธอมี ทุกคนที่ชายแดนอัมพุแห่งนี้รวมทั้งวิหารเทพก็จะปลอดภัยเหมือนเดิม”

“ทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมนับตั้งแต่วันที่ราชินีทรงมีบัญชาให้นายพลชาตรี นำกำลังทหารเข้ายึดอัมพุพิมาน และยัดข้อหาให้ท่านอาจารย์และหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็ทรงรู้ดีว่าสิ่งที่ทรงรับสั่งให้หม่อมฉันเลือก หม่อมฉันก็เลือกแล้ว…”

มิรามาลินทร์ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับผู้ที่เคยเอ่ยเรียกเธอว่า ‘น้องหญิง’ ก่อนจะทูลตอบด้วยความเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ไม่คิดจะหันหลังกลับแล้ว

“หม่อมฉันจะปกป้องอาจารย์ และเมืองอัมพุด้วยวิธีของหม่อมฉันเอง”

“จงปกป้องทุกคนในฐานะเทวกุมารีแห่งสินธุรัฐ หาไม่แล้วเธอจะได้เห็นความย่อยยับของวิหารเทพ…นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายจากพี่”

ถ้อยดำรัสตอนท้ายนั้นราชกุมารแห่งสินธุรัฐทรงรับสั่งราวสายลมกระซิบ หากมิรามาลินทร์ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ความผูกพันในอดีตที่ห่างไกลดูคล้ายกับไหลทวนมาอีกครั้ง ในฐานะราชกุมารและเทวกุมารีย่อมมีอาจารย์ร่วมสอนสั่งมิต่างกัน องค์อมราวดีเทวนารีทรงทุ่มเทฟูมฟักทั้งความรักและความรู้ให้แก่ศิษย์ทั้งสองอย่างไม่จำกัด และแม้จะต้องห่างกันด้วยความเหมาะสมและเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ หากสิ่งเดียวที่มิเคยเปลี่ยนไปของทั้งคู่คือ สายสัมพันธ์ที่ตัดอย่างไรก็ไม่มีวันขาด

“มีพระราชเสาวนีย์”

เสียงทหารที่กล่าวรายงานอยู่ด้านนอกไม่ต่างอะไรกับระฆังที่ดังช่วยชีวิต เพราะบุคคลที่สามที่ทรงนิ่งฟังทุกอย่างโดยมิปริปากสิ่งใดนั้นกำลังทวีความสงสัยในตัวของเจ้าชายรัชทายาทเป็นอย่างยิ่ง หากจะใช้คำว่าผู้ชายด้วยกันดูกันออก ก็คงจะไม่ผิดนัก…หากมีบางสิ่งที่ทรงสะกิดพระทัย เพราะระหว่างที่ทหารอ่านพระราชเสาวนีย์อยู่นั้น เจ้าชายธัชธาราไม่แม้แต่จะอยู่ฟังเสียด้วยซ้ำราวกับรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างจะต้องเป็นดังนี้

“สมเด็จพระราชินีชโลธรแห่งสินธุรัฐทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระราชสาสน์แสดงความยินดีไปยังสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดี พระอนุชาธิราชแห่งศิขราชราชอาณาจักร ในโอกาสที่ทรงเข้าพิธีแลกตราพันธาภรณ์กับพระคู่หมั้น ความว่า ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลที่ฝ่าพระบาททรงครองพันธาภรณ์ อันเป็นเครื่องหมายแสดงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างประเทศสินธุรัฐและศิขราช ที่จักผูกพันลึกซึ้งระหว่างประเทศของเราทั้งสองนั้นอย่างแน่นแฟ้นและยั่งยืนไม่เสื่อมคลาย หม่อมฉันและสมเด็จพระรัชทายาท ในนามของประชาชนชาวสินธุรัฐ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะถวายพระพรชัยมงคลพร้อมทั้งความปรารถนาดี เพื่อฝ่าพระบาทและพระคู่หมั้นทรงพระเกษมสำราญ และมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ดั่งแสงประทีปทั้งมวลที่สว่างโชติช่วงในวาระแห่งการเฉลิมฉลองการครองปฏิพัทธ์ในครั้งนี้ (พระปรมาภิไธย) ชโลธรทิพย์ธารา บรมราชินีนาถ”

“ขอบพระทัย”

สมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีรับสั่งพลางรับพระราชสาสน์นั้นไว้ก่อนจะประทานให้มิรามาลินทร์ที่มี
สีหน้ากังวลมากยิ่งขึ้น เมื่อนายทหารคนดังกล่าวหันมามอบจดหมายที่ไร้ตราประทับใดๆ ให้เธอแยกต่างหาก ก่อนจะรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอการตอบกลับ

“อะไร”

องค์จอมพลรับสั่งถามเมื่อทรงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมิรามาลินทร์ดูเคร่งเครียดขึ้นหลังจากที่อ่านข้อความในจดหมาย ซึ่งแม้จะไม่มีลงท้ายว่ามาจากใคร แต่ก็เดาได้ไม่ยาก

“หม่อมฉันจะสิ้นสุดสถานะพลเมืองของสินธุรัฐทันทีหลังจากเข้าพิธีแลกตราพันธาภรณ์ที่วิหารเทพ และจะไม่มีสิทธิ์เข้าประเทศอีกเพคะ”

“แล้วองค์อมราวดีเทวนารีล่ะ”

“อาจารย์และทุกคนในวิหารเทพจะถูกจับข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของทางการเพคะ มีประกาศเวนคืนที่ดินก่อนหน้านี้ หากไม่อพยพออกจากพื้นที่ตามพระราชเสาวนีย์ภายในหนึ่ง เดือนนี้ นายพลชาตรีจะเป็นหัวหน้าหน่วยงานในการผลักดันชาวบ้านเพื่อเข้ายึดพื้นที่เพคะ”

“องค์อมราวดีเทวนารีคงไม่ยอมให้วิหารถูกยึดไปแน่” องค์ตุลธรรับสั่งเพียงเท่านั้นหากในพระทัยยิ่งชัดเจน นี่คงเป็นเหตุผลเดียวที่ท่านลุงเตโชยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามายังสินธุรัฐจนถูกจับได้ ไม่ว่าอย่างไรท่านลุงก็จะต้องพาเพื่อนเพียงคนเดียวกลับไป และหากเดาไม่ผิดสิ่งที่นายพลชาตรีต้องการคำสารภาพจากท่านลุงคือ พันธะระหว่างท่านลุงและเทวนารี เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ปลดเทวนารีสูงสุดของวิหารเทพลงได้พร้อมกับทำลายศรัทธาที่เปราะบางไปพร้อมกันคราวเดียวโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรง

“ท่านอาจารย์ให้หม่อมฉันหนี เพราะท่านตัดสินใจที่จะยอมถูกกลบฝังไปพร้อมกับวิหารเทพ ท่านตั้งใจใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน”

“ตอนนี้เรามีเวลาหนึ่งเดือน อย่าเพิ่งร้อนใจไป เข้าวิหารไปพบท่านอาจารย์เทวนารีก่อน แล้วค่อยหาทางออกด้วยกัน”

มิรามาลินทร์รับคำเบาๆ และปล่อยให้หัตถ์แข็งแรงจับจูงไปราวกับเด็กที่หลงทางและต้องการที่พึ่งพิง จิตใจที่เคยนิ่งสงบถูกสั่นไหวด้วยชีวิตของผู้เป็นที่รักจนไม่อาจประคองใจให้มั่นคงได้ดังเดิม หากความอบอุ่นจากพระหัตถ์ที่ฉุดรั้งทั้งกายและใจเธอให้กลับมา ด้วยประโยคเดียวที่สลักแน่นในใจ

“ถ้าเธอยังกังวลใจ ก็ลองหลับตาแล้วภาวนา”

รับสั่งพลางทรงหันมากุมมือหญิงสาวด้วยสองพระหัตถ์ สุรเสียงทุ้มแผ่วเบานั้นปลอบประโลมและประทานสัญญา

“ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี ด้วยเกียรติจอมพลจตุรคีรี เป็นเดิมพัน!”



Don`t copy text!