เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 12 : ปฏิบัติการ

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 12 : ปฏิบัติการ

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ลานหญ้ากว้างรัศมีหนึ่งกิโลเมตรรอบบริเวณพระราชวังหลวงสีงาช้างที่ตั้งอยู่ตรงกลางราวกับไข่แดงที่ล้อมรอบด้วยกำแพงทั้งสี่ทิศ ทำให้ผู้ที่ตั้งใจจะลอบเข้ามาปฏิบัติภารกิจถึงกับตะลึงตาค้างก่อนจะหันพระพักตร์มาตรัสถามย้ำให้แน่พระทัย

“เราว่าที่นี่คือวังหลวงของสินธุรัฐไม่ใช่หรือ”

“เพคะ”

“แล้วคุกลับ?”

“ก็ที่นี่แหละเพคะ”

“สองชั่วโมงถึงจะพ้นชายแดน” รับสั่งพลางคำนวณระยะทางและเวลา ซึ่งทีมเอกทิศที่เป็นคนจัดหารถยนต์หลบหนีนั้นยืนยันคำตอบอีกครั้ง

“ทั้งสามจุดที่เตรียมช่องทางข้ามแดนเอาไว้พร้อมสแตนด์บายพระเจ้าค่ะ จุดข้ามแดนป่ากุหลาบพันปีจะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด ส่วนเส้นทางข้ามแม่น้ำอัมพุจะช้ากว่าสามสิบนาที และอีกเส้นทางคือเส้นที่อ้อมออกประเทศทิมปาลก่อนข้ามชายแดนจะช้าที่สุดคือหกสิบห้านาที แต่ปลอดภัยที่สุดกระหม่อม”

“เราจะเข้าไปปฏิบัติภารกิจข้างในคุกลับแค่สามสิบนาทีเท่านั้น ถ้าหากชิงตัวไม่สำเร็จให้รีบยกเลิกภารกิจทันที”

“รับทราบ!” เอกทิศรับคำก่อนจะเตรียมเข้าไปประจำจุดเส้นทางหลบหนีด้านนอก และหลีกให้อารัญมารับพระกระแสรับสั่งแทนที่

“เข้าใจหรือไม่มิรามาลินทร์” เจ้าชายทรงหันมาถามหญิงสาวเพียงคนเดียวในภารกิจ หากคำตอบที่ได้รับถึงกับเลิกพระขนงขึ้นอย่างทึ่งจัด

“เราจะใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเพคะ” หญิงสาวว่าพลางก้มลงเตรียมกดนาฬิกาที่ข้อมือเช่นเดียวกับที่ทีมภารกิจคนอื่นๆ สายตามั่นใจอย่างยิ่งยวดนั้นทำให้จอมพลตุลธรฯ ทรงยิ้ม ก่อนจะให้สัญญาณ…

“เริ่มปฏิบัติการได้!”

 

เส้นทางผ่านท่อระบายน้ำใต้ดินเป็นช่องทางที่ไม่มีใครในทีมภารกิจคาดคิด หญิงสาวเดินนำลิ่วไป ก่อนจะหยุดลงในจุดหนึ่งที่มีบันไดเชื่อมขึ้นไปพลางนัดแนะ

“จุดนี้เมื่อขึ้นไปจะเป็นทางเชื่อมโรงครัวของนักโทษที่ส่งอาหารให้ทั้งคุกลับและคุกหลวง จากโรงครัวให้มุ่งตรงไปทางทิศใต้หนึ่งร้อยเมตรจะเจอทางเข้าคุกใต้ดิน คุกลับถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กที่สามารถอำพรางสายตาคนนอกได้ และหากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถปิดตายได้ในทันที ทุกๆ ยี่สิบเมตรจะมีคนเฝ้าตลอดทาง เวรเฝ้าจะผลัดเปลี่ยนจุดในทุกๆ ครึ่งชั่วโมง แต่จุดบอดสำคัญคือ ในคุกลับจะมีทางเข้าออกทางเดียวและมีแสงสว่างไม่มาก ถ้าหากทุกคนเดินเข้าไปตามจุดที่บอก เราจะหลบทหารเวรได้โดยไม่ต้องปะทะ และเข้าถึงตัวท่านเตโชได้ภายในเวลาห้านาที”

มิรามาลินทร์เอ่ยรวดเดียวจบ ทีมภารกิจทุกคนพร้อมใจกันหันไปทางวรองค์สูงใหญ่ที่ทรงยืนกอดอกฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะรับสั่งถามขึ้นคำเดียว

“มั่นใจแผนนี้กี่เปอร์เซ็นต์”

“ร้อยเปอร์เซ็นต์เพคะ”

“แล้วถ้าพลาดล่ะกุมารี…” ทรงเน้นคำว่า กุมารี เป็นพิเศษ เพราะถึงอย่างไรหญิงสาวก็ไม่มีทางมีประสบการณ์ด้านนี้ดังเช่นพวกเขา หาก…ที่ทรงคาใจคือ เธอเอ่ยราวกับท่องจำมา เธอไปจำมาจากไหน หรือว่า นี่คือญาณหยั่งรู้ของญาณเทวี

“หม่อมฉันจะคอยดูต้นทางให้ ทหารเวรที่นี่ก้าวเท้าชิดไม่มีแตกแถว ดังนั้นหากทีมภารกิจอาศัยเวลาเหลื่อมเพียงชั่วนาทีจะสามารถเข้าไปได้อย่างปลอดภัย และออกมาได้อย่างปลอดภัยเช่นกันหากทำตามสัญญาณที่หม่อมฉันบอก จะไม่มีใครเข้าถึงตัวทุกคนได้ภายในระยะเวลาห้านาทีนี้อย่างแน่นอนเพคะ”

“เราจะเริ่มจับเวลาตอนไหน”

“หลังจากที่หม่อมฉันขึ้นไปข้างบนเป็นคนแรกเพคะ”

หัตถ์หนาที่กำลังจะกดเวลาชะงักค้าง ก่อนจะทรงถามย้ำ

“เธอ? คนแรก?”

“เพคะ หม่อมฉันเอาหัวเป็นประกันความปลอดภัยให้ทุกคนเอง!”

หญิงสาวว่าพลางคลุมพันหน้าให้เหลือเพียงลูกตา ก่อนจะก้าวขึ้นไปข้างบนด้วยสายตาแน่วแน่หากคนที่คอยรับสัญญาณข้างล่างเงี่ยหูฟังด้วยใจระทึก เพียงอึดใจต่อมาเสียงใสก็ตะโกนสั่ง

“บุก!”

 

ลูกกรงเหล็กที่กั้นเป็นคอกล้อมสี่ด้านถูกตัดออกด้วยเวลาอันรวดเร็ว ทีมบุรุษฉกรรจ์ในชุดดำเร่งใช้เครื่องมือตัดโซ่ที่ล่ามทั้งแขนขาในเวลาแค่เสี้ยวนาที ก่อนที่จอมพลตุลธรฯ จะเข้ามาคุกเข่าซ้อนประกบให้ทีมภารกิจจัดแจงแบกท่านลุงขึ้นหลัง เตโชที่อ่อนแอจนแทบจะไม่เหลือลมหายใจแล้วแต่ก็ยังกัดฟันถามออกมา

“ใคร”

“ตุลธร”

“ทำไมไม่อยู่ที่ศิขราช”

“เพราะมีคนแก่ไม่ยอมกลับบ้าน”

“ระวัง กับดัก ทางออก” เสียงแหบระโหยเอ่ยเตือนพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ เพราะคนดื้อต่อดื้อมาเจอกันถึงกลายเป็นแบบนี้

เจ้าชายตุลธรฯ ทรงให้สัญญาณอารัญไปใช้เครื่องมือทดสอบ จึงพบว่ามีตัวล็อกปิดตายหากก้าวออกไปแบบผิดปกติ องค์จอมพลจึงทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาด

“อารัญ นายแบกท่านลุงออกไป เราจะทำลายกับดักเอง”

“ไม่ได้ฝ่าบาท”

“นายยิงปืนแม่นกว่าเราหรือไง”

รับสั่งพลางหยิบอาวุธปืนสั้นคู่ใจออกมา คราวนี้อารัญจึงได้แต่รับคำ ก่อนจะแบกท่านเตโชรัดไว้กับตัวอย่างแน่นหนา เจ้าชายทรงเดินไปกดปุ่มตัวล็อกค้างไว้พลางพยักพระพักตร์ให้สัญญาณ อารัญจึงวิ่งออกไปทันที องค์จอมพลรอจนอารัญออกไปปลอดภัยจึงเสด็จกลับมาตรงทางออกพลางจ้องกะระยะปุ่มล็อกอย่างมีสมาธิ พระเนตรเล็งไม่กระพริบ ก่อนลั่นไกยิงปุ่มล็อกและวิ่งพรวดออกไป!

ประตูเหล็กที่ร่วงลงมาชะงักค้างเพียงชั่วเสี้ยววินาที เฉี่ยวโดนปลายพระภูษาก่อนที่จะปิดฝังลงในดินดึงรั้งไม่ให้ผู้บุกรุกก้าวต่อไปได้ หากองค์จอมพลทรงฉีกปลายพระภูษาทิ้งแล้ววิ่งกลับไปที่จุดนัดพบ และกดปุ่มสิ้นสุดภารกิจเพื่อให้สัญญาณ…

“ทีมหลบหนีเคลียร์เส้นทางพร้อมในห้านาที!”

 

แสงดาวยามราตรีทำหน้าที่ของตนบนฟากฟ้าเช่นเคย วิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ท่ามกลางความมืดที่โอบล้อม แต่ไม่นานนักก็มีประกายไฟเกิดขึ้น ลุกลาม เผาไหม้ จนกลายเป็นทะเลเพลิงที่โอบล้อมวิหารศักดิ์สิทธิ์ ให้ย้อมด้วยสีส้มเริงแรงแห่งเปลวไฟ

“ไฟไหม้ รีบหาน้ำมาดับเร็ว”

เสียงคนตะโกนพร้อมกับตีระฆังเรียกผู้พิทักษ์วิหาร ส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างเร่งร้อน ไม่นานนักความวุ่นวายโกลาหลก็เกิดทั่ววิหาร

มิรามาลินทร์ที่สลัดชุดดำพรางออกกลายเป็นกุมารีห่มส่าหรีสีนวลเพิ่งเดินลัดขึ้นมาถึงวิหารจากทางฝั่งของหมู่บ้านรีบวิ่งออกมาดูสถานการณ์ ในขณะที่คามินกำลังสั่งการผู้พิทักษ์และนักบวชทั้งหลายอย่างเป็นระบบระเบียบ หญิงสาวสำรวจดูความเสียหายจากไฟไหม้เทียบกับความทรงจำที่ปรากฏในภวังค์ทีละจุด ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างยังคงอยู่ในความควบคุม

“ดับไฟในจุดที่สำคัญก่อน ในหอมนตรา หอสวดมนต์ หอเก็บคัมภีร์ เกณฑ์คนไปดับไฟตรงนั้นให้หมด เราจะไปดูที่บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์”

มิรามาลินทร์เดินมากำชับคามินอีกครั้ง ก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังหอสูงราวกับหอคอยด้านนอกแยกออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปอีก มีประกายไฟเผาไหม้อยู่บางส่วนแต่เพียงแค่จุดเล็กๆ เท่านั้นยังพอดับได้ทันทำให้หญิงสาวค่อยคลายใจ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็รู้สึกว่า มีมือหยาบกร้านกระชากเธอให้ล้มลง เสี้ยววินาทีนั้นหญิงสาวเห็นเพียงประกายคมกริบของใบมีด สัญชาตญาณทำให้เธอกลิ้งหลบโดยทันควัน แต่มันก็ยังตามมาแทงซ้ำ เพียงแต่มันมัวแต่จะทำร้ายเธอจึงไม่ทันระวังว่ามีอีกคนที่วิ่งตามมาและถีบมันล้มลง พร้อมกับใบมีดที่ปาดลงคอมัน โดยไม่เปิดโอกาสให้ได้เห็นด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนฆ่า

“บอกแล้วว่าอย่าไปไหนมาไหนมาคนเดียว”

ถ้อยคำคุ้นหูนั้นทำให้มิรามาลินทร์ถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก ในสินธุรัฐนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดุเธอเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา

“ขอบพระทัยเพคะ”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นเชื่อฟังแทนได้ไหม”

“หญิงคิดว่าจะมีผู้พิทักษ์ตามมา แต่ไม่คิดว่าเป็นคนร้าย”

“เธอประมาททหารของนายพลชาตรีมากเกินไป นิสัยของพวกไฮยีน่ามันชอบรุมกัดไม่ปล่อยรีบกลับเข้าไปในที่ปลอดภัยเถอะ ที่บ่อน้ำเดี๋ยวพี่จะไปดับไฟให้เอง”

“ไม่เป็นไรเพคะ เสด็จกลับตำหนักป้อมไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะเป็นเรื่องอีก”

“ไม่มีใครมาเห็นหรอก ตอนพี่ออกมาพวกทหารกำลังตามไล่จับพวกกลุ่มชุดดำที่ไปแหกคุกพาเตโชหนี”

“ทรงตรัสว่าอะไรนะเพคะ”

“สัญญาณเตือนภัยที่คุกลับดัง นายพลชาตรีเลยเร่งระดมทหารสั่งไล่ล่า จับตายคนพานักโทษแหกคุก ตอนนี้ปิดชายแดนหมดแล้ว คงตั้งใจล้อมจับทุกทางไม่ให้หนีรอด”

มิรามาลินทร์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที เธอประมาทเกินไปจริงๆ นั่นแหละ เพราะเนตรญาณใช้ได้แค่กับคนไม่ใช่สิ่งของ หญิงสาววิ่งเต็มฝีเท้าแต่ก็ดูเหมือนว่ายังช้ากว่าหัวใจที่ตอนนี้พุ่งไปถึงชายแดนเรียบร้อยแล้ว พลางภาวนาไปตลอดทาง…ขอให้ทันทีเถอะ

 

ลานทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาไร้ซึ่งต้นไม้กำบัง มีเพียงเสาหลักและแนวรั้วเสียดฟ้าซึ่งกั้นเป็นเขตแดนระหว่างกันเอาไว้บัดนี้เต็มไปด้วยกลุ่มรถเกราะติดอาวุธที่กระจายตัวไล่ล่ากลุ่มชายชุดดำที่ขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อฝ่าไปยังแนวป่ากุหลาบพันปีอันเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ประเทศศิขราช เสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบลงก็คือเสียงรัวปืนที่ดังสนั่น และเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ที่ดังยาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการระเบิดสนั่นหวั่นไหว จนรถจี๊ปทหารที่เพิ่งขับมาถึงเนินเขาบนป้อมชายแดนสินธุรัฐต้องหยุดเพื่อไม่ให้สติแตกกับภาพที่เห็น

มิรามาลินทร์หลับตาลงเพื่อทบทวนความทรงจำในยามที่เธอสนทนากับเจ้าชายตุลธร ในแววพระเนตรจริงจังนั้นเผยความลับบางอย่างที่มิได้เอ่ยออกมา…แผนปฏิบัติภารกิจและเส้นทางหลบหนี!

หญิงสาวสตาร์ตรถอีกครั้ง คราวนี้ถอยรถและขับอ้อมไปยังแนวปราการของป้อมชายแดนที่ตั้งขนานกับแนวกำแพงกั้นสองประเทศ…นับว่าเจ้าชายตุลธรทรงพระทัยกล้าไม่น้อยที่จะพานักโทษหลบหนีไปทางนั้น เพราะนอกจากจะเป็นเขตที่ประทับขององค์รัชทายาทสินธุรัฐแล้ว เส้นทางที่จะข้ามไปฝั่งชายแดนศิขราชได้ก็ลำบากกว่าด้วยมีแม่น้ำอัมพุเป็นปราการกั้นไว้ หากอย่างน้อยเวลานี้หญิงสาวก็ค่อยเบาใจว่าเสียงปืนและรถที่ระเบิดไปนั้นเป็นเพียงแผนตัวล่อเท่านั้น

แนวกำแพงหินที่ก่อลาดเป็นแนวกันน้ำเซาะตลิ่งค่อนข้างลื่นแต่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีค่อยๆ ไต่โรยตัวลงตามเชือกไปเป็นจุดๆ ก่อนจะส่งตัวบุคคลที่สภาพอิดโรยและย่ำแย่เต็มที หากแววตากลับเป็นประกายเข้มแข็งยิ่ง

“ลงเรือเลียบตามน้ำไปเรื่อยๆ ตรงจุดนี้ไปถึงปากแม่น้ำสามกษัตริย์ใช้เวลาไม่นานมาก เข้าเขตประเทศทิมปาลเมื่อไหร่ค่อยขึ้นฝั่ง จะมีคนของเราคอยรับอยู่ แล้วค่อยกลับเข้าสินธุรัฐทางบก”

รับสั่งย้ำแผนอีกครั้งกับนักรบทีมเอกทิศ ก่อนจะทรงเอื้อมหัตถ์ไปหาบุคคลที่ตนเสี่ยงไปพาตัวออกมาพลางประทานกำลังใจ

“ท่านลุงโปรดเข้มแข็ง…เพื่อผม”

“ลุงจะรอที่บ้าน กินเหล้าที่แกซ่อนไว้ให้หมด”

“ผมจะขนไปให้เพิ่มอีกร้อยถังเลย”

“ขอบใจ ตุลธร”

บุรุษสูงวัยเอ่ยเพียงสั้นๆ หากแววตานั้นสื่อถ้อยคำอีกมากมาย สายใยที่ยึดเหนี่ยวกันและกันเอาไว้ทำให้เตโชพยายามอดทนเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายที่เคยฝึกฝนอย่างทรหดกำลังแสดงผลของมัน อดีตหัวหน้าหน่วยรบพิเศษแห่งค่ายจตุรทิศสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะไต่เชือกไปพร้อมกับทหารที่คอยระแวดระวังอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเรือลำเล็กลับหายไปในความมืด วรองค์แกร่งเช่นนักรบจึงค่อยปีนกลับขึ้นไปสู่แนวกำแพงป้อมปราการ

“แยกกัน!”

รับสั่งเมื่อเห็นว่าทหารลาดตระเวนกำลังตรงมาทางตน อารัญแม้จะห่วงเจ้านายแต่ทว่าในยามนี้ต้องทำตามแผน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะตายเพราะถูกจอมพลฆ่าก่อน

เสียงความเคลื่อนไหวด้านหน้าป้อมปราการพร้อมกับรถยนต์ติดอาวุธที่จอดเรียงกันเป็นด่านหน้ากำแพงหินอีกชั้น ทำให้เจ้าชายตุลธรทรงกระชับปืนในมือให้มั่นคง จุดที่ซ่อนรถมอเตอร์ไซค์สำหรับหลบหนีอยู่ในแนวป่าข้างกำแพงปราการ หากตอนนี้พอเห็นขบวนรถยนต์ของนายพลชาตรีที่จอดเรียงแล้วก็ได้แต่ทรงสบถอยู่ในใจ ถ้าไม่ฝ่าออกไปก็ได้ตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ

ปัง!

เสียงปืนนัดแรกที่ดังขึ้นเฉี่ยวหัวนายพลชาตรีไปโดนเสาโคมไฟข้างกำแพงแตกกระจายโดยไม่รู้ที่มา และคราวนี้เสียงทหารตะโกนสั่งวุ่นวายพร้อมกับเหล่านักรบแห่งสินธุรัฐกระจายตัวกันออกไปทุกทิศเพื่อล่ามือปืน ทว่าเสียงปืนที่ดังติดๆ กันอีกหลายนัดดังอยู่ตรงรถยนต์ติดอาวุธคันหน้าสุดและถูกขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“จับมันให้ได้ ถ้าตายต้องเห็นศพ!”

นายพลชาตรีประกาศอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถขับไล่ล่าไปติดๆ อาวุธสงครามที่มีอยู่ในมือทหารสินธุรัฐถูกใช้ถล่มรถยนต์คันหน้าแทบทั้งหมด

เจ้าชายตุลธรทรงเอนพระวรกายให้ต่ำที่สุด แม้ว่ารถยนต์คันนี้จะกันกระสุนแต่พอถูกรุมถล่มก็ใกล้จะพรุนอยู่รอมร่อ หากแล้วแสงไฟจ้าและเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสวนมาจากด้านหน้ารถของพระองค์ทำให้ทรงชะงัก ปลายพระโสตได้ยินเสียงกุมารีตะโกนก้อง

“กระโดดมาคันนี้!”

ยังไม่ทันขาดคำรถจี๊ปคันหนึ่งก็มาจอดเทียบ พร้อมกับที่ร่างแบบบางของกุมารีในชุดสีขาวกระจ่างก็ยืนขึ้นโผล่พ้นเหนือหลังคารถพลางคำรามเสียงต่ำตวาดไปยังรถยนต์ติดอาวุธคันหน้าสุดที่มีนายพลชาตรีนั่งด้านหน้า

“ดวงตาจงดับ!”

เจ้าชายตุลธรที่เพิ่งข้ามมาขึ้นรถของหญิงสาวได้แต่ตะลึงตาค้าง รัศมีเจิดจ้าแผ่กระจายราวคลื่นที่ซัดออกไปเบื้องหน้าแผ่กระทบดวงตาหลากคู่บนรถยนต์ที่กำลังไล่ล่าคันนั้น ที่จู่ๆ ก็ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว และไม่นานนักขบวนรถที่ขับตามมาต่างชะลอตามไปด้วย

“ออกรถ! ขับออกไปเดี๋ยวนี้!”

กุมารีหลับตาก่อนทรุดตัวลงหลบให้เจ้าชายตุลธรขยับมาบังคับรถแทน ในระหว่างที่ขบวนรถไล่ล่าหยุดชะงักไปเกือบสิบนาที องค์จอมพลทรงไม่รีรอที่จะบังคับรถด้วยความเร็วสูงสุดทะยานออกไปสู่แนวป่า และเมื่อทุกอย่างกลับสู่กติอีกครั้ง ขบวนไล่ล่าก็พบเพียงรถยนต์กันกระสุนที่ถูกยิงจนพรุนเมื่อครู่ หากไม่พบร่องรอยของคนแม้แต่น้อย จะเหลือก็เพียงแต่รอยล้อรถจี๊ปที่นายพลชาตรีตะโกนสั่งอย่างคั่งแค้นทั้งๆ ที่รู้ดีว่าทุกอย่างกำลังล้มเหลวไปต่อหน้าต่อตา

“กระจายกำลังออกไปล่ามันสิวะ! โธ่เว้ย!”

 

เส้นทางสองฟากข้างที่มืดสนิท อาศัยเพียงแสงดาวและแสงไฟหน้ารถสาดนำทางเท่านั้น อีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตเชิงเขาวิหารเทพ รถจี๊ปที่ขับเร่งมาตลอดทางจึงค่อยผ่อนชะลอลงและหักพวงมาลัยจอด
ข้างทางอย่างกะทันหัน หญิงสาวที่แม้จะยังหลับตาอยู่แต่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากคนข้างกาย ความเงียบอย่างน่าอึดอัดทำให้มิรามาลินทร์ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร จนกระทั่งสุรเสียงทุ้มที่ผ่านความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดแล้วตรัสถามขึ้นใกล้ๆ

“เธอทำอะไร ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

“ญาณ…เพคะ”

“เธอรู้อยู่แล้วว่าถ้าใช้ญาณ แล้วจะกลายเป็นแบบนี้…ใช่ไหม”

“เพคะ”

“แล้วทำทำไม” สุรเสียงเค้นถามอย่างกริ้วจัด แม้จะไม่เสียงดัง แต่มิรามาลินทร์ก็รู้สึกหนาว
ยะเยือกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ทรงรับสั่งเหมือนหม่อมฉันทำผิด”

“ผิดมหันต์เลยด้วย ทำไมถึงทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ”

“ก็หม่อมฉันอยากช่วยพระองค์ไงเพคะ”

“ไม่ต้องอ้างเรา ถ้าเธอเห็นแก่เราจริงเธอจะไม่มีวันทำแบบนี้”

“แล้วหม่อมฉันต้องทำเช่นไร ถึงจะไม่โดนกริ้ว”

“ต้องให้เราบอกจริงๆ งั้นหรือ”

ถ้อยรับสั่งคล้ายกับใกล้จะหมดความอดทนลงไปทุกที ทำให้มิรามาลินทร์ไร้คำพูดที่จะโต้เถียง ความน้อยใจเหลือประมาณห่อคลุมหัวใจ บีบรัดเสียจนหญิงสาวได้แต่ต่อว่าตัวเองที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้สมเด็จฟ้าชายแห่งศิขราชทรงดุเธอเป็นครั้งแรก น้ำตาที่พรั่งพรูผ่านแพขนตาที่ทาบปิดแทนทุกความรู้สึกอัดอั้นในใจที่เพิ่งมารู้ชัดเอาตอนนี้

“หม่อมฉันเป็นห่วง”

“อย่าทำให้เราต้องเป็นห่วง”

ประโยคเรียบง่ายหากไม่มีสิ่งใดไม่ชัดเจนในความหมาย และคราวนี้องค์จอมพลทรงกลับมากริ้วพระองค์เองที่ทำอะไรไม่เข้าท่าก่อนหน้านี้จนทำให้หญิงสาวต้องร้องไห้

“อย่าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก หาไม่แล้วสินธุรัฐจะรับผิดชอบไม่ไหวถ้าเธอเป็นอันตรายมากไปกว่านี้”

องค์จอมพลแห่งศิขราชรับสั่งเสียงเด็ดขาด ทรงดุอย่างที่ไม่เคยดุกับเธอ ทรงคาดโทษอย่างที่จะไม่มีวันให้อภัย เพราะทรงกลัวเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น…ถ้าไม่มีเธออยู่ จะทรงทำเช่นไร

พระหัตถ์หนาคลี่ผ้าคลุมห่มให้ แม้ไม่มีคำปลอบใดๆ อีกทว่าอ้อมพระพาหาโอบกอดร่างบอบบางที่สั่นสะท้าน หยาดน้ำตาที่ยังคงรินไหลจนเปียกถึงฉลององค์ยิ่งทำให้เจ้าชายตุลธรทรงรู้สึกผิด แต่ก็ทรงขวัญหายเช่นกัน เขาจะตายก็ช่าง แต่ห้ามเธอเป็นอะไรไปเด็ดขาด

เจ้าดวงตา เกือบอาสัญ เพราะตัวเรา      

โลกจักเปล่า หากไร้ ซึ่งมาลินทร์  

รถจี๊ปเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งหากคราวนี้ทรงขับรถด้วยหัตถ์เดียว เพราะอีกหัตถ์จะไม่มีวันปล่อยมือผู้เป็นดั่งลมหายใจของพระองค์ไปอีกแล้ว



Don`t copy text!