ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
“แม่!” ริชาตะโกนอย่างสุดเสียงภายใต้เปลือกตาที่ยังปิดสนิท
ตลอดหลายปีมานี้เหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนยังตามหลอกหลอนเธอตลอด จากเด็กสาวอายุสิบแปดปีในวันนั้นสู่หญิงสาวในวัยยี่สิบแปดปีเต็ม หากแต่ความทรงจำจากครั้งอดีตที่ติดตามเหมือนดั่งเงาสีเทานั้นในบางค่ำคืนมันยังคงสร้างบาดแผลเล็กๆ ให้เธออยู่เรื่อยไป
เปลือกตาที่กะพริบถี่หญิงสาวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น…ริชาที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยที่สายตายังคงมองจ้องไปที่เพดานสีขาวของห้องนอน เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากปลายสายที่โทร.มาแต่เช้าตรู่เช่นนั้นทำให้คนที่พึ่งฝันร้ายมานั้นรวบรวมสติอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียง
“ค่ะ…”
น้ำเสียงงัวเงียของริชานั้นทำให้คนที่อยู่ปลายสายยิ้มออกมาได้ทันที
“ชา แกตื่นยัง ไม่ใช่ลืมนะ” เขาพูดขึ้นทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่าตนเองเพิ่งโทร.ไปปลุกริชาเป็นแน่
“ตื่นแล้ว…” เธอตอบกลับทั้งที่ดวงตายังคงปิดสนิทก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสาย
“ให้มันจริงเถอะ ว่าแต่แกจะเข้ามากี่โมง ฉันจะได้บอกพี่เกศให้ลงไปรับ”
“ภพเหรอ!” ริชาที่ตาสว่างขึ้นมาในทันทีหลังจากได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของตน หรือสถานะในตอนนี้คือเจ้าของงานที่ว่าจ้างร้านของเธอไปจัดดอกไม้ในงานเปิดตัวโรงแรมใหม่ของเขานั่นเอง
“ก็ฉันไงจะใครอีก…” ปลายสายที่คุ้นชินกับอาการงัวเงียนี้เป็นอย่างดีก่อนจะอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เจอกันไม่เกินสิบโมง ฉันกลับมานอนบ้าน ขับรถไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง” ริชาพูดพลางมองไปที่นาฬิกาแขวนบนฝาผนังก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไว้เจอกันนะภพ แค่นี้ละพ่อมาเรียกแล้ว” พูดจบก็กดวางสายในทันที ปลายสายที่ทำได้เพียงหัวเราะเบาๆ กับส่ายหน้าไปมาด้วยเคยชินเสียแล้วที่เพื่อนของตนชอบตัดสายเขาทั้งที่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค
“ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะชา” เสียงของพ่อดังขึ้นหลังที่ด้านประตูห้อง
“ค่ะพ่อ เดี๋ยวชาตามลงไป”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ ก่อนจะบิดไปซ้ายทีขวาทีอยู่สองสามครั้ง เธอนั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินลงมาบันไดมาที่ชั้นล่างของบ้าน จนกระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้องครัวและนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ท้องเจ้ากรรมร้องขึ้นมาเสียงดังเมื่อยามได้กลิ่นอาหารฝีมือของผู้เป็นพ่อ
“หอมเชียว ท้องหนูร้องไปหมดแล้ว” ริชาพูดพลางลูบท้องแล้วเดินเข้าไปช่วยผู้เป็นพ่อตักข้าวสวยร้อนๆใส่จานสองจานแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร
“ตื่นแต่เช้าเลยลูก” วิษณุพูดพลางตักต้มจืดของโปรดให้ลูกสาวก่อนริชาจะยิ้มให้เขาอย่างสดใสเพราะผู้เป็นพ่อนั้นรู้ใจเธอเป็นที่สุด
“วันนี้มีนัดเข้าไปดูพื้นที่จริงค่ะพ่อ หนูเลยต้องเข้าไปโรงแรมของภพกับแพร”
ริชาที่พูดไปพลางเคี้ยวไปพลางก่อนวิษณุจะรีบตักอาหารให้ลูกสาวเพิ่ม หลังจากที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อสิบปีก่อนวิษณุเองรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เขาจึงทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับริชาอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขารู้สึกขาดอะไรและริชาเองก็เติบโตขึ้นมาอย่างน่าภาคภูมิใจเป็นที่สุด
“งานเปิดตัวโรงแรมใหม่ของภพที่ชาบอกพ่อใช่ไหมลูก งั้นดีเลย วันงานพ่อฝากช่อดอกไม้ไปยินดีกับภพด้วยนะลูก”
วิษณุที่เอ็นดูเพื่อนสนิทของลูกสาวโดยเฉพาะพิภพที่แต่ก่อนบ้านของคุณย่าของพิภพนั้นอยู่ข้างบ้านของตนทำให้ริชาและพิภพสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อคุณย่าเสียไปนั้นถึงจะไม่ค่อยได้กลับไปที่บ้านหลังเก่าแต่ทั้งริชาและพิภพก็ติดต่อกันอยู่เสมอจนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
“ได้ค่ะพ่อ เดี๋ยวชาน่าจะไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนนะคะ…น่าจะกลับไม่ดึก”
ริชาพูดพลางตักแกงจืดของพ่อเข้าปากคำโต วิษณุที่ทำได้เพียงมองอย่างเอ็นดูเพราะคำว่าไม่ดึกเท่าไรของลูกสาวมักจบลงตรงที่นอนกับชมแพรที่คอนโดฯ เสมอ
เมื่อสังเกตได้ว่าพ่อของเธอมองเธอพลางกลั้นยิ้ม ริชาจึงทำได้เพียงยืนยันอย่างหนักแน่นว่าตนจะกลับไม่ดึกอย่างแน่นอน
“ถ้าดื่มห้ามขับนะชา ไม่ก็เตรียมเสื้อผ้าไปค้างกับแพรหรือไม่ก็นอนที่ร้านไปเลย พ่อจะได้ไม่ต้องห่วงมาก” วิษณุได้ทีบ่นเป็นชุดก่อนลูกสาวจอมแสบจะพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วรีบลุกขึ้นไปเติมข้าวทันทีเพื่อไม่ให้เขาได้มีช่องไฟในการบ่น
ยามเมื่อรถยนต์ขับออกจากรั้วบ้านโดยมีผู้เป็นพ่อเดินออกมาส่ง ริชาโบกมือลาผู้เป็นพ่อเหมือนอย่างเคยก่อนจะขับรถมาเรื่อยๆ ด้วยไม่รีบร้อนนักเพราะวันนี้เธอนั้นออกมาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
ขณะที่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ปะทะใบหน้าและตัวเลขสีแดงกำลังนับถอยหลังนั้น ริชากำลังนึกถึงความฝันเมื่อคืน เหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนช่วงที่ริชาอายุสิบแปดปีที่กำลังจะไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือแม่ของเธอที่จากไปตลอดกาล
เหตุการณ์มากมายในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนริชาเก็บไปฝันอยู่บ่อยครั้งและอีกหลายคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ หลังจากแม่เสียชีวิตริชากับพ่อก็เหลือกันอยู่สองคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาตลอด
พ่อของริชาเป็นอาจารย์สอนภาควิชาของคณะสังคมศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านและหลังจากริชาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจึงเริ่มมีหลายสิ่งให้ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่หนักขึ้น สังคมเพื่อนที่เปลี่ยนไปจนริชาไม่ได้นำเรื่องอุบัติเหตุในวันนั้นมาคิดอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นช่วงแรกที่เหตุการณ์พึ่งเกิดและนั่นทำให้ผู้เป็นพ่อของเธอสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก
ในช่วงแรกบ้านที่ขาดแม่ไปนั้น…ริชาที่นอนไม่หลับด้วยกลัวที่จะฝันถึงเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอมักพบว่าไฟในห้องของพ่อยังสว่างเสมอในทุกคืนเช่นกัน จนกระทั่งเวลาที่ผ่านเลยไปสามารถช่วยเยียวยาบางสิ่งได้เช่นกันถึงแม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม
เมื่อมาถึงลานจอดรถของโรงแรมติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้นัดแนะกับพิภพไว้เมื่อช่วงเช้านั้น ริชาเอี้ยวตัวไปหยิบเอกสารที่อยู่ที่เบาะหลังก่อนจะรีบเดินเข้าไปในตัวอาคารทันที ภายในโรงแรมห้าดาวที่วิวของห้องพักสามารถมองเห็นโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างงดงาม
ขณะที่ริชากำลังจะหยิบโทรศัพท์โทร.หาเกศราเลขาฯ ของพิภพนั้น จู่ๆ ก็มีฝ่ามือคู่หนึ่งเข้ามาปิดที่ดวงตาของเธอทั้งสองข้าง แต่เมื่อริชาได้กลิ่นน้ำหอมที่ลอยมานั้นก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด
“แพร แกก็เล่นเป็นเด็กๆ” เจ้าของฝ่ามือหัวเราะคิกคักก่อนจะรีบเอามือออกแล้วเดินมาอยู่ด้านหน้าของผู้เป็นเพื่อน
“ฉันไม่สาย แกก็ไม่สาย นี่มันเหตุอัศจรรย์อะไรกัน”
ชมแพร หุ้นส่วนร้านดอกไม้และเพื่อนสนิทอีกคนของริชาที่ปกตินั้นไม่เธอก็หล่อนใครสักคนต้องมาสายเสียทุกครั้งไป
ยังไม่ทันที่ริชาจะได้ตอบอะไรเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับชายหนุ่มคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอทั้งสองคนที่วันนี้ดูแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กผ้าสีเข้ม แต่เพราะด้วยส่วนสูงที่เกือบๆ จะร้อยแปดสิบสามของพิภพทำให้เวลาเขาใส่อะไรก็ดูดีไปเสียหมด
“วันนี้เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเลย พวกแกตรงเวลาขนาดนี้” พิภพพูดพลางเดินเข้ามาหาสองสาวที่ตอนนี้คิ้วขมวดเข้าหากันจนชายหนุ่มต้องรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที “มาเร็วก็ดีแล้วไงจะได้รีบไปหาอะไรกิน ฉันมาตั้งแต่เช้าหิวจะตาย” เขาบ่นอุบก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ทำปากดีไปเถอะค่ะไอ้คุณบอส อย่างน้อยฉันกับไอ้ชาเรื่องงานก็ไม่เคยสายนะขอบอก” ชมแพรพูดจบก็หันไปจูงมือริชาที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วเดินนำพิภพออกไปในทันที
เมื่อเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงรับรองของทางโรงแรมทั้งสามคนก็ได้พบกับเกศราผู้ช่วยของพิภพที่เดินตรงเข้ามาทักทายพวกเขาในทันที
ภายในห้องกว้างนั้นริชาและชมแพรเริ่มแบ่งห้องจัดเลี้ยงออกเป็นส่วนต่างๆ ก่อนจะถามพิภพว่าต้องการรูปแบบของงานให้ออกมาในรูปแบบใด แต่เพราะทำงานด้วยกันมาหลายครั้งทำให้เกศราที่ไว้ใจทั้งสองคนอย่างเต็มที่ขอตัวไปทำเอกสารสำคัญที่เหลือและเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับเพื่อนๆ ของเจ้านายของเธอด้วยนั่นเอง
“นี่เป็นส่วนของรายละเอียดของแต่ละโซนนะภพ ชาร่างมาให้คร่าวๆ ส่วนพวกสีของดอกไม้ภพอยากได้สีโทนประมาณไหนมองไว้บ้างไหม” ริชายื่นกระดาษสองสามแผ่นให้กับพิภพก่อนเขาจะรับไปแล้วเปิดอ่านอย่างละเอียด
“ไม่ติดอะไรเลยนะ…แต่ถ้าสีดอกไม้ภพอยากให้เน้นเป็นสีสบายตาก็พอ ไม่เน้นสีไหนเป็นพิเศษเอาที่ชากับแพรเห็นสมควรได้เลย” ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก็จะส่งกระดาษคืนให้กับริชา “แต่ภพอยากได้กลิ่นน้ำหอมในงานแบบกลิ่นของงานที่แล้วนะชา…คุณย่าท่านชอบ”
พูดจบก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาในทันทีด้วยคุณย่าของพิภพเสียชีวิตไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับแม่ของริชา ทำให้ริชาที่ดูออกว่าพิภพยังคงเสียใจกับการจากไปของคุณย่าของเขาอยู่จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับปากเท่านั้น
หลังจากทำงานกันอย่างหนักเสียจนลืมดูเวลาก็ตกบ่ายแก่ๆ เสียแล้ว อาหารที่ถูกยกมาเมื่อเที่ยงดูจะเย็นชืดเสียหมดเพราะในขณะที่ทั้งชมแพรและริชาทำงานนั้นถ้าหากยังไม่เข้าที่เข้าทางตามที่ทั้งสองตั้งไว้แล้วละก็จะไม่หยุดไปทำสิ่งอื่น
ด้วยวิธีการทำงานที่ดูจะสุดโต่งไปเสียหน่อยทำให้ทั้งร้านมีแค่พวกเธอทั้งสองคน ก็คงเพราะวิธีการทำงานและแนวคิดที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันจึงไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย
“ชา ฉันว่าถ้าสีมันสบายตาไปหมดมันจะจืดไปหน่อยไหม” ชมแพรเปิดงานเก่าของเธอทั้งสองขึ้นมาก่อนริชาจะเดินเข้ามาดู
“งั้นเราเน้นสักสีเป็นจุดเด่นหน่อยไหม อย่างชาว่าน้ำเงินน่าจะดีเข้ากับสีของทางโรงแรมด้วย” ทั้งสองสบตากันอย่างรู้ใจก่อนจะพูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“ ไฮเดรนเยีย!”
ความคิดเห็นที่ตรงกันนี้ทำริชาและชมแพรหัวเราะขึ้นเบาๆ ด้วยทั้งสองตอนนี้อยู่ด้วยกันบ่อยเสียจนราวกับว่าอ่านใจกันได้แล้วก็ไม่ปาน
พิภพที่พักช่วงหลังจากจัดการกองเอกสารที่ห้องทำงานได้มองไปยังจานอาหารที่ยังสะอาดเอี่ยมและอาหารที่เหมือนกับตอนที่เขาบอกให้พนักงานยกเข้ามาไม่มีผิด แต่นั่นก็ถือว่าเป็นปกติของเพื่อนทั้งสองคน ด้วยต้องไปจัดการงานที่เหลือ เขาจึงเลือกที่จะไม่รบกวนผู้เป็นเพื่อนแล้วเดินไปขอความช่วยเหลือพนักงานแทนก่อนจะสั่งเครื่องดื่มไปให้ทั้งสองคน
“เดี๋ยวผมจะไปประชุมนะครับ ฝากคุณน้ายกกาแฟไปให้สองสาวในห้องด้วยครับ กาแฟดำสองแก้ว…แก้วหนึ่งใส่น้ำตาลก้อนเดียวอีกแก้วไม่ใส่ครับ”
“ได้ค่ะคุณภพ เดี๋ยวน้าจะดูแลสองสาวให้เอง” พนักงานคนนั้นตอบรับทันทีก่อนเขาจะโค้งให้เธอเป็นการกล่าวขอบคุณ
เมื่อกาแฟยกถูกยกเข้ามา กลิ่นหอมที่ลอยมานั้นก็ทำให้สาวกกาแฟทั้งสองคนถึงกับมองหน้ากันอย่างรู้ใจก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะรับแขกในทันที
ทั้งสองกล่าวขอบคุณพนักงานที่ยกกาแฟมาให้ทั้งสองก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรง
“พอได้นั่งถึงรู้ว่าปวดขา!” ชมแพรบ่นอุบพลางมองไปที่ถาดที่ใส่กาแฟดำร้อนที่มีกระดาษโน้ตเขียนมาที่ใต้แก้วว่าน้ำตาลหนึ่งก้อนและไม่ใส่น้ำตาล
“นี่ค่ะคุณริชา อันนี้ของแกไม่ใส่น้ำตาล จะว่าไปไอ้คุณบอสเนี่ยก็ใส่ใจแกตลอดเลยนะ…” ชมแพรพูดพลางจิบกาแฟเข้าปากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสายตาพิฆาตของคนที่นั่งข้างๆ
“ใส่จงใส่ใจอะไรแพร เนี่ยของแกภพมันก็รู้ว่าแกกินกาแฟใส่น้ำตาลก้อนเดียว” พูดจบก็ยกกระดาษโน้ตขึ้นก่อนชมแพรจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วยักไหล่เป็นคำตอบ
ชมแพรจิบกาแฟช้าๆ ก่อนจะบรรจงวางลงที่โต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นสายตาจึงจ้องมองไปยังเพื่อนสนิทอย่างมีคำถามบางอย่าง
“เอาจริงๆ นะชา มองจากดาวอังคารใครก็รู้ พ่อแกยังเคยมาถามฉันเลยว่าตกลง…ยังไง”
คำว่า ‘ยังไง’ ที่ดูเหมือนจะถูกเน้นหนักเป็นพิเศษทำให้ริชานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบแทนด้วยเพราะไม่ใช่เธอเองไม่รู้ว่าพิภพคิดเช่นไร แต่กลับเป็นเธอเองที่ไม่เคยแน่ใจในความรู้สึกของตนเอง
สายตาของชมแพรที่ยังคงจ้องริชาไม่วางตาก่อนจะเป็นริชาเองที่ยอมแพ้ แล้วยอมวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะและจะมองไปยังเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่ใช่ไม่รู้นะ แกก็รู้ฉันกับภพโตมาด้วยกัน” ริชาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเงียบไป แต่สำหรับคนที่เอาใจช่วยทั้งสองคนมาตั้งแต่สมัยเรียนอย่างชมแพรแล้วนั้นกลับดูเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
“แล้วยังไงชา โตมาด้วยกันแล้วยังไง”
“ฉันเองก็บอกไม่ถูก…” ริชาพูดขึ้นพลางในหัวก็คิดถึงความรู้สึกที่ตนมีต่อพิภพ “มันรู้สึกลึกๆ จากข้างในแต่เป็นความรู้สึกบางอย่าง ถึงฉันอธิบายไปแกก็ไม่เข้าใจหรอก” พูดจบริชาก็ลุกขึ้นไปทำงานต่อทันทีทิ้งให้ชมแพรที่ลุ้นอยู่ถึงกับมองตามตาละห้อย
หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวันและอาหารที่แทบไม่ตกถึงท้องทำให้มื้อเย็นนี้พิภพอาสาเป็นเจ้าภาพ และตามระเบียบที่ชมแพรกับริชานั้นก็ลงมือสั่งอาหารไม่ยั้งแต่ทุกอย่างก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่เพียงริชาและชมแพรที่แทบจะไม่ได้รับประทานอะไรมาทั้งวัน พิภพเองก็เช่นกัน เพราะวันนี้เขาต้องขึ้นลงห้องจัดเลี้ยงกับห้องประชุมเป็นว่าเล่น
“สั่งเพิ่มไหมภพ” ริชามองไก่ทอดชิ้นสุดท้ายที่เพื่อนยกขึ้นแทะจนไม่เว้นแม้แต่กระดูกอ่อน
“ฉันดูหิวขนาดนั้นเลยเหรอแก” เขาถามพลางได้คำตอบกลับมาเป็นการพยักหน้างึกๆ
ชมแพรที่มองสลับไปมาระหว่างทั้งสองก่อนจะพูดขึ้น “โอ๊ย! เบื่อคนมองตากัน พี่คะสั่งชุดของทอดเพิ่มหน่อยค่ะแล้วก็เครื่องดื่มอันนี้” ชมแพรที่พูดติดตลกก่อนจะสั่งเครื่องดื่มมาเพิ่มในทันทีทำให้ทั้งสองคนแทบจะมองไปคนละทางเพราะไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี
ทั้งสามคนพูดคุยกันเรื่องสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อยก่อนที่เมื่อดูเวลาจะล่วงเลยไปจนเกือบๆ จะสี่ทุ่มกว่า ริชาที่นึกถึงคำพูดของพ่อก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้เพราะว่าชมแพรกับพิภพยังคุยกันอย่างออกรสและเครื่องดื่มก็พึ่งมาเสิร์ฟที่โต๊ะเมื่อสักครู่นี้เอง เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความบอกผู้เป็นพ่อว่าวันนี้เธอจะค้างที่ร้าน
เมื่อดื่มเครื่องดื่มกันอย่างหนักให้สมกับงานที่เหนื่อยมาทั้งวันและลงมติกันแล้วว่าทุกคนไม่สามารถขับรถได้ ทั้งสามเลยตัดสินใจกลับมานอนที่ร้านดอกไม้ทั้งหมด ริชาที่ดูมีสติที่สุดรองลงมาก็คงจะเป็นพิภพที่ช่วยกันหิ้วปีกชมแพรเข้ามาที่ชั้นบนของร้านก่อนจะส่งชมแพรเข้านอนด้วยความยากลำบาก สาวน้อยที่ตอนนี้ตัวหนักเป็นพิเศษเสียงดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงหมอนข้างเข้ามากอดแล้วหลับไปในทันที
“ไอ้แพรนะไอ้แพร ผู้หญิงตัวแค่นี้ทำมันหนักจังวะ” พิภพบ่นอุบก่อนจะได้ยินเสียงริชาที่หัวเราะเมื่อฟังคำพูดของเขาจบ
เมื่อสังเกตว่าผู้เป็นเพื่อนเงียบไป ริชาที่รู้สึกถึงสายตาของพิภพก็หันไปมองในทันทีก่อนจะพบกับสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองเธออยู่ไม่วางตา หญิงสาวเอียงคอน้อยๆ แล้วยิ้มให้เขาก่อนที่เขาจะละสายตาไปทางอื่นแล้วใช้นิ้วดันหน้าผากของริชาให้หันหน้าไปอีกด้านเช่นกัน
“ไม่มองแกละ ไปนอนดีกว่า” พิภพที่พอพูดจบก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปทิ้งร่างลงที่โซฟาที่ห่างออกไปไม่ไกล ริชาที่เห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนจะเดินเข้าไปรินน้ำจากห้องครัวแล้วนำมายื่นให้เขา
“เอานี่กินน้ำหน่อย ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัวมาก”
ร่างของชายหนุ่มที่ยังคงหลับตานิ่งแต่เมื่อได้ยินเสียงของริชาพิภพจึงลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะพบแก้วน้ำที่ยื่นมาอยู่ตรงหน้า เขาจึงลุกขึ้นนั่งก่อนจะรับแก้วน้ำมาแล้วดื่มจนหมดอย่างว่าง่าย
ริชาที่เห็นดังนั้นก็เบาใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ที่ร้านในช่วงที่เธอกับชมแพรเดินไปเข้าห้องน้ำนั้นขณะที่กำลังจะกลับมาที่โต๊ะ เธอสังเกตเห็นท่าทางของพิภพที่กำลังพึมพำราวกับพูดคุยกับใครอยู่ หากแต่ภาพที่ริชาเห็นนั้นคือเพื่อนของเธอกำลังพูดอยู่กับอากาศธาตุนั่นเอง
หลังจากแยกย้ายกันไปเข้านอน ริชาที่ยังคงนอนไม่หลับกำลังนั่งรับลมที่ระเบียงพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบจากตึกสูงมากมาย
หญิงสาวนึกเสียดายอยู่ไม่น้อยด้วยเธอนั้นชอบมองดูดวงดาวเพราะเมื่อตอนยังเป็นเด็กนั้น แม่แก้วขวัญของเธอมักบอกเสมอว่าเมื่อคนเราไม่มีลมหายใจแล้วจะขึ้นไปอยู่บนฟ้าคอยมองลงมายังคนที่ตนเองห่วงใยที่ยังคงมีชีวิตอยู่
‘ชาเชื่อว่าแม่ยังมองดูชาอยู่เสมอ’ หญิงสาวนึกขึ้นพลางหยาดน้ำอุ่นๆ ก็รื้นขึ้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง ริชาสะบัดหน้าน้อยๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาก่อนจะกุมมือหลวมๆ ไว้ที่กลางหน้าอกราวกับกำลังอธิษฐานขอพร
เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ดั่งคำปลอบโยนจากฟากฟ้าจู่ๆ แสงสว่างสีแดงก็ส่องแสงขึ้นทาบผ่านเป็นเส้นยาวบนท้องฟ้าสีดำสนิท หญิงสาวรีบหลับตาอีกครั้งเพื่ออธิษฐานในทันทีเมื่อมองเห็นดวงตกดวงหนึ่งที่ปรากฏบนท้องฟ้าเหมือนว่าได้รับคำปลอบโยนจากผู้เป็นแม่ก็ไม่ปาน
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เพราะไม่ว่ายามใดที่เธอรู้สึกเหนื่อยล้าท้อแท้ หากมองไปยังบนท้องฟ้าบ่อยครั้งที่ปรากฏดาวตกสีแดงประหลาดนี้ขึ้น
แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ได้ถูกแทนที่ด้วยเสียงกุกกักที่ดังมาจากห้องครัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ริชาลุกขึ้นจากริมระเบียงก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าที่เงียบที่สุดไปยังต้นตอของเสียงที่ยังดังไม่หยุด
ริชาที่เดินมาจนถึงประตูห้องครัวที่ขณะนี้มีแสงไฟบางอย่างส่องสว่างอยู่ เธอค่อยๆ ปรับสายตาให้เข้ากับความมืดก่อนจะเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟที่ผนัง แสงสว่างที่เข้ามาแทนที่ความมืดนั้นก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มตัวสูงเพียงหนึ่งเดียวในบ้านกำลังหาวิธีต้มน้ำร้อนกับแกะซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและมองมาที่เธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ก่อนจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังริชาที่ยังคงยืนอยู่ตรงสวิตช์ไฟ
“แล้วทำไมแกไม่เปิดไฟ ตกอกตกใจหมด” ริชาโวยวายขึ้นก่อนพิภพจะขำแห้งๆ กลบเกลื่อน
“แกกินด้วยไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นก่อนริชาจะเดินตรงไปหาเขาแล้วรับหม้อกับซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาไว้ในมือแล้วลงมือทำให้เขาเอง
ชายหนุ่มหน้ายิ้มแป้นก่อนจะเข้าไปบีบๆ นวดๆ ไหล่ให้กับเพื่อนอย่างดีใจ “คุณริชาเนี่ยใจดีที่สุดเลยครับ บะหมี่ที่ไหนจะอร่อยสู้บะหมี่ของคุณริชาได้”
พิภพที่กำลังยิ้มหน้าเป็นในขณะที่คนกำลังต้มบะหมี่อยู่หน้าเตาได้แต่หันมามองเขาแล้วถอนหายใจเบาๆ
“ใครบอกแกไม่ทราบ ฉันแค่ยังไม่อยากซื้อครัวใหม่”
ริชาพูดจบก็หันหลังกลับไปต้มบะหมี่ต่อในทันที ก่อนพิภพจะยักไหล่น้อยๆ แล้วมองริชาต้มบะหมี่อยู่เช่นนั้นเงียบๆ
ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันเพราะบ้านของคุณย่าพิภพอยู่ติดกับบ้านของริชาทำให้สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อนคุณย่าของพิภพก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุในเวลาไล่ๆ กันกับแม่ของริชา ช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนี้เด็กทั้งสองได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการสูญเสียคนสำคัญในเวลาพร้อมๆ กันทำให้ทั้งพิภพและริชาเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้เป็นอย่างดี
ริชามองไปยังพิภพที่กำลังเท้าคางมองมาที่เธอด้วยสายตาที่คนถูกมองรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของอีกฝ่ายมีให้เธอได้ในทันที เมื่อสายตาของทั้งสองคนผสานกันอยู่เพียงไม่กี่วินาทีริชาจึงรับรู้ได้ถึงไอระเหยจากน้ำเดือดที่อยู่ในหม้อจนต้องรีบละสายตาจากพิภพ
ริมฝีปากที่ยังคงหนักอึ้งของชายหนุ่มนั้นได้แต่เม้มเข้าหากันพลางคิดหาคำพูดบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นนี้
“ชา…” เสียงเรียกชื่อของหญิงสาวที่ดังขึ้นก่อนริชาจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพิภพที่อยู่ตรงหน้า
“ว่า…” หญิงสาวขานรับทั้งที่มือยังคงกำลังใช้ช้อนคนอาหารที่อยู่ในหม้อ
“ฉันมีคำถาม…”
“ก็ถามมา…” ริชาจู่ๆ ก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตนเองหนักอึ้งเช่นกัน หากแต่สายตาของพิภพก็ยังคงมองมาที่เธอ หญิงสาวที่พยายามเก็บอาการจึงทำได้เพียงตักอาหารที่พร้อมรับประทานแล้วนั้นลงจานสองใบในทันทีก่อนจะยกมาตั้งโต๊ะด้านหน้าของพิภพ
“ได้แล้ว ระวังร้อน…” เธอพูดพลางใช้ปากเป่าลมหายใจของตัวเองไปที่จานอาหารเบาๆ ก่อนจะมองไปยังพิภพที่ยังคงเงียบไม่มีแม้แต่คำพูดใด
“ว่า…” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้งก่อนชายหนุ่มจะหลุบตามองต่ำแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองมาที่ริชาอีกครั้ง
“ชา ฉันคิดมาอย่างดีมากๆ แล้วจริงๆ ฉันแค่อยากถามว่าแก…”
ยังไม่ทันที่คำพูดประโยคสุดท้ายของพิภพจะได้เอ่ยออกมานั้น จู่ๆ สายลมวูบหนึ่งก็พัดเข้ามาทางประตูที่ติดกับชานระเบียงอย่างแรง ก่อนบนท้องฟ้ายามราตรีนั้นจะปรากฏฝนดาวตกสีแดงฉานลากผ่านบนท้องฟ้าสีดำสนิทจนสว่างไสวดูน่าตกใจ
ริชาและพิภพที่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนในทันทีด้วยความตกตะลึงก่อนจะรีบวิ่งออกมาชมปรากฏการณ์ธรรมชาติของฝนดาวตกที่ริมระเบียงอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ขอพรๆ เร็วๆ เลยภพเดี๋ยวจะไม่ทัน…”
ริชาที่พูดจบก็รีบเร่งหลับตาแล้วก้มมือไว้ที่หน้าอกในทันที เมื่อเห็นดังนั้นพิภพก็รีบทำตามในทันทีก่อนที่ดาวตกสีแดงฉานนั้นจะลาลับท้องฟ้าไป
‘หากว่าขอพรดาวตกแล้วจะสมดังปรารถนา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมจะขอให้ริชาอยู่กับผมตลอดไป…’
ทั้งสองหลับตาลงพลางอธิษฐาน เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นช้าๆ ริชามองจ้องพิภพที่ยังคงหลับตาสนิทอยู่ หากแต่ไม่นานดวงตาข้างหนึ่งก็เปิดออกก่อนจะมองไปยังริชาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนมีความสุข
“อธิษฐานอะไรบอกหน่อย…”
“แกไม่เคยได้ยินเหรอริชา ถ้าบอกคำอธิษฐานใครแล้วคำอธิษฐานนั้นจะไม่เป็นจริง…”
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ