ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
ณ ดินแดนที่ประกายแสงส่องสว่างดังยามทิวาวารตลอดกาล ทัศนาโดยรอบจักมองเห็นละอองสีทองสุขสกาวของรัศมีเทวากระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในมวลของอากาศอย่างงดงาม ภูเขาใหญ่สูงตระหง่านเสียดฟ้านามนั้นเรียกขานเขาไกรลาสอันเป็นที่สถิตแห่งองค์มหาเทพ….ลึกลงไปยังคงมีสถานที่แห่งหนึ่งจากผืนแผ่นดิน ณ เชิงเขาไกรลาส
ปากถ้ำใหญ่ที่ทางเข้าปิดสนิทด้วยพระเวทและอักขระเวทโบราณที่สลักบนบานประตูถ้ำที่ทำจากหินแกะสลักอย่างงดงาม แต่เพราะความเข้มขลังของมันและอักขระที่เรืองแสงสีทองออกมาทำให้ทราบได้ทันทีว่าเป็นสถานที่ไม่ธรรมดา
เมื่อเข้ามาภายในนั้นก็ปรากฏภาพของธารลาวาร้อนสีแดงฉานที่หลั่งไหลอยู่ภายในมากมาย ทำให้ทุกมวลของอากาศเต็มไปด้วยไอระอุจากความร้อนเสียจนหายใจออกมาได้อย่างอยากลำบาก เสียงประทุของลาวาสีแดงฉานนั้นดังสนั้นสลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากวัชระอาวุธประจำกายขององค์อัมรินทร์ที่ล่องลอยอยู่เบื้องบนเพดานของถ้ำ
ใจกลางนั้นมีแท่นพิธีที่ทำจากหินขนาดไม่กว้างนักตั้งอยู่ใจกลางโดยมีทางเชื่อมไปยังหินตรงไปจากปากถ้ำ ปลายสุดของลานนั้นมีร่างของใครผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิด้วยความสงบเสียจนราวกับว่าความร้อนโดยรอบไม่เป็นผลกับเขาแม้แต่น้อย
ดวงตาที่ยังคงปิดสนิทหากแต่สันกรามที่ขบเข้าหากันแน่นเมื่อยามสายวัชระผ่าลงมาที่ตน ตามเนื้อตัวและร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่ามีเพียงผ้าพาดสีแดงเข้มหนึ่งผืนเท่านั้นเผยให้เห็นร่องรอยบาดแผลมากมายตามร่างกายกำยำ
บาดแผลเหล่านั้นสร้างความเจ็บปวดให้เขาเป็นอย่างมาก แต่เพราะด้วยเหตุผลนานัปการและสิ่งที่เขาเคยกระทำนั้นสำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นราคาที่ต้องจ่าย ด้วยอยู่ในสภาวะไม่เอื้อต่อสิ่งใด ผ้านุ่งโจงที่แต่ก่อนนั้นเคยขาวนวลแลลายสลักสีทองงามที่สว่างด้วยดวงจิตบริสุทธิ์แห่งเทวะก็ขุ่นหมองลงเล็กน้อยตามห้วงอารมณ์ของผู้สวมใส่
ใจที่นิ่งที่สงบนั้นไม่นานก็ปรากฏห้วงความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก่อนขึ้น ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบนั้นกลับปรากฏคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมในทันที
“เจ้าไปไม่ได้!”
เสียงร้องเตือนของผู้เป็นสหายดังขึ้น หากแต่ชายที่บัดนี้ร่างกายและฝ่ามือกลับลุกโชติช่วงไปด้วยเพลิงสีแดงฉานของอัคคีเทพกลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง
“นางอยู่ในอันตราย เราต้องไปพายะ….”
“แต่หากเจ้าไป ต้องกลับไปที่ถ้ำทัณฑ์อัคคี….พลังเทพของเจ้าในตอนนี้….ศิคิน!”
ไม่ทันสิ้นคำจบประโยค ร่างของผู้เป็นสหายก็หายวับไปในทันทีหลงเหลือไว้เพียงความร้อนของเปลวไฟและละอองแสงสีแดงไว้ในตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่เท่านั้น พร้อมๆ กับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเขาเอง ไม่นานร่างกำยำของเขาจึงหายวับติดตามสหายไปเช่นกัน
เมื่อตามมายังสถานที่ที่สหายอยู่นั้นก็บังเกิดลมพายุโหมกระหน่ำในทันทีก่อนจะปรากฏร่างวิสุทธิ์ของตนที่กลางพายุนั้น พายะที่มองไปโดยรอบก็พบว่าบัดนี้ศิคินกำลังอุ้มร่างของเด็กชายผู้หนึ่งไว้บนไหล่ หากแต่อีกมือกำลังถือพระขรรค์ไว้ก่อนจะใช้เพลิงอัคคีของตนต้านพลังของดวงไฟมากมายที่โจมตีไปที่ศิคินและเด็กหนุ่ม
เสียงระเบิดกึกก้องที่ดังขึ้นเมื่อยามเปลวอัคคีปะทะเข้ากับดวงไฟมากมายนั้น พายะที่รีบเหาะเข้าไปที่ด้านหลังของศิคินในทันทีก่อนจะใช้พลังของตนเพื่อสะท้อนให้เหล่าดวงไฟที่ถาโถมเข้ามาเพิ่มนั้นไม่สามารถถึงตัวของศิคินได้
“ถอย!”
เสียงคำสั่งของใครผู้หนึ่งดังขึ้น เมื่อสังเกตได้ว่าบัดนี้เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่เพียงศิคินที่กำลังแบกร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งทำให้ต่อสู้ได้ไม่เต็มกำลังหากแต่ยังมีพายะที่ตามมาสมทบ
เมื่อเหล่าดวงไฟสลายไปจนหมดสิ้น ศิคินและพายะจึงร่อนลงที่พื้นก่อนจะวางร่างไร้สติของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งลงอย่างเบามือ
“ดูท่าพวกมันคงไม่ย้อนกลับมาแน่….คนผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าใดนัก วานเจ้าพิทักษ์ไว้จนกว่าจะมีคนมาพบด้วยเถิดพายะ….”
“เหตุใดจึงเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ แล้วนั้นเจ้าจักไปที่ใด!”
พายะถามขึ้น หากแต่มองตามร่างของผู้เป็นสหายที่ทำทีราวกับจะหายองค์ไปที่อื่นอีกครั้ง
“เราจำเป็นต้องช่วยเขาก่อน นางยังมีอัคคีเทพของเราคอยปกป้องแต่ตอนนี้เราต้องรีบไป!”
พายะที่กำลังจะอ้าปากร้องห้ามผู้เป็นเพื่อนหากแต่เมื่อมองเห็นดวงตาทั้งสองข้างของศิคิน บัดนี้แดงก่ำไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเป็นคำตอบเท่านั้น
“เจ้าไปเถอะ….ไปช่วยนาง!”
ร้องยิ้มคลี่ออกเล็กๆ ที่มุมปากเมื่อยามได้ฟังสหายรักกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนที่ร่างของเทพหนุ่มก็อันตรธานหายไปจากบริเวณนั้นในทันที
ความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นกลับสร้างบาดแผลกรีดลงที่ภายในนับครั้งไม่ถ้วน ร่างของศิคินบัดนี้ที่ต้องทนทานต่อวัชระที่ผ่าลงมาอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงความร้อนของไฟลาวาใต้พิภพยิ่งทำให้พลังเทพภายในกายนั้นสับสนมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่บาดแผลฉกรรจ์มากมายนั้นอาจทำให้สิ้นสติได้ทุกเมื่อ
เมื่อใช้ดวงใจสัมผัสได้ถึงพลังอัคคีของตน….ร่างของเทพหนุ่มก็ปรากฏขึ้นยังสถานที่หนึ่ง
ท่ามกลางความมืดมิดของสนามกว้าง ร่างของใครคนหนึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังสนั้นแข่งกับสายลมหนาวที่พัดผ่านร่างบางนั้นทำให้เด็กสาวกระชับกอดร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไว้แน่นอย่างโดดเดี่ยว
บนท้องฟ้าที่สว่างไสวไปด้วยพลุไฟในยามนี้นั้นหาได้งดงามน่าชมแม้แต่น้อย ศิคินที่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากเกินบรรยาย เขาเพียงผายมือออกไปด้านหน้าเล็กน้อยจึงบังเกิดไออุ่นล่องลอยไปที่ริชาในทันที
เด็กสาวที่เหมือนจะรับรู้ได้นั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาขึ้นก่อนจะมองไปในทิศทางของไออุ่นนั้น
“เจ้าคงไม่เห็นเรา….” ศิคินพึมพำก่อนจะเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของเด็กสาว
สายที่มองตามเขาไม่วางตานั้นก่อนริมฝีปากบางจะกล่าวขึ้น
“คุณเป็นใครเหรอคะ”
เสียงสั่นระริกที่ถามขึ้นนั้นทำให้น้ำตาที่อดกลั้นมานานของศิคินไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาทรุดตัวลงตรงหน้าริชาช้าๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาที่อาบทั้งสองแก้มอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม
“ปลอดภัยแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว….”
แสงสีแดงจากปลายฝ่ามือของศิคินที่สัมผัสแก้มนวลนั้นส่งผ่านไปยังริชาช้าๆ ดวงตาของริชาจึงค่อยๆพร่ามัวลงด้วยพระเวทของศิคินนั้น ก่อนร่างสูงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันมองไปยังเหล่าดวงไฟมากมายที่ตรงเข้ามายังตนและริชา
เมื่อแสงสีแดงเจิดจ้าจากร่างของชายหนุ่มสว่างไสวไปทั่วบริเวณ….สติสุดท้ายของริชาก็ดับวูบลงล่องลอยราวความฝันตื่นหนึ่งเพียงเท่านั้น
เมื่อครบกำหนดเวลาที่สายอสุนีบาตหมดสิ้นลง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ความว่างเปล่าภายในใจที่สะท้อนออกมาจากทางสีหน้าและแววตา ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลหากแต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวของภายในที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี
ศิคินค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นพลางเดินย้อนกลับไปที่ประตูถ้ำ และเมื่อมันเปิดออกทันทีที่เขาก้าวเท้าข้ามผ่านธรณีประตูนั้นบาดแผลทั้งหมดก็หายไปราวกับว่าเขาไม่เคยมีบาดแผลฉกรรจ์เหล่านั้นมาก่อน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยบางเบาตามต้นแขนและแผ่นหลังกว้าง
“ศิคินเจ้าชอบที่นี่มากหรือไร เหตุใดจึงช้านัก!”
เสียงทักทายดังขึ้นแทบจะในทันทีพร้อมๆ กับสายลมเย็นที่พัดมาที่เขาเมื่อยามเขาก้าวเท้าพ้นปากถ้ำ ศิคินไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพียงมองไปยังชายร่างสูงที่บัดนี้ยืนกอดอกมองมาที่เขาอยู่อย่างร้อนใจ
“เราเหนื่อยเกินกว่าจะตีฝีปากกับท่านแล้วองค์พายะ” เขาพูดพลางเดินนำไปก่อนผู้เป็นสหายจะเร่งเดินตาม
“เช่นนั้นมิสู้กลับวิมานพักเสียก่อนแล้วค่อยไปแดนอสุรา มหิธรกับสมุทราเองยังรั้งคอยอยู่ที่ชายแดนนั้นเจ้าพักเสียก่อนเถิด” ผู้เป็นสหายพูดขึ้นแต่ดูท่าว่าศิคินเองไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
“ไม่เป็นกระไรพายะ ไปกันเถอะ…” พูดจบก็หายองค์ไปในทันที ทิ้งไว้เพียงละอองเทพสีแดงระยิบระยับในอากาศเท่านั้น พายะที่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วใช้พระเวทหายองค์ตามศิคินไปเช่นกัน
เมื่อมาถึงยังชายแดนที่บัดนี้แผ่นดินอาณาเขตฝั่งอสุราที่ติดกับสุดแดนเขาพระสุเมรุนั้น เมื่อครั้งกาลก่อนเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความงดงามของพันธุ์ไม้ที่เติบโตในแดนทิพย์กลับแห้งแตกระแหง หลงเหลือเพียงกลิ่นของความตายและสูญเสียเท่านั้น
ความมืดมิดที่มีเพียงแสงสว่างเดียวจากใจกลางดินแดนหากแต่ส่องสว่างมาได้เพียงน้อยนิดที่สุดเขตแดนนี้ ศิคินมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังพลับพลาสีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่เขตแดนของตน
“องค์อัคคีศิคิน” ทหารเทพที่รับหน้าที่เฝ้าเวรยามก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ
“ตามสบายเถิด องค์สมุทราแลองค์มหิธรเล่า…”
“ว่าอย่างไรเจ้าคนดื้อดึง”
ยังไม่ทันจะได้ถามจบก็มีเสียงทักทายดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นชายหนุ่มรูปงามที่ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าพาดสีน้ำเงินเข้มพาดที่ไหล่ซ้ายเท่านั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พอจะเรียกรอยยิ้มจากคนถามได้อยู่บ้างเมื่อสมุทราเดินตรงเข้ามาหาศิคินพร้อมๆ กับพายะและมหิธรด้วยสีหน้าคาดโทษเสียจนศิคินอดรู้สึกผิดเป็นไม่ได้
เมื่ออยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดสี่องค์อันได้แก่ เทพศิคินผู้ปกปักธาตุไฟ เทพพายะผู้ปกปักธาตุลม เทพสมุทราผู้ปกปักธาตุน้ำ และเทพมหิธรผู้ปกปักธาตุดิน เทวะจตุธาตุแห่งสมดุลของจักรวาลและทั้งสี่องค์นั้นยังรั้งตำแหน่งแม่ทัพผู้นำศึกแห่งแดนสวรรค์ชั้นฟ้าโดยอยู่ภายใต้องค์อมรินทร์และองค์พระนารายณ์ หน้าที่สิทธิ์ขาดในการตรวจการแดนอสุราที่บัดนี้นับย้อนไปเมื่อครั้งหลายร้อยปีสวรรค์ได้เกิดเหตุวุ่นวายและความไม่สงบขึ้นจนเป็นเหตุให้แดนที่เคยอุดมสมบูรณ์และงดงามไม่แพ้กับแดนสวรรค์นั้นอยู่ในลักษณะเช่นนี้
มหิธรและสมุทราจ้องไปยังศิคินอย่างไม่วางตา ด้วยเขานั้นได้กำชับพายะแล้วว่าหากศิคินยังไม่กลับไปพักที่วิมานของตนให้หายดีเสียก่อนก็ให้รั้งไว้จนกว่าพลังของเขาจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ ด้วยการเข้าไปรับทัณฑ์นั้นหนักหนาเสียจนอาจทำให้ดวงจิตเทพของเขาบาดเจ็บได้
“เหตุใดเจ้าไม่รั้งเขาไว้” สมุทราใช้จิตถามไปที่พายะ
“เจ้าคิดว่าเราเคยรั้งศิคินได้หรือ” พายะเลิกคิ้วถามกลับไปยังสมุทรา
“เช่นนั้นหากเจ้ายังรั้งเขาไม่ได้ เราทั้งสองจักทำได้หรือ” มหิธรใช้จิตบ้างก่อนที่เสียงปิดตำราพระเวทจะดังขึ้น
ชายหนุ่มผู้สวมผ้าพาดไหล่สีแดงที่บัดนี้ปิดตำราพระเวทเสียงดังก่อนจะหันไปมองสหายของตนทั้งสาม
“จะใช้จิตคุยกันไปถึงเมื่อใด” เขาพูดอย่างติดตลกก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันรอฟังคำตอบ
“เช่นนั้น เราก็จะตรงไปตรงมา เมื่อไม่กี่เพลาก่อนเราเห็นดาราสีแดงฉานทาบผ่านไปยังแดนมนุษย์เบื้องล่าง” มหิธรหยุดเพียงเท่านั้นก่อนจะสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของศิคิน
“พวกเรารู้ว่าเจ้ามิอาจละวางนางได้ แต่แล้วอย่างไรศิคิน เจ้าจะต้องวนเวียนรับทัณฑ์ไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้หรือ” มหิธรถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“พวกเราเองก็ห่วงนางไม่น้อยกว่าเจ้า หากแต่ทุกอย่างมีเวลาของมัน เหมือนอย่างทัณฑ์ครานี้ที่เจ้าสังหารเหล่าอสูรที่แดนมนุษย์โดยไม่มีเหตุว่าพวกมันกระทำผิดอันใดจึงมิพ้นต้องทัณฑ์อีกครา” สมุทราพูดพลางถอนหายใจ
“เรารู้ว่ามันคุ้มกันที่จะแลกเพื่อให้นางปลอดภัย หากแต่คราหน้ามีกระไรต้องแจ้งแก่พวกเรา ไม่ใช่กระทำการเพียงผู้เดียวเช่นนี้” พายะพูดเสริมขึ้น ก่อนศิคินจะมองไปที่สหายทั้งสามด้วยซาบซึ้งถึงน้ำใจสหายทุกคน
พายะที่เห็นแล้วว่าเวลานี้นั้นควรเฉลิมฉลองเสียหน่อยที่สหายพ้นโทษ เขาจึงยกมือขึ้นพนมที่อกแล้วร่ายพระเวท ครู่หนึ่งก็ปรากฏไหสุราสีทองขึ้นบนโต๊ะตั่ง
สมุทราที่เห็นดังนั้นรู้สึกหน่ายอยู่ไม่น้อย ด้วยเขาและมหิธรนั้นต้องเข้าเฝ้าองค์อมรินทร์เพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆ หากแต่ตอนนี้ที่สุราชั้นดีของพระนางวารุณีที่เคยประทานให้พายะอยู่ตรงหน้าแล้วเห็นทีคงยากจะปฏิเสธ
“เรายังนึกลังเลอยู่ว่าเจ้ากับมหิธรจะรับสุราหรือไม่” พายะแกล้งพูดเย้าสมุทราเล่นขณะกำลังรินสุราให้สหาย
“สุราของพระนางวารุณีนับเป็นโอสถ” สมุทราพูดหน้าตายก่อนจะยกแก้วสุราขึ้นดื่ม
“นับเป็นโอสถ…” ทั้งสามคนที่เหลือพูดขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมายก่อนจะยกสุราขึ้นดื่ม
ชั่วขณะนั้นเองที่ศิคินกำลังจะยกสุราขึ้นดื่ม ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาก็ร้อนขึ้นในทันที เพลิงอัคคีสีแดงฉานลุกโชนขึ้นทั้งสองของฝ่ามือซ้ายขวา พร้อมๆ กับความเจ็บปวดที่กลางหน้าอกวิ่งลามไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
เสียงแก้วสุรากระทบพื้นเสียงดังสนั่นพร้อมๆ กับร่างของศิคินที่ทรุดลงไปกับพื้นในเพียงชั่วพริบตาที่ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกาย เขารับรู้ได้ในทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ภาพของหญิงสาวที่แสนคุ้นตาที่กำลังมีเพลิงอัคคีลุกท่วมทั้งสองฝ่ามือก็ลอยเข้ามาในทันที เขารวบรวมสมาธิเพื่อยับยั้งอัคคีที่หลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือตนเองพร้อมๆ กับเทพทั้งสามที่ต่างส่งพลังของตนเข้าช่วยผู้เป็นเพื่อนเช่นกัน
เมื่อเพลิงสงบลงศิคินที่พยายามรวบรวมสติให้ยังคงอยู่ ก่อนพายะจะเข้ามาพยุงเขาเอาให้ลุกขึ้นนั่ง
“เกิดกระไรขึ้น” พายะถามเสียงตื่นตระหนก
“เพลิงจากดวงใจอัคคี เป็นไปไม่ได้…” ศิคินพึมพำออกมาอย่างยากลำบากก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ข้าต้องไปตอนนี้ ช้าจะไม่ทันการ!” พูดยังไม่ทันขาดคำร่างของเทพหนุ่มก็หายไปในทันที ทิ้งไว้เพียงละอองเทพสีแดงลอยฟุ้งเป็นละอองบางๆ ในอากาศเท่านั้น พายะที่กำลังจะเอ่ยปากห้ามได้แต่หันหน้าไปสบตากับสหายทั้งสองในทันที
“ที่เราพูดเมื่อครู่นั้น พวกเจ้าว่าศิคินจะทันได้ฟังหรือไม่” ทั้งสามทำได้เพียงถอนหายใจก่อนจะมองตามละอองพลังของสหายที่ค่อยๆ สลายหายไปในอากาศ
ณ แดนมนุษย์
แสงสว่างที่เกิดจากฝ่ามือของริชาส่องสว่างไปทั่ว แต่มีเพียงแรงสั่นสะเทือนเท่านั้นที่มนุษย์ทั่วไปสามารถรับรู้ได้ ผู้คนในงานที่ตื่นตระหนกต่างวิ่งหลบกันให้จ้าละหวั่นเพราะแรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้โคมไฟระย้าที่ห้อยบนเพดานทยอยตกลงมาไม่ขาดสาย
ศิคินที่เดินทางมายังสถานที่ต้นเหตุนั้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ด้วยพบว่าริชากับพิภพที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่ที่พื้น โดยทั้งสองมือของริชานั้นมีอัคคีเทพของเขาทะลักออกมาตลอดเวลา อีกทั้งแสงสว่างจากร่างของทั้งสองนั้น เขาก็จดจำได้ในทันทีว่าชายอีกคนคือเด็กชายในวันนั้นเมื่อหลายปีก่อน
ยังไม่ทันที่เทพอัคคีจะได้หาต้นสายปลายเหตุของการที่พลังที่ถูกปิดผนึกของทั้งสองคนถูกปลดปล่อยออกมาในครั้งนี้ เขาจึงตรงเข้าไปจับมือของริชาและพิภพเอาไว้ก่อนจะใช้พลังของตนสะกดพลังนั้นให้สงบลงอีกครั้ง
แสงสว่างจากร่างของพิภพและเปลวไฟที่ฝ่ามือของริชานั้นสงบลงอย่างช้าๆ รวมถึงแรงสั่นสะเทือนที่ค่อยๆ หยุดลงเช่นกัน
ศิคินมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังไม่ได้สติ ก่อนจะมองสำรวจไปตามร่างกายของริชาแต่กลับไม่พบบาดแผลใด มีเพียงโลหิตสีแดงฉานที่เปื้อนอยู่ที่ฝ่ามือเท่านั้น สายตาที่เฉียบคมของเทพอัคคีจึงมองไปยังร่างของพิภพอีกครั้งก็พบกับบาดแผลที่ฝ่ามือและแสงสว่างที่เรืองรองออกมาจากรอยเปิดของบาดแผลนั้น
‘เป็นข้าที่ประมาทเสียเอง’
ศิคินนึกเสียใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะยื่นมือของตนไปเหนือบาดแผลที่มือของชายหนุ่มที่ยังคงไม่ได้สติเช่นกัน เมื่อร่ายพระเวทของตนสะกดพลังนั้นไว้อีกครั้งรอยแผลก็สมานปิดสนิทในทันที หลงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นเล็กๆ เท่านั้น
เทพอัคคีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะใช้มือของตนสัมผัสไปที่ปอยผมที่ตกลงมาบริเวณหน้าผากของริชาอย่างแผ่วเบา…โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของเขานั้นอยู่ภายใต้สายตาของใครผู้หนึ่งเสมอ
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำที่บัดนี้แววตาตื่นตระหนกก็ฉายชัดบนใบหน้างดงาม
“องค์อัคคีศิคิน… ” ยะศิณามองภาพตรงหน้าก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที “เช่นนั้นนางมนุษย์ผู้นั้นก็คือคนที่เราตามหา”
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในโรงแรมมีผู้ได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นหมดสติเพียงสองคนเท่านั้นคือพิภพและริชา ทั้งคู่ถูกนำส่งโรงพยาบาลในทันทีโดยทางแพทย์ที่ทำการรักษานั้นไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่เพราะตามเสื้อผ้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยคราบเลือดหากแต่ไร้บาดแผลตามร่างกาย
ภายในห้องผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลริชาที่นอนนิ่งอยู่นั้นโดยกำลังฝันถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งวันที่แม่ของเธอเสียชีวิตอย่างเช่นเคย เหตุการณ์ในฝันมักจบลงที่หน้าห้องฉุกเฉินเสมอมา แต่ในครั้งนี้กลับแตกต่างกันออกไป
ริชาที่ในฝันวิ่งออกมาจากบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินจนมาถึงสนามกว้าง รอบตัวของเธอนั้นมืดไปหมด มีเพียงแสงสว่างจากพลุไฟที่ถูกจุดในวันสิ้นปีเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดมิดและหนาวเย็นนั้น เธอนั่งลงช้าๆ ก่อนจะกระชับกอดร่างของตนเองไว้ในยามที่ลมหนาวพัดมากระทบร่าง จู่ๆ ไออุ่นประหลาดก็พัดมาแทนที่ลมหนาวที่เคยเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
ริชาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองที่มาของความอบอุ่นประหลาดนั้น ก็ปรากฏชายผู้หนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ภายใต้ม่านของหยาดน้ำตานั้นที่มองไปยังเขา ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอจึงย่อตัวลงก่อนจะใช้สองมือของเขาเช็ดน้ำตาให้เธอ
มีความรู้สึกชวนสับสนนี้แม้เพียงเห็นหน้าเขาครั้งแรก แต่กลับไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย ปลายนิ้วมือที่สัมผัสแก้มเธออย่างแผ่วเบานั้นกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัย
“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เจ้าปลอดภัยแล้ว…” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นฟังคุ้นหูอย่างประหลาดและน้ำตาของริชาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นแววตาที่เจ็บปวดก็ฉายชัดขึ้นมาที่นัยน์ตาคู่นั้นของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับทันทีก็บังเกิดแดงสว่างสีแดงเรืองรองไปทั่วบริเวณ
“คุณ!”
ริชาที่ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงก่อนที่วิษณุที่เฝ้าอยู่ที่เตียงคนไข้ไม่ห่างจะเข้ามาปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น
“ริชาลูก ริชา!”
วิษณุพยายามปลุกให้ริชาได้สติก่อนที่ริชาจะลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่พ่อของเธอด้วยความงุนงง เธอมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลโดยห้องผู้ป่วยที่อยู่ติดกันนั้นคือพิภพที่เพิ่งได้สติก่อนหน้าเธอไม่นานนี้
“ดื่มน้ำก่อนลูก”
ริชารับแก้วน้ำจากผู้เป็นพ่อก่อนจะยกขึ้นจิบ “หนูสลบไปเหรอคะพ่อ” เธอถามด้วยความสงสัยเพราะจำเหตุการณ์ได้เพียงบางช่วงเท่านั้น
วิษณุเลิกคิ้วพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ชมแพรเล่าให้เขาฟัง “จากที่แพรเล่าคือโคมไฟที่เพดานตกลงมาใส่หนูกับภพจนหมดสติก็เลยรีบส่งตัวมาที่โรงพยาบาล ชาไม่ได้เป็นอะไรมากแต่คงเพราะตกใจส่วนภพก็เหมือนกัน หมอยังแปลกใจที่โคมไฟใหญ่ขนาดนั้นอย่างน้อยต้องมีรอยแผลบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย”
“โคมไฟหล่นใส่หนูกับภพ” ริชาพูดทวนคำพูดของวิษณุอีกครั้งพลางชี้มาที่ตัวเอง
“พ่อกับไอ้ตรีให้หมอตรวจอย่างละเอียดดูแล้ว หมอบอกว่าเรากับภพสองคนไม่เป็นอะไรเลยแต่…มานี่เลยไอ้ตัวแสบ” เขาพูดพลางดึงร่างของลูกสาวเข้าไปกอดไว้ด้วยความห่วงใยก่อนริชาจะกอดตอบผู้เป็นพ่อเช่นกัน
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังขึ้นพร้อมๆ กับชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อนของผู้ป่วยเช่นเดียวกับริชาจะเดินเข้ามาในห้องช้าๆ พิภพมีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยแต่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด เมื่อเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เขามองเห็นนั้นก็คือริชาที่เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มตอบในทันที
เขาเดินไปที่เตียงคนไข้ทันทีก่อนจะตรงเข้าไปกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง วิษณุเมื่อเห็นดังนั้นถึงจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนักเพราะหวงลูกสาวอยู่บ้าง แต่เพราะรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของพิภพที่มีให้ริชามานานเขาจึงทำได้เพียงค่อยๆ หลบออกไปจากห้องเงียบๆ เท่านั้น
“ภพ ชาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” เขากอดริชานิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งก่อนจะผละออกทันทีเมื่อได้ยินเสียงของริชา
“ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม” เขาถามขึ้นพลางนั่งลงที่ข้างเตียง
“ไม่นะ ไม่เจ็บเลย เหมือนหลับไปตอนกลางคืนแล้วตื่นเช้าขึ้นมา”
ริชาพยายามอธิบายความรู้สึกของตนพลางมองไปที่เพื่อนที่ตอนนี้สีหน้ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก “ภพ! เป็นอะไร” เธอเรียกเขาอีกครั้งก่อนพิภพจะหันมาสบตาริชา
“ชา จำเหตุการณ์ก่อนที่เราสองคนจะสลบไปได้ไหม” เขาถามเสียงเข้ม
ริชาพยายามนึกอย่างหนักด้วยเหตุการณ์ชุลมุนมากมายที่เกิดขึ้น “จำได้ว่ามีเสียงดังบางอย่างแล้วโคมไฟก็ตกลงมา ชากดแผลที่มือ…” ยังไม่ทันจะพูดจบพิภพก็ยื่นฝ่ามือของตนมาให้ริชาได้สำรวจ ปรากฏว่ามือทั้งสองข้างของพิภพนั้นไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลใด มีเพียงรอยแผลเป็นจางๆ ที่ฝ่ามือเท่านั้น
“บ้าน่ะ! มันจะหายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง”
“ฉันถามพยาบาลที่เฝ้าไข้แล้ว เขาบอกว่าตั้งแต่ที่รับฉันกับแกเข้ามาที่ห้องฉุกเฉิน เราสองคนไม่มีแผลอะไรเลยแต่เลือดเต็มไปหมด คิดแล้วก็ปวดหัว รอแกตื่นฉันเลยมาให้แกยืนยันอีกที”
ทั้งสองที่ทำได้เพียงคิดหาคำตอบ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
หลังจากหายดีจนคุณหมออนุญาตให้ทั้งสองคนกลับไปพักรักษาต่อที่บ้านได้แล้วนั้น ทุกอย่างดูจะกลับมาเป็นปกติดีเสียจนริชาลืมเรื่องบาดแผลที่ฝ่ามือของพิภพไปจนสนิทใจ ร้านดอกไม้กลับมาเปิดโดยมีสองสาวสวยเจ้าของร้านอยู่เฝ้าประจำอย่างเช่นเคย
ร้านดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ชั้นล่างของตึกหนึ่งคูหาที่ด้านบนมีห้องพักสำหรับริชาและชมแพร ประตูหน้าร้านเป็นกระจกบานใหญ่ที่ล้อมด้วยกรอบไม้สีขาวสบายตา ทำให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาสามารถมองเห็นเหล่าบรรดาดอกไม้หลากสีที่เรียงรายกันอยู่บนชั้นของร้านได้อย่างถนัดตา
อีกทั้งด้านในยังมีโต๊ะรับแขกเล็กๆ ไว้สำหรับลูกค้าที่มารอรับดอกไม้ บริเวณพื้นด้านหน้าร้านติดกับประตูยังมีไม้กระถางขนาดเล็กที่ออกดอกสีสันน่ารักไว้จำหน่ายอีกด้วย
หญิงสาวสองคนนั่งเท้าคางอยู่ที่เคาน์เตอร์ มองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพราะยังเช้ามากและยังไม่มีลูกค้า ทำให้ชมแพรที่หิวจนท้องเริ่มส่งเสียงหยิบขนมปังขึ้นมาแล้วกัดไปหนึ่งคำ
“ไหนบอกจะรอข้าวมาส่ง” ริชาถามขึ้น
“ก็รองท้องไงชา แกไม่เคยได้ยินเหรอว่าลูกค้าชอบมาเวลาเรากำลังจะกินข้าว” ชมแพรพูดไปเคี้ยวไป
“เพ้อเจ้ออะไรของแกแต่เช้า”
ยังไม่ทันจะจบประโยค เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเปิดประตู ริชายกมือขึ้นพนมที่หน้าอกแล้วเขย่าไปมาสองสามทีด้วยเชื่อแล้วว่าชมแพรไม่ได้เพ้อเจ้อไปเอง
เสียงกระดิ่งจากประตูหน้าร้านที่เปิดออกนั้นปรากฏร่างของชายสูงวัยคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อสีแดงเข้มสวมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีดำและกางเกงผ้าสีเดียวกัน เมื่อเห็นดังนั้นริชาที่รู้ได้ในทันทีว่าเขาคือคุณลุงที่มาอุดหนุนดอกไม้ที่ร้านของเธอเป็นประจำ
“คุณลุงสวัสดีค่ะ วันนี้รับแบบไหนดีคะ” ริชาชาทักทายอย่างสดใส
“ปิดร้านหลายวันเลยนะช่วงนี้” เขาถามขึ้นพลางมองไปยังหญิงสาวที่ยิ้มให้เขา
“ช่วงนี้ยุ่งมากๆ เลยค่ะคุณลุง หนูกับเพื่อนรับงานนอกสถานที่นิดหน่อยค่ะ” ชมแพรที่ได้ยินว่าเป็นคุณลุงขาประจำของทางร้านก็โผล่หน้าออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อทักทายในทันที
“วันนี้เอาเป็นช่อสีแดงเหมือนเดิมก็ได้นะ ส่วนพวกดอกไม้เอาที่เห็นสมควรได้เลย”
“ได้เลยค่ะ…” ริชาพยักหน้ารับก่อนจะเชิญให้เขานั่งรอที่เก้าอี้รับรอง
“ชอบสีแดงเหมือนแกเลย มาทีไรก็สั่งแต่ช่อสีแดง” ชมแพรพูดพลางจับกรรไกรแล้วตัดกิ่งของดอกไม้ให้สั้นลง
“คนชอบสีแดงมีคนเดียวบนโลกเหรอไง รีบทำจะได้รีบเสร็จ ลุงแกนั่งรออยู่”
“อยากเกิดเป็นไอ้ภพจังเลย เกิดมาก็มีกินมีใช้สบายไปทั้งชาติไม่ต้องทำงานยังได้” ชมแพรพูดขึ้นมาก่อนจะโดนริชาเอากิ่งดอกไม้ที่ตนตัดฟาดที่ไหล่เบาๆ
“ดูพูดเข้า แกก็รู้อยู่แก่ใจว่าภพมันสบายที่ไหน ทำงานงกๆ ทั้งวัน ” ริชาพูดเสียงเข้ม “ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ก็แค่ทำออกมาให้มันดีที่สุด เริ่มจากนี่เลยเพื่อน ตัดก้านดอกไม้ให้หน่อย”
ชมแพรได้แต่นึกขำ ไม่ว่าริชาชอบบ่นตนขนาดไหนแต่สุดท้ายแล้วคำพูดของริชาก็ช่วยเตือนสติชมแพรได้เสมอ เพื่อไม่ให้ดูเป็นการสอนสั่งจนเกินไปเพื่อนเธอคนนี้จึงมักจบประโยคด้วยคำติดตลกอยู่บ้าง
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณลุง” ริชาพูดพลางยื่นช่อดอกไม้ให้เขา
“นี่จ้ะค่าช่อดอกไม้” เขาส่งเงินให้ริชาก่อนหญิงสาวจะก้มศีรษะให้เขาน้อยๆ แล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะออกจากร้านไปนั้นคุณลุงหันกลับไปมองที่ริชาอีกครั้ง เสียงกระดิ่งประตูที่ดังขึ้นทำให้ริชาไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปที่ประตูหญิงสาวก็ถึงกับผงะเล็กน้อยก่อนจะนิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ละอองแสงสีแดงสลับทองที่ลอยออกมาจากร่างกายของเขาฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศบริเวณด้านหน้าของประตูร้าน เขาที่เมื่อเห็นริชากำลังมองอยู่นั้นกำลังยิ้มตอบเธอเช่นกัน แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นหาใช่ชายสูงวัยอย่างที่ริชาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ แต่กลับเป็นภาพของชายหนุ่มที่ริชาไม่เคยรู้จักมาก่อน
คิ้วคมกับดวงตาสีเข้มรับกับจมูกปากที่ได้รูปและใบหน้าคมได้สัดส่วน เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคย ริชาเมื่อเห็นดังนั้นก็ตะลึงงัน ร่างกายไม่สามารถขยับได้ ก่อนเธอจะหลับตาลงเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่เธอเห็น แต่เมื่อลืมตาขึ้นร่างของคุณลุงลูกค้าคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
ชมแพรสังเกตเห็นเพื่อนนิ่งไปจึงเข้าไปจับไหล่ของริชาเบาๆ “ชา เป็นอะไร มากินอะไรก่อนเร็ว เดี๋ยวลูกค้าก็มาอีกหรอก” ชมแพรชี้ไปอาหารเช้าก่อนริชาที่ได้สติจะถอนหายใจออกมา
“สงสัยจะตาลายเพราะหิว…หิวแน่ๆ” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะยัดขนมปังเข้าปาก ในใจก็กำลังทบทวนหาเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ