ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

แสงจันทร์ลอดผ่านบานหน้าต่างห้องในยามที่มีลมพัดอ่อนๆ ในห้องทำงานที่บัดนี้โต๊ะกว้างเต็มไปด้วยเอกสารมากมายเรียงกันเป็นตั้งและมีแฟ้มหนาที่อยู่ด้านหน้าชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้ม พิภพที่หลังจากหายดีจากอาการป่วยก็เร่งจัดการเอกสารต่างๆ ทั้งวันทั้งคืน เขาหันมองแฟ้มข้างตัวที่ยังไม่เปิดอ่านก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงแผ่วเบา

เมื่อความเหนื่อยล้าเข้าถาโถมเข้ามา…พิภพจึงลุกขึ้นก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาในห้องเพื่อพักสายตาครู่หนึ่ง ไม่นานจากห้องสี่เหลี่ยมในตึกสูงและโซฟาที่ทำจากหนังอย่างดี เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไป

เสียงรถยนต์จากภายนอกที่ปกติจะได้ยินเสมอไม่ว่าเวลาไหนจู่ๆ ก็เงียบสงัดลง มีเพียงกลิ่นหอมประหลาดที่ลอยมาจางๆ กับร่างกายของพิภพในขณะนี้สัมผัสได้เพียงพื้นแข็งๆ เท่านั้น

“จงตื่นอสุราอัคคี!”

สุรเสียงอันทรงพลังดังขึ้นขณะที่พิภพรีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำได้เพียงตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

ภาพที่เห็นคือชายร่างสูงกำยำที่ผิวกายคมเข้ม ภายใต้แผ่นหลังที่เปลือยเปล่านั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน ลายกระหนกสีทองที่วาดเป็นลวดลายอย่างวิจิตรลากผ่านไปตามผิวหนังนวลละเอียดนั้นจนถึงต้นแขน โดยลายกระหนกสีทองนั้นพาดผ่านเปรียบดังเครื่องประดับพาหุรัดและสังวาลทองประดับนิลสีดำสนิทเม็ดงามส่องประกายสว่างไสวไปทั่ว

พิภพที่พยายามลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้ เพียงมองไปยังสถานที่ที่เขาอยู่โดยรอบเท่านั้น ลานหินกว้างที่ท้องฟ้าด้านบนมีเพียงแสงระยับจากดวงดารานับร้อยนับพันบนฟากฟ้ากำลังส่องสว่าง ที่กลางลานที่พิภพกำลังนอนอยู่นั้น เหนือศีรษะของเขาเป็นปราสาทหินสูงตระหง่าน หินแต่ละก้อนนั้นมีละอองสีทองลอยระยิบระยับออกมาอยู่ตลอดเวลา

“เพลิงข้า…จิตข้า รวมเป็นพลังแห่งพิภพนี้!”

สิ้นเสียงนั้น สายตาของพิภพก็กลับมาเพ่งพินิจที่ชายตรงหน้าอีกครั้ง ลานหินกว้างนั้นค่อยๆ ปริแตกก่อนจะยุบตัวลงในทันทีเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่ เปลวเพลิงสีทองลุกโชนขึ้นมาจากปากหลุมนั้น แต่ดูเหมือนราวกับว่าชายผู้นั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนของมันเลยแม้แต่น้อย

เขาผายมือไปด้านหน้าก่อนที่ลูกไฟดวงหนึ่งจะลอยออกจากด้านในของหลุมนั้นมาที่ฝ่ามือของเขา ก่อนจะมองดูมันอย่างพอใจแล้วจึงส่งมันให้ลอยขึ้นไปยังยอดปราสาทที่มีแก้วมณีสีดำขลับดวงใหญ่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนแห่งนี้

ทันทีที่ดวงไฟสัมผัสกับแก้วมณีก็บังเกิดเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่ปาน เพียงชั่วพริบตาเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นบนแก้วมณีนั้นอย่างโชติช่วง แสงสว่างที่เกิดจากแก้วมณีและดวงไฟเจิดจ้าเสียจนยามราตรีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นยามทิวาในทันที

เขามองภาพตรงหน้าก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ แต่เหมือนดังว่าเขาเพิ่งรับรู้ถึงการมีอยู่ของใครผู้หนึ่ง สายตาที่ดุดันของเขานั้นจึงจับจ้องมาที่พิภพในทันที เพียงสบสายตานั้นเหมือนดั่งว่ามีมวลพลังบางอย่างพุ่งตรงมาที่พิภพ

ร่างของพิภพที่ยังคงนอนบนโซฟานั้นกระตุกอย่างแรงครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะสะดุ้งตื่นขึ้น

“ฝันบ้าอะไรเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้” เขาพึมพำขึ้นพลันรินน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่พิภพจะตะโกนบอกให้เลขาฯ ของเขาเข้ามาในห้อง เกศราที่มีสีหน้าแตกตื่นเดินเข้ามาในทันทีพร้อมกับในมือที่ถือโทรศัพท์มือถือของตนไว้แน่น

“มีอะไรรึเปล่าครับพี่เกศ”

“คุณภพยังไม่ดูข้อความที่เกศส่งให้ใช่ไหมคะ” เธอพูดอย่างร้อนใจก่อนพิภพจะพยักหน้าให้เธอเป็นคำตอบแล้วรีบเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดโทรศัพท์ในทันที

“ภาพกล้องวงจรปิดในงานค่ะ ที่คุณภพให้เกศไปตรวจดู คุณภพดูตรงนี้นะคะ…” เธอพูดพลางชี้ไปที่ผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีดำที่มุมหนึ่งกำลังยกมือไปในทิศทางตำแหน่งของโคมไฟที่อยู่บนเพดาน ก่อนมันจะเริ่มสั่นอย่างน่ากลัวแล้วตกลงมายังบริเวณที่ริชาและพิภพยืนอยู่

“ผมไม่เข้าใจ แล้วคุณยะศิณาไปเกี่ยวอะไรด้วยครับ…” เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงในสมองพลางคิดตามที่เกศราบอก แต่ยังคงไม่เข้าใจที่เกศราต้องการจะสื่อสาร

“ยะศิณา เธอคนนี้ชื่อยะศิณาเหรอคะ” กลายเป็นเกศราเองที่เป็นคนขมวดคิ้วเพราะรายชื่อแขกทุกคนในงานเธอเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง แต่ไม่คุ้นชื่อยะศิณาเอาเสียเลย

“ครับ เธอชื่อยะศิณา เป็นแขกของคุณแม่ผม”

“เอาเรื่องชื่อแขกไว้ก่อนเถอะค่ะคุณภพ ที่พี่จะบอกก็คือพี่ลองดูคลิปนี้หลายครั้งแล้ว จะพูดว่าบังเอิญก็บังเอิญเถอะค่ะแต่พอคุณยะศิณาอะไรเนี่ยยกมือขึ้นเมื่อไหร่โคมไฟก็สั่นขึ้นทันที คุณภพว่ามันไม่แปลกหรอคะถ้าไม่เชื่อคุณภพลองไปดูให้ละเอียดอีกทีก็ได้”

พิภพขมวดคิ้วหนักเข้าไปใหญ่ ด้วยฟังดูแล้วเรื่องราวที่ชวนเหลือเชื่อนี้ยากจะหาคำตอบได้

“พี่คิดว่าเธอเป็นคนทำเหรอครับ แต่คนปกติที่ไหนจะทำให้โคมไฟตกลงมาได้…”

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ แต่ตั้งแต่ในงานแล้วเธอหน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย พี่ลองถามคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณก็ไม่มีใครรู้จักสักคน จนมาเกิดเรื่องพี่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอหรอกค่ะ แต่พอคุณภพให้พี่ไปดูกล้องวงจรปิดก็เห็นเธอทำอะไรแปลกๆ อีกเลยส่งให้คุณภพดูก่อนก็เท่านั้น” เกศราตอบร่ายยาวรวดเดียว

“แต่ถ้าคุณภพบอกว่าเธอชื่อยะศิณาจริง ข้อนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เพราะในรายชื่อแขกไม่มีคนชื่อยะศิณาแน่ๆ เพราะพี่เป็นคนจัดการเรื่องรายชื่อแขกเองกับมือ” พิภพที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับเลิกคิ้วในทันที

“แต่วันนั้นเธอเป็นคนบอกผมเองว่าเป็นแขกของคุณแม่ แล้วแบบนี้…” คำพูดของพิภพขาดช่วงไป เพราะในใจของเขาพยายามคิดหาคำตอบถึงเหตุผลในการกระทำของยะศิณานั่นเอง

“จะเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะค่ะ แต่พี่ว่ามาแบบนี้ดูไม่บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่แน่ๆ พี่ว่าคุณภพพักทานอะไรก่อนดีไหมแล้วค่อยมาคิดกันต่อว่าจะเอายังไงกันดี”

“ครับ…ขอบคุณพี่เกศมากนะครับ วันนี้พี่เหนื่อยมากแล้วกลับบ้านเถอะครับ” เขาพูดพลางกล่าวขอบคุณเกศราก่อนเลขาฯ ของเขาจะเดินออกไปพร้อมๆ กับทิ้งเรื่องคาใจชวนปวดหัวไว้ให้กับชายหนุ่มเพื่อหาคำตอบ

 

ภายใต้ความมืดจากแสงไฟของร้านดอกไม้ที่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการเพราะเจ้าของร้านทั้งสองคนต้องต้อนรับลูกค้าที่แวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย หลังจากอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวนั้นริชาก็ทิ้งตัวลงที่เตียงอย่างเหนื่อยล้า เธอมองพลิกโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อดูเวลาก่อนจะพบว่าตอนนี้เวลาเพียงยี่สิบสองนาฬิกาเศษ

ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เมื่อทิ้งตัวลงนอนที่ฟูกนุ่มร่างกายก็ตอบสนองในทันที ริชาไม่สามารถต้านทานความง่วงและน้ำหนักของหนังตาก็ดูจะมากขึ้นเสียจนเธอนั้นล่องลอยสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ภายในความมืดมิดนั้นริชาพบว่าตอนนี้รอบตัวเต็มไปด้วยสีดำสนิทราวกับว่าเธอกำลังหลับตาอยู่ แต่น่าแปลกที่ว่าเธอกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างชัดเจน

ปลายเท้าตอนนี้สัมผัสได้ถึงบางสิ่งคล้ายต้นหญ้าแต่อ่อนนุ่มราวแพรไหมเนื้อดีและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ตลบอบอวลไปทั่วเสียจนไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ใด ทันใดนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นจากจุดเล็กๆ จุดหนึ่งก่อนจะแผ่ขยายออกไกลสุดลูกหูลูกตา

ริชาตกตะลึงกับภาพตรงหน้าด้วยขณะนี้มวลอากาศรอบๆ ตัวของเธอเต็มไปด้วยละอองสีต่างๆมากมายระยิบระยับมากมายอยู่ในอากาศ ดอกไม้งดงามนานาพันธุ์ช่างดูแปลกตาและมีมากมายเสียจนละลานตาเต็มไปหมด

“สวยจัง!”

ริชาตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ด้วยในชีวิตนี้ไม่เคยพบเห็นสวนสวยเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่กำลังเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

ท่ามกลางพฤกษานานาพันธุ์นั้นมีต้นไม้ต้นหนึ่งสูงใหญ่เทียมฟ้า กิ่งก้านนั้นเป็นสีทองสุกสกาวหากแต่ออกดอกเป็นสีแดงใสดั่งอัญมณีที่ถูกเจียระไนอย่างประณีต ริชาอดตะลึงงันมองดูความงดงามนั้นอยู่นานสองนานก่อนจะได้สติและพบว่าตนเดินเข้ามาอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่นั้นเสียแล้ว

ริชามัวแต่เพลิดเพลินไปกับความงดงามของต้นไม้ใหญ่เสียจนไม่ได้สังเกตเห็นชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บริเวณใต้ต้นไม้นั้นเช่นกัน เมื่อริชาเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาเขาในทันทีด้วยหวังที่จะไถ่ถามเขาให้แน่ชัดว่าสถานที่งดงามพิลึกพิลั่นนี้คือที่ใดกันแน่

เมื่อเข้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นแผ่นหลังงามละเอียดที่ขาวผุดผ่อง แสงทองนวลที่ส่องสะท้อนออกมาจากแผ่นหลังนั้นทำให้หญิงสาวที่มองอยู่ถึงกับต้องเพ่งมองอีกครั้งด้วยไม่เชื่อสายตาของตนเอง

“คนบ้าอะไรผิวดีออร่าขนาดนั้น” ริชาพึมพำกับตัวเองด้วยอดชื่นชมไม่ได้

แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้อีกนิด คำว่าผิวดีดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว ด้วยความกำยำของมัดกล้ามเนื้อขับเน้นให้รอยสลักสีทองที่มีสีเข้มขึ้นมาจากผิวกายของเขาดูงดงาม และเมื่อยามที่เขาขยับกายเล็กๆ นั้นส่งผลให้มีละอองสีทองลอยฟุ้งขึ้นมา

ริชาที่เห็นดังนั้นดวงตาก็เบิกโตขึ้นในทันทีด้วยความตกใจ…

เกศายาวถูกเกล้าเก็บขึ้นปักด้วยปิ่นและท่อนบนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดมีเพียงสังวาลทองเส้นหนึ่งและผ้าพาดสีแดงที่ไหล่ โดยผ้านุ่งสีเข้มที่นุ่งเป็นโจงกระเบนนั้นมีเข็มขัดทองที่ประดับด้วยโกเมนสีแดงเข้ม

“คุณคะ เดี๋ยวก่อน…”

ริชารีบเรียกเขาไว้ด้วยชายผู้นั้นกำลังจะเดินจากไป…เมื่อเขาได้ยินเสียงของเธอเรียกเอาไว้จึงหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ชายผู้นั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่หญิงสาวห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว

“ที่นี่ที่ไหนคะ แล้วฉันจะออกไปจากสวนนี้ได้ยังไง”

“คือที่ใดเจ้านั้นย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด” ริชาที่ได้ยินคำตอบนั้นยิ่งทำให้งุนงงเข้าไปใหญ่

เขาชั่งใจชั่วขณะหนึ่งก่อนจะค่อยๆ หันหน้ากลับมาแล้วทั้งสองก็สบตากัน ริชาได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ความรู้สึกหนึ่งก็ถาโถมเข้ามาในทันทีก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงอีกครั้ง

ร่างของเธอที่หลับนิ่งสนิทอยู่บนเตียงนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ปรากฏแสงสีแดงจางๆ ส่องสว่างขึ้นก่อนจะจางลงไปช้าๆ แล้วกลายเป็นจุดสีแดงขนาดเท่ากับเหรียญหนึ่งบาทที่บริเวณขอบรอบๆ จุดสีแดงนั้นล้อมรอบด้วยเส้นขอบสีทองอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่กลางฝ่ามือของริชาทั้งสองข้าง

เสียงของนาฬิกาปลุกดังในยามเช้า บัดนี้ด้านนอกหน้าต่างห้องที่เคยมืดมิดกลับแทนที่ด้วยแสงของดวงตะวันที่กำลังจับที่ขอบฟ้าในยามเช้าตรู่ อากาศเย็นลงตามฤดูกาลเมื่อยามลมหนาวพัดผ่าน ริชาตื่นขึ้นด้วยความไม่สดใสเท่าใดนัก โดยที่ในใจก็ยังคิดวนเวียนถึงความฝันที่เกิดขึ้น

เธอลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวันตามปกติก่อนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนฝ่ามือของตน จุดสีแดงที่มีเส้นขอบเป็นสีทองเหมือนถูกวาดขึ้นอย่างบรรจงเกินกว่าจะเป็นรอยเปื้อนเพราะทั้งสองข้างของฝ่ามือเธอนั้นดันมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ

“สีอะไรเนี่ย แล้วติดมาตอนไหน”

ริชาพยายามล้างมือเพื่อลบจุดแต้มนั้นออก แต่ไม่ว่าจะใช้สารทำความสะอาดอะไรก็ดูจะไม่เป็นผล ด้วยเช้านี้จะมีดอกไม้มาส่งที่ร้านและช่วงเช้าชมแพรขอไปทำธุระสำคัญกับทางบ้าน ทำให้เหลือแค่เธอเท่านั้นที่จะทำงานที่ร้าน

เมื่อเสียงของรถยนต์ของเจ้าของสวนดอกไม้ที่เธอสั่งเอาไว้เดินทางมาถึงแล้ว…ริชาจึงรีบคว้าเสื้อเชิ้ตเพื่อคลุมทับและหยิบอุปกรณ์ในการทำงานของเธอลงไปที่ชั้นล่างในทันที หลังจากเปิดประตูร้านออกมาก็พบกับรถกระบะสีขาวที่ด้านหลังบรรทุกดอกไม้ที่ริชาสั่งมาเต็มคันรถ

เจ้าของรถเมื่อเห็นประตูร้านเปิดก็ลงจากรถในทันที ก่อนจะยิ้มทักทายเจ้าของร้านคนสวยลูกค้าประจำสวนดอกไม้ของเขา

“ลุงศรสวัสดีค่ะ มาเช้าขนาดนี้ดื่มอะไรร้อนๆ หน่อยไหมคะ เดี๋ยวหนูชงให้ดื่ม”

ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

“ไม่หรอกหนูริชา เดี๋ยวลุงต้องไปส่งของที่อื่นอีก ขอบคุณมากๆ นะลูก” เขาพูดพลางเปิดท้ายกระบะก่อนจะเริ่มยกของลงแล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับริชา

“เดี๋ยวหนูลองตรวจดูนะ รายการดอกไม้ที่สั่งตรงกับที่มาส่งไหม” ริชารับกระดาษมาก่อนจะอ่านแล้วยิ้มให้ลุงศร

“ทำงานกับลุงศรมาจะเข้าปีที่ห้าแล้วเนี่ย ถ้าไม่ครบหนูกับไอ้แพรตามไปถึงสวนเลยนะ” เธอพูดหยอกล้อเขาตามประสาคนคุ้นเคยก่อนจะเข้าไปช่วยยกอีกแรง

“ลูกค้าคุณภาพอย่างหนูริชากับหนูชมแพร ลุงไม่กล้าไม่ซื่อไม่ตรงหรอกจ้ะ แต่ถ้าเราสองคนจะไปเล่นที่สวนลุงก็ได้นะช่วงนี้อากาศกำลังหนาวเลย ดอกไม้มันชอบงามสะพรั่งทั้งสวนเชียว เนี่ยหนูริชาก็ระวังไม่สบายเอานะ ลมแรงตั้งแต่เช้าใส่เสื้อบางๆ ไม่หนาวบ้างเหรอ”

ลุงศรพูดไปพลางยกของไปแต่กลับเป็นริชาเองที่เพิ่งสังเกตว่าลุงศรตอนนี้สวมหมวกไหมพรมและเสื้อกันหนาวที่ดูอบอุ่นทับด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง แต่เธอนั้นไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อยกลับรู้สึกว่าวันนี้อากาศดีเสียด้วยซ้ำไป

“อันนี้ลุงกับป้าแถมนะ ถ้าขาดเหลืออะไรก็โทรหาลุงนะหนูริชา เดี๋ยวลุงไปละ”

“ขอบคุณนะคะคุณลุง ขับรถดีๆ นะคะ” ริชายกมือไหว้ลาคุณลุงศรก่อนที่รถจะแล่นออกไป

เมื่อเข้ามาในร้านที่ตอนนี้เต็มไปด้วยกองดอกไม้ที่เพิ่งถูกตัดออกมาจากสวน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากบรรดาดอกไม้ลอยตลบอบอวลภายในร้านนั้นทำให้ริชาอดคิดถึงกลิ่นหอมที่เธอได้กลิ่นในฝันเมื่อคืนเป็นไม่ได้

“หอมเหมือนสวนดอกไม้เมื่อคืนเลย”

“สวนดอกไม้ที่ไหนของแก” ชมแพรถามขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาได้ยินริชาพูดถึงสวนดอกไม้พอดี

“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงตกใจหมดเลย” ริชาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนชมแพรจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ขวัญอ่อนไปได้ไอ้ชา มาๆ ฉันซื้อโจ๊กเจ้าดังแถวบ้านฉันมารับรองอร่อยเด็ด เหมาะกับอากาศหนาวๆวันนี้เลย” ชมแพรพูดพลางเดินไปหยิบชามใบใหญ่ “ว่าแต่ ชาแกไม่หนาวรึไงทำไมไม่ใส่เสื้อแขนยาว” ชมแพรพูดขึ้นแต่สายตายังคงมองไปที่ชามใส่โจ๊ก

“หนาวเหรอ…” ริชาพึมพำ

ริชาที่วันนี้ตั้งแต่เช้าได้ยินคำว่าหนาวหลายครั้งเสียจนอดคิดตามไม่ได้ และเมื่อพิจารณาดูอีกทีวันนี้ชมแพรใส่เสื้อผ้าจัดเต็มกว่าทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแขนยาวที่ดูหนากว่าปกติและที่ทำให้ริชางุนงงหนักเข้าไปใหญ่นั่นคือผ้าพันคอไหมพรมที่พันอยู่รอบคอเพื่อนสาวของเธอนั่นเอง

“มองอะไร มากินโจ๊ก” ชมแพรพูดพลางกวักมือเรียกผู้เป็นเพื่อน

หลังจากถึงเวลาเปิดร้านทั้งสองคนก็ช่วยกันจัดดอกไม้ที่เพิ่งมาส่งก่อนจะเริ่มคัดแยกประเภทของดอกไม้ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อกันจัดเก็บให้ถูกวิธี

“คนสวย…”

ริชาที่กำลังจัดเรียงดอกกุหลาบสีขาวอยู่นั้นจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังแววมาเป็นคำพูด เธอหยุดนับดอกกุหลาบในมือก่อนจะมองไปซ้ายทีขวาทีเพื่อตามหาต้นเสียงนั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยนอกจากชมแพรที่นั่งอยู่ห่างจากเธอไปเล็กน้อย

“แพรแกพูดว่าอะไรนะ” ริชาถามขึ้นก่อนชมแพรจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

‘สงสัยจะคิดไปเอง’ ริชาคิดในใจพลางกลับไปนับดอกกุหลาบต่อ

จู่ๆ เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ที่ประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น ชมแพรที่อยู่ใกล้กับทางเข้าเพื่อทักทายลูกค้าเธอจึงหันเดินไปที่เคาน์เตอร์ในทันที

“คนสวย…”

เสียงเดิมยังดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งจนริชาที่กำลังก้มหน้าก้มตานับดอกกุหลาบอยู่จะพยายามมองหาที่มาของต้นเสียงนั้น แต่รอบตัวของเธอตอนนี้มีเพียงดอกไม้เรียงรายเท่านั้น น่าแปลกที่ว่าจะมีเสียงพูดเช่นนี้ได้อย่างไร

“นี่ก็คนไม่หนาวอีกคน คุณลุงสวัสดีค่ะ วันนี้รับอะไรดีคะ” ชมแพรทักทายเสียงสดใส

“จ้ะสวัสดี วันนี้อากาศหนาวสินะ” เขาพูดขึ้นเสียงเรียบก่อนจะมองไปที่ชุดของตนเองที่สวมเพียงกางเกงผ้าสีครีมและเสื้อคอกลมแขนสั้นสีส้มอิฐเท่านั้น

“คุณลุงรับแบบ…”

“เหมือนเดิมเลย” เขาตอบในทันทีที่ชมแพรยังถามไม่จบ

“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวคุณลุงรอสักครู่นะคะ วันนี้ร้านอาจจะรกๆ หน่อย…พอดีของเพิ่งมาลงวันนี้ดอกไม้สวยๆ เพียบเลย” เขายิ้มให้เธอเป็นคำตอบเชิงว่าไม่เป็นอะไรก่อนจะมองไปรอบๆ ร้าน

“ชาๆ มารับคุณลุงไปนั่งหน่อย เดี๋ยวฉันขอไปเช็กของที่หลังร้านก่อน พอดีมีออร์เดอร์เข้าแต่ไม่แน่ใจว่ามีดอกไม้รึเปล่า”

“ได้ๆ แกไปจัดการเลยเดี๋ยวฉันดูแลคุณ…”

ริชาพูดพลางเก็บดอกกุหลาบไว้บนชั้นก่อนจะหันหลังกลับมาช้าๆ และภาพที่เห็นตรงหน้านั้นก็ทำให้เธอถึงกับพูดอะไรต่อไม่ถูก เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นห่างไกลกับคำว่าคุณลุงที่เธอเคยพบ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อสีส้มอิฐ กางเกงผ้าสีครีม สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วคมและดวงตาสีเข้ม โครงหน้าด้านข้างที่มองเห็นสันกรามคมกำลังยิ้มให้ชมแพรและกำลังหันมาทางริชาช้าๆ เขายิ้มให้เธออย่างคุ้นเคยพลางเดินเข้ามาใกล้ แต่ริชาทำได้เพียงมองเขานิ่งอยู่เช่นนั้นไม่อาจขยับไปไหนได้เลย

เขามองมาที่ริชาด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม แล้วจึงหยุดลงเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกถึงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด คิ้วคมขมวดเป็นปมเข้าหากันก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆราวกับว่าชั่งใจอยู่เช่นกันที่จะเดินเข้ามาหาเธอ เพราะสายตาของริชาที่อยู่ตรงหน้านั้นชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างแปลกไป

“คุณเห็นผมเหรอ…”

ริชาทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังทีละก้าว…ทีละก้าว

ฉับพลันความทรงจำและใบหน้าของผู้ชายในคืนนั้นก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นในความทรงจำ ฝ่ามือของริชาที่บัดนี้เรืองแสงสีแดงออกมาน้อยๆ และภาพของชายในคืนวันที่แม่ของเธอเสียชีวิตอยู่ที่สนามของโรงพยาบาลก็ชัดเจนขึ้นในทันที

“คุณ…” ริชาพึมพำเบาๆ แต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ศิคินมองหญิงสาวก่อนจะเห็นละอองแสงสีแดงที่ฝ่ามือของริชา แต้มสีแดงที่ฝ่ามือของหญิงสาวนั้นเรืองแสงสีแดงออกมาน้อยๆ โดยมีเพียงเขาและเธอเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ ไม่ใช่เพียงเธอจะสามารถมองเห็นทะลุพระเวทของเขาได้เท่านั้น แต่ที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีคือความรู้สึกมากมายของริชาที่พรั่งพรูเข้ามานั้นจนทำให้แม้แต่เทพอย่างเขาจู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเช่นกัน

ศิคินนิ่งมองริชาอยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งแสนดีใจ เศร้าเสียใจ และเจ็บปวด หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้ริชาที่กำลังสับสนและตื่นกลัวอยู่นั้นได้สติขึ้นมา

เธอมองไปที่เขาด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ก่อนขาที่เคยก้าวถอยหนีนั้นจะก้าวเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเธอรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านมา

“ศิคิน เจ้าอยู่ที่ใด รีบกลับมาที่ชายแดนอสุราบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงพายะที่ดังขึ้นในจิตทำให้ศิคินที่มองริชาอยู่ได้สติ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ริชาโดยไม่ลังเล

“ผมจะกลับมาอธิบายให้คุณเข้าใจทุกอย่าง แต่ตอนนี้ได้โปรดอยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งออกไปที่ไหนจะได้ไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนและจริงจัง

“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร แล้วจะให้ฉันทำตามที่คุณบอกเพื่ออะไรกัน”  ริชาพูดด้วยน้ำเสียงสับสนไปหมด ก่อนทุกอย่างจะสงบลงด้วยเพียงชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นค่อยๆ แบฝ่ามือของตนให้เธอดู

“ผมรู้ว่ามันอาจจะดูประหลาดและคุณคงกำลังสับสน แต่ผมจะกลับมาอธิบายทุกอย่าง”

เขาพูดขึ้นโดยที่กลางฝ่ามือของเขานั้นปรากฏสัญลักษณ์เช่นเดียวกับของเธอไม่มีผิด พร้อมๆ กับที่มันเรืองแสงออกมาเช่นเดียวกับที่ฝ่ามือของเธอกำลังมีละอองสีแดงเรืองแสงออกมาเหมือนดังว่ามันกำลังตอบรับการมีอยู่ซึ่งกันและกัน

“นี่มันสัญลักษณ์อะไร ทำไมคุณถึงมีเหมือนกัน แล้วก็แสงนั้น…” ริชาที่เหมือนสติกำลังจะหลุดลอยจู่ๆทุกอย่างก็หมุนวนไปหมดพร้อมๆ กับแสงสว่างที่จ้าขึ้นอย่างรวดเร็วจากกลางฝ่ามือ

ริชาที่ตอนนี้สภาวะจิตใจยังไม่มั่นคงและเพลิงอัคคีสีแดงก็ขยายตัวขึ้นส่องแสงสว่างเป็นวงกว้าง ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงจับมือของหญิงสาวเอาไว้ด้วยก่อนจะดึงร่างของริชาเข้ามากอดเอาไว้แน่น ริชาพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดนั้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะพลังอัคคีที่ฝ่ามือนั้นเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะควบคุมได้

ริชาเจ็บปวดจนกรีดร้องไม่หยุด แต่ศิคินทำได้เพียงพยายามใช้พลังของตนเองหยุดพลังอัคคีนั้น เสียงร้องของริชาทำให้ชมแพรที่อยู่หลังร้านวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนก แต่นั่นก็ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกเพราะเห็นแสงประหลาดที่ส่องแสงสว่างไปทั่วและชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังกอดเพื่อนของเธอไว้แน่น

หญิงสาวหมดสติในทันทีก่อนเขาจะรีบรับร่างนั้นไว้แล้วจึงอุ้มร่างไร้สติของริชาไปพักที่โซฟารับแขกอย่างเบามือท่ามกลางความมึนงง ชมแพรจึงรีบวิ่งเข้ามาดูริชาที่นอนแน่นิ่งอยู่ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ในขณะนี้กำลังมองเพื่อนของเธอด้วยดวงตาแดงก่ำกับหยาดน้ำตาที่คลออยู่ที่ดวงตา

“เดี๋ยวนะคุณเป็นใคร เข้ามาในร้านนี้ได้ยังไง แล้วคุณทำอะไรเพื่อนฉัน” เธอโวยวายขึ้นก่อนจะกันให้ศิคินถอยห่างจากริชาในทันที

ศิคินที่เห็นว่าเหตุการณ์จะบานปลายไปกันใหญ่ เขาจึงร่ายพระเวทเพื่อลบความทรงจำของชมแพรที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่

“ผมชื่อศิคิน เป็นญาติของคุณ ตอนนี้ริชาไม่เป็นอะไรแล้ว ฝากคุณแพรดูแลเธอก่อนนะครับ ถ้าฟื้นแล้วอย่าให้เธอออกไปจากร้านนี้เด็ดขาดจนกว่าผมจะกลับมา”

ดังตกอยู่ในภวังค์น้ำเสียงทรงพลังกับมนต์พระเวทที่ร่ายทำให้ชมแพรสงบลงก่อนจะพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ

“มณีอสูรกาลกำลังทรงอัคคี เจ้าต้องมาบัดเดี๋ยวนี้!”

เสียงพายะที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ศิคินที่ตอนนี้ถึงแม้ในใจจะห่วงริชาเพียงใดแต่ทำได้เพียงร่ายพระเวทป้องกันที่ร้านดอกไม้ไว้ ก่อนจะหายตัวไปที่ชายแดนพิภพอสุราในทันที

 

 



Don`t copy text!