ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
ในวันงานเปิดตัวโรงแรมใหม่นั้นแขกมากมายที่มาร่วมงานล้วนเป็นแขกผู้ใหญ่ของทางพ่อและแม่ของพิภพ สำหรับครอบครัวของเขานั้นที่เป็นเจ้าของกิจการมากมายทำให้ทั้งพ่อและแม่ของเขานั้นไม่ได้พำนักอยู่ที่ประเทศไทยเลย เพราะจำเป็นต้องเดินทางในต่างประเทศอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อพิภพถึงวัยที่เหมาะสมและสามารถช่วยดูแลกิจการได้แล้ว ธุรกิจที่อยู่ภายในประเทศเขาจึงรับหน้าที่บริหารจัดการทั้งหมด
โอกาสพิเศษเช่นนี้ทำให้เจ้าของงานอย่างเขาต้องแต่งตัวเป็นทางการเสียหน่อยด้วยชุดสูทสีเทาเข้มเข้ารูปพอดีตัวที่ถูกตัดมาโดยเฉพาะทำให้สวมใส่ได้พอดีตามสัดส่วน รูปร่างของชายหนุ่มที่ความสูงราวร้อยแปดสิบต้นๆ ทำให้ยิ่งส่งเสริมใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นต้นทุนเดิมนั้นให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น
“วันนี้หล่อจริงๆ เลยนะไอ้ลูกชาย” ธาตรีผู้เป็นพ่อพูดพลางตบไหล่ลูกชายเบาๆ
“คิดถึงลูกที่สุดเลย เนี่ยนะพอเห็นตาภพแล้วนึกถึงคุณตอนสมัยหนุ่มๆ เลย นี่ถ้าแม่รู้ว่าพ่อแกพออายุมากเข้าจะอ้วนขึ้นขนาดนี้นะแม่จะรีบห้ามให้ไวเลย” เหมือนดาวพูดขึ้นอย่างติดตลกก่อนทั้งสามจะหัวเราะดังขึ้นจนคนรอบๆ ข้างเริ่มสังเกตว่าทั้งธาตรีและเหมือนดาวมาถึงที่งานแล้ว
“ไว้คุยกันหลังงานเสร็จนะครับ เหมือนแขกผู้ใหญ่ท่านอยากคุยกับพ่อแม่ใจจะขาดแล้ว เดี๋ยวผมจะไปดูความเรียบร้อยของงานซะหน่อย” พิภพพูดเสียงเบาก่อนทั้งพ่อและแม่จะพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ลูกชายอย่างภูมิใจ
เมื่อปลีกตัวออกมาแล้วนั้น พิภพรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเพราะเดี๋ยวสักครู่ตามกำหนดการพิภพต้องขึ้นพูดบนเวที แต่แล้วความตื่นเต้นทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้นหลงเหลือไว้เพียงความตกตะลึงเท่านั้น
หญิงสาวในชุดเดรสสีดำสนิททั้งชุด ผมยาวตรงสีดำขลับจนถึงกลางหลังเดินเข้ามาในงานเพียงคนเดียวแต่สามารถสะกดทุกสายตาโดยรอบรวมถึงพิภพที่ยืนนิ่งดั่งว่าต้องมนต์สะกด เมื่อยามที่ปลายเท้าของเธอเหยียบย่างเข้ามายังบริเวณประตูด้านหน้าห้องจัดเลี้ยง
เธอคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาพิภพในทันทีก่อนจะยิ้มในเขาแล้วก้มศีรษะลงน้อยๆ เป็นการทักทาย เมื่อมองเห็นเธออย่างถนัดตาพิภพก็นิ่งอึ้งไปในทันที เพราะเธอคือหญิงสาวที่เขาพบที่ร้านอาหารเมื่อคืนก่อนเธอจะรีบลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากริชาและชมแพรกลับมาที่โต๊ะ
“คุณ…” พิภพพึมพำเบาๆ หากแต่บัดนี้เหงื่อกลับไหลออกมาเต็มฝ่ามือ
“ค่ะ ฉันเอง..ยะศิณา วันนี้เป็นแขกของคุณเหมือนดาว ฉันบังเอิญพบคุณภพที่ร้านอาหารเมื่อคืน…”
พิภพที่พยายามนึกชื่อของเธอแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มให้เธออย่างรู้สึกผิด จนกระทั่งบทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเพราะหญิงสาวอีกคนที่เปิดเข้ามาทางประตูห้องจัดเลี้ยง
ริชาที่มาถึงโรงแรมตั้งแต่เช้าแต่เพราะถ้าหากใส่ชุดกระโปรงตั้งแต่แรกดูจะไม่คล่องตัวสำหรับการทำงานและตรวจสอบความเรียบร้อย จากนั้นเธอและชมแพรจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ที่ห้องรับรอง
ริชาในชุดกระโปรงที่ความยาวเลยบริเวณหัวเข่าลงมาเล็กน้อย สีแดงเลือดหมูขับให้ผิวพรรณของเธอดูสว่างขึ้นเสียจนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าริชาเป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าเมื่อใดยามสวมชุดสีแดงแล้วนั้นจะยิ่งส่งเสริมทั้งรูปร่างหน้าตาและบุคลิกภาพให้สวยงามขึ้นไปอีกหลายเท่า
เธอและชมแพรเดินตรงมาที่พิภพและหญิงสาวชุดสีดำ ก่อนริชาจะส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับริชาเท่าใดนัก
“ว้าว!”
เสียงของชมแพรที่ดังขึ้นเบาๆ ยามปลายคางของอีกฝ่ายสะบัดน้อยๆ เมื่อเธอกับริชาเดินเข้ามา เมื่อเห็นดังนั้นชมแพรจึงทำได้เพียงเก็บอาการก่อนจะมองไปที่พิภพเป็นเชิงตั้งคำถามว่าหล่อนคนนี้เป็นใครพิภพที่เห็นดังนั้นจึงรีบแนะนำเพื่อนทั้งสองในทันที
“นี่คุณยะศิณาเป็นแขกของแม่ แล้วทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทของผมเองครับ ริชากับชมแพร”
พิภพพูดพลางผายมือไปยังทั้งสองคนก่อนทั้งริชากับชมแพรจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทายคุณยะศิณา แต่แปลกตรงที่เธอไม่เพียงแต่ไม่พยักหน้าหรือยิ้มรับใดๆ ก่อนจะหันกลับไปพูดคุยกับพิภพแทนในทันที
“ถ้างั้นไม่รบกวนแล้วดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ…” พูดจบเจ้าหล่อนก็เดินออกไปในทันทีทิ้งให้ชมแพรที่มองอยู่ถึงกับเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่ ริชาที่เห็นดังนั้นจึงรีบกุมมือของเพื่อนไว้ในทันทีแล้วออกแรงบีบเบาๆเป็นเชิงห้ามปราม
“ชา…” ชมแพรพูดพลางหันมาสบตาริชาเชิงประท้วง
“ช่างเขาเถอะแพร งานสำคัญภพมันนะ…ยิ้มไว้”
“แต่ว่า…”
ชมแพรพยายามสูดลมหายใจเข้าออกก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนของอาหารจัดเลี้ยงทันทีด้วยความหงุดหงิด ริชาและพิภพที่เห็นดังนั้นทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนพิภพจะหันไปมองริชาอีกครั้ง…เขาไม่พูดอะไรพลางยื่นข้อศอกของแขนด้านซ้ายไปทางเธอแล้วขยับเบาๆ สองสามครั้ง
“วันนี้สวยมากครับคุณริชา และจะเป็นเกียรติอย่างมากถ้าวันนี้จับแขนของกระผมไม่เช่นนั้นคุณแม่คงจะไม่หยุดแนะนำลูกสาวบรรดาเพื่อนสนิทให้ผมเป็นแน่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าเห็นใจเสียจนคนฟังอดตีเบาๆ ที่แขนไม่ได้
“เยอะ! ฉันกับไอ้แพรก็บ่นกันอยู่ว่าชุดเนี่ยจะอลังการไปไหน แกไม่เห็นรึไงสาวๆ จ้องแกตาเป็นมัน ขืนฉันควงแกเข้าไปในงานก็โดนกินหัวพอดี” ริชาบ่นอุบก่อนจะทนสายตาอ้อนวอนของพิภพไม่ไหวแล้วจึงเอื้อมมือไปจับแขนเขาไว้ ก่อนทั้งสองจะเดินเข้าไปภายในงานพร้อมกัน
ด้วยท่วงท่าที่แสนสง่างามของทั้งสองคนเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปภายในงาน สายตามากมายต่างจับจ้องเป็นตาเดียว และไม่ใช่เพียงความเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกของริชาและพิภพเท่านั้น แต่เพราะโดยปกติแล้วงานใหญ่เช่นนี้สายตาของแขกในงานทุกคู่ล้วนต่างคุ้นชินกับภาพครอบครัวสามคนโดยมีเหมือนดาวควงแขนของลูกชายเข้ามาในงานเสมอ
บัดนี้กลับปรากฏภาพของหญิงสาวแสนสวยแสนคุ้นหน้าคุ้นตาที่ควงคู่มากับพิภพ สาวน้อยที่ผู้คนมักพบเห็นถ่ายภาพร่วมกันในสื่อโซเชียลเสมอ แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เดินเข้ามาในงานพร้อมๆ กันเช่นนี้ ริชาที่รับรู้ได้ถึงสายตาชื่นชมของหลายคนและสายตาอิจฉาเสียจนความร้อนจากดวงตาของใครหลายคนทำให้เธอร้อนวูบวาบอยู่ไม่น้อย
“ภพ ฉันว่ารอบนี้เราเล่นใหญ่ไปไหมนะ” เธอกระตุกแขนเสื้อชายหนุ่มเบาๆ ก่อนพิภพที่ตั้งใจให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่แล้วจะไม่ตอบอะไรนอกจากเสียอาการจนหุบยิ้มไม่อยู่
ผู้เป็นพ่อที่เห็นดังนั้นได้แต่หันไปสบตาภรรยาของเขาก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ “คุณ…ผมว่านะ เรารีบจัดการงานที่ค้างๆ ให้น้อยลงหน่อยดีกว่า เผื่อๆ เอาไว้อาจจะได้จัดงานใหญ่อีกเร็วๆ นี้” เขาพูดหน้านิ่งพลางคิดไปไกลก่อนภรรยาจะตีแขนเขาเบาๆ
“คุณอย่าไปเร่งตาภพกับหนูริชาเชียวนะ เดี๋ยวเข้าหน้ากันไม่ติดขึ้นมาเรื่องมันจะวุ่นวายกันไปใหญ่”
“เร่งอะไรกันคุณ เกินครึ่งชีวิตแล้วนะ ไอ้ณุก็เพื่อนผม นี่ถ้ามันไม่ติดสอนหนังสือยังไงซะวันนี้มันก็ต้องมาแน่ๆ อยู่แล้ว” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจก่อนจะกอดภรรยาเบาๆ ด้วยความสุขใจ
ขณะที่กำลังรอพิธีกรเริ่มพิธีการต่างๆ ภายในงานนั้น ความวุ่นวายของแขกในงานก็หยุดลงในทันทีเมื่อคุณธาตรีก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน
เสียงพูดของผู้เป็นพ่อนั้นแทบฟังไม่ได้ศัพท์เลยเพราะตอนนี้สมาธิของเขากลับจดจ่ออยู่ที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น ริชาที่ในขณะนี้เอาแต่มองไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหาชมแพรที่ไม่มีแม้แต่เงา ดูท่าคงหัวเสียกับแขกที่ชื่อยะศิณาอยู่ไม่น้อย
สายตาของพิภพที่จ้องมาที่ริชาอย่างไม่วางตานั้นทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวก่อนจะยืดหลังตัวตรงแล้วกระแอมออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง พิภพสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยิ้มให้ริชาอย่างเคยชิน หากแต่ยังคงไร้ซึ่งคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากบางนั้นแม้แต่น้อย
ราวกับว่าคำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอที่แห้งผากเสียอย่างนั้น
“ว่า…” ริชาถามอย่างสงสัยเพราะพิภพเอาแต่จ้องเธอ
“เปล่า…” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทนสายตารบเร้าเหมือนกำลังถามว่ามีอะไรของริชาไม่ได้
“ก็แค่ดีใจ…ดีใจที่วันนี้มีแกอยู่ในวันดีๆ ของฉัน แค่นั้นเอง”
ริชาได้ยินดังนั้นก่อนจะยิ้มออกมาให้เขา เมื่อเห็นเช่นนั้นพิภพกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสมือของริชาจู่ๆ ทั้งห้องจัดเลี้ยงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหวนั้น เสียงกรีดร้องจากบรรดาแขกในงานจึงดังขึ้นด้วยความตกใจ พิภพมองไปรอบๆ ก่อนจะสังเกตเห็นโคมไฟคริสตัลที่ห้อยอยู่ด้านบนเพดานเหนือศีรษะของพวกเขากำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ โคมไฟขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาสู่พื้นเบื้องล่างในทันที
เพล้ง!
เสียงแก้วคริสตัลกระทบพื้นดังสนั่นคละไปกับเสียงกรี๊ดอย่างตกใจของบรรดาแขกที่มาร่วมงาน
“ริชา!”
พิภพตะโกนอย่างสุดเสียงก่อนจะดึงริชาเข้ามากอดไว้ในทันที ร่างของพิภพและริชาไถลไปตามพื้นอย่างแรง หากแต่เขายังคงกอดร่างของหญิงสาวไว้แน่นเพื่อป้องกันเศษแก้วที่กระเด็นมาไม่ให้ริชาได้รับบาดเจ็บ
ริชาที่ตกใจอย่างสุดขีดทำได้เพียงหลับตาสนิท ฟังเสียงเศษแก้วกระทบพื้นที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อทุกอย่างสงบลงนั้นเธอก็รีบผละออกจากอ้อมแขนพิภพแล้วสำรวจตามร่างกายของเขาในทันที
“ภพ เป็นอะไรไหม!”
“ไม่ๆ แล้วชาเป็นอะไรไหม”
พิภพพูดอย่างร้อนใจก่อนจะมองสำรวจไปตามตัวของริชาเพื่อหาบาดแผล เขาสัมผัสไปที่มือของหญิงสาวทั้งสองข้างไม่ยอมปล่อยแต่ก็ไม่พบบาดแผลตามตัวของริชาแม้แต่น้อย
“ชาไม่เป็นอะไร” ริชาพูดพลางจับมือเขาไว้แน่นจนสามารถรับรู้ได้ว่ามันกำลังสั่นระริกด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
เมื่อก้มมองที่มือของชายหนุ่มนั้นก็พบว่ามีของเหลวสีแดงสดที่เกิดจากเศษกระจกบาดจนเกิดบาดแผลที่ฝ่ามือของพิภพ
ริชาตกใจที่เห็นบาดแผลที่มือของพิภพจึงรีบใช้มือของตนกดบาดแผลไว้แน่นเพราะเลือดไหลออกมาไม่หยุด เลือดจากฝ่ามือของพิภพที่ไหลออกมานั้นเปรอะเปื้อนฝ่ามือของริชาเพราะเขานั้นจับมือเธอไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
เมื่อนั้นเองที่บังเกิดแสงสว่างพวยพุ่งออกจากฝ่ามือที่เปื้อนเลือดของเขาทั้งสองคนพร้อมๆ กับแสงสีแดงประหลาดที่ส่องแสงสว่างขึ้นอย่างเจิดจ้า ละอองแสงสีแดงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนแสงสีแดงนั้นเรืองรองไปทั้งห้องในทันทีอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง
“ภพ!” กลับกลายเป็นริชาเองที่ตะโกนเรียกชื่อพิภพอย่างสุดเสียงแข่งกับบรรดาแขกภายในงานที่วิ่งออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างอลหม่าน
ทั้งสองคนที่เห็นดังนั้นต่างมองหน้ากันเหมือนต้องการคำตอบ หากแต่พยายามอย่างสุดแรงที่จะปล่อยมือจากกันหากแต่ไม่เป็นผล ก่อนที่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดบางอย่าง
ริชาและพิภพกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่เริ่มก่อตัวขึ้นบริเวณฝ่ามือแล้วแล่นไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับแสงสว่างประหลาดสีแดงที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดก็บังเกิดเปลวไฟสีแดงฉานโอบล้อมร่างของทั้งสองไว้ก่อนที่สติสัมปชัญญะของทั้งริชาและพิภพจะดับวูบลงในที่สุด
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ