พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 4 : จอมใจไกลปืนเที่ยง

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

 

พ.ศ.2512

“พี่เทอด…พี่เทอด…แย่แล้ว…ไอ้ธงมันตกม้า!” เสียงเรียกชื่อปนเสียงกระหืดกระหอบจากการวิ่งร้องตะโกนบอกของชายวัยกลางคนที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารตรงหน้าด้วยความร้อนรน

“ฉิบหายแล้ว…!”  บทภาพยนตร์ที่อ่านค้างอยู่ในมือถูกโยนลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี ก่อนเจ้าตัวจะลุกพรวดจากชุดเก้าอี้นั่งใต้ร่มสนามคันใหญ่และออกวิ่งตามไป

 

“หลบไป! พวกมึงมารุมหาพระแสงอะไรกัน งานการไม่มีทำหรือไง” เสียงตะโกนไล่ที่มาก่อนตัวของเทอด ทำให้ผู้คนที่กำลังรุมล้อมถอยวงกว้างเปิดทางโดยอัตโนมัติด้วยความกลัวเกรง ถึงแม้เทอดจะเป็นนายที่ใจดีเป็นที่พึ่งของลูกน้องได้แค่ไหน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าชายวัย 35 คนนี้ก็มีความเด็ดขาดและเอาจริงคนหนึ่ง เมื่อไหร่ที่มีเรื่องให้ไม่ถูกใจ หรือมีอะไรที่ไม่ถูกต้องเขาก็ไม่ไหว้หน้าใครเหมือนกัน

“ไอ้ธง! ไอ้ธง! ไอ้ธง!…” มือใหญ่ของเทอดตบหน้าชายหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่กับพื้นตรงหน้าเบาๆ

“มันไปทำอีท่าไหนถึงตกม้าลงมาได้” เทอดหันไปถามชายหนุ่มหน้าตาคมคายตรงหน้าที่ทุกคนรับรู้กันในกองถ่ายว่าเขาคือผู้รับบทพระเอกในหนังเรื่องนี้

“ไอ้ธงมันอยากทำความคุ้นเคยกับม้า แต่ม้ามันคงพยศเข้าให้ เลยดีดมันตกลงมานอนแอ้งแม้งอย่างที่เห็นนี่แหละ ปลุกเท่าไหร่มันก็ไม่ตื่น… ” ชายรูปร่างสันทัดหน้าตาดุโหดไว้หนวดเคราเฟิ้มที่ได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดีตอบแทน ก่อนจะหันไปคร่ำครวญกับคนที่นอนนิ่ง “อย่าเพิ่งตายนะ มึงต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้กูก่อน มึงรับปากกูแล้วว่าจะไปช่วยกูโห่ขันหมาก…”

“ไอ้คม…ปากเอ็งรึนั่น เดี๋ยวมึงหลับกูจะแอบโกนหนวดที่มึงรักนักรักหนาทิ้ง ให้มึงขาดใจตาย” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกอดไม่ได้ที่หันมาตำหนิพร้อมข่มขู่

“อะอ้าว ก็กูเป็นห่วงมัน มันยังต้องทำอะไรให้กูอีกตั้งหลายอย่าง…เออ…กูเงียบก็ได้…”

“แล้วนี่มีใครไปหายา หรือเรียกรถพยาบาลกันหรือยัง…” เสียงเทอดตะโกนถามคนที่ยังยืนมุงดูสถานการณ์อยู่รอบๆ ก่อนหันไปปลุกคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ไอ้ธง…ไอ้ธง”

“คุณธง…คุณธง…” หญิงสาวร่างเล็กที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเขย่าแขนเบาๆ ส่งเสียงเรียกซ้ำ นัยน์ตาของร่างที่นอนนิ่งเริ่มเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใต้เปลือกตาก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“เฮ้ย…มันได้สติแล้ว” เสียงตื่นเต้นของคนที่เพิ่งรับปากว่าจะเงียบดังขึ้น “เป็นไงมั่งวะไอ้ธง…จำกูได้ไหม”

“ลุกไหวไหม…เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกถามคนที่ยังนอนลืมตาอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าห่วงใย

“ค่อยๆ ลุก มาๆ กูช่วย” ชายที่รักหนวดงามยิ่งชีพรีบเข้าไปช่วยประคองร่างที่นอนอยู่ให้ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

 

เสียงผู้คนที่ถกเถียงไปมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ความเย็นฉ่ำของแอร์ที่เคยปะทะผิวให้สบายกลายเป็นไอร้อนจากอากาศภายนอก เสียงเรียกชื่อที่ดังซ้ำไปซ้ำมา เริ่มปลุกชายหนุ่มร่างสูงที่นอนเหยียดยาวให้รู้สึกตัว วินาทีที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และถูกประคองพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ความรู้สึกและเสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ยามหลับเริ่มปรากฏเป็นภาพและเสียงที่ชัดเจนตรงหน้า ความมืดสลัวภายในโรงหนังแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างยามกลางวัน ผู้คนในแต่ละแถวที่นั่งฟังเขาพูดคุยบนเวที ถูกแทนที่ด้วยผู้คนหน้าตาแปลกๆ สวมใส่ชุดเสื้อผ้าที่ไม่เคยได้เห็นมานานยืนรุมล้อมและจดจ้องตรงมาด้วยสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็น

“ที่นี่ที่ไหน” เมื่อเสียงตัวเองหลุดลอดถามออกไปและสะท้อนกลับมาให้ได้ยิน ดวงตาคมยิ่งฉายแววตกใจแทบสิ้นสติอีกครั้ง เขารีบเอามือจับกล่องเสียงบริเวณลำคอของตัวเอง เสียงที่เคยแหบพร่าตามวัยกลายเป็นเสียงทุ้มที่แจ่มชัดของวัยหนุ่ม เขารีบก้มสำรวจสภาพร่างกายของตัวเอง สีผิวตกกระไม่สม่ำเสมอที่มาพร้อมริ้วรอยเหี่ยวย่นตามมือและแขนกลายเป็นผิวสีคล้ำแดด เมื่อสัมผัสไปตามลำตัวให้รู้สึกถึงความแน่นกำยำของเนื้อหนัง สองมือลูบเปะปะไปทั่วใบหน้าสัมผัสได้ถึงผมจอนยาวข้างหูทั้งสอง เรียวนวดเล็กๆ บนริมฝีปาก ผิวหน้าที่รู้สึกได้ถึงความเรียบตึง ที่สำคัญยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงคล่องตัวภายในร่างกาย จนเขาต้องเปล่งเสียงถามที่คล้ายถามตัวเองให้ดังออกมาอีกครั้ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ม้ามันพยศแล้วคุณธงก็ตกม้าลงมาไง” หนึ่งในคนที่ยืนรายล้อมช่วยตอบ หากแต่มิใช่คำตอบที่เขาอยากได้

“เป็นไงวะธงเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มก้มมองมือที่บีบลงมายังไหล่ขวาไล่เรื่อยไปยังใบหน้าของเจ้าของมือ ชายวัยกลางคน หน้าตาใจดีแต่แฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความจริงจังส่งยิ้มให้ เขาจำได้ว่านี่คือคนที่เขาเคยเรียกว่านายและพี่ ‘เทอด’ อดีตนักแสดงที่ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ และเป็นเจ้าของเงินทุนสร้างหนัง คนที่สอนให้เขารู้จักการแสดง และทำให้ชื่อของเขายังเป็นชื่อที่ทุกคนยังรู้จักพูดถึง ข้างๆ เทอดคือ ชายหน้าตาดุดันเพราะหนวดเครา ส่งสายตายียวนมองมาพร้อมสองมือกำลังนวดเฟ้นท่อนขาอย่างเอาใจ คือคนที่เขาเพิ่งได้พูดคุยหยอกล้อก่อนเข้างาน หากแต่เวลานี้ทำไมทั้งคู่กลับยังดูหนุ่มแน่นไม่ใช่คนแก่วัยไม้ใกล้ฝั่ง

และเมื่อเบือนหน้าไปยังอีกฝั่งข้างตัว ดวงตาคมก็ต้องเบิกกว้างด้วยตกตะลึง ใบหน้าและชื่อที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาก็ไม่มีวันลืม ‘เจตน์ เทพเทวา’ ความละอายใจ ความรู้สึกผิด ก่อตัวขึ้นเป็นเหมือนพายุที่พัดหมุนวนอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว คำขอโทษ คำอธิบายมากมายติดค้างอยู่ในลำคอ ยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาแห่งความห่วงใยที่มองตรงมาผิดกับแววตาโกรธขึ้งที่เขาเคยได้รับมาตลอดทั้งชีวิต กลับยิ่งทำให้พายุแห่งความทุกข์ในใจทวีความรุนแรง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมใบหน้านั้นยังคงดูหล่อคมเข้ม ปราศจากรอยแผลเป็นนูนบริเวณซีกหน้าด้านขวา

“นี่เอ็งจะตะลึงในความหล่อของไอ้เจตน์อีกนานไหมไอ้ธง…พี่เทอดเขาถามอยู่เป็นนานแล้ว ว่าตัวมึงอะเป็นยังไงมั่ง” ชายหน้าหนวดก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำเมื่อเห็นธงรบเอาแต่จ้องเจตน์ตาไม่กะพริบ

“ท่าทางคุณธงคงไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรแล้วมั้งคะ เรากลับไปทำงานกันต่อเถอะค่ะ” เสียงหวานใสที่ดังขึ้นกระทบโสตประสาท ทำให้เขาต้องรีบผละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าหันขวับไปมองหน้าเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นหญิงสาวร่างเล็ก หน้าตาสวยเก๋ ในชุดเดรสสั้นสีสดที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด

“ขวัญชีวา” เสียงแผ่วเบาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงระคนตกใจจนแทบสิ้นสติไปอีกรอบ หากการได้เจอเจตน์คือการเผชิญคลื่นพายุแห่งความหวาดหวั่น การได้เจอหญิงสาวตรงหน้า คงยิ่งกว่าการฝ่าความหนาวเหน็บที่กำลังโหมพัดและเกาะกินร่างกายจนเย็นจับขั้วหัวใจ ภาพเหตุการณ์ล่าสุดในความทรงจำของคนทั้งคู่หวนกลับมาอีกครั้ง

 

สภาพรถที่พังยับเยินอยู่ข้างทาง ควันจากหม้อน้ำยังลอยเป็นไอให้เห็น เสียงอื้ออึงของผู้คนวิ่งวุ่นไปมาด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ความชุลมุนวุ่นวายฟังไม่ได้ศัพท์ด้วยความตกใจถูกกลบด้วยเสียงขอทางจากรถพยาบาลที่วิ่งตรงเข้ามาจอด เจ้าหน้าที่และพยาบาลลงจากรถอย่างรีบเร่งเพื่อตรวจดูอาการคนเจ็บ ก่อนใช้เปลหามขึ้นรถและปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อไปยังโรงพบาบาลที่ใกล้ที่สุด

“เจตน์…เจตน์…เอ็งอย่าเป็นอะไรนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้”

“ใจเย็นๆ ธง ไม่ใช่ความผิดของมึง อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้” เทอดปลอบธงรบที่เอาแต่ร้องบอกร่างที่เต็มไปด้วยเลือดและนอนสลบไสลอยู่ในรถพยาบาล

“ไอ้เจตน์มันเป็นพระเอก เอ็งดูกล้ามเป็นมัดๆ ของมันซะก่อน แข็งแรงขนาดนี้ มันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” คมเดชปลอบให้กำลังใจธงรบรวมทั้งตัวเอง

“ถ้าผมขับรถดีกว่านี้ เจตน์มันก็คงไม่นอนอยู่แบบนี้” ธงรบคอตกด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องอยู่ในสภาพนี้

 

ห้องผ่าตัดภายในโรงพยาบาล

ทันทีที่ประตูเปิดออก ชายหลายคนที่ลุกนั่งอย่างไม่เป็นสุขอยู่บริเวณเก้าอี้พักคอยหน้าห้องผ่าตัดภายในโรงพยาบาลประจำจังหวัด ก็ตรงไปหาชายในชุดกาวน์ผ่าตัดซึ่งเป็นนายแพทย์วัย 50 เพื่อรอฟังคำตอบ

“อาการของเจตน์เป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ” เทอดถามด้วยความกังวล

“อวัยวะภายในไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง บาดแผลตรงบริเวณหน้าอกหมอเย็บให้เรียบร้อย ส่วนภายนอกขาและแขนด้านขวาที่โดนแรงกระแทกจนหัก ก็ใส่เฝือกทำกายภาพ พักสักสองสามเดือนร่างกายก็น่าจะฟื้นตัวได้ ถ้าคุณเทอดจะทำเรื่องย้ายไปรักษาต่อในกรุงเทพ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หมอห่วงก็แต่เรื่อง…แผลเป็นบนใบหน้า อาจทำให้คุณเจตน์เล่นหนังไม่ได้อีก…ตลอดชีวิต” คำบอกเล่านายแพทย์ที่ให้การรักษาถึงอาการของเจตน์ในประโยคสุดท้ายทำให้เทอด คมเดช และธงรบ ถึงกับนิ่งอึ้งไป เพราะสำหรับพระเอกหน้าตาคือเรื่องสำคัญที่สุดในอาชีพ

 

นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ธงรบกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเจตน์เพราะความผิดที่เขาก่อไว้มันหนักหนาจนเกินจะให้อภัย ทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมเจตน์ที่โรงพยาบาลและเห็นผ้าปิดแผลบนแก้มด้านขวา ก็ให้ยิ่งสะท้อนใจเพราะเขารู้ว่าเจตน์รักอาชีพการแสดงมาก และตัวเจตน์เองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะต้องเสียโฉม และต้องเสียงานที่ตัวเองรักไปพร้อมๆ กัน

จากความทะเยอทะยานอยากจะเป็นพระเอก ไม่อยากเป็นดาวร้ายของเขา จนยอมเชื่อคำคนอื่นเพื่อทำเรื่องโง่ๆ เพราะคิดว่ามันจะกลายเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย กระทั่งผลจากการกระทำ ทำให้เพื่อนที่เคยร่วมสาบานแทบจะไม่มีชีวิตรอด ทุกอย่างก็เลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้ เมื่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับมาทำงาน ธงรบก็ตัดสินใจที่จะสารภาพความผิดทั้งหมด อย่างน้อยเขาก็อยากให้เพื่อนรู้สึกว่าเขาก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะกล้าทำกล้ารับ แต่ประโยคเดียวที่เขาได้กลับมาคือ

“ข้ายินดีด้วยกับบทพระเอกที่เอ็งกำลังจะได้รับ แต่นับจากนี้ไปเอ็งกับข้า เราไม่รู้จักกัน”

 

ธงรงยังจำได้ดีว่าตลอดสัปดาห์ก่อนที่เจตน์จะย้ายกลับมารักษาตัวต่อในกรุงเทพฯ เพื่อนนักแสดงในกองถ่ายต่างแวะเวียนมาเยี่ยมถามไถ่อาการของเจตน์กันอย่างไม่ขาดสาย โชคดีที่การถ่ายทำฉากไล่ล่าในวันที่เจตน์ประสบอุบัติเหตุเป็นคิวสุดท้าย ทำให้การถ่ายทำไม่ต้องหยุดชะงักเพราะอาการบาดเจ็บของเจตน์ซึ่งเป็นพระเอกหลักของเรื่อง ธงรบเองก็แวะมาเยี่ยมเจตน์ทุกวัน หากแต่เจตน์ก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือพูดคุยกับเขา

อีกเลย ช่วง 2-3 ปีแรก ธงรบเคยแวะเวียนกลับไปหาเจตน์ที่บ้านนอก แต่เจตน์ก็ไม่เคยออกมาพบเขา หนำซ้ำยังต้องได้ยินคำนินทาของชาวบ้านที่ลือกันว่าเป็นพระเอกตกกระป๋อง เพราะอวดเก่งอยากดัง อยากเป็นพระเอกในฉากเท่ๆ จนหน้าเสียโฉม สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับบ้านเพราะไม่มีหนังให้เล่น

ทุกคำนินทาของผู้คนที่ต่างกล่าวโทษในความประมาทโง่เขลาของเจตน์ ก่อตัวเป็นความรู้สึกผิด จากคนที่ไม่เคยสนคำคน กลายเป็นคนที่จำทุกคำคนและปล่อยให้เสียงนั้นสะท้อนก้องอยู่ในใจ เพราะเพื่อนร่วมสาบานยอมแบกรับคำกล่าวโทษนั้นไว้โดยไม่โต้แย้ง หรือเอ่ยถึงต้นเหตุแห่งความผิดที่เขาก่อขึ้นเลย นานวันเข้าธงรบก็ไม่กล้าพอที่จะไปเจอหน้าเจตน์และกลัวที่จะกลับมาเหยียบบ้านเกิด พร้อมก้มหน้ายอมรับในชะตาแห่งการจากเป็น

 

กรุงเทพมหานคร 2564

“ได้เวลาต้องไปแล้วนะครับคุณปู่” เสียงเรียกของหลานชายคนโต ดึงความคิดในห้วงคำนึงของชายชราวัย 79  ที่กำลังจ้องมองภาพตัวเองในชุดวิวาห์ มีพวงมาลัยคล้องคอยืนเคียงคู่กับหญิงสาวที่เกาะแขนเขาแนบแน่น แม้จะผ่านมา 50 กว่าปี แต่เขายังจำรอยยิ้มหวานละไม และน้ำหนักของมือเล็กที่เต็มไปด้วยความรักและความไว้ใจพร้อมที่จะฝากชีวิตไว้กับเขาได้ดี ชายชราหมุนตัวจากรูปภาพที่แขวนอยู่เหนือผนังในห้องทำงานกึ่งห้องสมุดภายในบ้าน เดินไปยังโต๊ะทำงานใกล้ๆ หยิบจดหมายที่ถูกเปิดกางทิ้งไว้ พับคืนตามรอยเดิมใส่ซอง แล้วหยิบวางเรียงซ้อนเข้ากับซองจดหมายอีกหลายร้อยฉบับที่อยู่ในกล่องสีแดงขนาดย่อมบนโต๊ะข้างกัน ก่อนปิดกล่องและนำมันวางลงในลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะทำงาน และเดินออกจากห้องไปยังรถตู้คันใหญ่ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน

 

ผืนน้ำสะท้อนแดดส่องประกายระยิบระยับ แรงลมกระทบผิวน้ำให้เคลื่อนไหวเป็นเกลียวคลื่นเล็กๆ เรือลำใหญ่ที่จอดนิ่งกับที่โคลงเบาๆ ไปมา แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ตรงหน้าเหมือนความรู้สึกความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด พานรองเถ้ากระดูกในห่อผ้าขาวที่โปรยทับด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิดทั้งดาวเรือง มะลิ กุหลาบ ถูกยื่นมาตรงหน้า มือเหี่ยวย่นค่อยๆ กำเถ้าธุลีบนพานด้วยความรักและทะนุถนอม ก่อนปล่อยให้สายลมและสายน้ำในท้องทะเลพัดพาจากไป ละอองน้ำจากเกลียวคลื่นและลมเย็นปะทะใบหน้า ปะปนกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมา

‘พี่ธงอย่าเศร้าไปเลยนะคะ…เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก รับปากนะคะว่าพี่ธงต้องใช้ชีวิตให้มีความสุข เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกๆ หลานๆ ของเรา ขวัญจะอดใจรอฟังทุกเรื่องของพี่เหมือนที่เคยนะคะ…’ คำขอสัญญาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยของคู่ชีวิตที่แต่งงานกันมากว่า 50 ปี ถูกสายลมแห่งท้องทะเลช่วยพัดกระซิบเตือนอยู่ข้างหู

“พี่สัญญา…” เสียงแหบแห้งกระซิบอย่างแผ่วเบาฝากคำตอบไปตามสายลม

 

พ.ศ.2512

ขวัญชีวาจากไปหลายปีแล้ว…แต่วันนี้พระพรหมหรือใครกำลังเล่นตลกอะไรกับชีวิตในวัย 82 ของเขา ทำไมทั้งคนที่เคยจากเป็นและจากตายไปจากชีวิตเขา ถึงมานั่งอยู่ตรงหน้าชนิดที่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า ทำไมสายตาของเจตน์ที่เคยเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถึงกลายคือสายตาแห่งความห่วงใยฉันพี่น้องที่เขาอยากได้มันกลับคืนมาตลอดชีวิต ขณะที่ทำไมหนึ่งดวงตาคู่สวยที่เขาเคยสัมผัสได้ถึงความรักอันเปี่ยมล้นที่มีให้แม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต กลับกลายเป็นสายตาของคนที่เหมือนไม่เคยรู้จักและรักกัน หากเขายังไม่ตายแล้วนี่เป็นเพียงแค่ความฝันเขาต้องรีบปลุกตัวเองให้ตื่นได้แล้ว แต่ทำไมเขากลับรู้สึกและได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วของตัวเอง คำถามมากมายผุดขึ้นและวิ่งวนอยู่ในหัว พร้อมๆ กับความรู้สึกหลากหลายปะทะปะปนกันยุ่งเหยิงจนยากจะอธิบาย

หรือนี่อาจโอกาสจากพระพรหมให้เขาได้กลับมาแก้ไขความโง่เขลาของตัวเองดังที่เคยอ้อนวอนขอ เขาเคยเห็นหนังย้อนเวลามาก็ไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความบันเทิงผ่านจินตนาการของนักเขียน ของผู้กำกับ แล้วตอนนี้เวลานี้ในเมื่อมันเกิดขึ้นกับไม้ใกล้ฝั่งอย่างเขา ต่อให้มันเป็นความฝันเขาก็ควรจะกอดเก็บมันเพื่อแก้ไขและทำมันให้ดีกว่าที่เป็นมา อย่างน้อยมันคงเป็นโอกาสดีๆ ครั้ง สุดท้ายก่อนจะสิ้นลมหายใจ

“ผมไม่เป็นไรครับพี่เทอด….พักสักแป๊บเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นระหว่างนี้กูจะถ่ายฉากอื่นไปก่อน ไอ้คมเอ็งอยู่เป็นเพื่อนไอ้ธงมัน…เอาละไม่มีอะไรแล้ว พวกที่ไม่เกี่ยวก็กลับไปทำงานของตัวเองซะ” เทอดสั่งพร้อมลุกออกไป พริบตาเดียววงไทยมุงที่รุมล้อมด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“งั้นข้าไปทำงานก่อนนะธง ไปกันเถอะน้องขวัญ” เจตน์ชวนขวัญชีวา

“เดี๋ยว…น้องขวัญอยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนไม่ได้หรือ” ธงรบส่งเสียงออดอ้อนไปยังหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังลุกขึ้นตามเจตน์เพื่อไปเข้าฉาก

สิ้นเสียงธงรบ สายตาทั้ง 3 คู่ ก็หันมองธงรบเป็นตาเดียวด้วยความตกใจและประหลาดใจ

 

คมเดชเลื่อนจานข้าวและแก้วน้ำมาตรงหน้าธงรบ “เอ้า…กินเข้าไปจะได้มีแรง แล้วนี่สติเอ็งยังดีอยู่หรือเปล่าวะธง ไปพูดแบบนั้นกับน้องขวัญเขาได้ยังไง”

ธงรบมองข้าวราดไข่พะโล้ในจาน ก่อนตักข้าวเข้าปากด้วยความหิว “พูดแบบนั้น…แบบไหน”

“ก็แบบ…น้องขวัญ อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนไม่ได้หรือ…” คมเดชลอยหน้าลอยตาทำน้ำเสียงล้อเลียนด้วยความหมั่นไส้

“ทำไมข้าจะทำไม่ได้…” ธงรบอดไม่ได้ที่จะสงสัย

“อ้าว…ก็มันทำไม่ได้ไง”

“ทำไม่ได้ยังไง” ชายหนุ่มเริ่มแสดงความงุนงง

“นี่เอ็งตกม้าจนสมองกระเทือนรึไง ต้องให้ข้าอธิบายอีกหรือวะ” คมเดชชักเริ่มขัดใจที่ยิ่งพูดธงรบยิ่งดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย

“ก็เอ็งกับเขา เจอกันทีไรก็เขม่นใส่กันตลอด ยิ่งเอ็งเสือกไปพูดให้เขาได้ยินอีกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่จะเอามาเป็นเมีย เพราะเขามันนักเรียนนอกโก้เก๋ ดูมั่นอกมั่นใจ ใครได้เป็นเมียคงข่มผัวให้ผูกคอตายวันละหลายรอบ…”

“เฮ้ย! ข้าพูดแบบนั้นเหรอ” ธงรบร้องดังด้วยความตกใจ และพยายามย้อนนึกถึงสิ่งที่คมเดชพูด

“อ้าว…หมามันพูดมั้ง…เรื่องนี้ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งกองถ่าย” คมเดชยักคิ้ว เอื้อมมือคว้าแก้วน้ำจากธงรบมาดื่ม

“แต่ตอนนี้ข้ารักข้าชอบน้องขวัญขึ้นมาแล้ว…เรื่องนั้นข้าลืมไปแล้วด้วย”  ธงรบไม่ยอมแพ้ จนคมเดชสำลักน้ำแทบจะทันทีก่อนตวาดใส่ธงรบ

“ไอ้ฉิบหายธง…พูดอะไรออกมา ตั้งสติหน่อยเอ็ง …ตอนนี้คนทั้งกองถ่ายเขาเชียร์ไอ้เจตน์กับน้องขวัญกันอยู่ เอ็งแหกตาดูโน่น”  ธงรบมองตามสายตาคมเดชไปยังใต้ร่มไม้ใหญ่ไม่ไกลที่มีเจตน์และขวัญชีวากำลังพูดคุยซักซ้อมบทด้วยท่าทีชื่นมื่น

“ไงละ…พระเอกกับนางเอกสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก”

“โธ่…แค่ซ้อมบท นางเอกได้กับผู้ร้ายมีถมไป” แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจกับภาพที่เห็นแต่ธงรบก็ต้องปลอบใจตัวเอง คมเดชถึงกับถอนหายใจใส่เพื่อนด้วยความรำคาญ

“เอ็งนี่ท่าจะเพี้ยน นางเอกที่ไหนจะมาได้กับผู้ร้าย…แย่งแฟนเพื่อนนี่ ผู้ร้ายเต็มตัวเลยนะเอ็ง อีกอย่างเอ็งรับปากเจตน์มันแล้วว่าช่วยมันจีบน้องขวัญ”

“ฮ้า!!…” ธงรบร้องด้วยความตกใจขณะตัดไข่พะโล้ในจานข้าว จนพลั้งมือทำไข่พะโล้กระเด็นออกจากจานไปทั้งลูก

“ไม่ต้องมาฮ้า มาเฮอะ…โน่น…ตอนนี้แม้หางตาเขาก็ไม่แลเอ็งร้อก” คมเดชย้ำธงรบด้วยภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าที่ขวัญชีวากำลังส่งยิ้มสดใสให้เจตน์ ขณะยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กจากเจตน์มาซับเหงื่อ ทำเอาบรรยากาศรอบตัวเขายิ่งร้อนระอุ และความร้อนในหัวใจก็แทบจะปะทุออกมา

 



Don`t copy text!