บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 54 : โลกนอกแพ

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 54 : โลกนอกแพ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ตลาดแพย่านท่าพระคึกคักเช่นทุกเช้าตรู่ก่อนตะวันจะร้อนแรงจนเกินไป ทั้งบรรดาลูกค้าและพ่อค้าแม่ขายสัญจรด้วยเรือเข้าออกแออัดติดขัดแน่นหนา

แม่ค้ากล้วยไข่ช่วยกับผัวผู้คาบยาเส้นมวนใบจาก กัดไว้ที่มุมปากพ่นควันปุ๋ยๆ ช่วยกันยกเข่งกล้วยขึ้นจากเรือแข็งขัน เงยขึ้น พบชายหนุ่มผู้ดี ที่ใส่เสื้อแขนยาวมิดชิด สวมหมวกจีนกุ้ยเล้ยกันแดด ท่าทางจะผิวบางเหลือเกิน ยืนมองอยู่

“ วันนี้..แม่ค้าจักไปดูละครนายสุ่นอีกรือไม่จ๊ะ  ฉันจะขอซื้อกล้วยแม่ค้าสัก2หวี แล้วแม่ค้าช่วยถือไปให้นายสุ่นได้รือไม่? ”

แม่ค้างงงัน

“ อย่างไรหนา? ”

“ ฉันจักจ่ายค่ากล้วยให้แม่ค้า..แล้วแม่ค้าช่วยนำหวีที่งามๆ กำลังกิน ไปมอบให้นายสุ่น แล..บอกกับนายสุ่นว่า ..แม่ค้าคือผู้นำมาให้ด้วยความเสน่หา..แลฝากไปให้ภรรยาที่ชื่อจำปาด้วย ”

หนุ่มรูปงาม ลูกค้าขาประจำอธิบายช้าๆ น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟังนัก

“ จำปา..เมียน้อยที่เป็นลาวขายผ้าไหมนั่นรือ? ”

“ นั่นแลจ้ะ.. อย่าบอกว่าผู้อื่นซื้อให้ แต่บอกว่า..แม่ค้าคือผู้มอบให้เอง จักได้รือไม่? ”

“ ฉันถามพ่อได้รือไม่ ว่าเพราะเหตุอันใด? ”

แม่ค้าไม่เคยพบเคยเห็นการกระทำเยี่ยงนี้มาก่อน

“ อ่อ..คือ..ไม่มีอันใดดอก เพียงแต่..ฉันเคยหัดละครอยู่คณะนายสุ่นมาแต่เล็กแต่น้อย แม้จักไม่อาจอยู่ด้วยได้ แต่ก็ตามดูเสมอ เพียงแต่..บัดนี้มีกิจการงานนักหนา ก็เลย..ต้องขอรบกวน ให้ผู้อื่นช่วยอุดหนุนนายสุ่นแทนฉันด้วย แต่ไม่อยากให้ท่านรู้ ด้วยฉันเป็นศิษย์ที่ท่านรังเกียจว่านอกครู ”

 

ฉะอ้อน แม่ค้าข้าวหลามที่จอดเรืออยู่ใกล้ๆ ได้ยิน มองมาอย่างเห็นอกเห็นใจ

คุณชายเฉกหันมาเห็นดวงตาที่มองมาไม่ปิดบัง สะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบยิ้มหวาน เห็นฟันขาวที่ไม่เหมือนใคร

“ มิน่าเล่า เคยหัดละครมาก่อนรือจ๋าพ่อ  จึงได้อรชรอ้อนแอ้นหล่อเหลาปานนี้ เสียดายหนา หากได้ร้องได้รำ เป็นพระเอกกับเขา  ฉันจักตามไปดูพ่อทุกที่เลยจ้า ”

คุณชายที่มากับคุณพุ่มเสมอ ไม่ตอบอันใด ได้แต่ยิ้มให้แม่ฉะอ้อนจนดวงตาแพรวพราว

แม้จะสายมากแล้ว แต่บนชานเรือนนายโรงสุ่น ยังมีมุ้งหลังใหญ่กางอยู่ ปลิวไหวๆในสายลม

ลุงแดงกับนายรำหนุ่มน้อย พระเอกวัยรุ่นคนใหม่พากันมาสอดส่องมองดู

“ สุ่นๆ..ยังไม่ตื่นอีกรือ? ”

สหายรัก ผู้ร่วมงาน ร่วมคณะกับนายโรงสุ่นมาแต่หนุ่มจนแก่เรียกอย่างกังวล

นางนอบเมียใหญ่ เยี่ยมหน้าออกมาจากห้อง

“ ไปขุดกันเอาเองเถิด เรียกให้กินอันใดก็ไม่กินมาแต่เช้าแล้ว บ่นแต่ว่าคลื่นไส้ๆ ”

นายแดงเปิดมุ้งขึ้นทันทีอย่างร้อนใจ

“ สุ่นๆ..”

ร่างที่ผอมบางลงไปจนเห็นได้ พลิกตัว หันหน้ามา

“ ปวดท้อง..ลุกไม่ไหว ”

“ อ้าว..”

จำปาเมียรองเดินเฉียดมาเมียงมอง นางนอบหันไปเห็น ก็ฟ้องออกมาลั่นๆ

“ แม่จำปา ดูผัวหล่อนซี กระบิดกระบวน ได้เวลาไปทำงานแล้ว ก็ไม่ใคร่อยากจะไป เวลาจะนอนก็ไม่ยอมนอน เวลาจะกินก็ไม่ยอมกิน ”

จำปาได้ยินวาจาทำนองเปิดโอกาสให้ จึงปรี่เข้าถึงตัว จับคลำตามร่างกาย

“ นายสุ่น ตัวร้อนหรือไม่? ”

“ ไม่..”

นายสุ่นมองมา ตาแดง โรยราเต็มที

“ ตัวเย็นด้วยซ้ำ..”

แม่จำปาหันมาสบตานางนอบ แล้วหันกลับไปลูบโลมเอาใจนายสุ่น

“ กินอันใดสักนิดหน่อยเถิด คงจักเป็นด้วยท้องว่างนี่แหล จึงปวดท้อง คลื่นไส้ ”

สุ่นทำท่าผะอืดผะอม ทำเสียงอ๊อกๆ

“ นายสุ่นๆ เป็นอันใด? ”

นางนอบตกใจ ผวามาประคอง

นายสุ่นลุกได้ โก่งคออาเจียน จำปาฉวยกระโถนมารองทันท่วงที

สิ่งที่นายสุ่นกระอักออกมา กลับเป็นเลือดสดๆ ผสมน้ำลายยืด

บ่ายรุ่งขึ้น แม่ฉะอ้อนขายข้าวหลาม อาจหาญถึงขนาดพายเรือมาเทียบหน้าแพท่าพระ

“ แม่ผินขายกล้วยเขาฝากฉันมาบอกคุณท่าน ว่าเมื่อวานนายสุ่นไม่มาแสดงหนา เขาว่าป่วยหนัก  อาเจียนเป็นเลือด  ให้พระเอกคนเด็กแสดงแทน แต่เขาฝากกล้วยไปให้นายสุ่นแลเมียชื่อจำปาแล้ว ”

เจ้าหล่อนรายงานอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยความภาคภูมิใจ ที่ได้มาพบคุณเฉก ชายในฝันถึงเรือนแพ

นางเต็มได้ยินเสียงแหลมๆคุยแจ้ว ถึงกับโผล่มาจากครัวด้วยสงสัย

“ ใครมาคะ คุณเฉก ”

ฉะอ้อนสะดุ้ง กลัว

“ อุย..ฉันฝากข้าวหลามให้กินก็แล้วกัน ไปก่อนล่ะ ”

แม่ค้าสาวรีบส่งข้าวหลามสองกระบอกให้หนุ่มเฉก แล้วรีบพายเรือหนี

ลำจวนรับไว้ ทว่าหน้าซีดเผือด

“ แหม..มีแม่ค้าเอาของกินมาให้ถึงแพ..พ่อเฉกนี่สำคัญนัก ชักจะเนื้อหอมขึ้นทุกวันๆแล้วหนา ”

นางเต็มค้อนควัก หมั่นไส้สุดขีด

 

วันนั้น ลำจวนเผ่นออกมาทันทีที่มีโอกาส แต่งกายอย่างชายมิดชิด สวมหมวกจีนปิดหน้า นั่งเรือข้ามฟากจากท่าตลาดท้ายวังไปวัดประยุรวงศาวาสอย่างลืมกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง

เธอเดินลัดเลาะชุมชนริมน้ำโลดลิ่วร้อนใจ มุ่งมาที่โอสถศาลาของหมอแดน บีช แบรดลีย์

เมื่อเข้ามาใกล้ เสียงเด็กๆผู้หญิง อ่านอังกฤษบนกระดานดำพร้อมกัน ด้วยสำเนียงอเมริกันดังเจื้อยแจ้วพร้อมเพรียง

Ladybird, ladybird fly away home,

Your house is on fire and your children are gone,

All except one, and her name is Ann,

And she hid under the baking pan.

หญิงสาวมาหยุดฟัง ในห้อง แหม่มเอมิลี่ กำลังใช้ไม้ชี้ที่กระดานดำที่เขียนรูปแมลงเต่าทอง เป็นภาพประกอบคำโคลง  ให้เด็กผู้หญิง ลูกๆคนจีน คนงาน คนยากคนจนในละแวกนั้นหลายวัยปะปน ฝึกอ่านออกเสียงกัน

เวลานั้น เอมิลี่เจน อายุเกือบสามขวบแล้ว อุ้มเบบี้โซเฟียบนตัก และส่งเสียงดัง ท่องโคลงไปพร้อมพวกพี่ๆ

หญิงสาวในคราบชายหนุ่ม มองที่เบบี้อย่างสนใจ

คุณครูแหม่มเอมิลี่หันมาเห็นหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนมองหน้าประตูห้อง หยุดสอนทันที ลำจวนตกใจ ถอยกรูด จะหันหนีตามความเคยชิน

“ Wait a minute, students!

แหม่มภรรยาหมอแดนสั่งลูกศิษย์ ก่อนรีบเดินเข้ามาหาลำจวน

เอมิลี่เจนอุ้มน้องเล็กเดินตามแม่ออกมา ด้วยสนใจชายแปลกหน้า

ลำจวนถอยพลางไหว้เอมิลี่ ตื่นตกใจ ประหม่า หวาดหวั่นปะปนกัน

“ Hello! Mister! Can I help you? ”

แหม่มถามอย่างอารี

“ Hello! ! Mister! Can I help you? ”

เอมิลี่เจนพูดตามมารดา

เอ่อ เอ่อ..คือ..จะมาหาคุณหมอปลัดเลน่ะขอรับ ”

ลำจวนเฉกอึกอัก ตอบเป็นภาษาไทย

เอมิลี่ตอบนุ่มนวล ด้วยภาษาเดียวกัน

“ เวลานี้คุณหมอไม่อยู่จ้ะ วันนี้มีกิจเรื่องไปดูโค ที่จะนำน้ำเหลืองมาทำวัคซีนป้องกัน

ไข้ทรพิศม์น่ะจ้ะ กลับมาก็คงมืดแลไม่สะดวก ขอให้มาพรุ่งนี้ได้ไหม ไม่ได้มีอันใดด่วน ใช่รือไม่? ”

หนุ่มลำจวนผิดหวัง

“ ก็..ขอรับ ”

เด็กหญิงเอมิลี่เจนตัวน้อย  ยิ้มให้อย่างน่ารัก ทำให้ลำจวนอดยิ้มด้วยไม่ได้ อีกทั้งน้องตัวเล็กๆในอ้อมแขนพี่สาว ก็สวยราวตุ๊กตา

“ สวยจังเลยค่ะ คุณหนู และ..น้อง ”

“ มายเนมอีสเอมิลี่เจน   ดิสอีสโซเฟีย ”

เด็กหญิงอเมริกันเจื้อยแจ้วจำนรรจา

“ เอ-มิ-ลี่-เจน?   โซ-เฟีย? ”

ลำจวนแทบนั่งลงคุกเข่า เพื่อคุยกับเด็กฝรั่งช่างพูด

“ นี่เอมิลี่เจนเป็นพี่สาว  นี่โซเฟีย เป็นน้องสาว ”

“อ๋อ..”

เฉกมองเอมิลี่ ลืมตัวหลุดปาก

“ ฉันไม่เคยเห็นว่า..คุณเอมิลี่..ตั้งครรถ์ ”

ภรรยาหมอ ‘ ปลัดเล ’ หัวเราะ

“ คงเป็นเพราะชุดแบบนี้กระมังจ๊ะ และตัวฉันก็เล็กๆ ท้องก็เล็ก ”

เธอก้มดูชุดบานสุ่มไก่ของตน แล้วมองหน้าหนุ่มเฉก

“ คุณเคยพบกับฉันมาก่อนรือ? ”

“ เอ่อ..คือ..คุณเอมิลี่คงจำฉันไม่ได้ดอก ฉัน..เคยพบคุณ แต่ห่างๆ ไม่เคยพูดจากัน ”

เฉกทำเสียงทุ้ม เพราะลืมตัวทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับเด็กๆไปหลายคำ

“ อ๋อ คงเป็นคนไข้ของคุณหมอสิคะ ”

“ ขอรับ ”

เฉกหนุ่มมองไปทางห้องเรียน

“ เอ่อ..กระผม..อยากมาเรียนด้วยจริงๆ ”

“ โอ..ฉันสอนแต่เด็กผู้หญิงค่ะ สยามให้เด็กผู้ชายเรียนในวัดอยู่แล้วนี่คะ แต่เด็กผู้หญิงไม่ได้เรียนกันเลย ฉันจึงสอน ”

เอมิลียิ้มเอ็นดู

“ อ้อ..ขอรับ ”

“ จะมาพบหมอ มาใหม่พรุ่งนี้นะคะ ฉันต้องไปสอนต่อละ ”

“ ขอบคุณขอรับ ”

แหม่มเอมิลี่เดินกลับไป เอมิลี่เจนอุ้มโซเฟียที่น่าจะหนักไม่น้อยสำหรับเธอเข้าสะเอว เขย่าๆตัวเบาๆ ตามแม่ไปชนิดไม่ยอมห่าง

โซเฟีย แบรดเลย์  ลูกสาวคนที่สองของหมอแดน บีช แบรดลีย์กับภรรยาคนแรก คือเอมิลี่ รอย

แบรดลีย์ ซึ่งตั้งครรถ์และเกิดในปีเดียวกับที่คุณหมอแดนได้ตัดแขนพระภิกษุวัดประยูรวงศาวาสนั่นเอง เด็กหญิงผู้นี้ ในอีกยี่สิบกว่าปีต่อมา เธอได้แต่งงานกับศาสนาจารย์ ดร.แดเนียล แม็กกิลวารี หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันจากรัฐนิวเจอร์ซีย์ เธอพูดภาษาไทยและเข้าใจคนไทยเป็นอย่างดี ช่วยงานสามีได้มาก ภายหลัง ทั้งสองได้เปิดเรือนมิชชันนารี ริมน้ำแม่ปิง  ภายหลัง ปรับให้เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิง ที่ชาวบ้านเรียกตามชื่อย่านว่า โรงเรียนสตรีสันป่าข่อย ที่พัฒนามาเป็นโรงเรียนดาราวิทยาลัย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความคิดอยากเปิดโรงเรียนสอนหนังสือสำหรับสตรีของเธอ มาจากไหน

 

ในขณะนั้น ฮุนกับคงแป๊ะ เดินดูผนังอุโบสถวัดแห่งใหม่

ที่บนนั่งร้านสูง ช่างเขียนท่านหนึ่งกำลังเขียนลายผนังช่วงตอนบนอยู่ เป็นลายดอกพุดตานเหมือนกันหมดทั้งผนัง โดยใช้วิธีวางกระดาษแม่พิมพ์แบบที่เจาะให้ปรุเป็นรูตามภาพร่าง เพื่อให้สีผ่านเข้าไปเป็นแบบร่างชั้นหนึ่งก่อน แล้วค่อยเขียนสีทับรอยปรุภายหลัง แต่ผนังช่วงล่าง ระดับหน้าต่างประตู ยังทิ้งไว้ขาวๆเรียบๆ

มีช่างอีกคณะหนึ่ง กำลังปิดทองภาพเพดานหลังคาซึ่งกรุด้วยไม้กระดานแผ่นๆ เขียนสีเสร็จแล้ว ด้วยวิธีเดียวกัน เป็นลายอย่างจีน พื้นแดง ดอกดำ

องค์พระประธานคลุมผ้าด้ายดิบไว้ กันสีหยดมาเปื้อน

เจ้าคุณกับคุณหญิงซึ่งอยู่ในวัยอาวุโสทั้งคู่ เดินเข้ามาทางประตูด้านหน้า มีบริวารติดตามสี่คน ลักษณะเป็นทหารพลดาบ สะพายดาบในฝักมิดชิดครบทุกนาย แม้ตัวไม่ใหญ่โตแต่ลักษณะหน่วยก้านดูแข็งแกร่ง น่าเกรงขาม

คงแป๊ะนั่งลง พนมมือก่อน ฮุนรีบทำตาม

“ ใต้เท้า ..คุณหญิง..”

“ อย่างไร คุณหลวง ..”

ท่านเจ้าคุณที่ผิวคล้ำ ร่างผอมแกร่ง ไม่มีส่วนเกินแม้แต่นิด ใบหน้าคมสัน ผมตัดสั้นจนเกือบเหมือนโกนเกลี้ยง เหลือเพียงด้านหน้า ที่แบ่งแสกกลาง สีหน้าดูเผินๆดุดันเด็ดขาด ทว่าแววตาที่ทอดมา เป็นประกายอ่อนโยน เมตตา มีความกันเอง เหมือนรู้จักมาก่อน ทั้งๆที่ไม่

“ นายฮุน  พอไหวไหม? ”

“ ช่างฮุนยินดีมากขอรับ ที่จะได้ฝากฝีมือไว้ที่นี่ เรื่องเขียนภาพอย่างจีน ดอกไม้ เครื่องไหว้ คงไม่มีผู้ใดเกินศิษย์กระผมผู้นี้ เพราะแม้แต่ที่พำนักอาศัยของเขาก็เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ข้างๆวัดกัลยาฯนั่นเอง ”

ผู้เป็นครูตอบแทนศิษย์ พร้อมอวดสรรพคุณไปด้วยในเวลาเดียวกัน

คุณหญิงยิ้มขำ ที่เห็นว่าฮุนคือจีนไว้เปีย

“ เห็นแล้วเชื่อได้ ว่าช่างฮุนควรจะถนัดภาพอย่างจีนจริงๆ เช่นนั้น..จะมาเขียนได้เมื่อไร อยากจะให้เริ่มต้นแลเสร็จเร็วหน่อย พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่าต้องการให้เสร็จทันวันตรุษจีน ”

“ ผนังช่วงข้างบนเสร็จเมื่อใด ช่างฮุนก็จักมาเริ่มได้เลยขอรับกระผม ”

คงแป๊ะตอบแทนแข็งขันตามเคย

ท่านเจ้าคุณมองฮุนอย่างเจตนาจะสื่อสารกับเขาโดยตรง

“ ข้าซ่อมวัดเก่าแก่นี้ใหม่ให้เป็นแบบจีนโดยช่างจีนทั้งสิ้น ตัวตึกแลเสาเหลี่ยมเรียบๆ ไม่มีช่อฟ้าบราลี งานปูนปั้นหน้าบันก็เป็นอย่างจีน แลใช้สีอย่างใหม่ ดังนั้นภาพเขียนภายในทั้งหมด ก็อยากให้เป็นจีน รับกันไปหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียว ”

“ ขอรับกระผม ”

คงแป๊ะเป็นคนตอบตามเคย

“ ข้าอยากให้ผนังโบสถ์นี้ เต็มไปด้วยดอกโบตั๋น ดอกบัว สีอ่อนหวานของดอกไม้และสิ่งของเครื่องไหว้ เครื่องบูชาอันมีความหมายมงคลทั้งหลาย สวยงามสนุกสนานครึกครื้น ไม่ซึมเซาจืดชืด ดุจสวนดอกไม้ในเมืองจีนยามฤดูดอกไม้บาน ท่ามกลางอากาศแจ่มใส ราวกับจะส่งกลิ่นหอมสดชื่น จนผีเสื้อยังต้องบินเข้ามาเชยชม เหมือนเราถวายของสวยๆงามๆให้แก่องค์พระประธานท่าน ”

ท่านหันไปพนมมือไหว้พระประธาน

“ ทำได้รือไม่ นายฮุน ”

ฮุนยิ้ม ตอบเสียงดังฟังชัด

“ ขอรับกระผม..กระผมจักเขียนเป็นแบบจำลองให้ใต้เท้ากรุณาได้ชมก่อนขอรับ หากใต้เท้าเห็นอย่างไร ชอบ ไม่ชอบสิ่งใด ได้โปรดติชมมาก่อน แล้วกระผมจึงจักลงมือเขียนจริง ”

เจ้าคุณกับคุณหญิงหันมาสบตากัน แปลกใจกับสำเนียงคำพูดคำจาที่ถูกต้อง กระชับได้ใจความ ดุจข้าราชการหนุ่มที่ผ่านการบวชเรียนมาอย่างผู้ดีมีวิชา ไม่เหมือนกับลักษณะเป็นจีนโกนศีรษะไว้ผมเปียยาวนั้นเลย

ควันธูปกระจายฟุ้งตรลบอบอวล ในศาลเจ้าที่สลัวครึ้มแม้เป็นเวลากลางวัน มีเพียงโคมและเทียนบูชา สว่างสงบนิ่งด้วยไร้สายลมโบกโบย ใบหน้าเทพเจ้าสีเข้มขลังต้องแสงสีทอง ทำให้ดูทั้งเปี่ยมเมตตาและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

ชายวัยอาวุโสกำลังเชิญพานของไหว้ลงมาจากแท่นอย่างระมัดระวัง นำมาวางพักที่โต๊ะหลังเสากลมทาสีแดงเก่าคร่ำต้นใหญ่ พอหันไปทางด้านหน้าศาล เขาถึงกับต้องเขม้นมองด้วยความสงสัย เพราะมีชายหนุ่มประหลาด ที่แต่งตัวอย่างสุภาพชนชาวสยาม สวมเสื้อแขนยาว นุ่งโจงกระเบน ทว่าสวมหมวกกุ้ยเล้ยใบคุ้นตา นอกจากนั้น ท่าหยุดยืนไหว้อยู่ภายนอกชายคา กลับเป็นการประนมมือรูปดอกบัวศอกแนบตัว ก้มลงเฉพาะศีรษะให้จรดปลายนิ้วแบบไทย ไม่ใช่กุมมือเสมอ-อก กางศอกเหลี่ยม และโค้งคำนับลงทั้งตัวอย่างจีน

หนุ่มไทยผู้นี้ตัวเล็กกะทัดรัด ท่าก้มหน้าลงไหว้ ทำให้หมวกบัง ไม่เห็นหน้า พอเงยขึ้น ก็เห็นเพียงปลายคางเรียว รูปหน้าเล็กๆ

ผู้ดูแลศาลเจ้าเก่าแก่ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างรอการบูรณะ ที่ใครๆก็เรียกว่าอากง ก้าวออกไปเพื่อไต่ถาม

บุรุษนั้นเห็นกง รีบถอดหมวกออกมากอดไว้ แล้วกระพุ่มมือไหว้ก้มศีรษะ ให้ปลายนิ้วแตะหว่างคิ้วตน อย่างอ่อนน้อมยิ่ง

“ ใต้เท้ามาไหว้เจ้ารือ? ”

กงถามเป็นภาษาไทยอย่างพยายามจะให้ชัดเจนที่สุด นึกไม่ถึง เมื่อได้เห็นใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลายิ้มให้มาอย่างแสดงความนับถืออย่างยิ่ง เพราะปกติคนไทยผู้ดีจะวางตัวอย่างชนคนละชั้นกับอาแปะมอมแมม

“ ไม่ทราบว่าใช่ที่นี่หรือไม่ ที่ช่างเขียนฮุนพักอยู่?  ”

คำพูดของเขา ทำให้ผู้อาวุโสต้องแปลกใจหนักขึ้นไปอีก

“ ใช่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่ ”

“ นี่ก็จวนเย็นแล้ว ไม่ช้าคงกลับมากระมังขอรับ? ”

หนุ่มน้อยผู้ดี คาดหวังอย่างยิ่ง

“ หากไม่มีกิจธุระอันใด ก็กลับเร็ว แต่หากมีกิจ ก็ค่ำ ”

กงตอบตามความจริง ซึ่งทำให้บุรุษนั้นดูกระวนกระวายอย่างไม่ปิดบัง

“ เช่นนั้น..กระผมจะอยู่รอสักพัก ”

เขามีท่าทีมุ่งมั่นยืนยัน

“ รอที่นี่ได้รือไม่ขอรับ? ”

“ รอได้ แต่ช้าเร็วก็ไม่แน่ ”

กงมองหนุ่มผู้ดีไทยทั้งตัวอีกที แล้วหันเดินกลับไปภารกิจประจำวันต่อ

หนุ่มนั้น คือลำจวน เธอมองตามกงไปอย่างอ้ำอึ้งในท่าทีที่ไม่ให้ความหวังหรือเอื้ออาทรใดๆ แม้จะไม่ถึงกับไร้มารยาทก็ตาม หญิงสาวมองรอบๆ หาที่นั่งพักรอก่อนอื่น

บังเอิญพอดี ที่สตรีจีนแต่งกายโดดเด่นนางหนึ่งเดินเข้ามา มีบ่าวที่เห็นชัดว่าเป็นเพศพิเศษ ถือถาดใส่ผลไม้ ส้ม กล้วย กับขนมมากมายตามติด

ลำจวนพยายามไม่เสียมารยาทที่จะมองเธอตรงๆด้วยความตื่นตา

เพราะหญิงสาวผู้นี้สวยเฉิดฉาย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวบอบบาง ใบหน้าบรรเจิดด้วยสีสันทั้งปาก แก้ม คิ้ว เปลือกตา เคลื่อนไหวเนิบงามยักย้ายเยื้องกราย ทรงผมเกล้าต่ำ เสียบอาภรณ์เป็นดอกไม้และผีเสื้อกะไหล่ทองก้านไหวๆ ประดับพลอยหลายสีระยิบระยับ สองติ่งหูมีต่างหูระย้าแพรวพราว รองเท้าของเธอเป็นกำมะหยี่ปักเลื่อม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระแจะจันทร์

พอเห็นลำจวน สาวงามก็ชะม้ายตา ส่งยิ้มเพียงแย้มพรายมาให้

ลำจวนรีบก้มศีรษะ ยิ้มตอบพอไว้ไมตรี

บ่าวที่หน่วยก้านเป็นบุรุษ แต่จริตเป็นสตรี รีบเข้าไปตั้งของ เตรียมธูปเทียนสำหรับไหว้

ทว่านายสาวแสนสวยกลับหันมาหยุดยืนตรงหน้าลำจวน

“ มาไหว้เจ้าหรือคะ  กงเข้าไปข้างในแล้วค่ะ เย็นๆไม่มีใครอยู่ดอก ต้องการอะไร บอกฉันได้ค่ะ ”

ดวงตาเธอเมื่อมองใกล้ๆดำขลับจนเหมือนนิลจริงๆ อย่างที่เขาเปรียบกัน เข้ากับสีหมึกที่เขียนขอบตาให้เฉียงคม เธอเจรจาหวาน เสียงเบา เจือแหบเล็กน้อย แต่ฟังแล้วเป็นเสน่ห์ยวนใจอย่างน่าแปลก

“ ไม่เป็นไรขอรับ ”

ลำจวนขวยเขิน เหตุเพราะตัวเองอยู่ในสภาพชายหนุ่ม และรู้สึกประดุจได้รับสัญญาณเชิญชวนให้รักจากสาวสวย

ออกจะพิลึก เพราะเธอไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับสตรีอื่นใดที่เข้ามาเกี้ยวพาชอบพอตั้งแต่ที่เธอแต่งกายเป็นเฉกมาก่อน แต่สาวคนพิเศษคนนี้ ทำให้ลำจวนหวั่นไหวใจเต้น

“ ฉันมาไหว้เจ้าขอโชคขอลาภก่อนไปทำงานน่ะค่ะ..ธูปเทียนตรงนั้น.. จุดได้เลยนะคะ ”

เธอชี้บอกให้ เห็นเล็บยาวแหลมย้อมสีดอกไม้แดง นิ้วกลมงามดุจลำเทียนและมืออันขาวนุ่มนวล

“ เชิญเถิดขอรับ ไม่ต้องห่วง ”

ลำจวนก้มหน้าลง หลบสายตา

บ่าวของแม่นางคนงามจุดธูปเทียนเสร็จ ก็หันมาเรียกอย่างเร่งๆ

“ เจ๊โบตั๋น..”

ชื่อนั้น ทำให้ลำจวนชะงัก เบิกตากว้าง หันไปมองดู ‘ เจ๊โบตั๋น ’ เต็มตา

นามนี้อย่างไร ที่เหล่าหญิงคณิกาใกล้บ่อนแห่งนั้นกล่าวขวัญถึง

“ จ้ะๆ อาฮก ”

โบตั๋นหันมายิ้มให้ลำจวนอย่างอ่อนช้อย ครานี้เธอเป็นฝ่ายหลบตาลง เพราะสายตาที่จ้องมองมาอย่างตะลึงแลของคุณชายรูปงาม

“ ขอไปไหว้ก่อนนะคะ ”

โบตั๋นเดินเข้าไปในศาลเจ้า เอวองค์คอดเว้าผันผาย-กรายกร

ลำจวนมองตาม หัวใจสั่นสะท้าน

สตรีแสนพริ้งเพริศนี้คือคนรักของฮุน..

หญิงสาวที่ถูกขังอยู่ในเปลือกของบุรุษเพศหันกลับ มือจับขอบหมวก หมุนไปมาอย่างว้าวุ่น กระวนกระวาย

 

เมื่ออาเหมย หรือโบตั๋น นามที่ใช้ในอาชีพ เดินกลับออกมาหน้าศาลเจ้าหลังไหว้ขอพรให้ทำมาค้าขึ้นในคืนนี้เสร็จ  หนุ่มน้อยหน้ามนท่านนั้น กำลังยืนชะแง้ไปทางท่าน้ำ กระวนกระวายรอคอยใครสักคน  ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาอธิษฐานบนบานอะไร

โบตั๋นเพิ่งสังเกตหมวกจีนในมือ ‘ คุณชาย ’

สายเชือกที่ใช้ผูกหมวกนั้น เป็นเชือกสีน้ำเงินฟั่นถักเปียกับเชือกขาว

“ นั่น..หมวกของ…อาฮุน? ”

ลำจวนได้ยิน สะดุ้ง หันมาสบตาหญิงสาว  แล้วมองหมวกในมือ

“ เอ่อ..ขอรับ..”

“ ที่แท้..มารออาฮุนนี่เอง..ไม่ทราบใต้เท้ามีธุระอันใด สั่งความฉันไว้ก็ได้ค่ะ..”

ลำจวนถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

“ เจ๊โบตั๋น..ตะวันต่ำมากแล้วหนา ”

บ่าวเร่งด้วยเสียงบีบให้เล็กเป็นเสียงสตรี

“ ลื้อไปรอที่เรือก่อน ”

อาเหมยชายตาไปทางคุณชายหนุ่มไทย เป็นเชิงบอกใบ้กับเขา

“ อ้อๆ ลูกค้าใหม่ ”

เขารับรู้ แล้วรีบไปรอที่เรือมีประทุนลำใหญ่ ซึ่งจอดอยู่ที่ศาลาท่าน้ำหน้าศาลเจ้า

เหมยหันมายิ้มให้ลำจวนอย่างเปิดเผย

ขณะที่ลำจวนประหม่า อึดอัดใจ ไม่รู้ว่าจะถอยหนี หรืออยู่ต่อดี

“ ใต้เท้าชื่อไรรือเจ้าคะ? ”

“ กระผมชื่อเฉกขอรับ  คุณ..ชื่อโบตั๋น? ”

“ เรียกว่าอาเหมยก็ได้ค่ะ ”

เมื่อเป็นสหายของฮุน อาเหมยก็นับเป็นคนกันเอง

“ อ้อ..”

ลำจวนพยายามตัดเรื่องราวอันซับซ้อนของบุคคลอื่นไปจากจิตใจ เรื่องของพ่อเป็นเรื่องหลัก สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งนั้น

ฮุนสะพายย่ามใบใหญ่ประจำตัวที่เต็มไปด้วยเครื่องมือเขียนภาพ เดินเลี้ยวมาจากตรอกสะพานไม้กระดานเลียบฝั่งน้ำ ที่ทอดลัดเลาะมาจากปากคลองบางกอกใหญ่ ครั้นมองเห็นบุคคลทั้งคู่อยู่ด้วยกันแต่ไกล เขาก็ให้มีอันชะงักกึก ยืนงงอยู่ตรงศาลาท่าน้ำนั้น

อาเหมยโบตั๋นหันไปเห็นก่อน เธอหัวเราะ เมื่อกรากเข้าไป จับมือฮุน เอาแขนคล้องแขน ลากฮุน ที่เหมือนขาจะก้าวไม่ค่อยออกเข้ามา

“ อาฮุน คุณเฉกมารอพบตั้งนาน อั๊วะอยู่เป็นเพื่อนท่าน พบกันแล้วเช่นนี้ อั๊วะไปก่อนล่ะหนา ”

เธอหันมายิ้มกับลำจวนอย่างเอาใจช่วย ไม่ว่าลำจวนจะกำลังร้อนใจด้วยเรื่องใดก็ตาม

“ แล้วคงได้พบกันอีกนะเจ้าคะ ”

หญิงสาวเขย่ง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มคนรัก

“ แล้วดึกๆ อั๊วะจะซื้อขนมมาฝากหนา อาฮุน ”

แล้วเธอก็รีบเดินสะบัดสะโพกไหวไปที่เรือ

ฮุนหันมามองลำจวน ทั้งสงสัยและอิหลักอิเหลื่อไปในเวลาเดียวกัน

ทว่าคุณเฉก หนุ่มผู้ดีกลับสบตาเขาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง



Don`t copy text!