หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 36 : ยั่วเสลี่ยง

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 36 : ยั่วเสลี่ยง

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ไอ้ลำเป็นข้าราชการฝ่ายในผู้หนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจดูความเรียบร้อยของยั่วเสลี่ยงรวมถึงรูปสัตว์พาหนะเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศ เครื่องจักรสานขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องถูกดำรวจตรวจตราอย่างถ้วนถี่ก่อนจะถูกนำไปใช้ในกระบวนแห่เลิงพนม

วันนี้ทั้งวันผู้รั้งตำแหน่งโขลญวิยะซึ่งมีหน้าที่ควบคุมยานพาหนะทั้งหมดในสรุกจึงไม่อาจปล่อยตัวตามสบายเหมือนสหายชาวศกุนตะคนอื่นๆ ไอ้ลำจำเป็นต้องอยู่โยงดูแลเครื่องจักสานที่ประดับและแต่งสีก่อลวดลายงามประณีตแต่ละชิ้นอย่างละเอียด

โดยทั่วไปการสานถักสัตว์พาหนะนั้นเป็นหน้าที่ของกุลปติ เจ้าหน้าที่เซ่นสรวงบูชา ทว่าปีนี้ข้าราชการฝ่ายราชพิธีสูงวัยกลับลุกลี้ลุกลนคล้ายถูกคนข่มขู่ จึงอ้างว่าอยากหลีกหนีความวุ่นวายในสรุก ขออาศัยใบบุญโปญผู้เยาว์ที่เมืองฝ้ายสักระยะ แล้วทิ้งภาระใหญ่หลวงไว้ให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ไม่รู้ประสีประสา ส่งผลให้ไอ้ลำจำต้องตรากตรำดำรวจชิ้นงานรอบคอบยิ่งกว่าเดิม ด้วยข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ว่านั้นมักง่าย โยนงานอย่างขอไปทีใส่มือประดาช่างหัตถกรรมที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งที่พวกมันเองก็มิได้มีหนังสืออนุญาตสานถักงานหลวง

จริงอยู่ที่ช่างหัตถกรรมเหล่านี้ขึ้นชื่อลือชาในฝีมือ แต่ถ้าสัตว์พาหนะเหล่านี้เกิดอุบัติเหตุหรือเสียหายไม่คาดฝัน โขลญวิยะอย่างมันตลอดจนข้าราชการฝ่ายในล้วนหนีไม่พ้นต้องถูกลากไปกุดหัว

ถักขึ้นโครงใหญ่โตราวต้องการอวดศักดาบารมีถึงเพียงนี้ โอกาสเกิดเหตุไม่คาดคิดยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี เมื่อถึงเพลานั้นสายตาชาวสรุกที่พากันแห่แหนเข้าชมงานล้วนเห็นเหตุการณ์ หากมันคิดจะปกปิดความผิดย่อมไม่อาจทำได้โดยง่าย

“ทุด!”

ไอ้ลำถ่มคำแสดงความไม่พอใจ

ฝ่ายในที่ตำแหน่งสูงกว่ามันต่างกินแรงไอ้ลำทุกครั้งที่สบช่อง งานเหน็ดเหนื่อยกินแรงเช่นนี้จะมีผู้ใดเล่าที่อยากรับ อย่าว่าแต่จะสามารถสั่งสมผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเลย ขนาดสมบุกสมบันจนคล้ำแดดอิดโรย แม้แต่หน้าตาก็ยังไม่ได้

ปรัตยุตบันมันยืนอยู่หน้าตีนเขาทางทิศตะวันออกของวนํรุง

บริเวณนี้มีบารายขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เสมือนอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของสรุกสำหรับดื่มกินและการเกษตรกรรม เช่นเดียวกับบริเวณปากปล่องวนํรุงที่มอดดับ ชาวสรุกได้ปรับปรุงขยายปากปล่องภูเขาไฟให้เป็นบารายขนาดย่อมอีกแห่งเพื่อใช้ในกรรมวิธีทดน้ำอย่างเหมืองฝาย ทำให้ไอ้ลำอาศัยเสียงน้ำไหลซู่ซ่า พาขับกล่อมให้ไฟในอกของมันได้ฉ่ำเย็น

ไอ้ลำมองตามทิวราษฎรที่เดินลัดเลาะตามคันนามายังจุดที่มันยืนอยู่ ท้ายแถวโค้งอ้อมอยู่บริเวณเบ้าดินเผาของงสายตระกูลเฒ่าเกิบ ท่อลมโดดเด่นแม้อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล มันรู้ดีว่าเตาคร่ำคร่าเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยตะกรันโลหะและภาชนะดินเผาบิ่นแตก

บัดนี้กระแสคลื่นชาวสรุกมีมากเกินไป ทุกคนล้วนพยายามแย่งชิงจุดชมกระบวนแห่ที่ดีที่สุด ทำให้เบียดกันไปมาจนกระทบกระทั่ง เกิดการจิกหัวด่าทอกันขณะไต่ขึ้นบันไดหินสู่ยอดเขา เสียงโหวกเหวกเพรียกสติชายหนุ่มให้กลับมาจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า

ไอ้ลำยกมือป้องตาสังเกตองศาของดวงตะวันอย่างหยาบ

“อีกราวหนึ่งชั่วยามก็จะถึงเพลาบ่ายควายกระมัง” มันหมายถึงเวลาไล่กระบือเข้าคอก “คงไม่มีจุดผิดพลาดใดอีก”

แต่กระนั้นโขลญวิยะยังรู้สึกว่ารอบคอบไว้สักหน่อยเป็นดี

มันตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางโรงเรือนสำหรับพักเครื่องจักสาน มันกลับถูกฝูงชนเบียดอัดเข้ากับกำแพงศิลาแลงของกุฏิฤๅษีข้างบาราย มันร้องตวาดสุดเสียงแต่ไม่เป็นผล

จังหวะนี้เองมีมือปริศนาลากร่างของมันผลุบหายเข้าไปในมุมมืดด้านหลังกำแพงแก้ว กดหัวจุ่มลงไปในสระน้ำขนาดเล็กจนฝอยน้ำกระเซ็นสาด

ชาวบ้านทั้งหลายกลับไม่มีใครใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ ยังคงกรีดร้องโต้ตอบกันไปมา

ไอ้ลำตกใจตะลีตะลาน ทว่ายังไม่ถึงกับสิ้นหวัง เพราะสระน้ำของกุฏิฤๅษีมิใช่บารายใหญ่ลึก หนุ่มวัยกำดัดอย่างมันไม่มีวันจนน้ำตายในสถานที่เช่นนี้…

ขอเพียงมันสามารถเงยหัวขึ้นมาได้

ชั่วพริบตานั้นมันเพิ่งสำเหนียกว่านั่นคือความฝันลมแล้ง

จังหวะหนึ่งรยางค์ทั้งสี่ข้างของมันกำลังป่ายปะทุรนทุรายอยู่นั้น ปลายนิ้วพลันสัมผัสสิ่งมีชีวิตยาวเหยียดตัวหนึ่งกำลังขนดรัดลำคอของมันแน่นเข้าทุกครั้งที่มันหอบหายใจ

กว่าจะมีใครรู้ว่าโขลญวิยะหายตัวไป งูงวงช้างอวบใหญ่ตัวนี้คงสำรอกร่างที่เหลือแต่กระดูกของมันออกมาเรียบร้อยแล้ว

 

เหล่าวาทกะสีซออ้อนออดแว่วหวานสอดประสานการประโคมกลอง กระจับปี่ แล้วตามด้วยฆ้อง ก่อเสียงเสนาะดังกระหึ่มก้องกังวานทั้งขุนเขา

พลันบรรดานาฏกะที่เรียงแถวสุดลูกหูลูกตาต่างวาดมือซ้ายป่ายไปทางขวาเหนือถันกลมกลึงเปล่าเปลือย กลิ่นหอมของประลมพ์ที่ร้อยด้วยบุปผานานาพรรณอันพาดเกี่ยวอยู่บนข้อมืออวลกรุ่นกำจายทันที มือขวาของพวกนางกรีดกรายหักศอก วาดออกพร้อมงอเข่าย่อตัว จากนั้นร่ายรำเยื้องย่างในท่วงท่าเยี่ยงนางอัปสรแห่งสรวงสวรรค์

แถวเบื้องหน้าของนางนาฏกะอัปสรเป็นบุรุษร่างกำยำยืนกระหนาบซ้ายขวาอยู่สองนาย มือสองข้างกุมด้ามไม้หุ้มแผ่นทองเหลืองสลักเสลาลวดลายเอาไว้แน่น ส่วนปลายของด้ามปรากฏพัดหางนกยูงขนาดใหญ่ ด้วยชาวฮินดูเชื่อว่าหากผู้ใดไม่ลุ่มหลง ตัดกิเลส และสามารถเอาชนะความงามแห่งมยุเรศได้ คนผู้นั้นย่อมชำนะอัตตาที่เป็นเพียงเปลือกนอก บรรลุซึ้งถึงโมกษะ

เบื้องหลังผู้ฟ้อนรำเป็นบุรุษถือพานพุ่มมัลลิกาและมาลตี

ปีนี้สัตว์พาหนะเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศถูกออกแบบอย่างวิจิตรตระการตากว่าปีที่ผันผ่าน เห็นได้ชัดคืออุรคะนาคินทร์ พาหนะของพระวรุณ โลกบาลประจำทิศตะวันตก สมัยฤคเวทพระวรุณเป็นเทพผู้เป็นใหญ่เทียบเท่าพระมิตระหรือพระอาทิตย์ มีหน้าที่ปกครองทิวกาล ส่วนพระวรุณนั้นมีหน้าที่ปกครองราตรี

ลมเย็นโชยชายเกล็ดนาคราชจะพะเยิบยะยาบ เมื่อต้องแสงแดดยามอาทิตย์อัสดงจึงมองเห็นเป็นเหลือบรุ้งวาววับ ดูราวกับสัตว์พาหนะนั้นมีลมหายใจก็ไม่ปาน

เหตุนี้ชาวสรุกผู้มาชมกระบวนเลิงพนมจึงมีมากเป็นพิเศษ

ทว่าเสียงประโคมสังคีตระคนคำตะโกนเอะอะมะเทิ่งของชาวสรุกนั้นกลับไม่อาจปลุกสัมปชัญญะของอินทรธนูให้หวนคืน เว้นแต่ถ้อยคำอ่อนโยนของคนผู้หนึ่ง

ร่างโปร่งลืมตาขึ้นเชื่องช้าตามเสียงเพรียก สายตาพร่ามัวหยุดที่ใบหน้างามคมของปูรณิม พบว่าฝ่ายหลังเองก็จ้องอินทรธนูอยู่เช่นกัน

“เอ็ง…มิเป็นอันใดก็ดีแล้ว” ปูรณิมยื่นมือออกมา

อินทรธนูจึงยกมือเปื้อนโลหิตเกรอะกรังกุมมืออีกฝ่ายไว้ ค่อยๆ พยุงกายลุกจากพื้น ริมฝีปากแห้งระแหงฝืนยิ้ม

“ผู้บัญชาการเล่า”

“บาดเจ็บสากรรจ์ หามส่งอโรคยาศาลแล้ว” ปูรณิมตอบอย่างปวดร้าวใจ มิหนำซ้ำสภาพหนุ่มรุ้งพรายเบื้องหน้ายังไม่ต่างกับแคนดงเท่าไรนัก

อินทรธนูกัดฟัน สืบเท้าไปเบื้องหน้าด้วยความมุ่งมั่น

“แล้วนั่นเอ็งจะไปที่ใด”

“ข้าต้องไป” อินทรธนูเงยหน้ามองเทวาลัยเหนือยอดวนํรุง “ทั้งที่วางแผนรับมือมานานเนิ่น แต่หน่วยสาลิกากลับสูญเสียมากถึงเพียงนี้”

“แต่…”

“เพลานี้ข้ายังไหว” ดวงตาอินทรธนูยังคงเจิดจ้า

“แล้วเอ็งมั่นใจได้อย่างไร”

“หากมิใช่คเณศจตุรถี วันนี้ย่อมเป็นยามโยก มหุดิฤกษ์ที่ศศินจะก่อเหตุ” อินทรธนูย้ำคำหนักแน่น

ตลอดสามปีที่ผันผ่าน ทั้งอินทรธนูและปูรณิมต่างทุ่มเทกำลังสุดชีวิตอารักขาและธำรงไว้ซึ่งศานติ

แต่บัดนี้พวกมันรู้สึกคล้ายถูกอนธการในหัวใจศศินกลืนกินเชื่องช้า ประหนึ่งอสรพิษทมิฬตวัดรัดข้อเท้า ดิ้นเท่าสลัดดิ้นเท่าไรก็ไม่มีวันหลุด เหลือเพียงอาการสิ้นหวัง ตกอยู่ท่ามกลางความมืดรอบด้านอันสูงตระหง่านดุจมหาบรรพตที่ถล่มครืนครั่นลงมาบีบคั้นพวกมันให้เหลวแหลก

สิ้นเสียซึ่งแสงสว่าง

“ได้ เช่นนั้นให้ข้าช่วยพยุง” ปูรณิมสอดแขนช่วยให้อีกฝ่ายทรงตัว

อินทรธนูได้ยินวาจาสุภาพนิ่มนวลนั้นพลันลังเล ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอนุญาตให้ปูรณิมช่วยพยุง

ชายหนุ่มทั้งสองสบตากัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดให้มากความ

พวกมันตัดสินใจก้าวขึ้นไปตามไหล่เขาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเส้นทางลัดเลาะตามร่องเข้านี้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด

รอบเขาวนํรุงมีแนวสันเขาราวสิบห้าวางตัวสลับกับร่องเขาอีกสิบสองแนว ชาวสรุกศกุนตะล้วนเลือกแนวใดแนวหนึ่งเพราะไม่ต้องการเสียแรงไปกับการเดินขึ้นลงกว่าจะถึงยอดเขา

เส้นทางที่อินทรธนูกับปูรณิมมีเศษถ้วยชามแตกกระจัดกระจาย บางจุดมีศิลาแลงเชื่อมต่อระยะหนึ่ง หินชนิดนี้มิได้เกิดจากการปะทุของวนํรุง จึงเป็นไปได้ทางเดียวคือชาวสรุกจงใจตัดแบ่งนำมาใช้ปรับพื้นที่หรือก่อสร้างทางขึ้น

เสียงทอดถอนใจครั้งหนึ่งล่วงออกจากริมฝีปากเฉลาญ์หนุ่มทั้งสองนาย

เพราะสาลิกาตัวอื่นล้วนไม่อยู่แล้ว

ฐานบัญชาการล่มสลาย

กษณะนี้พวกมันสองคนเดียวดายอย่างแท้จริง ไร้หน่วยสนับสนุน ไร้คนเชื่อใจ ถึงขั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกมันกำลังพยายามสุดกำลัง หมายปกป้องลมหายใจของชาวสรุกอยู่ทุกชั่วขณะจิตที่เคลื่อนผ่าน

“ณิม”

“หือ”

“หากในหมู่เฉลาญ์มีเพียงเอ็งที่รอดชีวิต เอ็งจะจับมหาเสนาปติจองจำที่ป้อมแดงอีกฤๅไม่”

“จับ!” ปูรณิมสะดุ้ง หัวใจของมันสั่นเทิ้มส่ายสะบัดไปมา ราวกับตัวมัจฉาที่พยายามปลดปากตัวเองจากตะขอเบ็ด “ข้าไม่มีพ่อฆาตกรแบบนั้น ถึงข้าตายเป็นผี วิญญาณของข้าก็ต้องตามลากคออมนุษย์เหี้ยมโหดนั่นเข้าตรุรับโทษ”

อินทรธนูบีบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วเสตามอง

ปูรณิมแบบนี้ดูแปลกหน้าสำหรับมัน ความอำมหิตฉายขึ้นมาในแววตาวูบหนึ่ง แม้ดูอ่อนล้า แต่ตัวปูรณิมเหมือนเจิดจ้าด้วยความร้ายกาจ

นี่คือตัวตนที่แท้จริงของปูรณิมใช่ไหม

ขณะไต่ขึ้นไปตามไหล่เขา อินทรธนูนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องมากมายระหว่างที่มันและปูรณิมอยู่ด้วยกัน พฤติกรรมนุ่มนวลละมุนละไมล้วนไม่ได้เสแสร้ง

หัวใจอินทรธนูบังเกิดความรู้สึกซับซ้อน

ระหว่างชายหนุ่มทั้งสองมีบรรยากาศชวนอึดอัด และดูเหมือนกำลังขยายตัวขึ้น

“ขอโทษนะ ข้าไม่น่าถามเลย” สุดท้ายอินทรธนูก็เอ่ยเสียงเบา

ปูรณิมพ่นลมขึ้นจมูก แต่ไม่ได้ตอบอะไร

“อันใดเล่า คนเขาขอโทษแต่กลับได้แค่เสียงหึกลับมา”

คำกระเซ้าหยอกเอินของอินทรธนูทำให้ปูรณิมผ่อนคลายลง ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้ปูรณิมยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ แต่ในใจน่าจะยอมให้อภัยมันแล้ว

“อินทร์ เอ็งก็รู้ว่าในใจข้ามิเคยถือโทษโกรธเอ็งเลยสักครั้ง…มิว่าเรื่องนั้นจะเล็กใหญ่สักเพียงใด”

อินทรธนูหันขวับ ถลึงตาใส่อีกฝ่าย ทำให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในดวงตาของปูรณิม

“เพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ยังจะกล่าววาจาเลื่อนเปื้อน” อินทรธนูใช้ศอกดันสีข้างปูรณิมเบาๆ

ยังไม่ทันที่หนุ่มศกุนตะจะตอบคำ เสียงบรรเลงดนตรีก็แว่วให้ได้ยิน

เฉลาญ์หนุ่มทั้งสองเดินต่อไม่ถึงยี่สิบก้าว ทางเดินไหล่เขาก็พาพวกมันไปโผล่ที่สะพานนาคราชชั้นที่หนึ่งรูปกากบาท ตรงข้ามกับพลับพลาเปลื้องเครื่องอันเป็นอาคารโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลงผสมหินทรายรับหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องผินเผา

เป็นที่น่าเสียดายที่ปีนี้พลับพลามิได้เปิดใช้งาน ด้วยโปญผู้เยาว์ยังคงอาศัยอยู่กับญาติที่เมืองฝ้าย มิได้เดินทางมาใช้พลับพลาองค์นี้เป็นที่พัดจัดเตรียมตัว เปลื้องเครื่องทรงอันแสดงยศศักดิ์ ทุกครั้งที่โปญเดินทางมาสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรม ณ เทวสถานแห่งนี้

อินทรธนูยืนปรับลมหายใจพลางทอดสายตามองกระบวนถวายดอกไม้สักการะองค์เทพ กระบวนขบวนอัญเชิญพระศิวะ ตามด้วยกระบวนสัตว์พาหนะเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศทั้งสิบทิศ

กระบวนแรกคือหงส์ พาหนะของพระพรหม เทพประจำทิศเบื้องบน ตามด้วยกระบวนช้าง พาหนะของพระอินทร์ เทพประจำทิศตะวันออก  กระบวนวัวพาหนะของพระอิศวร เทพประจำทิศตะวันอกเฉียงเหนือ กระบวนแรดพาหนะของพระอัคนี เทพประจำทิศตะวันออกเฉียงใต้ กระบวนคชสีห์พาหนะของพระกุเวร เทพประจำทิศเหนือ กระบวนนกยูงพาหนะของพระขันธกุมาร เทพประจำทิศใต้ กระบวนม้าพาหนะของพระพาย เทพประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กระบวนรากษสพาหนะของพระนิรฤติ เทพประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้ และกระบวนกระบือพาหนะของพระยม เทพประจำทิศเบื้องล่าง

จังหวะที่กระบวนอุรคะนาคินทร์พาหนะของพระวิรุณ เทพประจำทิศตะวันตก เคลื่อนผ่านหน้าอินทรธนู จู่ๆ ก็เห็นเงาร่างของบุรุษที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ศศิน?!” อินทรธนูอุทาน

มุมปากของศศินค่อยๆ กระตุกยิ้มเย็น

ยามนี้ปิศาจหนุ่มยืนด้วยท่วงท่าเหี้ยมหาญอยู่ที่ปลายสุดของมุขพลับพลา ปะปนเข้ากับฝูงชนที่คลาคล่ำ

อินทรธนูสะดุ้งเฮือก งึมงำ “ขบถดำแทรกซึมอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ”

ศศินเดินออกมาจากเงามืด ฝีเท้าผ่อนคลาย ริมฝีปากขยับครวญเพลงแผ่วเบา พลางใช้มือคลึงเคล้าแผ่นกังสดาลครึ่งซีก

อินทรธนูจ้องเชือกที่ร้อยแผ่นสำริดซึ่งทำมาจากขนแผงคอม้าสีขาว เป็นศศินที่ฟั่นเชือกเส้นนั้นเองกับมือ ยิ่งกว่านั้นยังดึงเส้นผมของมันและอินทรธนูแซมพันเข้าด้วยกัน ผสานลมหายใจเป็นหนึ่ง ศศินเคยบอกอินทรธนูว่าเมื่อทำเช่นนี้ มิว่าพวกมันทั้งสองจะแยกจากกันไกลเท่าไร ดวงใจและจิตวิญญาณล้วนสามารถเชื่อมถึงกัน

“สบายดีฤๅ…คู่ชีพิตของอัญ”

ปิศาจหนุ่มแสยะยิ้ม ท้ายที่สุดถึงกับหัวเราะร่วน

แน่นอนว่าอินทรธนูอ่านปากคนรักของมันได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ



Don`t copy text!