ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 18 : คู่แข่งคู่ควง

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 18 : คู่แข่งคู่ควง

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

คืนนี้…ก็อีกนั่นแหละ…เดินดงได้แต่หลับๆ ตื่นๆ ยิ่งกว่าคืนที่ผ่านมา…คงเพราะมี ‘นางยักษ์นางมาร’ ดำมืดไม่พูดจาว่ากระไรราวกับนายจังส่งมาสอดแนมเรื่องราว ยืนเป็นรูปปั้นเฝ้าศาลอยู่ตรงหน้า

สาธุ…คืนนี้…ขออย่าได้ฝันถึงช้างหรือจมูกช้างอีกเลยนะ…เจ้าประคุณ…

มิรู้ว่าท่านพิชิตเจ้าคณะจะผูกดวงนางไว้บ้างหรือไม่

“เออ…เก่ง”

ในที่สุดเขาก็พึมพำออกมา

แต่เสียงหายใจดังของหนุ่มน้อยผู้ชำนาญการสารพัดคล้ายหนุ่มใหญ่ไวประสบการณ์ก็แทบจะกลบเสียงเรียกของเขาเสียสิ้น

จึงได้แต่พลิกกายไปมา พลางนึกถึงหนังสือพรรณไม้สามเล่มที่ต้องไปถ่ายเอกสารให้นายจัดพรุ่งนี้ หากก็กะว่า จะถ่ายให้ไปแค่สองเล่ม อีกเล่มที่เป็นของศิลปินแห่งชาติคนสำคัญ จะยังไม่ให้ เนื่องด้วยส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้มงคลที่ต้องมีพิธีกรรม จึงเป็นสิทธิ์ของเขาโดยตรงที่จะต้องปลูกก่อน

ตกลงใจได้เสร็จสรรพพร้อมกับหลับตา

เพียรทำสมาธิซึ่งเขาเองตั้งแต่เกิดมาเป็นคน ก็ไม่เคยรู้จักคำนี้ รู้เพียงว่าเป็นการนั่งนิ่งๆ พร้อมกำหนดลมหายใจเพื่อสลายความฟุ้งซ่านที่กำลังระส่ำระสายให้มอดไหม้สลายลงไป

ดูเหมือนจะเคยแว่วๆ ว่าให้ตั้งสติกล่าวคำว่า ‘พุทโธ’ ซ้ำๆ หรืออย่างไรไม่แน่ใจ

แต่ก็เอาละ…ถึงอย่างไรก็ต้องลองทำดู

เพราะตัวตูนี้ ตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้เป็นคน ถ้าครูไม่สอนให้ท่องนะโมตัสสะฯ สามจบตั้งแต่ยังอยู่อนุบาล ไหนเลยป่านนี้จะจดจำรำลึกมนตราบทใดได้

ก็ดูแต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยนั่นก็ได้…แทบจะไม่มีรายละเอียดอันสำคัญใดๆ ที่จะช่วยให้คนรุ่นหลังได้ฝังจำชนิดน้ำตานองหน้าโดยมาพร้อมกตัญญูกตเวที

แต่พ่อกับแม่เขานั่นสิ แม้เป็นพ่อค้าแม่ค้าก็ยังอุตส่าห์ไปหารายละเอียดจากประวัติศาสตร์นอกชั้นเรียนมาไว้อ่าน พี่สาวน้องสาวเขาจึงเรียนสำเร็จการศึกษาอย่างน่าปลาบปลื้ม พร้อมด้วยไม่ลืมบุญคุณผู้กอบกู้เอกราชของชาติมิว่าสมัยไหน

อ้าว…ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งยิ่งหลับอย่างไรก็หลับไม่ลง

น่าแปลกที่ร่างทะมึนมืดในชุดดำของหญิงนามใบจันยังกลับมาโดดเด่นเป็นเส้นสายเต้นยิบๆ อยู่ในวงตา

หากท้ายที่สุด เขาก็ผล็อยไป หลังจากลองพึมพำ ‘พุทโธ’ หลายครั้ง

ท่ามกลางเสียงกรนเบาๆ จากมุ้งตรงข้าม

 

เช้านี้ ชายหนุ่มก็เลยตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้า ดาราอรุณยังคงเคียงคู่อยู่กับดวงจันทรา…ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เขาก็เลยกระชับสเวตเตอร์ที่สวมทับชุดนอนเปิดประตูก้าวลงไปที่ตุ่มน้ำข้างบันได เก่งกำลังติดไฟในเตาถ่านเตรียมทำอาหารเช้าที่ไม่มีอะไรมากนอกจากข้าวต้มกับปลาสลิดแดดเดียวที่นางอัมพวาใส่ถุงติดมาให้ในรถ แค่ปิ้งไฟรุมๆ สักครู่ นายของเขาก็จะได้กินทันทีกับข้าวต้มร้อนๆ เปื่อยๆ อาหารโปรดของนายเขา ผู้ที่บทจะง่ายก็ง่าย บทจะยากก็ยาก เอาแน่มิได้

‘คนวันเสาร์สุขุมลุ่มลึก’ นายผู้หญิงเคยบอก ‘แต่เอาใจยาก บทเหนียวก็ยิ่งกว่าหนังสติ๊ก บทยุ่ยก็ยิ่งกว่าปลาป่น’ พลางก็หัวเราะหัวใคร่เอ็นดู

“อีกสักครู่ คนงานก็มาละ…มาทำรั้ว…ดี…จะได้เสร็จๆ ไป” เดินดงยังคงพกเอาอาการนอนน้อยคิดมากเกือบทั้งคืนมาด้วยในเช้านี้ แม้กินเสร็จ เดินออกกำลังไปกลับอยู่ในบริเวณที่ล้อมรั้วไว้ครึ่งหนึ่ง ก็ยังไม่หายมึนงง

แล้วนี่…จะมีใครมากวนแต่เช้าอีกไหมนอกจากคนงาน

“เก่ง…วันนี้ แกอย่าลืมเอาหนังสือสองเล่มไปถ่ายเอกสารให้คุณจัดนะ”

“สองเล่มนั่นน่ะ แกจะอยากได้เหรอพี่”

“ทำไมจะไม่อยาก”

“เมื่อวานผมอ่านดูแล้ว เห็นมีแต่พริก มะละกอ ชา หมาก…แล้วอะไรอีก” คนพูดนิ่งนึก “อ้อ…มะพร้าว ตาล กระถิน…สาละ โพธิ์ ไม้สัก…”

“อื้อฮือ…เอ็งนะ…ยังกะคอมพิวเตอร์ยังไงยังงั้นเลยนี่”

“ก็มันง่ายๆ สั้นๆ ไงฮะ…แต่อีกเล่มเป็นพจนานุกรม…คงไม่ไหว…เยอะมาก…”

“เยอะก็ดี…มันจะได้งง” เดินดงลดเสียงลง “กะจะปลูกแข่งละมังเนี่ย…เรียกว่าหวังดีใช่ไหม”

ปลายเสียงก็เลยเยาะหน่อยๆ

นี่เขาชักจะคิดมากคิดไกลในทางร้ายมากไปหรือไม่…

นายจังจะมาปลูกแข่งกับเขาไปเพื่ออะไร ในเมื่อไร่ของนายนั่นก็เต็มครืดไปด้วยพืชส่งออกที่ไม่รู้ว่าแต่ละปีกำไรมหาศาลปานไหน

เมื่อคืนหลังจากนอนไม่หลับ เขาก็เลยกดกูเกิลอ่านกับแสงตะเกียงเกี่ยวกับพืชไร่ตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งจังหวัดนี้ที่ไม่ตรงกับพืชของเขาเลยแม้แต่ชนิดเดียว

เพราะพืชที่ชาวบ้านทั้งรวยและจนนิยมปลูกกัน มักจะเป็น ยางพารา มันสำปะหลัง ผลไม้ ข้าวไร่ สมัยก่อน คนที่นี่ก็มักจะใช้ปุ๋ยเคมีกันมากมาย ซึ่งไม่ตรงกับความตั้งใจของพ่อแม่เขา นั่นก็คือจะปลูกพืชตามอำเภอใจ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ปลอดภัย เพื่อรักษาสุขภาพของทั้งพืชและมนุษย์โดยไม่พะวงเรื่องผลผลิตที่จะช้าหรือเร็ว

ขอให้ลมหายใจที่เป่าเข้าและออกโล่งสบายเท่านั้นพอ

แต่ถ้าบอกผู้ใด ผู้นั้นอาจจะร้อง

‘ก็มึงรวยแล้วนี่ กูยังจนก็ต้องพ่นเคมีละวะ’

ในที่สุด คนงานก็มาถึง มาล้อมรั้วต่อจากที่ล้อมไว้แล้วโดยไม่มีนายจ้างตามมา

“เออ…ค่อยยังชั่วหน่อยว่ะ” เดินดงระบายลมหายใจยาวเมื่อแรงงานทั้งคู่พลันมาถึง ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เพียงแต่บอกเขายิ้มๆ สั้นๆ

“วันนี้เสร็จแน่ฮะ พรุ่งนี้ถึงจะเอารถไถมาไถดินให้ซุย…นายก็กำลังให้คนเพาะชำไผ่ มะพร้าวกับกุ่มไว้ให้…รอไม่นาน อีกหน่อยแถวนี้ก็คงมีแต่ต้นไม้ที่คุณอยากให้ปลูก”

“ที่อยากจะปลูกก็มีแต่พรรณไม้มงคล”

“ดีครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมเองก็ยังไม่เคยเจอใครที่เลือกต้นไม้เหมือนคุณ…อย่างนาย…นายก็ไม่ปลูกอย่างที่เขาปลูกๆ กัน…ก็หันไปปลูกอย่างที่ชอบ…เอาเฉพาะที่ขายได้ กินได้ทุกวัน จะขายที่นี่หรือส่งนอกก็ได้ทั้งนั้น…นายก็เอายังงั้นละฮะ…ไม่งั้นก็จะมีแต่มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันซ้ำๆ กัน”

อยากจะถามเลยไปถึงนายโอกาสเหมือนกัน…หากก็ชะงักไว้

ถ้อยคำของคนเรา…บางครั้งคราวที่ผู้พูดมิทันคิดก็อาจจะกลายเป็นหนามแหลมสะกิดเนื้อให้เลือดซิบได้

อ้าว…นั่นอย่างไร…คิดยังไม่ทันขาดความ นายโอกาสกับนายอุกกาก็นั่งจักรยานยนต์มาถึง

“อยากพาคุณดงไปชมไร่ผมวันนี้ จะว่างไหมฮะ”

แต่ยังไม่ทันได้ตอบว่ากระไร นายจังกับนายจัดก็เกาะท้ายรถชวนกันมาดูคนงานล้อมรั้ว กับมานัดหมายไปคุยกับลุงเดี่ยวเรื่องตั้งศาลพระภูมิว่าจะตั้งวันใดกันแน่

“อ้อ…” นายโอกาสครางออกมาเมื่อหันมามองสองพ่อลูก…แค่สองพ่อลูกเท่านั้น…ไม่มีลูกสาวติดมาด้วย “ว่าไง…สร้อย…หาเจอละยังจัง”

“ไม่ได้หา” นายจังตอบอย่างใจเย็น “งั้นอุกไปหาเองไหมแก…อยากแส่นักก็ไปหาเอง…”

หากก็ต่ออีกหน่อยหนึ่ง

“บอกไว้ก่อนนะว่า…ลูกสาวอั๊วไม่ใช่ว่าใครจะมาเอาได้ง่ายๆ”

“เฮ้อ…จัง…ก็ใครเขาว่าลูกนายเอาง่ายเล่า ยากฉิบหายขนาดนี้ ยังจะเล่นตัวไปถึงไหน” นายโอกาสเอาอารมณ์ดีเข้าสู้ “เอาน่า…เราก็กินอยู่หลับนอนใกล้ๆ กัน…นายปลูกหม่อน ชา กาแฟ เราปลูกมันสำปะหลัง มะพร้าว น้ำหอม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์…แค่นี้ก็พอแล้วไง…จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคู่แข่ง…แต่เป็นคู่ควง…”

เดินดงฟังแล้วเลยนึกสนุกขึ้นมาทันใด พร้อมกับนึกชมคนทั้งคู่ที่เข้าใจเปลี่ยนแปลงความน่าจะเป็นศัตรูมาเป็นคู่กัดเบาะๆ เกี่ยวกับชู้สาว มากกว่าจะเป็นเรื่องราวการแข่งขันทางการค้า

ทั้งสองฝ่ายเข้าใจเลือกปลูกพืชที่ไม่ซ้ำกัน จึงไม่ต้องแข่งกัน

แม้กระนั้น ก็ยังทำราวกับเป็นคู่กัดกันอยู่ดี…ทันทีที่ลูกสาวฝ่ายหนึ่งไม่สมยอม

ส่วนลูกชายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ

เดินดงก็ได้แต่เวทนานายอุกกาหรืออุกกาบาตผู้นี้

“ผมนึกอะไรออกอย่างนึงแล้ว…คือกลางวันนี้ จะเชิญคุณทั้งสี่คนทานกลางวันที่นี่กับเรา…” ชายหนุ่มอดอมยิ้มบางๆ ในหน้ามิได้ เมื่อเอ่ยต่อไป “ว่าแต่ว่า อยากให้คุณจังโทรเชิญคุณใบจันมารับประทานด้วย จะได้ไหม จะยอมมาไหม…เพราะเรายังจะต้องคบหากันต่อไปอีกนาน พรุ่งนี้ก็กะว่าจะชวนคุณจังคุณจัดไปคุยกับคุณลุงเดี่ยวเรื่องตั้งศาลพระภูมิอยู่แล้วไงฮะ”

คราวนี้สองพ่อลูกนั่งนิ่งนึกนิดหนึ่ง ในที่สุดนายจังก็ดึงมือถือจากกระเป๋าเสื้อ ส่งเสียงไปถึงลูกสาว

“จันเหรอลูก” เสียงเขาอ่อนโยนจนแทบไม่อยากเชื่อว่ายามดุดัน น่าจะเป็นใครอีกคนหนึ่ง

 

 



Don`t copy text!