จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’

จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็นแขกของโฮสเทลชวนกันออกไปเที่ยวข้างนอกกลางดึก ทั้งที่เมามายกันพอสมควรแล้วในครัวของที่พักจากสุราบรรดามีที่ต่างคนต่างซื้อมาเอง ก่อนจะแบ่งปันให้กันจนเส้นแบ่งกำแพงกั้นแห่งตัวตนถูกทลายลง

มัทธิอัส เกย์หนุ่มรีเซ็ปชันที่เข้าร่วมวงกับแขกผู้เข้าพักอย่างไม่ถือสา แนะนำเชิงบังคับให้เข้าร้านชื่อ Oldies Pub ผมคิดว่าร้านจะเล่นพวกเพลงร็อกแอนด์โรล โฟล์กเก่าๆ หรือเพลงของนักดนตรีโรมาเนีย ที่ไหนได้วงบนเวทีของผับซึ่งมีนักร้องนำเป็นสุภาพสตรี เล่นเพลงในยุค 90’s เช่น What’s Up ของ 4 Non Blondes และ Zombie ของ The Cranberries  ผมมองว่านอกจากเก่าไม่พอที่จะเรียกโอลดีส์แล้วก็ยังเอียนหูเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของวงที่เล่นอยู่นี้ไม่ธรรมดา

สัญลักษณ์สำคัญหน้าสถานีรถไฟเมืองทิมิชัวรา

พวกเราที่ไปด้วยกันซึ่งได้โต๊ะหน้าเวที มีคนเดินออกไปสูบบุหรี่นอกร้านเกือบตลอดเวลา โต๊ะใหญ่จึงโหรงเหรงผู้คน สุดท้ายมัทธิอัสขอตัวกลับก่อนเพราะต้องทำงานพรุ่งนี้ ‘ไมเคิล’ หนุ่มออสเตรเลียผู้มีแววเป็นจอมปาร์ตี้ชวนไปต่ออีกแห่ง ผมนึกว่าร้านอยู่ไม่ไกลจึงตามไปด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี ‘วาชา’ สาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียจากรัฐทมิฬนาฑู และ ‘สเตฟานี’ สาวอเมริกันอีกคน ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส

เราเดินตามไมเคิลไปไกลมากจนออกนอกเขตเมืองเก่าซีบีอู อากาศก็หนาว เวลาตอนนั้นตีสองกว่าแล้ว ร้านที่ไปถึงกลับเป็นผับมืดๆ มีเพียงเส้นแสงสีแสบตาคอยสาดส่องไปมา และแน่นอนดนตรีที่ท่านดีเจเปิดก็ต้องเป็นเพลงแนว EDM (Electronic Dance Music) หรือเสียงที่สร้างขึ้นเป็นจังหวะๆ จากคอมพิวเตอร์และเครื่องสังเคราะห์เสียง

ทีมเต้นชุดดำและชุดขาวดวลกันเพลงต่อเพลงหน้าโรงละครแห่งชาติเมืองทิมิชัวรา

ผมยื่นธนบัตรใบละ 100 เล ให้กับไมเคิล เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้ที่โฮสเทลเขามีน้ำใจรินว้อดก้าที่มีพริกแดง 2 เม็ดนอนอยู่ก้นขวดให้ผม 3 ช็อต บอกเขาว่าซื้อเครื่องดื่มสำหรับทุกคน ผมขอเบียร์ วาชาดื่มค็อกเทลไปหนึ่งดริงก์แล้วขอตัวกลับ เพราะเธอจะต้องเดินทางด้วย Bla Bla Car ไปยังกรุงบูคาเรสต์ตอนเช้าตรู่ (Bla Bla Car คือแพลตฟอร์มสำหรับเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวของใครบางคนที่ต้องการเพื่อนมาหารค่าน้ำมัน) ผมไม่นิยมแนวเพลง EDM เป็นทุนอยู่แล้ว และต้องเดินทางด้วยรถไฟไปยังเมือง Timisoara (ทิมิชัวรา) ตั้งแต่เช้าเหมือนกัน เมื่อดื่มเบียร์หมดขวดแล้วจึงขอลากลับและหวังจะเดินไปให้ทันวาชา แต่หลงทางอยู่นาน สุดท้ายต้องพึ่งแผนที่กูเกิลจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อกลับถึงที่พักเวลาตีสี่กว่าๆ พบว่าวาชายังไม่นอน

เธอเปลี่ยนใจนั่งรอให้ถึงเวลาเกือบๆ 7 โมงเช้าแล้วค่อยเดินออกไปยังสถานที่ที่นัดหมายไว้กับเจ้าของรถยนต์ ผมบอกเธอว่า “นอนเสียหน่อยจะดีกว่า สาวรุ่นอย่างคุณนอนไม่กี่ชั่วโมงก็ฟื้น แต่หากเดินทางโดยไม่ได้นอนเลยก็จะไปหลับในรถ และอาจเป็นการเสียมารยาทต่อเพื่อนร่วมทางได้” เธอเห็นด้วย ปีนขึ้นไปนอนเตียงบน ส่วนผมนอนเตียงล่างที่มีโครงเหล็กยึดติดกัน เมื่อผมตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ วาชาออกไปแล้ว ส่วนไมเคิลและสเตฟานีกลับเข้ามาพอดี ทั้งคู่พุ่งเข้าสู่เตียงใครเตียงมันแล้วทิ้งตัวลงนอนทันที

ผมเข้าครัวไปทอดไข่เจียว 3 ฟอง ใส่เบคอนสับหยาบๆ ลงไปด้วย มิสเตอร์ราม ชายชาวศรีลังกาผู้ทำงานอยู่ในกรุงลอนดอนตื่นขึ้นมาต้มกาแฟเตรียมไว้ก่อนแล้ว ถามพบว่าจะดื่มไหม ผมขอบคุณแล้วตอบไปว่า “ไม่ดีกว่า ตั้งใจจะไปนอนต่อในรถไฟ” จัดการกับไข่เจียวเบคอนเสร็จผมก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องพักไปเก็บกระเป๋า แล้วลาสาวรีเซ็ปชันชาวแคนาดาที่ท่องเที่ยวไปหางานทำไป ลามิสเตอร์ราม แล้วเดินออกจาก Smart Hostel ในย่าน Lower Town

อากาศยามเช้ายังหนาวอยู่พอสมควร ผมเดินประมาณ 1 กิโลเมตรถึงสถานีรถไฟเวลา 8 โมงตรง รถไฟเที่ยว 08.24 น. ยังมีที่ว่าง ราคาตั๋ว 66.60 เล หรือประมาณ 550 บาท ผมขึ้นไปนั่งในตู้ที่ระบุในตั๋ว ที่นั่งมีลักษณะเป็นเก้าอี้ 4 ตัวหันหน้าเข้าหากัน รถไฟเที่ยวนี้ผู้โดยสารน้อยมาก ผมวางสัมภาระบนเก้าอี้ข้างตัว พยายามจะนอน แต่หลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดเวลา รถไฟวิ่งผ่านทุ่งดอกคาโนล่าสีเหลืองอร่าม ทุ่งเลี้ยงสัตว์เขียวขจี และวิวเทือกเขาคาร์เพเทียน ไปทางทิศตะวันตกของประเทศ จนเวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง ก็มาถึงสถานี Arad ซึ่งเป็นสถานีใหญ่อีกสถานีหนึ่ง ผมต้องเปลี่ยนรถที่สถานีนี้เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองทิมิชัวราที่อยู่ลงไปทางทิศใต้จากเมือง Arad อีกประมาณ 1 ชั่วโมง

รถไฟมาถึงสถานี Timisoara Nord เวลา 4 โมงเย็น ระยะทางรวมประมาณ 340 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 7 ชั่วโมง เป็นความเร็วความช้าที่ถือว่าพอๆ กับรถไฟไทย

บริเวณสถานีรถไฟทิมิชัวรา ผมหาจุดขายตั๋วรถเมล์ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินเข้าตัวเมืองเก่า ระยะทางวัดในแผนที่กูเกิลได้ 1.6 กิโลเมตร ต้องแวะนั่งพักที่ป้ายรถเมล์ระหว่างทางหนึ่งครั้งเพราะรู้สึกปวดหลังและปวดเท้า กว่าจะถึงที่พัก Timisoara Central Hostel ก็ประมาณ 5 โมงเย็น

โบสถ์ออร์ธอดอกซ์ Catedrala Mitropolitana แห่งเมืองทิมิชัวรา

เมืองทิมิชัวรา เป็นเมืองประวัติศาสตร์แห่งภูมิภาคบานัท ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรฮังการี และออตโตมัน ปัจจุบันมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและการศึกษา จำนวนประชากรมีมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ เมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ. 2016) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองหลวงทางด้านวัฒนธรรมของยุโรปในปี ค.ศ. 2021

ที่พักของผมตั้งอยู่ใจกลางของตัวเมืองเก่า ต้องกดเลข 2 ที่แผงตัวเลขหน้าอาคารซึ่งระบุว่าเป็นของโฮสเทล แล้วพูดกับไมโครโฟนว่าจองที่พักไว้ ใครบางคนก็กดปุ่มคลายกลอนประตูออกจากด้านบน ตัวโฮสเทลอยู่บนชั้นสอง ต้องเดินบันไดวนขึ้นไป หนุ่มชื่อ ‘จอห์น’ พนักงานและหุ้นส่วนโฮสเทลยืนต้อนรับอยู่หน้าประตู

หลังจากเช็กอินเสร็จก็มีกลุ่มคนเมาจากโปแลนด์เดินขึ้นมา 6-7 คน พูดคุยกันอย่างเสียงดัง แม้แต่สนทนากับจอห์นก็ยังพูดเป็นภาษาโปล จอห์นต้องบอกว่า “อิงลิช พลีส” หนึ่งในกลุ่มชายชาวโปลจึงพูดเป็นภาษาอังกฤษ ผมเดินเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็เห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกัน จอห์นบอกว่าเว็บไซต์ Booking.com ไม่ได้แจ้งการจองของพวกเขา พวกโปลด่าทออย่างหนัก ถึงขั้นแจกของลับขณะทยอยเดินลงบันไดกลับออกไป ส่วนจอห์นก็ได้แต่พูดว่า “บาย” เขาคงไม่อยากให้มีปัญหาถึงขั้นลงไม้ลงมือเพราะชาวโปลมากันกลุ่มใหญ่ ขณะที่จอห์นอยู่กับแฟนสาว ทราบทีหลังว่าเขายกเมฆเรื่อง Booking.com ไม่ได้แจ้งการจองขึ้นมาเพื่ออ้างไม่ให้กลุ่มวัยรุ่นชาวโปลเข้าพัก เพราะเกรงว่าจะรบกวนแขกคนอื่น ซึ่งดูแนวโน้มแล้วพวกนี้จะต้องเมาและส่งเสียงดังทั้งวันทั้งคืนในโฮลเทลเล็กๆ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่ห้อง

ห้องพักของผมเป็นแบบห้องรวม 4 ที่นอน (เตียงบน-ล่าง) ขณะกำลังจะงีบก็มีสุภาพสตรีเปิดประตูเข้ามาในชุดเดรสสีครีมแนบเนื้อ ผมบลอนด์ หุ่นดี ผิวขาวเนียนออกไปทางชมพู

“ขอโทษ ดิฉันปลุกคุณหรือเปล่า” เธอเอ่ยขึ้น ผมบอกว่าไม่เป็นไรเพราะยังไม่ได้หลับ เธอแนะนำตัวว่าชื่อ “เซซิเลีย” แล้วยื่นมือมาให้จับ ผมแนะนำตัวกลับไป เซซิเลียนอนอยู่เตียงข้างบนผมนี่เอง เธอวุ่นอยู่กับสิ่งของในกระเป๋าของเธอที่วางอยู่ข้างๆ เตียงของผม เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เดี๋ยวก็ยืดตัวขึ้นไปหยิบจับของบนเตียงของเธอ โดยที่ผมยังนอนอยู่บนเตียงล่างของผม จึงไม่สามารถทนนอนต่อไปได้ ผมลุกไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง มองออกไปดูความเคลื่อนไหวบนถนน Strada Alba Iulia แล้วหันมาคุยกับเธอต่อ

เซซิเลียเป็นสาวอังกฤษโดยแท้ อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน เพิ่งเรียนจบปริญญาโท จึงให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว เธอเพิ่งมาจากสวีเดนเมื่อวันก่อน ถามผมว่า “เพิ่งเรียนจบเหมือนกันหรือ?” ผมตอบเธอว่าเรียนจบมานานมากแล้วจนจำไม่ได้แล้วว่าได้เรียนอะไรไปบ้าง

สาวสวยร่วมห้องของผมมีแผนจะไปเมืองไทยในเดือนสิงหาคมนี้เพื่อเป็นอาสาสมัครในปางช้างแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เซซิเลียจะเป็นผู้นำของกลุ่มที่มีประมาณ 20 คน หลังจากเสร็จงานอาสาสมัครแล้วเธอก็จะไปเที่ยวทะเลภูเก็ต โดยจะแวะพักกรุงเทพฯ สองสามคืน

ผมไม่ได้ขอเฟซบุ๊กหรืออีเมลของเซซิเลีย กะว่าอย่างไรเสียเธอน่าจะเป็นผู้ขอ เพราะเธอคงอยากมีชาวไทยไว้เป็นคนรู้จักบ้างเผื่อเป็นประโยชน์ระหว่างอยู่ที่นั่น ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ หนุ่มรีเซ็ปชันซึ่งเป็นหุ้นส่วนอีกคนชื่อ ‘อเล็กซ์’ เดินเข้ามาในห้องเพื่อจะพาเซซิเลียไปเดินเล่น

พวกเขาเดินออกไปจากห้อง ผมพยายามจะงีบต่อแต่ไม่หลับ เมื่อคลายเมื่อยขาเมื่อยหลังแล้วก็ออกไปเดินเล่นบ้าง ทิมิชัวราดูเป็นเมืองที่คึกคัก เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีคนหนุ่มสาวอาศัยอยู่เยอะเพราะมีมหาวิทยาลัยรัฐ 4 แห่ง และมหาวิทยาลัยเอกชนอีก 4 แห่ง

จัตุรัส Piata Victoriei เมืองทิมิชัวรา ที่เห็นอยู่ไกลๆ คือโบสถ์ออร์ธอดอกซ์ Catedrala Mitropolitana

ที่จัตุรัส Piata Libertatii ด้านขวามือปลายถนน Strada Alba Iulia กำลังมีคอนเสิร์ต แต่ผมเดินออกไปอีกทางของถนนซึ่งมีอีกจัตุรัสหนึ่ง ชื่อ Piata Victoriei ที่หน้าโรงละครแห่งชาติมีกลุ่มวัยรุ่นนักเรียนกำลังวาดลวดลายเต้นรำกันอยู่หน้าอาคาร ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมุงดูกันอยู่มากมาย ฝั่งหนึ่งของจัตุรัสมีน้ำพุ เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมด เบื่อน้ำพุพวกเขาก็ไปเล่นกับนกพิราบแทน

ของฟรีและของโปรดของเด็กๆ ทุกเมือง

ด้วยความหิวผมจึงเดินเข้าไปซื้ออาหารจากร้านแม็คโดนัลด์มานั่งกินหน้าร้าน ชมความวุ่นวายเชิงบวกของทิมิชัวรา หลังจากเดินจนเมื่อยขาอีกรอบก็กลับที่พักไปงีบ ตื่นขึ้นมาแล้วออกไปหาเครื่องดื่มในย่าน Piata Unirii ผ่านบาร์ชื่อ GOLAN ได้ยินเพลง Brown Eyed Girl ของ Van Morrison จึงเข้าไปนั่ง บาร์แห่งนี้เปิดเพลงร็อกแอนด์โรลจนกระทั่งร้านปิดประมาณตีหนึ่ง บริกรหนุ่มไม่ยอมรับทิปเมื่อผมจ่ายค่าเบียร์ Timisoreana และเมื่อสั่งกลับที่พักอีกขวด ผมให้ทิปอีกครั้ง เขาก็จะไม่รับอีก แต่ได้หันไปถามเจ้าของร้านว่ารับได้ไหม เจ้าของร้านบอกให้ใส่ในกล่องทิปรวม

ผมเดินฝ่าฝนโปรยหยิมๆ กลับมายังที่พัก เซซิเลียกำลังถูกรุมล้อมด้วยผู้ชายเกือบทุกคนในโฮสเทล ทั้งอเล็กซ์และแขกผู้เข้าพัก เธอเหมือนจะไม่รังเกียจสภาพดังกล่าว และออกจะภาคภูมิอยู่นิดๆ ผมหลบมุมไปนั่งดื่มเบียร์จนหมดขวดแล้วเข้านอน

เพื่อสร้างความแตกต่างจากบรรดาเสือโหยเหล่านั้น

 

Don`t copy text!