ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 13 : ฟังถ้อย น้อยฤๅความลับสับสน (2)

ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี บทที่ 13 : ฟังถ้อย น้อยฤๅความลับสับสน (2)

โดย : วันชนะ

Loading

เว็บไซต์อ่านเอา ภูมิใจเสนอ “ชายได้โชคอย่างลึกลับ เพราะเป็นแฟนคลับนิยายผี” นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 5 ผลงานโดย วันชนะ ทองคำเภา กับเรื่องราวของความตายที่มีเบื้องหลังลึกลับซับซ้อน และวรรณกรรมผีของเหม เวชกร เรื่องรวทั้งหมดสัมพันธ์กันได้อย่างไร พบคำตอบได้ในนวนิยายเรื่องนี้

ชีวิตคู่ของทอฟ้าและเอกอมรไม่ได้หวือหวาโลดโผน ทั้งสองอาศัยอยู่ในคอนโดฯ ค่อนข้างใหญ่โตใจกลางเมือง ในระหว่างวันต่างก็แยกกันไปทำงานคนละแห่ง เมื่อกลับบ้านก็พากันไปกินอาหารตามร้านอร่อยที่เพื่อนร่วมงานแนะนำมา ในวันเสาร์อาทิตย์นั้น ถ้าไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่ของแต่ละฝ่าย ก็จะพากันไปเที่ยวทะเลหรือภูเขาที่สวยงามตามความนิยมในแต่ละช่วง

ทั้งสองไม่มีบุตร เพราะว่าปัญหาสุขภาพของเอกอมรเอง ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมรับสิ่งที่หมอบอกได้ดี ความเป็นคนเงียบของเขาทำให้ทอฟ้าไม่สามารถตรวจจับความเศร้าเสียดายใดๆ จากสามีได้ แต่กลายเป็นว่าทอฟ้าเองกลับรู้สึกผิดและบกพร่องแทน อย่างที่หาสาเหตุไม่ได้

เมื่อความรู้สึกผิดดังกล่าวไม่จางหายไปตามกาลเวลา เธอก็เริ่มทำสิ่งที่ในภายหลังจึงจะเข้าใจว่าตนเองกำลังชดเชยความ “ไม่สมบูรณ์” ในครอบครัวของเธอ โดยใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเครื่องสังเวย

 

การตอบโต้ต่อโชคชะตาอย่างเกรี้ยวกราดของทอฟ้า เริ่มจากเรื่องเล็กๆ อย่างการกว้านซื้อเครื่องสำอางราคาแพงและครีมบำรุงอย่างดีมาจำนวนมหาศาล การพบแพทย์ความงามถี่ยิบ การออกกำลังกาย ทั้งฟิตเนสและโยคะ การเข้าสปาดูแลสุขภาพผิว และเมื่อสมุนไพรและการบำรุงความงามแบบทางเลือกใดเป็นที่นิยม ทุกคนก็จะพบทอฟ้าเป็นลูกค้าคนแรกๆ เสมอ

เมื่ออายุของเธอมากขึ้น ทอฟ้าก็ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมอย่างจริงจัง จนเป็นลูกค้าคนแรกๆ ของบรรดาคลินิกราคาแพง ส่วนการแต่งกายของสาวใหญ่ก็หรูหราตามแฟชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนล้น เงินจากการทำธุรกิจลงทุนสร้างโรงเรียนกวดวิชาและจ้างครูเก่งๆ มาสอนของเธอ บวกกับทรัพย์สินมรดกของพ่อแม่ผู้เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน ทำให้เธอสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้โดยไม่เดือดร้อนไปถึงสามี

แต่การโหมกระหน่ำ ตกแต่งดัดแปลงร่างกายของตนเองไม่หยุด ทั้งการแต่งหน้าทีละนานๆ ด้วยเครื่องสำอางนานาชนิด การฉีด ดึง เจาะ ส่วนต่างๆ ของร่างกายและใบหน้าทั้งที่เธอยังไม่ถึงวัยที่มีริ้วรอยเลยสักนิด ก็ทำให้สามีผู้ไม่เคยปริปากอะไรต้องลุกขึ้นมาเตือน

“ฟ้า นี่เธอไม่เจ็บบ้างเหรอ เดี๋ยวก็ไปทำหน้าตรงนั้น ผ่าตรงนี้ แต่ละครั้งก็บวมอยู่นานๆ แล้วหน้าก็เปลี่ยนไปตลอดเลย แบบเดิมก็สวยอยู่แล้วหรือเปล่า”

คำเตือนที่เหมือนไม่มีพิษภัยอะไรกลับกระตุ้นให้ทอฟ้าโกรธสามีมากแบบที่เธอเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุ ตั้งแต่ครั้งแรกที่สามีเตือน เธอถึงกับไม่พูดกับเขาไปทั้งวัน

แต่เมื่อเริ่มพูดแล้ว เอกอมรก็ไม่หยุด เขาคอยหาโอกาสบอกภรรยาให้ “เบามือ” ลงบ้างอยู่เรื่อยๆ จนบางครั้งทอฟ้าก็เกรี้ยวกราดตอบโต้

“ก็เป็นเพราะคุณหรือเปล่าล่ะ ที่พอไปเดินห้างที เจอพนักงานสาวๆ ก็ทำเป็นถามนั่นถามนี่ ยิ้มแย้มอยู่ตลอด ทำมาเตือนชั้น คุณเองก็ยังชอบคนสวย คนอายุน้อยๆ เลย…” เธอตวาด “ผู้หญิงน่ะ ถ้าไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ดูดีตลอดเวลา มันก็ไม่มีใครเขาให้เกียรติหรอกนะ คุณน่ะ ไม่เข้าใจหรอก ว่าเวลาผู้หญิงจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ได้ ทำให้ดีเกินดีทั้งนั้นแหละ”

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ ทอฟ้าก็ขมวดคิ้ว นึกคุ้นๆ อยู่ว่าตนเคยฟังคำพูดนั้นมาจากไหนเมื่อนานมาแล้ว เธอหยุดคิด ก่อนจะปล่อยให้ผ่านเลยไปเพราะอารมณ์โมโหสามียังคุกรุ่น

 

จากการทะเลาะเพื่อพูดคุยแก้ปัญหา ไม่นานทั้งสองก็เริ่มไม่สนใจในส่วนของการพูดคุย แต่ว่าเก็บส่วนของการทะเลาะกันไว้ เพราะเมื่อคนเรามีอาการหมกมุ่นเสพติดอะไรแล้ว เจ้าตัวก็จะยิ่งเป็นมากขึ้น พอๆ กับที่คนใกล้ชิดจะเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย สำหรับเอกอมรเอง จากที่พยายามจะพูดกับภรรยาดีๆ เมื่อรู้ว่าทำแล้วไม่ได้ผล เขาก็เปลี่ยนไปใช้วิธีล้อเลียนทอฟ้าให้เป็นมุกตลกต่อหน้าเพื่อนๆ เพื่อระบายอารมณ์อึดอัดของตนเองมากกว่าจะหวังให้ทอฟ้าเปลี่ยนพฤติกรรม

“คืนก่อนนะ ผมนอนๆ อยู่ จะหันไปกอดเมีย ตื่นมา โอ้โห! แม่คุณพอกซะเต็มหน้า กลิ่นทั้งครีมทั้งสมุนไพรอะไรตีกัน อบอวลไปหมดเลย จากที่จะโรแมนติก กลายเป็นอยากลุกมาเปิดไฟขอหวยแทนเลย”

ดูเหมือนว่าเอกอมรผู้เงียบขรึมและขี้อาย จะค้นพบพรสวรรค์ในการคิดมุกตลกร้ายแบบนี้ขึ้นมาในวัยเกือบกลางคน เพราะเขาทำให้เพื่อนหัวเราะได้ และรู้สึกผ่อนคลายกับการได้นำปัญหาในบ้านมาเป็นเรื่องเฮฮา ถึงจุดนี้ แม้ว่าจะทำให้ทอฟ้าโกรธ ไม่พูดด้วย หรือกรีดร้องรุนแรงใส่เขาทีหลัง เอกอมรก็ไม่สนอีกต่อไป เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มระหองระแหงมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว

โชคดีหรือร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง การต่อปากต่อคำที่มากขึ้นของสองสามีภรรยา กลับทำให้เพื่อนๆ นิยมมาที่คอนโดฯ ของทั้งสอง หรือชวนไปทานข้าวนอกบ้านมากขึ้น เพราะจะได้ฟังการต่อปากต่อคำที่สนุกสนาน และยังได้วัตถุดิบไปพูดต่อและนินทากันภายหลังอีกด้วย ช่วงหลังๆ สามีภรรยาคู่นี้จึงได้พบปะเพื่อนฝูงมากขึ้น พอๆ กับที่คุณทอฟ้าก็ “สวยด้วยเงินและมือหมอ” มากขึ้นเรื่อยๆ

จนถึงวันหนึ่ง เอกอมรก็เล่าให้เพื่อนคนหนึ่งที่มาบ้านฟังถึงเรื่องการทำศัลยกรรมของทอฟ้า ว่า “ผมตื่นมากลางดึก คืนนั้นฟ้าเขาไม่พอกหน้า แต่ว่าที่ไปทำมา หน้าก็เริ่มจะเข้าที่แล้ว สวยนะ แต่มันไม่ใช่หน้าเมียเรานี่หว่า ผมงี้สะดุ้ง คิดตกใจไปแวบนึงว่า ตายละ! หรือว่าถึงเวลาแล้วที่ผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวเราไป” พลางยิ้มภาคภูมิเมื่อเพื่อนหัวเราะเสียงดังให้กับมุกล่าสุดของเขา ที่ล้อเลียนเรื่องราวทันสมัยในข่าวเกี่ยวกับผีแม่ม่ายที่กำลังโด่งดังในหนังสือพิมพ์

ทอฟ้าลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันที เธอพยายามยิ้มแม้ว่าใบหน้าจะบึ้งตึงอยู่ ทำให้หน้าของเธอดูแปลกขึ้นอีก เธอทำเสียงให้เหมือนขบขัน พลางแก้ว่า “นี่คุณเอก จะว่าร้ายเมียให้อายเพื่อนก็ทำไป แต่ว่าคนเราต้องมีความรู้หน่อยนะ ผีแม่ม่ายน่ะ มันต้องไม่มีผัว ผัวต้องตายหรือเลิกกันอะไรเงี้ย มันถึงจะเป็นแม่ม่ายได้ คุณยังไม่โชคดีขนาดนั้นหรอก”

ทั้งสองยิ้มท้าทายใส่กันขณะที่เพื่อนหัวเราะ ในใจต่างรู้ดีว่าสามีภรรยากำลังทุ่มเถียงเป็นศัตรูกันจริงจังมากกว่าจะหยอกล้อเล่นหัว นาทีนั้นในใจของทอฟ้าก็แวบขึ้นมาว่า ‘ทำไมเราไม่เป็นแม่ม่ายไปซะเลยล่ะ เราก็เป็นได้นะ และมันอาจจะมีความสุขกว่าตอนนี้ก็ได้…’

ใจของสาวใหญ่ไม่สามารถเลิกคิดเรื่องนี้ได้เลย แม้เธอจะกำลังนั่งคุยเฮฮาอยู่กับสามีและเพื่อน แถมยังทำหน้าที่ “ภรรยาที่ดี” ในการยกจานชาม ข้าวของต่างๆ เพื่อดูแลต้อนรับเพื่อน แต่สมองของเธอไม่รับรู้เหตุการณ์อะไรรอบตัวอีกแล้ว

 

และอีกไม่กี่เดือนต่อมา ทอฟ้าก็จัดการตัวเองให้เป็น “แม่ม่าย” ได้สำเร็จ (เธอไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าทำอย่างไร และตอนนี้คุณเอกอมรอยู่ที่ไหน ส่วนอัสดงก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยิน) เธอไปพบจิตแพทย์ เริ่มบำบัดตัวเอง ทำความเข้าใจว่าปมวัยเด็กส่งผลอย่างไรต่อชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเธอ

เมื่อหย่ากับสามีเรียบร้อยแล้ว (อัสดงโล่งอกเมื่อได้ยินคำว่า “หย่า” ที่สื่อถึงการจากกันโดยสันติ และต่างฝ่ายต่างยังมีชีวิตอยู่) คุณทอฟ้าก็ใช้เวลากับธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาของเธอมากขึ้น ทำให้เธอได้มีโอกาสพูดคุย สัมผัสกับชีวิตของนักเรียน ครู และผู้ปกครองหลายคน โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวผู้พบกับความเจ็บปวดกดดันจากความรุนแรงของผู้ชาย

คุณทอฟ้าเริ่มตั้งใจมองหาผู้หญิงอายุน้อยที่เผชิญชะตากรรมคล้ายๆ กัน เข้าไปพูดคุย ปลอบใจ และพยายามช่วยเหลือให้แต่ละคนมีชีวิตและสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ความรู้ทางด้านศึกษาศาสตร์ที่เธอเรียนมาก็ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในตอนนี้เอง โดยเฉพาะวิชาจิตวิทยาสำหรับวัยรุ่นที่เธอชอบเรียนมากเป็นพิเศษ

หลายปีต่อมา ตอนที่คุณทอฟ้าได้เจอกับใบหม่อน เธอร้องไห้มากกว่าเด็กสาวเสียอีก เมื่อได้ฟังเรื่องราวของนักเรียนผู้อ่อนหวานแต่แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดคนนี้ระบายให้เธอฟังถึงการประทุษร้ายทางวาจาที่เธอต้องเผชิญจากพ่อบังเกิดเกล้า เธอสัญญาจะช่วยเก็บเรื่องของใบหม่อนเป็นความลับ และคอยช่วยดูแลเธออยู่เงียบๆ สอนให้เข้มแข็งไม่หวาดกลัวพ่อจนเกินไป ตั้งแต่วัยมัธยมจนเรียนจบมหาวิทยาลัย จนเด็กสาวไว้ใจและเคารพคุณทอฟ้าดุจมารดาที่เธอไม่เคยมี

ใบหม่อน และหญิงสาวอีกหลายคนที่คุณทอฟ้ารวบรวมมานี่เอง ที่กลายมาเป็นสมาชิกของกลุ่ม “ผีแม่ม่าย” ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการสร้างโลกที่ปลอดภัยให้กับผู้หญิงและเด็ก ที่อาจตกเป็นเหยื่อของ “ลัทธิชายเป็นใหญ่” ที่แฝงตัวอยู่ในวรรณกรรม ศิลปะ และสื่อ

และเพื่อสร้างตัวตนเป็นคนใหม่ที่แผลในใจทำอะไรเธอไม่ได้ คุณทอฟ้าจึงพยายามลดความล้นเกินทั้งหลายที่ทำต่อร่างกายของตน เหลือแต่เพียงการออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ และหันเข้าหาสิ่งที่สาธุชนผู้เคยหลงใหลในกิเลสและบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่งทั้งหลายล้วนหันมายึดเหนี่ยว

นั่นคือ…แฟชั่น บ้านเรือน และวิถีชีวิตแบบมินิมัล!

 



Don`t copy text!