
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 7 : คำอำลา
โดย : เอมอักษร
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที
ดังความเชื่อเก่าแก่ที่ว่า ยามดวงตก เหตุการณ์ร้ายๆ จะพร้อมใจประดังประเดมาไม่หยุด เช่นเดียวกับเจิดจันทร์ตอนนี้ ที่พอก้าวเท้าเข้าบ้าน บิดาก็ขับรถเข้ามาจอดพอดีราวกับนัด
หญิงสาวหน้าเสียตั้งแต่เห็นรถจอดพรืดกระชากกระชั้นแล้ว ยิ่งเห็นบิดาเดินราวพายุหมุนเข้ามาในบ้าน เจิดจันทร์ก็เข่าอ่อนจนแม่กับพี่สาวกลายเป็นหิ้วปีก
“ปิดมือถือทำไมเจิด” ผู้เป็นพ่อเปิดฉาก ขมวดคิ้วมุ่น “แล้วจู่ๆ หนีกลับบ้าน คนเขาตกใจกันทั้งแผนก ทำไมไม่หัดเก็บอารมณ์บ้าง หัวหน้าแกเขาโทรหาพ่อว่าแกหายไป ขายหน้าเขาจะตาย”
เรืองรุจีรีบเดินมาแตะไหล่สามี พูดเสียงอ่อน “เบาๆ หน่อยคุณ ยัยเจิดเสียใจมาก ให้เวลาลูกทำใจหน่อย”
ภาคภูมิถลึงตาใส่ภรรยา “ให้เวลามากี่ปีแล้วคุณ สอบมากี่รอบแล้ว ไม่เคยได้ รู้มั้ยว่าไอ้เด็กลูกแม่บ้าน เรียนปอวอชอ มันยังสอบได้เลย แม่มันมาคุยทั้งแผนก”
“เอาไงเจิด” ภาคภูมิหันขวับมาทางลูกสาว “พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าหลังจากรอบนี้ คงไม่เปิดสอบอีกนาน นี่จะทนเป็นลูกจ้างไปอีกสิบปีเลยเหรอ คนอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว”
“เจิดเคยคุยกับแม่แล้ว” เจิดจันทร์หลบสายตาลุกวาวของบิดา อธิบายเสียงสั่น “จะขอเงินไปเปิดร้านเล็กๆ ขายชานม แต่แม่ไม่ให้”
“ปัดโธ่! ยัยเจิด ฉันจะบ้า แค่ชงกาแฟทรีอินวันแกยังทำไม่อร่อยเลย แล้วจะไปเปิดร้านได้ไง คิดเลขก็ผิดๆ ถูกๆ ขืนเปิด มีหวังเจ๊งหมดตัว” ภาคภูมิมองลูกสาวคนกลางอย่างขุ่นเคืองเต็มที่ “แล้วนี่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา เพราะปัญหามันอยู่ที่ตัวแก! ถ้าแกยังไม่เปลี่ยนความคิด ยังไม่เอาจริงกับอะไรสักอย่าง ปล่อยชีวิตล่องลอยไปแบบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร มันก็ฉิบหายหมดนั่นแหละ”
นับตั้งแต่นาทีที่รู้ผลสอบ เจิดจันทร์คิดว่าตัวเองร้องไห้อย่างหนักจนน้ำตาน่าจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว แต่เมื่อได้เห็นแววตาผิดหวังกับคำพูดปรามาสของบิดาในขณะนี้ น้ำตากลับไหลพรูออกมาไม่หยุด พร้อมกับอาการเจ็บในหัวใจที่ไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น แต่เจิดจันทร์สัมผัสความปวดร้าวในอกได้จริงทุกอณู
หญิงสาวเริ่มหายใจไม่ทัน เซล้มลงไปที่โซฟา
“ดรามาอีกแล้วไง” ภาคภูมิแค่นเสียง “โดนดุทีไร ออกอาการหน้ามืดเป็นลมทุกที วิธีเอาตัวรอดของแกมันซ้ำซากเหลือเกินยัยเจิด ขนาดเรื่องนี้ แกยังไม่คิดสร้างสรรค์อะไรใหม่บ้างเลย”
“พ่อ” เจิดจันทร์พ้อ อยากจะบอกเหลือเกินว่าเธอพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก้อนสะอื้นก็ทำให้พูดไม่ออก เหลียวมองอ้อนวอนไปทางมารดาให้ช่วยอธิบาย แต่เรืองรุจียืนนิ่งด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“พ่อจนปัญญากับแกแล้วเจิด ต่อไปนี้จะไม่ยุ่งแล้ว ชีวิตใครชีวิตมัน แกจะทนเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนหมื่นสองไปตลอดชีวิตก็ตามใจ อย่าบอกใครว่าเป็นลูกฉันก็แล้วกัน!”
“ก็ได้” เจิดจันทร์โพล่งเสียงสั่น คำว่า ‘อย่าบอกใครว่าเป็นลูก’ บาดลึกยิ่งกว่าคำใด “เจิดจะไม่อยู่ให้พ่อขายหน้าใครอีกแล้ว เจิดจะไปให้พ้นๆ ต่อไปพ่อก็ไม่ต้องอายว่ามีลูกอย่างเจิด”
ภาคภูมิขมวดคิ้ว “แกหมายความว่าไง…อ้อ! นี่แกคิดจะขู่พ่อแม่เหรอ จะหนีไปอยู่บ้านเพื่อนรึไง โธ่ นอกจากแกจะไม่สำนึก ไม่ปรับปรุงตัวแล้ว ยังหาทางประชดบ้าๆ บอๆ อีก นี่มันเวรกรรมอะไรกันวะนี่” ผู้เป็นพ่อยิ่งฮึดฮัดจนภรรยาเข้ามาบีบแขนแน่น เขาจึงสะบัดหน้า กระแทกเท้าเดินขึ้นบันได ปิดประตูห้องโครมสนั่น สะเทือนไปถึงหัวใจของลูกสาวคนกลางที่นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่บนโซฟา
“เจิด” เรืองรุจีขยับไปนั่งข้างลูกสาว เอื้อมมือแตะไหล่บางที่สั่นสะท้าน
เจิดจันทร์สะบัดหนีสัมผัสนั้น ดวงตาแดงก่ำเมื่อมองไปยังมารดา
“แม่โกหก! บอกว่าจะช่วยพูดกับพ่อแต่ก็ไม่ทำ แม่ไม่เคยช่วยเจิดเลยไม่ว่าเรื่องอะไร พี่เจก็ด้วย”
หญิงสาวลุกพรวดพราดขึ้น มองทั้งมารดาและพี่สาวด้วยแววตาเจ็บช้ำ สิ่งที่ทั้งสองพูดไว้ว่าการสอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหนา และจะช่วยพูดกับบิดาให้ ไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด! ทั้งคู่แค่ต้องการหลอกล่อให้เจิดจันทร์ยอมอยู่บ้าน เพราะเจณิสตาไม่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้เพื่อนชายของตน ส่วนแม่ก็เกรงถ้าคนรู้ว่าไปกับผู้ชายแล้วจะอับอาย แต่พอครั้นพายุอารมณ์ของบิดาพัดโหมเข้ามาจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าออกมาต้านทานความเกรี้ยวกราดนั้น ในที่สุดก็เหลือเจิดจันทร์ที่ต้องปะทะและแหลกสลายเพียงลำพัง
หญิงสาวพูดเสียงสะอื้น
“เจิดขอลาทุกคนตรงนี้ ขอให้ชาติหน้าเจิดเกิดมาเป็นลูกคนอื่น พ่อแม่จะได้ไม่ต้องอายใครเพราะเจิดอีก”
เจิดจันทร์ซอยเท้าขึ้นชั้นบน แล้วล็อกประตูห้องนอนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวโถมตัวลงบนเตียง อุดปากตัวเองขณะทั้งกรี๊ดทั้งร้องไห้อย่างอัดอั้น ไม่ไยดีกับเสียงเคาะประตูรัวและเสียงเรียกของแม่และพี่สาว ทั้งคู่ทนเรียกอยู่ได้ไม่นานหรอก พอเมื่อยแล้วก็ล่าถอยไปเอง
จริงดังที่คาด ทั้งคู่ช่วยกันตบประตูอยู่ไม่ถึงนาที ก็เงียบเสียงไป
“เดี๋ยวสักพักค่อยมาเรียกใหม่ดีกว่าค่ะ” เจณิสตากระซิบกับมารดา “ตบประตูเรียกปังๆ แบบนี้ เดี๋ยวพ่อได้ยินยิ่งโมโหใหญ่ คิดว่ายัยเจิดทำเรื่องประชดอีก” แล้วบอกอย่างนึกขึ้นได้ “เออ แม่เอากุญแจห้องเจิดมาสิคะ สักพักถ้าไม่ยอมเปิด ค่อยไขเข้าไป”
เรืองรุจีส่ายหน้า “กุญแจห้องชั้นบนหายไปไหนหมดไม่รู้ แม่ว่าจะเรียกช่างมาเปลี่ยนลูกบิดใหม่หมด ก็ยังไม่มีเวลาเลย”
“อ้าว แม่ต้องรีบเรียกช่างแล้วค่ะ เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมา จะไขประตูกันไม่ได้” เจณิสตาถอนหายใจ “งั้นอีกสักพักค่อยมาเรียกใหม่ ยัยเจิดยังไม่ได้กินข้าวเย็น เดี๋ยวคงหิวหรอก”
“เออ ว่าแต่เมื่อกี้เจพูดว่ามีอะไรจะคุยกับน้อง เรื่องปรีหรือเปล่า” แม่พยักหน้าเรียกเจณิสตาให้ตามลงบันได “แม่ก็ว่ายัยเจิดทำไม่เหมาะสม แต่แม่ถามจริงๆ เถอะ สรุปเจกับปรีไม่ได้เป็นแฟนกันใช่ไหม”
เจณิสตาอึกอักจนมารดาหันมามองอย่างแปลกใจ
“เจไม่ได้เป็นอะไรกับปรีค่ะ แต่ที่ห้ามเจิด เพราะ…ยัยเจิดกำลังอารมณ์แปรปรวน ไม่อยากให้ไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก”
“ใช่” มารดาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เออ เดี๋ยวแม่ต้องกลับไปที่กองถ่ายหนูเจน นี่แวะมาเอาของแป๊บเดียว ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง” เรืองรุจีหันไปกระวีกระวาดหยิบกระเป๋า “ยังไงแม่ฝากยัยเจิดด้วยนะลูก อีกสักพักเข้าไปดูน้องหน่อย ค่อยๆ ปลอบ พ่อเขาก็ปึงปังอย่างนี้แหละ อีกสองสามวันก็หาย ช่วงนี้ให้ยัยเจิดทำตัวเป็นเด็กดีหน่อยแล้วกัน”
เจณิสตายกมือไหว้มารดาแล้วเดินกลับขึ้นชั้นบน การแลกตารางบินกับเพื่อนวันนี้นับว่าไม่เสียเปล่า แม้จะกังวลใจอยู่บ้างเมื่อเดินผ่านประตูห้องนอนน้องสาวคนกลางที่ยังปิดเงียบ
อย่างน้อยเจิดจันทร์ก็ปลอดภัยอยู่ในบ้าน…เจณิสตาคิดในใจ การพลาดหวังจากสอบครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง เธอคงต้องปล่อยให้เจิดจันทร์สงบใจสักพัก แล้วทุกอย่างก็น่าจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 8 : วันวิกฤต
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 7 : คำอำลา
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 6 : เราสองสามคน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 5 : เซอร์ไพรส์
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 4 : ฟางเส้นสุดท้าย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 3 : ความกดดัน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 2 : คนแรกของหัวใจ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์