แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 21 : ก้าวผ่านความกลัว

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 21 : ก้าวผ่านความกลัว

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

กัลย์กมลใช้เวลากว่าสองเดือนในการผ่านกระบวนการฉายรังสี ทุกวันที่เธอไปโรงพยาบาลและเข้าสู่ขั้นตอนการรักษานั้นเต็มไปด้วยความอดทนจากการที่ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาให้หาย ในที่สุดเธอก็ก้าวผ่านจุดนั้นมาได้

หลังจากนั้นเธอก็เริ่มออกกำลังกายเท่าที่ร่างกายจะไหว โดยเริ่มจากการเดินช้า ๆ รอบหมู่บ้านในช่วงเวลาแดดร่มลมตก ได้สัมผัสกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และไอเย็นจากฤดูหนาวที่พัดผ่าน ทำให้รู้สึกเหมือนได้หายใจอย่างเต็มปอดอีกครั้ง

แม้ว่าสายตาที่มองมาจะเห็นเธอในฐานะคนป่วย หรือบางคนจะเข้ามาถามอาการด้วยความห่วงใย กัลย์กมลก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาเป็นความกังวลเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าอย่างเช่นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา หรือเตือนให้หลายคนใส่ใจในการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และสิ่งนี้กลับทำให้เธอรู้สึกภูมิใจ ที่ได้เป็นตัวอย่างให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นว่าการเป็นมะเร็งนั้นอาจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอแสดงให้เห็นถึงความหวังในเส้นทางการรักษา รวมถึงสามารถบอกกับใคร ๆ ได้ว่าความกลัวไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้คนห่างจากการไปตรวจสุขภาพ หากแต่ความกล้าที่จะเรียนรู้ความบกพร่องของร่างกายตัวเองต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ

“เดี๋ยวนี้หนูดีคุยกับคนเก่งแล้วนะ”

จิตบุณย์ที่เดินอยู่เคียงข้างกล่าวกับเธอ และเห็นว่าหญิงสาวดูสดใสและแข็งแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่กัลย์กมลหันไปยิ้มให้กับเขา

“พี่บุ๋นไม่สังเกตเองต่างหากล่ะค่ะ ปกติหนูดีคุยเก่งจนลิงหลับอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ ก่อนที่หนูดีจะป่วย เราแทบไม่ได้คุยกันเลยนี่นา” ชายหนุ่มยิ้มขำ เพราะหากเป็นแต่ก่อนเขาก็คงมองความสดใสของเธอแต่ไม่กล้าเข้าไปทัก

“ก็ตอนนั้นพี่บุ๋นน่ะแทบไม่มองหน้าหนูดีด้วยซ้ำ จนบางทีหนูดียังคิดว่าพี่บุ๋นไม่ชอบหน้าเลย” เธอแสดงความเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด

“ไม่ใช่สักหน่อย ตอนนั้นพี่กับหนูดีเหมือนอยู่กันคนละโลก พี่เลยไม่กล้าชวนคุย”

“คนละโลก? …” หญิงสาวเอียงคอทำหน้าสงสัย “ยังไงเหรอคะ”

“ก็หนูดีทั้งสดใสน่ารัก พูดเก่ง ยิ้มง่าย เทียบกับพี่แล้วเหมือนอยู่ด้านมืดอะไรอย่างนั้น” พูดออกมาแล้วเขาก็หัวเราะเบา ๆ หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคร้าย เขาคงไม่อาจรวบรวมความกล้ามาคุยกับเธอได้เช่นกัน

หญิงสาวหัวเราะตอบอย่างน่ารัก ก่อนจะเอียงคอมองเขา

“แล้วตอนนี้หนูดีไม่น่ารักแล้วเหรอคะ” เธอลองเย้าเขาดู แต่คำตอบที่ได้มากลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด

“ใครว่าล่ะ น่ารักสิ”

กัลย์กมลหัวเราะร่า จนจิตบุณย์เริ่มเขิน

“อย่าหัวเราะแบบนั้นสิ”

“มันดีใจน่ะค่ะ ในที่สุดพี่บุ๋นก็ชมหนูดีว่าน่ารักสักที” ใบหน้าแดงซ่านพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่แสนดีใจ

“พูดแบบนี้พี่เขินนะ”

เขาหันหน้าหนีเล็กน้อยด้วยความเขิน แต่เธอก็จับสังเกตได้ แล้วถามต่อ

“แล้ว…พี่บุ๋นชอบหนูดีแบบไหนมากกว่ากันคะ” เธอถามอย่างคนที่คาดหวังในคำตอบ

“จะแบบไหนก็เป็นหนูดีไม่ใช่เหรอ แค่ช่วงหนึ่งอาจไม่มั่นใจตัวเองเท่าเดิม” คำถามของเธอทำให้จิตบุณย์นึกย้อนถึงวันที่เธอบอกว่าเจอเนื้องอก เขาจึงเริ่มรู้ตัวว่าไม่ควรเสียเวลาไปกับการเฝ้ามองเธออีกต่อไป แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องหาวิธีทำให้เธอรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีเธอเพียงคนเดียว เขาจึงพยายามเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งที่พึ่งพิง และทำทุกวิถีทางเพื่อให้กัลย์กมลกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง

“โนะโน…นั่นยังไม่ใช่คำตอบค่ะ” เธอส่ายนิ้วชี้เป็นเชิงว่ายังไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ “หนูดีถามว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน หนูดีสาวสวยผมยาว กับสาวน้อยสวมหมวกผ้าในตอนนี้”

“จะตอนไหนพี่ก็ชอบทั้งคู่นั่นแหละ”

แค่ได้ยิน เธอก็เกือบกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจ

“นั่นไงล่ะ พูดออกมาจนได้”

“หมายถึงอะไร…”

“ในที่สุดพี่บุ๋นก็บอกชอบหนูดีแล้ว”

“แค่นี้เองเหรอ”

“ค่ะ แค่นี้แหละ” กัลย์กมลยิ้มกว้างจนเห็นฟันหน้าเรียงสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแดงปลั่งเหมือนลูกแตงกวาสุกจนไม่อาจซ่อนความยินดีเอาไว้ได้อีก

จิตบุณย์มองรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ใจเขาอุ่นวาบ หญิงสาวกำลังจะเดินนำหน้าเขาไปอีก แต่เขากลับเอื้อมมือมาจับข้อมือเธอไว้ กัลย์กมลหันกลับมาในจังหวะนั้น สายตาของจิตบุณย์ดูจริงจังเมื่อสบตากับเธอ

“พี่ชอบหนูดี มาเป็นแฟนกันนะ”

หญิงสาวยืนนิ่ง แก้มร้อนผ่าวและแดงซ่านอย่างไม่อาจควบคุม ริมฝีปากขยับเล็กน้อยแต่ก็ไม่ออกเสียง จนในที่สุดเธอก็หลุดออกมาเป็นคำพูดอย่างเขินอาย

“พี่บุ๋น! มาบอกอะไรตอนนี้เนี่ย”

“ก็หนูดีอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ…” เธอตอบเขิน ๆ มือไม้พากันพันไปมาเหมือนทุกอย่างอยู่ไม่ถูกที่ทางหมด ก่อนจะพูดเสียงเบา “หนูดีหมายถึง ตอนนี้ยังไม่ทันเตรียมตัวให้สวยเลย เผื่อพี่บุ๋นชอบแบบผมยาว หนูดีจะได้รอให้ผมสวยกว่านี้ก่อน”

“แบบนี้แหละ…สวยแล้ว สวยมากกว่านี้เดี๋ยวพี่จีบไม่ทันคนอื่น” จิตบุณย์ยิ้มละมุน หันมาจับมือเธออย่างอ่อนโยน

“สปอยกันเกินไปไหมคะ”

กัลย์กมลหัวเราะกลบเกลื่อนความเขิน คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ก้มหน้ามองเธอใกล้ๆ ก่อนเอ่ยคำที่ชัดเจน

“ถือว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

คนที่เพิ่งมีแฟนพยักหน้ารับอย่างเขินอาย จิตบุณย์จับมือเธอแน่นแล้วจูงมือเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน หญิงสาวรู้สึกถึงความอบอุ่นผ่านปลายนิ้วที่สัมผัส และรู้สึกว่าทุกอย่างตอนนี้มันใช่ไปหมด เธอจึงได้แต่ยิ้มขณะเดินเคียงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ และคิดในใจอย่างมีความสุข

…ว่าการมีแฟนที่ดีเช่นนี้ถือเป็นรางวัลชีวิตหลังจากการรักษามะเร็งเลยทีเดียว

 

หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น กัลย์กมลมุ่งมั่นกับการเรียนทำขนมอย่างเต็มที่ เธอลองสูตรใหม่ ๆ ฝึกฝนเทคนิคต่าง ๆ ด้วยความทุ่มเท จนในที่สุดก็เริ่มทำขนมได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมอบพื้นฐานอย่างบราวนี่ คุกกี้ ไปจนถึงเค้กที่ต้องใช้ฝีมือและความประณีต หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความสุขและความสำเร็จเล็ก ๆ ทุกครั้งที่ขนมออกมาสวยและรสชาติลงตัว ความตั้งใจที่ได้ใช้เวลาและพลังที่ได้รับจากการทำสิ่งที่รัก ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังสร้างอนาคตใหม่ที่หวานหอมอย่างแท้จริง

“ขืนเป็นแบบนี้ทุกวัน แม่ต้องไปตรวจเบาหวานแน่” ดลฤดีแกล้งบ่นขณะชิมขนมชิ้นล่าสุดของลูกสาว

“แค่ชิมนิดหน่อยเอง ไม่ถึงขนาดเป็นเบาหวานหรอกค่ะ” เธอวางคุกกี้ชนิดใหม่พร้อมกับส่งสายตาใสปิ้ง หวังให้แม่ตัวเองได้ชิมอีกชิ้น

“จ้ะ แต่ตอนนี้น้ำหนักแม่ก็เพิ่มมาสองโลแล้วนะ” คนพูดหันมาค้อนใส่ลูกสาวตัวเอง พลอยนึกถึงกางเกงทำงานที่เริ่มคับขึ้นเล็กน้อย

“คุณนายดลฤดีหุ่นดีขนาดนี้ น้ำหนักขึ้นมาโลสองโลยิ่งดูอิ่มเอิบมีน้ำมีนวล แค่นี้ไม่พออ้วนค่ะ” กัลย์กมลเอ่ยชมพร้อมกับหัวเราะ ขณะเดียวกันก็ยังคะยั้นคะยอให้แม่ได้ชิมฝีมือของตัวเอง

“ทำเป็นยอแม่นะเรา” ดลฤดีค้อนใส่ลูกสาวอีกครั้ง ก่อนโยกหัวคนตัวดีผ่านหมวกใบเก่งเป็นความชื่นชมความสำเร็จเล็ก ๆ ของเธอ

“ไม่ได้ยอ หนูดีพูดจริง แต่อีกเดี๋ยวพอเรียนจบ หนูดีก็ไม่ต้องทำให้แม่ชิมแล้ว”

“แล้วคิดหรือยัง ว่าจะเปิดร้านเป็นเรื่องเป็นราวเลยไหม แม่จะได้ช่วยหาทำเล” พอเห็นกัลย์กมลเป็นจริงเป็นจังกับเส้นทางนี้ ดลฤดีก็พร้อมที่จะสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่

“ขอหนูดีลองทำขายออนไลน์กับส่งร้านแถวใกล้ ๆ ก่อนนะคะ ถ้าเวิร์คค่อยเปิดร้าน”

“แล้วถ้าไม่เวิร์กล่ะ”

“ไม่เวิร์กก็อาจกลับไปทำงานค่ะ พี่ปุ้ยบอกว่าถ้าหนูดีพร้อมเมื่อไรก็ไปสมัครที่บริษัทได้เลย หนูดีก็ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน เผื่อเป็นทางเลือกค่ะ” เธอบอกถึงแผนที่คิดไว้ในอนาคต เพราะใช่ว่าเธอจะมุ่งมั่นไปทางเปิดกิจการอย่างไม่เผื่อใจไปทางอื่น ในเมื่ออนาคตไม่แน่นอนกัลย์กมลก็ไม่คิดตัดตัวเลือกเรื่องงานประจำไปด้วย

ซึ่งเรื่องนี้คนเป็นแม่ค่อนข้างเห็นด้วย แต่ก็ยังนึกห่วง

“แม่ว่าก็ดีนะ แต่เรายังต้องไปหาหมอเรื่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าทำงานประจำเขาจะมีปัญหาไหม”

“หมอนัดหกเดือนครั้งค่ะ ไม่น่ามีปัญหา อีกอย่าง…แม่ก็อวยพรให้หนูดีไปได้ดีกับการทำขนมสิ ลูกสาวแม่จะได้มีกิจการเป็นของตัวเอง” กัลย์กมลยิ้มสดใส

“จ้า…แม่ก็อยากเห็นลูกสาวประสบความสำเร็จนั่นแหละ” ว่าแล้วก็ลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเริ่มรู้สึกถึงตอผมแข็ง ๆ ที่แทงมือผ่านผ้าเนื้อนิ่มของหมวกที่ลูกสาวสวมใส่ “แล้วนี่จะใส่หมวกไปถึงเมื่อไร”

“ก็ว่าจะให้ผมยาวกว่านี้สักหน่อยค่ะ ตอนนี้ยังสั้นอยู่ เลยไม่ค่อยมั่นใจ”

“ไหนแม่ดูซิ”

พอแม่พูดแบบนั้นกัลย์กมลก็ถอดหมวกออก เผยให้เห็นผมสั้นที่เริ่มงอกออกมาใหม่ ดลฤดีมองซ้ายขวาแล้วก็ยิ้มออกมา

“แม่ว่าก็ดูดีแล้วนะ เหมือนผมสั้นที่พวกดาราชอบตัดกันเลย”

“แม่ว่างั้นเหรอ…” เธอถามอย่างไม่มั่นใจนัก อาจเพราะที่ผ่านมากัลย์กมลไม่เคยไว้ผมสั้นมาก่อน พอเปลี่ยนทรงก็กลายเป็นการโกนผมช่วงที่รักษาด้วยเคมีบำบัดเลย ดังนั้นเธอจึงยังไม่มั่นใจรูปลักษณ์ของตัวเองตอนผมสั้นนัก

“ใช่สิ เนี่ยทรงนี่กำลังน่ารักเลย เราน่ะใส่หมวกจนหัวลีบ ลองถอดให้ผมเข้ารูปเข้าทรง แม่ว่าทรงนี้แหละน่ารักแล้ว”

“แม่พูดเหมือนพี่บุ๋นเลย” กัลย์กมลหัวเราะ เมื่อนึกถึงคำพูดของจิตบุณย์

“นั่นก็แสดงว่า แม่กับบุ๋นเห็นตรงกันใช่ไหม”

“ก็…หนูดีติดหมวกไปแล้ว ถ้าถอดออกคงรู้สึกแปลก ๆ แน่”

“มันก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละ อีกเดี๋ยวหนูดีก็จะเริ่มชิน เหมือนกับที่ตอนเริ่มใส่หมวกใหม่ ๆ ไง”

“ก็ถูกของแม่นะคะ ถ้าไม่ลองเราก็จะไม่มีวันรู้เลย” หญิงสาวคิดว่าการลองทำสิ่งใหม่ก็คงเหมือนกับการรักษามะเร็งในตอนนั้น หากเธอปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนท้อถอยไปเสียแต่แรก ก็อาจจะไม่มีกัลย์กมลในวันนี้

ดลฤดีมองลูกสาวด้วย สายตาที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบในใจ ภาพของกัลย์กมลในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ลูกสาวคนเก่ง แต่เป็นภาพของผู้หญิงที่เข้มแข็งที่ได้ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนามาได้ นั่นจึงทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ เป็นความภาคภูมิของแม่ที่ได้เห็นลูกสาวเติบโตขึ้น

“ใกล้ไปหาหมออีกรอบแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะ รอบนี้มีอัลตร้าซาวด์ช่องท้องกับตรวจเลือดด้วย”

“ผ่านมาได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่าเก่งมากเลยนะ ลูกสาวของแม่เนี่ย”

คำชมลูกสาวยังออกมาจากปากของคนเป็นแม่ไม่ขาด นั่นยิ่งทำให้กัลย์กมลรู้สึกภาคภูมิกับตัวเองมากขึ้นไปด้วย

“หนูดีเก่งอยู่แล้วค่ะ”

กัลย์กมลส่งยิ้มให้แม่ ความไม่สบายใจที่เคยประสบพบพานจางหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความโล่งใจและความดีใจที่เธอสามารถผ่านมาได้ และในที่สุดเธอก็คือผู้ชนะ ไม่ใช่การชนะต่อโรคร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเอาชนะจิตใจของตัวเองจนกลายมาเป็นกัลย์กมลในทุกวันนี้ด้วย

 

Don`t copy text!