แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 4 : ใคร ๆ ก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 4 : ใคร ๆ ก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

จากที่ต้องลางานมาฟังผลการตรวจชื้นเนื้อ กลายเป็นว่ากัลย์กมลต้องลางานเพิ่มเพื่อมาทำเคมีบำบัดในวันต่อมา จะว่าทุกอย่างผ่านไปเร็วกว่าที่เธอคิดก็คงใช่ เพราะที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีเวลาตกใจกับสิ่งที่ต้องเจอมากนัก เป็นไปได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ และเธอยังไม่รู้สึกถึงความอ่อนแอของร่างกาย ในเวลานี้กัลย์กมลยังเป็นหญิงสาวที่มีร่างกายปกติ แข็งแรงสมบูรณ์ตามช่วงวัย รวมถึงความสาวที่ยังเปล่งปลั่ง หาใช่คนป่วยที่หมดแรงเสียเมื่อไร

ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ไม่ได้คลายความกังวลใจไปสักทีเดียว การรักษายังคงเป็นสิ่งที่เธอกลัวอยู่มาก จนกัลย์กมลไม่คิดหาข้อมูลใด ๆ จากโลกออนไลน์ ด้วยเกรงว่านั่นจะทำให้เธอเป็นกังวลมากไปกว่าเดิม

หญิงสาวถึงหน้าห้องรอการทำเคมีบำบัด และพบเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือทุกคนต่างสวมหมวก แต่ก็พอเห็นได้ว่าที่ศีรษะของแต่ละคนนั้นไร้เส้นผม ใบหน้าไร้คิ้ว เธอเดินเข้าไปด้วยอาการกลัว ๆ กล้า ๆ ก่อนจะยิ้มให้หนึ่งในกลุ่มนั้นที่หันมาหาเธอ

“ขอโทษนะคะ ใช่คนไข้ของหมอปิติยาที่รอทำคีโมรึเปล่าคะ”

ทุกคนหันมามองหญิงสาวในชุดลำลอง ผู้มากับผมยาวสลวยอย่างไม่เชื่อสายตานัก ก่อนที่หญิงชราหนึ่งในกลุ่มสตรีสวมหมวกจะถามเธอ

“ใช่จ้ะ หนูมาทำอะไรเหรอ” หญิงชราหันมามองเธอด้วยความสงสัย เพราะดูจากรูปร่างหน้าตาที่จิ้มลิ้มพริ้มเพรา และผมดำขลับยาวตรงเป็นระเบียบจนถึงกลางหลัง ดูอย่างไรก็ห่างไกลกับสภาพคนป่วยอย่างพวกที่นั่งอยู่ด้วยกันแน่นอน

ทว่าคำตอบของกัลย์กมลนั้นกลับทำให้ทุกคนต้องหันมาหาเธอเป็นทางเดียว

“คือ…หนูดีมาทำคีโมครั้งแรกค่ะ”

“อ้าว!…จริงเหรอ อายุเท่าไรเนี่ย” จงจิตหนึ่งในผู้ป่วยที่เพิ่งเข้าสมาคมคนเสียเต้านมไปไม่นานเอ่ยถาม พร้อมทั้งมองความสาวสะพรั่งของเธอด้วยความเวทนา

และนั่นเป็นครั้งแรกที่กัลย์กมลต้องเผชิญกับสายตาแห่งความเห็นใจ สงสาร เวทนาจากคนหมู่มากเป็นแห่งแรก ซึ่งบอกตามตรงว่าเธอไม่ชินกับมันเอาเสียเลย

“ยี่สิบห้าค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปตามความจริง แน่ทีเดียวว่าสิ่งที่ตอบกลับมานั้นคือสายตาที่ประหลาดใจมากกว่าเดิม

“ตายแล้ว เดี๋ยวนี้มะเร็งไม่เลือกอายุแล้วนะ”

กลุ่มสมาคมคนรักษามะเร็งเต้านม อันเป็นชื่อที่กัลย์กมลตั้งให้ในใจเริ่มหันไปคุยกันเอง เธอรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ด้วยอายุของเธอกับโรคที่เป็น ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับหญิงสาววัยเดียวกับเธอ

“แกก็ว่าไป เดี๋ยวเขาก็ใจเสียหมด” ป้าสำราญคนไข้ที่ดูอายุมากกว่าทุกคนเอ่ยออกมา พร้อมกับมองมายังเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “หนูมานั่งรอตรงนี้ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพยาบาลเขาจะมาเรียกเอง”

กัลย์กมลรู้สึกดีขึ้นที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันมากกว่าที่เธอคิด แถมทุกคนก็ไม่สร้างความทุกข์ใจให้แก่กัน เป็นกลุ่มก้อนที่สร้างพลังใจมากกว่าแสดงความทุกข์ทรมานจากการรักษา อาจเพราะทุกคนเข้าใจว่าแต่ละคนต้องเจอกับอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเธอซึ่งมาเป็นครั้งแรก

แต่ถึงใบหน้าของเธอจะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม มันก็ซ่อนความวิตกเอาไว้ไม่มิด เห็นได้โดยชัดเมื่อพยาบาลเข้ามาวัดความดัน และค่าการเต้นของหัวใจเธอพุ่งสูงขึ้น จนแม้แต่คนวัดยังตกใจ

“ตื่นเต้นเหรอหนู”

พยาบาลผู้ทำการวัดความดันถาม กัลย์กมลรู้สึกเขินเล็ก ๆ ที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นชัดเจนเช่นนี้

“ค่ะ หนูไม่เคยทำคีโมมาก่อน แถมเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าเป็นมะเร็ง”

“แล้วหมอบอกไหมว่าระยะไหน” นางพยาบาลชุดขาวผู้แสนใจดียังถามเธอด้วยความอ่อนโยน

“หมอบอกระยะแรก ๆ ค่ะ ยังไม่เข้าต่อมน้ำเหลือง”

พยาบาลสาวพยักหน้าก่อนที่จะไปวัดความดันให้คนอื่นต่อ ส่วนกัลย์กมลนั้นพอเสร็จจากการวัดความดัน เธอก็ถูกป้าสำราญสะกิดเรียกอีกครั้ง

“ก็ไม่ต้องกังวลหรอกหนู ดูป้าสมใจนู่น”

หญิงชราสวมหมวกลายดอกไม้สดใสชี้ไปยังหญิงชราอีกคนที่มากับคนดูแล ซึ่งมีสภาพร่างกายผ่ายผอมเหมือนกับปรีดาที่กัลย์กมลเคยเห็น ต้องนั่งรถเข็นเพราะไม่อาจยืนได้นาน ๆ

“ของป้าสมใจน่ะลามเข้าต่อมน้ำเหลืองไปปอดแล้ว ยังมาทำคีโมได้ตลอด แต่หนูต้องขยันกินไข่ต้มนะลูก จะได้มีแรงเยอะ ๆ”

“ไข่ต้มเหรอคะ หนูไม่ค่อยชอบเลย” แค่ได้ยินว่าไข่ต้มกัลย์กมลก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นของไข่ที่ไร้รสชาติ ต่อให้ปรุงด้วยน้ำปลาหรือซอสก็ไม่ได้รู้สึกอร่อย สำหรับเธอแล้วนี่อาจเป็นอุปสรรคแรกในการใช้ชีวิตหลังจากนี้

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวเลือกอื่น

“ไม่ชอบก็กินนมคนป่วยสิ หมอเขาไม่ได้บอกเหรอ”

“น่าจะบอกค่ะ แต่เมื่อวานหนูเบลอไปหน่อย” ใบหน้าแฉล้มยิ้มแห้ง จะว่าไปเมื่อวานหมอบอกอะไร ตอนนี้เธอเองก็จำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น

“ปกติลูก ป้านี่กลับไปร้องไห้เป็นวันเลย กลัวตาย…” ป้าสำราญเข้าใจความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี ลองเทียบกับตัวเองที่มาเป็นโรคนี้ตอนแก่ ก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกัน

“โอ๊ย…ป้าน่ะไม่ต้องกลัวตายแล้ว คีโมอีกไม่กี่ครั้งก็จบ ส่วนพวกหนูสิยังอีกไกล”

จงจิตพูดสำทับ เพราะตัวเองก็เพิ่งผ่านการทำเคมีบำบัดมาได้เพียงสองครั้งเท่านั้น ทว่าจะต่างกับกัลย์กมลหน่อยตรงที่จงจิตนั้นต้องตัดเต้านมทิ้งไปหนึ่งข้าง ไม่ได้รอให้ก้อนเนื้อยุบก่อนแล้วค่อยผ่าเหมือนกับหญิงสาว

 

พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลาของการทำเคมีบำบัดแล้ว เพียงแค่เห็นห้องให้ยาเคมีบำบัด กัลย์กมลก็รู้สึกได้ถึงความเย็นวูบวาบที่แล่นไปทั่วทั้งตัว รวมถึงปลายมือและเท้าที่เย็นเฉียบ ซึ่งคาดเดาไม่ได้เลยว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้างในห้องนั้น

ถึงเวลาเธอก็ถูกเรียกไปนอนที่เตียง สายตาของเธอเหลือบมองกลุ่มคนที่มาพร้อมกันเมื่อครู่ ทุกคนต่างขึ้นไปนอนบนเตียงผู้ป่วยที่เรียงกันเป็นแถว แล้วก็ได้เห็นถึงความเตรียมพร้อมของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอุปกรณ์แก้เบื่อระหว่างทำการรักษา หรือแม้แต่ตัวช่วยในการทำให้นอนหลับ ซึ่งสิ่งเดียวที่กัลย์กมลมีก็คือโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวเท่านั้น พอเปิดขึ้นมาดูก็พบข้อความของแม่ ซึ่งส่งมาเป็นสติ๊กเกอร์รูปแมวถือพู่เชียร์พร้อมกับคำว่า ‘สู้ ๆ’ นั่นก็พอทำให้เธอยิ้มออกมาได้บ้าง

“คนไข้ทำคีโมครั้งแรกเหรอคะ”

เสียงจากพยาบาลสาวเรียกกัลย์กมลให้กลับมาสู่ความเป็นจริง เธอเห็นรถเข็นที่มีขวดน้ำเกลืออยู่บนนั้น แม้จะเคยเข้าโรงพยาบาลมาบ้างและรู้ว่าการให้ยาเคมีบำบัดต้องแทงเข็มให้น้ำเกลือ ทว่าพอเจอเข็มเข้าจริง ๆ หญิงสาวก็แทบอยากจะหันหน้าไปทางอื่นเสีย

“ค่ะ…ชื่อกัลย์กมลค่ะ”

เธอตอบขณะที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ซึ่งถ้าหันไปทางพยาบาล คงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเบา ๆ อยู่

“เป็นที่เต้านมข้างไหนคะ”

“ข้างซ้ายค่ะ”

“งั้นต่อไปนี้ต้องเจาะน้ำเกลือที่ข้างขวาเท่านั้นนะ รวมถึงเจาะเลือดด้วย อันนี้คนไข้ผ่าตัดรึยังเอ่ย”

“ยังค่ะ หมอบอกว่าให้คีโมจนก้อนเนื้อยุบก่อน ถึงจะผ่าค่ะ” เธอยังตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ อย่างที่รู้ว่าทุกอย่างคือสิ่งใหม่สำหรับหญิงสาว และแน่นอนว่าเธอกลัวเข็มแทงน้ำเกลือมากในตอนนี้

“หลังผ่าตัดแล้วห้ามใช้แขนข้างซ้ายนะ วัดความดันก็ต้องใช้ข้างขวานะคะคนไข้”

“ค่ะ แต่…” กัลย์กมลหันกลับมามองเข็มที่อยู่ในมือของพยาบาลแล้วรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “มันจะเจ็บมากไหมคะ…”

“นิดหน่อยค่ะ หันหน้าไปทางอื่นก็ได้นะ”

พยาบาลสาวยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ ส่วนคนที่กลัวอยู่แล้วก็รีบหันหน้าหนีทันที เธอรับรู้ได้ถึงการกระทำทุกอย่างทั้งสายยางที่รัดเพื่อหาเส้นเลือด หรือแม้แต่สัมผัสของถุงมือยางที่สวมทับนิ้วของพยาบาลสาว ซึ่งกำลังตั้งใจหาเส้นเลือดของเธอ

“โห…เส้นเลือดหายากมากเลย…”

คำพูดลอย ๆ นั่นไม่ได้ทำให้กัลย์กมลรู้สึกถึงความกังวลที่หายไป สักพักหนึ่งก็เหมือนนางพยาบาลจะเริ่มหาเส้นเลือดเธอเจอ หลังจากนั้นหญิงสาวก็รับรู้ถึงความเจ็บจี๊ดที่หลังมือข้างขวา เธอหลับตาแน่นขณะที่พยาบาลยังบอกให้เธอทนหน่อย จากนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่แล่นเข้ามาในร่างกายของเธอ ก่อนจะหันไปก็พบว่ามือเธอถูกพันไว้เรียบร้อยพร้อมกับสายน้ำเกลือที่โยงไปถึงขวดที่แขวนอยู่

ต่อจากนั้นพยาบาลคนดังกล่าวก็เดินหายไป ผ่านไปสักพักใหญ่ เธอก็เห็นพยาบาลคนเดิมมาพร้อมกับขวดน้ำเกลืออีกขวด ที่ด้านในนั้นบรรจุน้ำสีแดงไว้มาเปลี่ยนกับขวดที่แขวนในตอนแรก

“หลับไปได้เลยนะคะ เดี๋ยวยาหมดแล้วพยาบาลจะมาปลุกนะ”

แล้วพยาบาลผู้แสนใจดีก็จากไป ทิ้งให้กัลย์กมลมองน้ำสีแดงที่ค่อย ๆ หยดลงมาตรงกระเปาะไหลเข้าสู่ร่างกายเธออย่างช้า ๆ

‘ถ้าฉันแพ้มันจะเกิดอะไรขึ้นนะ’

เธอคิดขณะที่มองดูสิ่งที่เข้ามาในร่างกาย ก่อนจะรู้สึกขนลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังอาเจียน

‘ไม่นะฉันจะเป็นแบบนั้นรึเปล่า ทำไงดี’

ดวงตากลมหลับลง ก่อนจะหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อตั้งสติ จนกระทั่งพบว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ยังปกติ เธอยังหายใจได้ ไม่มีอาการแพ้ยา ความหงุดหงิดกังวลที่เกิดขึ้นในช่วงแรกก็ดูจะหายไปด้วยเหมือนกัน รวมถึงผู้ป่วยคนอื่น ๆ ในห้องก็ยังคงอยู่กับกิจกรรมแก้เบื่อของตัวเอง บางคนมีญาติมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนเธอนั้นก็มีเพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น

แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อหน้าจอแสดงข้อความของใครบางคนที่เธอไม่คุ้นเคยขึ้นมา

“ใครแอดเพื่อนมานะ”

กัลย์กมลเปิดเข้าไปดูในโปรแกรมแชตยอดนิยม ก่อนจะพบใบหน้าของชายหนุ่มข้างบ้านเพิ่มเป็นเพื่อนใหม่ พร้อมกับส่งสติกเกอร์ตัวละครสีขาวกำลังโบกมือทักทายมาให้ เธอจึงส่งสติกเกอร์แบบเดียวกันกลับไปบ้าง และจากนั้นเสียงข้อความก็แจ้งเตือนเข้ามาแทบจะทันที

[บุ๋น : นี่พี่บุ๋นเองนะ ได้ทำคีโมแล้วหรือยัง]

[หนูดี : กำลังทำอยู่เลยค่ะ ^-^]

[บุ๋น : มีใครเฝ้าไหม]

[หนูดี : ไม่มีค่ะเดี๋ยวเสร็จแล้วแม่มารับ]

[บุ๋น : มีอาการอะไรก็รีบบอกพยาบาลนะ]

[หนูดี : ได้ค่า ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง]

แล้วจิตบุณย์ก็ปิดท้ายการแชตด้วยสติกเกอร์รูปการ์ตูนทำท่าโอเค เป็นการจบบทสนทนา กัลย์กมลมองห้องแชตของเธอกับเขาด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งที่พยายามคิดว่าเขาก็แค่เป็นห่วงในฐานะคนที่ใกล้ชิดผู้ป่วยมะเร็งมาก่อนเท่านั้น แต่ถ้าเธอจะวิสาสะนับสิ่งนี้เป็นรางวัลชีวิตของวันนี้ก็คงจะดีนะ

หลังจากนั้นกัลย์กมลก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอีกทีก็ตอนที่พยาบาลมาปลุกพร้อมกับถอดสายน้ำเกลือให้ แล้วเธอก็ได้รับสมุดประจำตัวผู้ป่วยมะเร็ง ถือเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ต้อนรับเข้าสู่โลกของการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ และยังได้รับยาฉีดกระตุ้นเม็ดเลือดซึ่งเธอต้องไปฉีดที่สถานพยาบาลใกล้บ้านตามวันที่ระบุไว้

 

อันที่จริงจะบอกว่าการรับยาเคมีบำบัดครั้งแรกนั้นแทบไม่ส่งผลอะไรกับเธอเลยก็คงใช่ หลังจากรับยาแล้วกัลย์กมลมีอาการพะอืดพะอมอยู่สองวัน จากนั้นก็ทานอาหารได้ปกติ เพียงแต่เธอจะเลือกทานเฉพาะอาหารที่แพทย์แนะนำเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สิ่งไหนที่ห้ามเธอก็จะไม่พยายามกินเด็ดขาด ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น

การนัดทำเคมีบำบัดจะมีอีกครั้งก็สองอาทิตย์ต่อไป ระหว่างนี้เธอก็ต้องไปฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดตามวันที่แจ้งไว้ ที่จริงก็เหมือนกับการฉีดวัคซีนทั่วไป ซึ่งเจ็บน้อยกว่าการถูกเจาะน้ำเกลือหลายเท่า ทว่าสิ่งที่ต้องเจอหลังจากนั้นต่างหาก ที่เธอให้คำนิยามว่านี่แหละคือความทรมานของจริง

ค่ำคืนเดียวกับวันที่ฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือด กัลย์กมลยังคงเข้านอนตามปกติ โดยก่อนเข้านอนเธอก็ยังคงดูทีวีนั่งคุยกับแม่ ทว่าเพียงผ่านไปได้ไม่นานเท่านั้น หญิงสาวก็รู้สึกถึงอาการไม่สบายตัวอย่างรุนแรง ราวกับว่าวันนี้เธอออกกำลังกายหนักจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว

“เป็นอะไรล่ะเนี่ย”

กัลย์กมลเดินกระสับกระส่ายไปทั่วห้องนอน สักพักอาการปวดก็บ่งชัดว่ามาจากข้อต่อทุกข้อตามร่างกาย ไม่ว่าเธอจะขยับตัวไปทางไหนกระดูกทุกส่วนก็พร้อมจะปวดเหมือนกันไปหมด

“เจ็บจัง…”

เธอนิ่วหน้า จากนั้นไม่ว่าจะนั่ง จะเดิน หรือจะนอนก็ไม่สามารถคลายความปวดนี้ลงได้ เธอนอนอยู่กับพื้นหน้าเตียงด้วยความเจ็บปวดทรมานจนน้ำตาไหล ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเคาะห้องของแม่ที่อยู่ข้างกัน

“แม่…”

เธอเรียกดลฤดีด้วยเสียงสั่นเครือ ผสมกับสภาพจิตใจที่เริ่มหวั่นวิตกกับอาการที่เกิดขึ้น จนคิดเกินเลยไปถึงคำถามว่าเธอจะตายไหม

ไม่นะ…ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้

และพอดลฤดีเปิดประตูห้องออกมาก็ต้องตกใจกับสภาพของลูกสาว ที่มีน้ำตานองเต็มใบหน้า

“หนูดี…เป็นอะไรลูก”

“หนูดีปวดไปทั้งตัวเลยแม่ ทำยังไงก็ไม่หาย”

“มา ๆ เข้ามานอนกับแม่ เดี๋ยวแม่เอายาแก้ปวดให้”

ดลฤดีเข้ามาประคองลูกสาวเข้าห้อง กัลย์กมลตัวสั่นเป็นลูกนก ทุกย่างก้าวของเธอระมัดระวังเหมือนกลัวเจ็บ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนเธอก็มักจะสะดุ้งโอดโอยอย่างทรมาน คล้ายกับว่าอาการนี้จะไม่หายไปง่าย ๆ ซึ่งเธอนั้นรู้สึกกลัวเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวแม่นั่งเป็นเพื่อน”

ไม่บ่อยนักที่ดลฤดีจะแสดงอาการอ่อนไหวออกมาอย่างชัดเจน ปกติแล้วแม่ของเธอเป็นคนแข็งทั้งนอกและใน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรแม่ก็มักจะบอกให้เธอสู้เสมอ จะมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่แม่จะแสดงความหวั่นไหว แต่นั่นไม่ใช่ว่าแม่จะละเลยตัวเธอ กลับกันแล้วกัลย์กมลรู้ดีว่าแม่นั้นรักเธอมากแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาที่เธอต้องการที่พึ่งมากที่สุดอย่างตอนนี้

 

กว่ากัลย์กมลจะหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง เธอจำต้องโทรไปลาป่วยเพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อฟื้นฟูตัวเองจากอาการปวดไปทั้งตัว ร่างของหญิงสาวได้แต่นอนนิ่ง ๆ บนที่นอนปิกนิกกลางโถงรับแขกของบ้าน ที่จริงดลฤดีตั้งใจจะลางานเพื่อดูแลลูกสาว แต่ติดตรงที่วันนี้เธอมีงานสำคัญไม่อาจทิ้งให้คนอื่นทำได้

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ แค่นอนเฉย ๆ อาการปวดมันก็เบาลงแล้ว” กัลย์กมลที่ยังนอนหงายมองเพดานอยู่นิ่ง ๆ บอกกับแม่ เธอไม่พยายามขยับส่วนใดของร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ต้องเจ็บปวดอีก

“มันจะได้ยังไงล่ะ”

“หนูดีไม่เป็นไรจริง ๆ”

“ไม่เชื่อหรอก เมื่อคืนยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย” พูดถึงภาพลูกสาวนอนร้องไห้เพราะความเจ็บปวดดลฤดีก็ยังหวั่นใจไม่หาย “เอางี้…เดี๋ยวแม่ให้พี่บุ๋นเขามาดูลูกแล้วกัน แล้วแม่จะลางานครึ่งวัน โอเคนะ”

ถ้าเป็นปกติกัลย์กมลคงลุกขึ้นไปห้าม แต่ตอนนี้แม้แต่ขยับเธอยังไม่กล้าทำ จึงได้แต่พูดกับแม่ทั้งที่ตากลมยังจ้องอยู่กับเพดาน

“ไม่ต้องหรอกแม่ เกรงใจเขา…พี่บุ๋นเขาต้องดูแลป้าดาด้วย”

“เชื่อแม่เถอะ หรือเราจะไปนอนเล่นบ้านป้าดา”

“ไม่เอาค่ะ นอนอยู่นี่ก็ดีแล้ว” เธอรีบตอบ ขืนให้เธอลุกไปสภาพนี้ ปรีดาคงได้โดดลงจากเตียงมาดูแลเธออีกคนแน่

“แล้วก็อย่าลืมกินข้าวต้มกับนมล่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายแม่กลับมา แต่มีอะไรต้องรีบโทรบอกแม่นะ”

“ค่า…”

เสียงของหญิงสาวลากยาว ไม่นานจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงรถเก๋งคู่ใจของแม่ดังขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ เบาลงไปตามระยะทางที่ห่างออกไปจากบ้าน กัลย์กมลจึงได้พยายามหลับตาลงอีกครั้ง ด้วยความเจ็บปวดที่น้อยลงทำให้เธอเริ่มเข้าใกล้ห้วงนิทราทีละน้อย

กระทั่งได้ยินเสียงประตูบ้านเปิด เธอจึงลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ พอ ๆ กับคนที่กำลังก้าวผ่านประตูเข้ามา

“อุ๊ย! ตกใจหมด” จิตบุณย์สะดุ้งตัวโยน เมื่อเห็นหญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนที่นอนปิกนิกกลางโถง จนไม่กล้าเดินเข้าไป

“พี่บุ๋น…” กัลย์กมลถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ใช่คนร้าย ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าเขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู “ขอโทษค่ะ พอดีหนูดีขยับตัวลำบากน่ะ”

“น้าฤดีให้พี่มาดู พอดีแม่พี่เพิ่งหลับไป เป็นไรมากไหมเนี่ย”

“แค่ปวดกระดูกค่ะ เบากว่าเมื่อคืนมากแล้ว” เธอพยายามขยับ อันที่จริงก็ไม่ได้ยินดีสักเท่าไรที่เขาต้องมาเห็นเธอในสภาพนี้ และเธอก็อยากลุกไปนั่งคุยเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านอนอยู่กับพื้นนิ่ง ๆ

พอจิตบุณย์เห็นว่าหญิงสาวกำลังขยับตัว เขาก็เดินเข้าไปใกล้เผื่อจะช่วยอะไรเธอได้ ที่จริงเขาชำนาญเรื่องนี้มากจากการดูแลแม่ แต่จะให้เข้าถึงเนื้อตัวของหญิงสาวก็คิดว่าคงไม่เหมาะสม จึงได้แต่ทำท่าอิหลักอิเหลื่อมองเธอด้วยความเป็นห่วง

“พอลุกไหวไหม พี่ว่าเราน่าจะไปกินอะไรสักหน่อยนะ”

“ก็อยากลุกอยู่หรอกค่ะแต่…” คนที่พยายามจะลุกกลับมานอนต่อ เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการที่ยังไม่หายไป ก่อนจะยิ้มแห้งใส่เขาไปหนึ่งที “กลัวเจ็บตัวอย่างเมื่อคืนอีก”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่เอาข้าวต้มกับนมมาให้” ชายหนุ่มตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ก็ยังดีกว่าได้แต่มองแต่ไม่กล้าเข้าไปช่วย

“อย่าเลยค่ะ หนูดีเกรงใจ”

“ไม่เป็นไร เมื่อกี้แม่พี่ก็กำชับมาให้ดูแลเราให้ดี ขอเข้าไปดูในครัวหน่อยนะ”

เมื่อขออนุญาตแล้วจิตบุณย์ก็ค่อยเดินผ่านเธอเข้าไปในห้องครัว ปล่อยให้คนป่วยนอนหันหัวตามทิศที่เขาหายไป กัลย์กมลรู้สึกถึงแก้มที่ร้อนผ่าว นี่ไม่ใช่ความอายที่ชายหนุ่มเข้ามาเห็นเธอตอนนี้ แต่เป็นความรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ เหมือนมีลูกโป่งพองลมจนเต็มอยู่ในอก ไม่นานนักเธอก็เห็นเขาเดินออกมาจากครัว พร้อมกับถ้วยข้าวต้มกับนมสำหรับคนป่วยหนึ่งแก้ว

“ลุกไหวไหม”

“พอได้ค่ะ”

จิตบุณย์วางของที่ดลฤดีเตรียมไว้ให้ลูกสาวบนโต๊ะรับแขก มองดูกัลย์กมลขยับตัวช้า ๆ หลายครั้งที่เขาอยากจะเข้าไปประคอง แต่เห็นสีหน้าที่บอกว่าเธอยังไหวเขาก็ยั้งตัวเองไว้ จากนั้นเธอก็จัดการข้าวต้มกับนมไปอย่างละไม่มาก

“แล้ว…ที่ไปทำคีโมมามีอาการแพ้บ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มชวนคุยเพราะเห็นท่าทางเธอจะเบื่ออาหาร จึงอยากจะช่วยทำให้หญิงสาวผ่อนคลายลงบ้าง แม้ว่าปกติเขาจะแทบไม่เคยชวนใครคุยเลยก็ตาม

“นอกจากพะอืดพะอม ก็มีอาการที่เป็นหลังฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดนี่แหละค่ะ”

“ตอนนี้ทำอะไรต้องระวังหน่อยนะ ต่อไปร่างกายอาจไม่เหมือนเดิม ยาน่ะมันมีผลข้างเคียง”

“หนูดีคงเข็ดยากระตุ้นเม็ดเลือดไปพักใหญ่เลยล่ะค่ะ”

ใบหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถึงจะไม่ได้สดใสอย่างที่เคยเป็น ถึงอย่างนั้นจิตบุณย์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นว่าเธอนั้นยังคงสู้กับความเจ็บปวดนั่นอยู่

“แต่ก็ต้องฉีดตามที่หมอเขาสั่งนะ”

“นั่นน่ะสิคะ” กัลย์กมลอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเธอนั้นเข็ด จนเผลอคิดว่าจะไม่ไปฉีดยาอีกแล้ว แต่พอเขาพูดขึ้นมามันก็ทำให้เธอคิดได้ว่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้นทั้งนั้น

แน่นอนว่าจิตบุณย์ย่อมสังเกตเห็นความสั่นไหวในดวงตา โดยเฉพาะกับคนที่ต้องเจอกับอาการข้างเคียงตั้งแต่เข็มแรก

“เชื่อพี่สิ รอบหน้าหนูดีจะไม่เป็นไร”

“คิดว่างั้นเหรอคะ” ใบหน้าอิดโรยมองคนที่ให้กำลังใจเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง อย่างน้อยการที่จิตบุณย์นั้นคุ้นเคยกับผู้ป่วยโรคนี้ สิ่งที่เขาบอกมันก็ทำให้เธอเบาใจลงบ้าง

“ใช่ พี่รู้ว่าเราใจสู้อยู่แล้ว”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ กัลย์กมลไม่แน่ใจว่านี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขายิ้มให้กับเธอ ทว่าสิ่งนั้นกลับสร้างความอบอุ่นในหัวใจให้อย่างประหลาด ซึ่งนั่นนับเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับคนเก็บตัวเช่นเขา เอาเป็นว่ามื้อนี้ของเธอคงเรียกได้ว่าเป็นมื้อที่ใจฟูที่สุดนับตั้งแต่ทำการรักษามาเลยก็ว่าได้

 

 

 

Don`t copy text!