
แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 15 : ด้วยเวลาที่เหลือ
โดย : จันทร์จร
แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต
ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ของปรีดา กัลย์กมลตระหนักดีว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่สำหรับปรีดา แต่สำหรับจิตบุณย์ด้วย เธอรู้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ทั้งเรื่องการดูแลแม่และการติดต่อกับญาติพี่น้อง เธอจึงอยากช่วยแบ่งเบาภาระของเขาด้วยการอยู่เป็นเพื่อนปรีดา พูดคุยและช่วยดูแลในยามที่เขาต้องไปจัดการงานต่าง ๆ
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ความรับผิดชอบของตนเอง แต่เธอก็ทำด้วยหัวใจ ด้วยความหวังอยากให้ปรีดาได้รู้สึกสบายใจในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับปรีดาทำให้เธอเข้าใจถึงความไม่แน่นอนของชีวิตมากขึ้น รวมถึงยิ่งตระหนักได้ว่าความสุขและความสงบในช่วงสุดท้ายของชีวิตนั้นสำคัญเพียงใด
“นี่ค่ะป้าดา หนูดีคว้านเงาะสวยไหม” กัลย์กมลยิ้มอวดฟันสวยอย่างภูมิใจขณะหยิบจานเงาะที่เพิ่งคว้านเสร็จมาโชว์ให้ปรีดาดู นับเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการฝึกฝนจากอินเทอร์เน็ตในช่วงสั้น ๆ หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายลูก ในที่สุดก็ได้เงาะที่คว้านออกมามีลักษณะสวยงามเห็นเนื้อขาวใสอย่างสมบูรณ์
“สวยจ้ะ หนูดีนี่เรียนรู้เร็วเหมือนกันนะ” ปรีดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย มองดูผลงานการคว้านเงาะจากคนสวมหมวกผ้าที่ลูกชายซื้อให้อย่างภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ในสายตาของปรีดามันแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของหญิงสาวที่อยากทำสิ่งดี ๆ ให้เธอในเวลาแบบนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายก็กำลังต่อสู้กับโรคร้ายที่ยังไม่จบสิ้นเช่นกัน
“เดี๋ยวตอนเย็นหนูดีเอาไปทำให้แม่กินบ้างดีกว่า ส่วนจานนี้ของป้าดาค่ะ” หญิงสาวค่อย ๆ วางจานเงาะที่คว้านอย่างประณีตลงบนโต๊ะที่คร่อมเตียงเอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็เดินไปล้างมืออย่างเงียบ ๆ
กัลย์กมลกลับออกมาอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นปรีดาก้มตัวลงข้างเตียงเหมือนจะพยายามหาอะไรบางอย่างใต้เตียง เธอรีบปรี่เข้าไปใกล้ ปากก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ป้าดาหาอะไรอยู่เหรอคะ” เธอยื่นมือออกมาเตรียมช่วยประคองร่างผ่ายผอมเอาไว้ เพราะกลัวว่าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคงไม่เป็นเรื่องดีแน่
“ป้าหาหนังสือลูก น่าจะตกอยู่แถวใต้เตียงนี่แหละ”
“เดี๋ยวหนูดีช่วยหาให้ค่ะ”
กัลย์กมลย่อตัวลงแล้วมองไปที่ใต้เตียง ก่อนจะพบกับหนังสือนิยายเล่มเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง จึงหยิบมันขึ้นมาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่เล่มนี้ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ เล่มนี้แหละ” ปรีดายิ้มตอบ
ส่วนคนที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นก็ค่อย ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง แล้วหันหน้าปกหนังสือขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามันคือนิยายรักทั่วไป เธอจึงค่อนข้างแปลกใจสักหน่อย เพราะนึกว่าปรีดาจะอยากสงบใจด้วยหนังสือธรรมะเหมือนกับที่ป้าสำราญเคยบอก
“นิยายรักเหรอคะ ท่าทางน่าสนุกดีนะคะ”
“จ้ะ ป้าชอบอ่านนิยายใสใส อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ แล้วยิ้มได้ตอนจบ จะให้อ่านหนังสือธรรมะก็ไม่ไหว มันง่วง” ปรีดาตอบพลางหัวเราะ แม้จะเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แต่เธอก็รู้สึกสงบและเพลินใจกับนิยายรักมากกว่าการอ่านหนังสือธรรมะ
พอได้ฟังคำตอบกัลย์กมลก็ยิ้มแฉ่งออกมา อย่างน้อยก็ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ธรรมะไม่อาจทำให้จิตใจสงบได้
“งั้นหนูดีอ่านให้ฟังนะคะ”
กัลย์กมลเปิดหน้าหนังสือแล้วเริ่มอ่านนิยายให้ปรีดาฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เสียงของเธอไหลไปตามตัวอักษร คำต่อคำไปเรื่อยตามที่บทประพันธ์จะชักนำไป ปรีดาได้แต่นอนฟังอย่างสงบ ใบหน้าที่เคยเหนื่อยล้ากลับดูผ่อนคลายลง แล้วคนป่วยก็ค่อย ๆ หลับตาฟังเสียงกังวานของหญิงสาวอ่านไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้า ๆ และเรียบง่าย จนสักพักปรีดาก็พูดออกมา
“หนูดี…”
“ค่ะป้าดา หนูดีเสียงเบาไปรึเปล่าคะ” เธอถามอย่างสงสัย ใบหน้าเกลี้ยงเกลามองดูคนป่วยด้วยความอยากรู้ แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ
“เปล่าจ้ะ ป้าอยากคุยกับหนูดี”
เธอวางหนังสือลงบนเตียงแล้วขยับเข้าไปใกล้ปรีดาอีกนิด จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือสั่นเทาที่ลูบศีรษะเธอผ่านหมวกผ้า สายตาอ่อนโยนที่มองเข้ามาในตาเธออย่างคนที่เอ็นดู ราวกับเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่กัลย์กมลกำลังเผชิญเป็นอย่างดี
“หนูดีกลัวไหม…เรื่องมะเร็งน่ะ”
ใบหน้าที่ไร้ซึ่งสิ่งใดแต่งแต้มพยักหน้าเบา ๆ หญิงสาวยอมรับความกลัวอย่างสุดหัวใจ ทว่าก็ไม่อยากบอกใครให้ต้องเป็นทุกข์กับเธอไปด้วย เว้นแต่คนที่เคยอยู่ในจุดเดียวกันมาแล้ว
“กลัวค่ะ ไม่มีวันไหนที่ไม่รู้สึกแบบนั้นเลย”
“ป้าน่ะเข้าใจหนูนะ”
“งั้น…หนูดีถามอะไรป้าดาได้ไหมคะ” กัลย์กมลจ้องมองปรีดา ใจเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ
“ว่ามาสิ…”
“ป้าดาทำยังไงถึงไม่กลัวเหรอคะ”
“ใครบอกว่าป้าไม่กลัวล่ะ”
ปรีดาหัวเราะเบา ๆ ใครบ้างที่จะไม่กลัวความตาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ เมื่อมองไปยังใบหน้าของกัลย์กมล เธอสังเกตเห็นแววตาของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความอยากรู้และตั้งคำถามภายในใจ ทำให้ปรีดาตัดสินใจพูดต่อ
“ป้าน่ะผ่านความกลัวมาเยอะมาก เยอะจนไม่คิดว่าตัวเองจะรับไหว แต่ท้ายสุดแล้วป้าก็ลองมาคิดดูนะว่าที่ป้ากลัวน่ะมันเพราะอะไรกันแน่ เอาจริงแล้วในความกลัวมันมีเรื่องมากมายที่ปนอยู่ในนั้นนะ พอลองแยกมันออกมา เอาสิ่งที่ป้าห่วง สิ่งที่ป้าอยากทำ แล้วก็เรื่องที่ป้ากลัวจริง ๆ เขียนลงกระดาษ ป้าถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วไอ้ความตายน่ะมันไม่ได้มีอะไรเลย แต่ที่ป้ากลัวจริง ๆ คือความเจ็บปวด ความเป็นห่วงคนที่เรารัก ห่วงคนที่รักเรา แล้วก็อยากทำในเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ นั่นแหละเราถึงได้กลัวว่าความตายจะทำให้ทุกอย่างหายไป พอคิดได้ป้าก็ใช้โอกาสและเวลาที่เหลือทำให้ตัวเองสบายใจไงล่ะ” เธอค่อย ๆ อธิบายอย่างละเอียด ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หวังว่าคำพูดเหล่านี้จะเป็นแสงสว่างที่ช่วยนำทางกัลย์กมลในวันที่เธอต้องเผชิญกับความกลัวและความไม่แน่นอนของชีวิต
กัลย์กมลพยายามคิดตาม แต่ยังไม่เข้าใจเต็มที่
“หนูดีก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีค่ะ”
“สักวันหนึ่ง ถ้าหนูดีตอบคำถามตัวเองได้ว่าที่จริงแล้วหนูดีกลัวอะไรกันแน่ บางทีหนูดีอาจพบคำตอบก็ได้นะลูก”
“หวังว่าสักวันหนูดีจะได้เจอคำตอบนะคะ” เธอยิ้มตอบ ถึงจะยังไม่อาจตัดใจจากความกลัวนั้นได้ แต่ก็สบายใจมากขึ้นเมื่อได้พูดมันออกมา
“จำไว้นะหนูดี คนเราทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวกันทั้งนั้นแหละ แต่เราจะทำยังไงที่จะอยู่กับความกลัวอย่างมีความสุขได้ อันนี้หนูดีต้องหาคำตอบเองจ้ะ”
“ค่ะป้าดา” หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ปรีดาลูบหัวกัลย์กมลอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือของเธอสัมผัสผ้าเนื้อนิ่มที่คลุมศีรษะของหญิงสาวไว้ด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็ถึงเวลาที่คนป่วยจะต้องพักผ่อน ปรีดาค่อย ๆ หลับตาลง ปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าจากการเจ็บป่วย ปล่อยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายตัวเองได้อย่างสบายใจ ขณะที่กัลย์กมลนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลด้วยความห่วงใย
หลายวันมานี้ กัลย์กมลเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของข้างบ้านด้วยความรู้สึกใจหาย บ้านของปรีดาและจิตบุณย์ที่เคยเงียบสงบ กลับมีคนเข้าออกตลอดเวลา อาจเป็นเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าปรีดาเหลือเวลาอีกไม่นาน คนที่เคยสนิทสนม คนในครอบครัว รวมถึงเพื่อนเก่า ๆ ต่างเดินทางมาเยี่ยมเพื่อบอกลาและแสดงความห่วงใยเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนปรีดาเองก็มีอาการแย่ลงตามลำดับ ทุกวันนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเหตุเพราะการหายใจด้วยตัวเองเริ่มลำบากขึ้น กัลย์กมลเคยถามปรีดาเกี่ยวกับบันทึกสิ่งที่อยากทำก่อนออกเดินทางที่อีกฝ่ายเขียนไว้ และได้รับคำตอบว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนจะจากไป สิ่งนั้นทำให้เธอสับสนว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี แต่ก็อดชื่นชมในความเข้มแข็งของเพื่อนบ้านที่แสนดีคนนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ อดีตสามีของปรีดาหรือพ่อของจิตบุณย์ ซึ่งกัลย์กมลไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ก็ปรากฏตัวขึ้นนั่นคงเป็นฝีมือของจิตบุณย์ที่ตามมา เขาเดินทางมาเพื่อขออโหสิกรรมและกล่าวคำอำลาอดีตภรรยา นี่เป็นสิ่งที่กัลย์กมลไม่เคยคาดคิดมาก่อน และเธอรู้สึกว่ามันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าช่วงเวลาของปรีดาเหลือไม่มากแล้วจริง ๆ
ในขณะที่กัลย์กมลนั่งอยู่ใต้ต้นล่ำซำ ใจของเธอกลับลอยไปที่บ้านของปรีดาที่ยังมีคนเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ สายตามองเลยต้นทานตะวันแคระที่เธอคอยดูแล ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวลผสมความเศร้าเล็ก ๆ
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ คุณลูกสาว”
“มาดูแลต้นทานตะวันแคระค่ะ น่าจะใกล้ออกดอกแล้ว”
“แน่ะ เห็นนะว่าสายตาเราข้ามรั้วไปแล้วน่ะ” ดลฤดีกระเซ้าลูกสาว ด้วยเห็นว่าตาของเธอนั้นเหม่อลอยไปทางบ้านข้าง ๆ
พอถูกจับได้กัลย์กมลก็ยิ้มบาง ๆ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความกังวลในใจได้
“ก็…อดเป็นห่วงป้าดาไม่ได้น่ะค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ป้าดาแกได้ทำในสิ่งที่อยากทำแล้ว เราอย่าไปเป็นกังวลให้แกมีห่วงเลย” น้ำเสียงของดลฤดีเอ่ยอย่างคนที่เข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกไม่ต่างจากลูกสาวเลยก็ตาม
“วันนี้หนูดีเห็นพ่อของพี่บุ๋นมาด้วยค่ะ” เธอเปรยออกมาพร้อมกับน้ำเสียงของความแปลกใจ ซึ่งก็เห็นว่าสีหน้าของแม่ก็แสดงความประหลาดใจออกมาด้วย
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นพ่อเขา”
“ก็หน้าตาเขาเหมือนพี่บุ๋นอย่างกับแกะ หนูดีก็เลยคิดว่าต้องใช่แน่”
“หายากนะนั่น” ดลฤดีเลิกคิ้ว พลางกอดอกมองคนที่เข้าออกบ้านข้าง ๆ แล้วถอนหายใจออกมา ถึงตอนนี้ก็ยังอดที่จะใจหายต่อสิ่งที่ต้องเกิดไม่ได้
“หนูดีไม่เคยได้ยินเรื่องพ่อของพี่บุ๋นมาก่อนเลย”
“จะว่าไงดีล่ะ ป้าดาเล่าว่าเขาเลิกกับพ่อของบุ๋นตั้งแต่บุ๋นอยู่ในท้องแล้ว แต่เขาก็อาจยังติดต่อกันก็ได้มั้ง นี่ก็คงมาขออโหสิกรรมกันนั่นแหละ”
กัลย์กมลปล่อยให้ความคิดของเธอล่องลอยไป ขณะที่ทอดสายตาไปยังบ้านของปรีดา ที่ในช่วงเวลานี้มีคนเข้าออกมากมาย และทุกครั้งที่มองไปทางบ้านหลังนั้น เธอก็รู้ดีว่าทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นที่บ้านปรีดาล้วนเป็นสัญญาณบอกถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
สิ่งที่เธอไม่อยากยอมรับ…
แสงแดดที่ค่อย ๆ เลือนรางยิ่งเพิ่มความรู้สึกเงียบงันในใจ หญิงสาวมองไปยังต้นทานตะวันแคระที่เธอปลูกไว้ มันเริ่มออกมาหลายดอกแข่งกัน แต่ความงดงามที่เคยรอคอยกลับถูกบดบังด้วยความเศร้าจากการเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปรีดา
กระทั่งได้ยินเสียงของแม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่เราเถอะ มัวแต่ไปสนใจเรื่องคนอื่น ยังทำคีโมอยู่แท้ ๆ ออกมานั่งตากลมตากแดดได้ยังไง” คนพูดจ้องลูกสาวด้วยสายตาเป็นห่วง
“แม่ก็…” หญิงสาวพยายามจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามไว้
“ไม่ต้องมาเถียงเลย ไป ๆ เข้าบ้านได้แล้ว”
กัลย์กมลหันกลับไปมองบ้านของปรีดาอีกครั้ง สายตาของเธอทอดมองไปที่บ้านหลังนั้นอย่างนิ่งสงบ แต่ภายในจิตใจกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย รู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ บ้านที่เคยเงียบสงบและมีเสียงหัวเราะของปรีดากลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงา และการเตรียมตัวเพื่อการจากลา
ในขณะที่เธอหันมามองครั้งสุดท้าย เธอเห็นจิตบุณย์เดินออกมาส่งแขกของบ้าน เขาหันหน้ามาเจอเธอเข้าพอดี กัลย์กมลส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้เป็นกำลังใจ ขณะเดียวกันเขาก็ยิ้มรับด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง แต่หัวใจของกัลย์กมลกลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความกลัวการสูญเสีย และความเศร้าที่เกาะกินใจ ราวกับเธอกำลังเดินห่างออกจากสิ่งที่เธอไม่อยากเผชิญ แต่รู้ดีว่าสักวันหนึ่งมันจะมาถึง
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปอย่างปกติ กัลย์กมลยังคงไปดูแลปรีดาบ้างเป็นบางครั้ง แต่สิ่งที่เธอสังเกตได้ชัดคืออาการของปรีดาทรุดลงเรื่อย ๆ ร่างกายที่ผอมแห้งอยู่แล้วกำลังค่อย ๆ สูญเสียเรี่ยวแรงไป และตั้งแต่เมื่อวาน ปรีดาก็เริ่มพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือไม่ก็พูดในเรื่องที่เธอไม่เข้าใจจนทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหาย
จนกระทั่งตกบ่ายแก่ ๆ ขณะที่เธอกลับมาที่บ้านเพื่อเตรียมอาหารกับแม่ จิตบุณย์ก็เข้ามาถึงตัวด้วยหน้าตาแตกตื่น
“หนูดี ช่วยพี่หน่อย”
“มีอะไรเหรอคะพี่บุ๋น” กัลย์กมลถามด้วยความกังวล
“อยู่เป็นเพื่อนแม่พี่หน่อยนะ พี่จะไปนิมนต์พระ” จิตบุณย์ตอบอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาบ่งบอกถึงความเร่งรีบ จนรู้สึกได้ถึงความรวบรัดราวกับเขากำลังแข่งกับเวลาที่เริ่มนับถอยหลัง
“นิมนต์พระเหรอคะ” เธอถามด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ คำว่า ‘นิมนต์พระ’ ทำให้จิตใจของกัลย์กมลสั่นไหว เธอรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร แต่ก็พยายามสะกดความรู้สึกนั้นไว้
“ใช่…แม่อยากทำบุญ”
จะมีก็แต่ดลฤดีซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ และได้ยินการสนทนาทั้งหมดจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เธอก้าวเข้ามาหาจิตบุณย์พร้อมกับเอ่ยคำที่จะไม่ทำให้ชายหนุ่มต้องร้อนรนเกินไป
“ไปเถอะบุ๋น เดี๋ยวน้าไปดูแม่เราเอง ส่วนเรื่องเครื่องสังฆทานน้าจะจัดการให้เรียบร้อย แค่นิมนต์พระมาสักรูปก็พอ”
“ครับ” จิตบุณย์พยักหน้าแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำตามที่แม่ต้องการ
ดลฤดีไม่รอช้ารีบโทรหาร้านสังฆภัณฑ์เพื่อให้มาส่งชุดสังฆทานที่บ้านอย่างเร่งด่วน ส่วนกัลย์กมลก็รีบเข้าไปหาปรีดาในบ้าน พอเข้าไปถึงหญิงสาวเห็นร่างผ่ายผอมอยู่ในชุดสีขาวสะอาดตา ชุดที่เหมือนเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งสุดท้าย สภาพร่างกายของปรีดาดูอ่อนแรงและซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งกัลย์กมลรู้สึกได้ว่าปรีดากำลังเตรียมใจสำหรับการจากลาแล้ว
ส่วนดลฤดีเมื่อเสร็จธุระกับร้านสังฆภัณฑ์ก็รีบตามลูกสาวเข้ามา พอเห็นว่ากัลย์กมลเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอก็จับมือลูกสาวแล้วพาไปนั่งข้าง ๆ ปรีดาที่ยังคงนอนหายใจอย่างช้า ๆ
“พี่ดา เดี๋ยวเรามาทำบุญกันนะพี่”
ปรีดาพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ ด้วยอ่อนแรงเกินกว่าจะพูดออกมา ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางยังคงเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ทั้งที่รู้ตัวดีว่าร่างกายกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด ทว่ากลับไม่มีความหวาดกลัว มีแต่การยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะมาถึง ด้วยเธอได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำ รวมถึงได้จัดการทุกเรื่องที่ค้างคาใจเท่าที่จะทำได้แล้ว
ไม่นานนัก จิตบุณย์ก็กลับมาพร้อมกับพระสงฆ์ กัลย์กมลและดลฤดีช่วยกันจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการทำบุญ ปรีดาได้ทำบุญสมดังใจที่เธอปรารถนา เป็นการทำสังฆทานที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย นี่เป็นสิ่งที่ปรีดาต้องการมาโดยตลอด และทุกคนในบ้านที่ร่วมใจกันในช่วงเวลานี้ก็เพื่อส่งให้ปรีดาเดินทางต่อไปอย่างสงบ
คืนนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ราวกับทุกสิ่งรอบตัวพร้อมใจกันหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ยังคงส่องแสงสว่างน้อยลงกว่าทุกวัน จิตบุณย์ขอให้ดลฤดีและกัลย์กมลอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต ชายหนุ่มนั่งข้างเตียงแม่ จับมือของปรีดาไว้แน่นราวกับไม่อยากให้แม่หลุดลอยไป เขาพูดกับแม่ไม่หยุด น้ำเสียงสั่นไหวเต็มไปด้วยความรักผสานกับความเศร้าที่พยายามจะไม่แสดงออกมา
“แม่…บุ๋นอยู่กับแม่ตรงนี้แล้วนะ”
เขาพูดพลางมองดูแม่ที่เริ่มอ่อนล้า แต่ยังคงพยักหน้าช้า ๆ เพื่อตอบรับ สายตาของปรีดายังคงจับจ้องไปที่จิตบุณย์ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เห็นลูกชายคนนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ดลฤดีเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาแตะมืออีกข้างของปรีดา
“พี่ดา ไม่เป็นไรแล้วนะพี่ ฉันกับทุกคนอยู่ตรงนี้นะ” เธอพูดปลอบประโลมคนที่นับถือดั่งพี่สาวซึ่งกำลังเดินทางสู่ปลายทางของชีวิต
ปรีดาเริ่มหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาไหลรินออกมาเงียบ ๆ ขณะที่ยังคงมองไปที่ลูกชายที่เธอรัก
“บุ๋น เล่าให้แม่เขาฟังหน่อยสิ ว่าต่อไปอยากทำอะไรบ้าง”
จิตบุณย์ได้สติจากคำพูดของเพื่อนบ้าน เขาระบายลมหายใจออกมาเพื่อปัดเป่าความเศร้า ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาเคยคิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความฝันในอนาคต รวมถึงการวางแผนชีวิตครอบครัวที่เขาคาดหวัง ปรีดาฟังด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ถึงแม้ร่างกายจะไม่สามารถตอบสนองได้มากนัก แต่หัวใจของเธอยังคงรับรู้ทุกคำที่ลูกชายพูด
ส่วนกัลย์กมลที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงก็จับข้อเท้าที่เย็นเฉียบของปรีดาไว้แน่น เธอพยายามที่จะกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำได้ ความรู้สึกถึงความเศร้าและความสูญเสียทำให้เธอทนไม่ไหว เธอสะอื้นออกมาเบา ๆ แล้วตัดสินใจเดินออกจากบ้านเพื่อหาที่สงบจิตใจ
เมื่อออกมาข้างนอก กัลย์กมลยังคงได้ยินเสียงจิตบุณย์เล่าเรื่องของตัวเองให้แม่ฟังเป็นระยะ เสียงของเขาเป็นเหมือนบทสนทนาสุดท้ายระหว่างแม่และลูก แม้จะไม่เห็นภาพตรงหน้า เธอก็รับรู้ได้ถึงความรักที่ท่วมท้นของทั้งสอง กัลย์กมลสะอื้นเบา ๆ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้เสียงดัง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
“หนูดี…”
นั่นคือเสียงแม่ของเธอ ที่กำลังเดินออกมาตามลูกสาว พร้อมกับจับบ่าของลูกเบา ๆ
“ขอโทษค่ะแม่” หญิงสาวพูดพลางเช็ดน้ำตา และระงับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของตัวเอง
“ไม่เป็นไรลูก ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านไปก่อนเถอะ” ดลฤดีปลอบด้วยความเข้าใจถึงหัวอกของลูกได้เป็นอย่างดี
“ไม่ค่ะ หนูดีอยากอยู่ส่งป้าดา” กัลย์กมลตอบกลับ แม้ว่าในใจจะยังคงรู้สึกถึงก้อนที่ขึ้นมาอัดแน่น แต่เธอก็ต้องการอยู่เคียงข้างปรีดาจนถึงวินาทีสุดท้าย
“แน่ใจนะว่าจะไม่เป็นไร”
“ค่ะ…” น้ำเสียงที่สั่นน้อยลงตอบกลับด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า แล้วพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองให้มั่นคง ก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
เมื่อเข้ามาภายในบ้าน เธอก็เห็นจิตบุณย์กอดแม่ของเขาแน่น มีน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาที่อ่อนล้าแต่เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้แม่เห็น กัลย์กมลเดินกลับไปนั่งตรงปลายเตียงอีกครั้ง ค่อย ๆ บีบนวดเท้าที่เย็นเฉียบของปรีดาเหมือนจะช่วยส่งกำลังใจให้เธอ แม้ในใจรู้ดีว่าช่วงเวลาสุดท้ายของปรีดาใกล้เข้ามาแล้ว
ดลฤดีมองดูอาการของปรีดาที่เริ่มไม่ไหว จึงหันไปบอกจิตบุณย์เบา ๆ
“ถ้าแม่เขาง่วงก็ให้เขาหลับเถอะนะบุ๋น”
จิตบุณย์มองหน้าของแม่ด้วยแววตาที่พยายามจะข่มความเศร้า แล้วก็พยายามยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขารู้ว่าแม่กำลังจะจากไป แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปอย่างติดกังวล ด้วยหน้าที่ของลูกชายที่รับรู้ความตั้งใจมาแต่แรก เขาจึงฝืนยิ้มออกมาจนได้
“แม่…ถ้าง่วงแม่ก็หลับนะ ไม่มีอะไรที่แม่ต้องห่วงอีกแล้ว” จิตบุณย์พูดพร้อมกับลูบศีรษะของแม่ด้วยความรัก ก่อนจะก้มลงหอมแก้มแม่อย่างอ่อนโยน มันเป็นสัมผัสสุดท้ายที่เขาสามารถมอบให้เธอได้ นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้แสดงความรักต่อแม่ในลักษณะนี้ ซึ่งครั้งล่าสุดก็น่าจะตั้งแต่เขายังไม่พ้นวัยเด็ก
ในคืนนั้นเอง ปรีดาก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางคนที่เธอรัก กัลย์กมลมองดูการจากไปของปรีดาด้วยความสงบนิ่ง ในขณะนั้นเธอรู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติของชีวิต ว่าท้ายสุดแล้วมนุษย์เราก็มีเพียงแค่นี้ ชีวิตคนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องจบลง จิตของปรีดาได้เดินทางไปไกลแสนไกลแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่างที่ไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก สมดังความปรารถนาที่ตั้งใจจะจากไปอย่างสงบ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 16 : ขอแค่นี้...
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 15 : ด้วยเวลาที่เหลือ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 14 : ยามุ่งเป้า
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 13 : ภาวะวิตกกังวล
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 12 : อาการไม่พึงประสงค์
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 11 : รอยแผลเป็น
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 10 : ไม่ยากอย่างที่คิด
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 9 : จะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 8 : บราวนี่ของเราไม่เหมือนกัน
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 7 : ต้นทานตะวันแคระ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 6 : ของขวัญแทนสิ่งที่หายไป
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 5 : ของรักสุดใจ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 4 : ใคร ๆ ก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 3 : เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 2 : คาเฟ่ในโรงพยาบาล
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 1 : อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข : บทนำ