แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 17 : ต้องเดินต่อไป

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 17 : ต้องเดินต่อไป

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

แม้ระยะหลังจะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของกัลย์กมล แต่ความกังวลก็ยังคงไม่หายไปเสียทีเดียว ความกลัวต่อโรคร้ายที่เธอต้องเผชิญยังคงเป็นเงาที่ตามหลอกหลอน แต่การที่มีคนรอบข้างคอยให้กำลังใจเสมอ ทำให้หัวใจของเธอเริ่มเป็นสุขขึ้นบ้างและมีแรงสู้ต่อไป

ระหว่างนั้นเธอก็ยังคงระลึกถึงการจากไปของปรีดาอยู่เสมอ พอไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว ความตายของคนใกล้ตัวได้สอนกัลย์กมลให้รู้ถึงสัจธรรมของชีวิตอย่างชัดเจน ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งมีจุดจบเป็นธรรมดา และเมื่อถึงเวลาที่ใครบางคนจากไป ท้ายที่สุดคนที่ต้องเดินต่อไปก็คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเสียใจนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การยืนหยัดและก้าวไปข้างหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

ทุกวันหญิงสาวจะกลับมาดูแลต้นทานตะวันแคระที่จิตบุณย์เคยให้ เธอเฝ้ามองมันด้วยความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่รอให้มันออกดอก เพราะรู้สึกเหมือนได้รับสัญญาณจากชีวิตว่าความงดงามยังคงมีอยู่ เมื่อดอกเก่าร่วงโรยไม่นานก็มีดอกใหม่ขึ้นมาแทนที่เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้

ขณะที่เธอกำลังนั่งดูแลต้นทานตะวันแคระ จิตบุณย์ก็เดินเข้ามาหา

“หนูดี ทำอะไรอยู่”

“อ้าวพี่บุ๋น นึกว่าไปทำงานแล้วเสียอีก”

หญิงสาวตอบกลับ เธอคิดว่าจิตบุณย์คงกลับไปทำงานบริษัทเต็มตัวแล้ว เพราะไม่มีแม่ให้ต้องดูแลอีกต่อไป ส่วนชายหนุ่มก็แอบอมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะตอบกลับ

“สงสัยบริษัทน่าจะเห็นว่าพี่ทำงานที่บ้านได้งานเยอะกว่าน่ะ แถมอยากเอางานตอนวันหยุดก็ได้ด้วย เขาเลยให้พี่กลับมาทำงานที่บ้านแล้วเข้าบริษัทบ้างตามเดิม”

“ดีจังเลยนะคะ ว่าแต่…” กัลย์กมลหยุดชั่วครู่ก่อนจะมองดูหมวกที่จิตบุณย์สวม “วันนี้หมวกเราสีเดียวกันรึเปล่าคะเนี่ย”

“รู้ด้วยเหรอ…” ชายหนุ่มยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่กว้างมากแต่ก็พอทำให้ใบหน้าของเขาดูสดใสขึ้นเป็นกอง

“แบบนี้หนูดีก็มีเพื่อนแล้วสินะคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ขณะที่มองหมวกบีนนี่สีเดียวกันซึ่งอยู่บนศีรษะของเขา

ทั้งสองมองหน้ากันสักพัก แล้วก็หัวเราะให้กันอย่างเบิกบาน กลายเป็นความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน กระทั่งจิตบุณย์เข้าเรื่องที่ตั้งใจจะมาคุยกับเธอ

“ว่าแต่วันนี้หนูดีว่างไหม”

“ว้าง…ว่างค่ะ…” กัลย์กมลลากเสียงด้วยความขี้เล่น เพราะเธอเองก็ว่างเกือบทุกวัน จนบางวันเริ่มเหนื่อยหน่ายกับความว่างของตัวเองก็มี ยกเว้นวันที่ต้องไปหาหมอและวันที่ต้องทำเคมีบำบัดเท่านั้น

“ดีเลย ไปซื้ออุปกรณ์มาทำขนมกัน” จิตบุณย์เสนอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“จะดีเหรอคะ หนูดียังไม่หายเลย เดี๋ยวจะไม่อร่อยอย่างคราวที่แล้วอีก” คนถูกชวนตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่เธอทำขนมออกมาแล้วไม่ค่อยถูกปากนัก

“พี่ว่าไม่นะ…” เขาตอบพลางยิ้มออกมา “ตอนงานแม่ พี่เห็นหนูดีกินขนมจัดเบรกได้ตั้งหลายชิ้น”

“อุ้ย…สังเกตด้วยเหรอคะ เขินจัง” เธอหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ด้วยไม่คิดว่าจิตบุณย์จะสังเกตเธอขนาดนั้น

จิตบุณย์มองกัลย์กมลด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในช่วงเวลานี้เขารู้สึกถึงความหมายของการมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง และการมองหญิงสาวด้วยสายตาที่สดใสขึ้นก็เป็นการแสดงออกถึงความสุขเล็ก ๆ ที่เขาได้พบ

“ไปด้วยกันนะ ลองดูอีกที”

“ได้ค่ะ…”

หญิงสาวตอบตกลงด้วยความเต็มใจและรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้า แววตาประกายความยินดีที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับจิตบุณย์อีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าตัวเองว่างเท่านั้น แต่ในใจที่สั่นไหวกัลย์กมลรู้ดีว่าเป็นเพราะเธออยากอยู่ข้างเขาในทุกช่วงเวลาต่างหาก

 

“ไอ้ทำขนมก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า…”

สายตาของดลฤดีเหลือบไปมองลูกสาว พร้อมกับความหวั่นใจที่ก่อตัวขึ้นมา ความกดดันมีมากเกินไปจนเริ่มหวาดหวั่น ขณะเดียวกันกัลย์กมลก็จ้องหน้าเธออย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับการชิมขนมครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต

“ทำไมต้องกดดันแม่ขนาดนี้ด้วยเนี่ย”

คนพูดมองบราวนี่ที่วางเด่นอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง มันเหมือนกับการชิมขนมนี้จะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของใครบางคน และยิ่งไม่ไว้ใจเมื่อถูกลูกสาวคะยั้นคะยอมากเข้า

“ก็มีแต่แม่นี่แหละ ที่ยังไม่ได้ชิม” กัลย์กมลเคลื่อนจานบราวนี่ไปใกล้แม่มากขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายพยายามจะถอยห่าง

“แล้วบุ๋นล่ะว่าไง” ดลฤดีหันไปถามจิตบุณย์ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ อย่างน้อยความเห็นของเขาก็อาจทำให้เบาใจขึ้นมาได้บ้างว่าขนมชิ้นนี้ไม่มีอันตราย

“หนูดีบอกว่าความเห็นของผมเชื่อถือไม่ได้ครับ” จิตบุณย์บอกปัดไปอย่างขำ ๆ พลางยิ้มให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

ซึ่งคำตอบนั้นยิ่งทำให้ดลฤดีรู้สึกเริ่มไม่ไว้ใจมากไปอีก แม้ขนมบราวนี่ตรงหน้าจะดูหน้าตาดีและมีกลิ่นหอมชวนชิม แต่สายตาของกัลย์กมลที่มองมาอย่างไม่วางตานั้นกลับทำให้เธอรู้สึกระแวง

“แน่ใจนะว่าไม่ได้มีอะไรแปลก ๆ อย่างพวกใส่เกลือแทนน้ำตาลน่ะ”

เธอถามด้วยความกังวล กัลย์กมลรีบส่ายหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจ

“ไม่มีแน่นอนค่ะ แม่รีบชิมเร็ว ๆ”

“อะ ๆ ก็ได้”

ดลฤดีถอนหายใจเบา ๆ แล้วตักขนมบราวนี่ชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาชิม ก่อนจะเริ่มเคี้ยวอย่างระวัง ทีแรกเธอคิดว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาด แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ารสชาตินั้นอร่อยมากกว่าที่คิด

“ก็อร่อยดีนี่…อร่อยกว่าคราวที่แล้วอีก”

“ใช่ไหมล่ะคะ หนูดีก็ว่ามันอร่อย” หญิงสาวพูดออกมา ถึงจะโล่งใจแต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ในใบหน้านั้น ซึ่งพอมองดูหน้าแม่แล้วก็เห็นว่ายังมีความสงสัยอยู่อีกมาก

“แล้วทำไมต้องทำเหมือนไม่มั่นใจด้วย”

“ก็เพราะมันอร่อยเนี่ยแหละ หนูดีเลยไม่แน่ใจว่าลิ้นตัวเองเพี้ยนไปรึเปล่า” กัลย์กมลยิ้มแห้งพลางตอบไปอย่างเขิน ๆ

พอได้ยินดังนั้น ดลฤดีก็ส่ายหัวเบา ๆ ใจหนึ่งก็อยากหยิกลูกสาวตัวดีสักที

“เด็กคนนี้หนิ อร่อยก็คืออร่อยจ้ะ”

“งั้นหนูดีทำขายเลยนะ”

“เอางั้นเลย คำนวณต้นทุนแล้วรึยังจ๊ะคุณลูกสาว” ดลฤดีทำท่าประหลาดใจกับความมุ่งมั่นของลูกตัวเอง และในฐานะคนที่ออกทุนเธอเองก็ต้องถามเอาแน่ใจ เพราะเธอจะไม่ลงทุนกับการทำอะไรเพียงประเดี๋ยวประด๋าวเด็ดขาด

“ยังเลยค่ะ…” กัลย์กมลหันมาฉีกยิ้มอวดฟันขาวเป็นแถว และแอบหงอยลงเมื่อเห็นสายตาจริงจังของแม่ตอบกลับมา

“งั้นก็ไปคำนวณต้นทุน แล้วก็ทำแผนการตลาดมาให้ดูก่อน แม่ถึงจะอนุมัติ”

“โอเคค่า”

ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังคงดังคละเคล้าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิด และเย็นนั้นจิตบุณย์ก็มาร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวกัลย์กมล มื้อนี้จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสามคนได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเป็นกันเองเหมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว

 

ว่าที่จริงแล้ว ช่วงนี้กัลย์กมลกลับรู้สึกว่าตนนั้นไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากทางใจเหมือนที่เคยเป็น การทำเคมีบำบัดที่เคยหวั่นใจในทุกครั้ง ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้ง่ายขึ้น อาจเพราะเธอเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ปรีดาบอกหลังจากพยายามตรึกตรองอยู่นาน พอเริ่มหาเหตุผลที่เธอกลัวแล้วทำความเข้าใจกับมัน ก็กลายเป็นว่าเธอเริ่มยอมรับกับมันได้มากขึ้น

สิ่งสำคัญคือการได้เผชิญหน้าต่อความกลัวตาย เมื่อได้เห็นการจากไปของคนใกล้ตัวก็พอทำให้เข้าใจว่าชีวิตของทุกคนต่างก็มีจุดจบเหมือนกัน ท้ายสุดแล้วชีวิตของคนอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป แม้จะเสียใจในทีแรก ทว่าไม่นานสิ่งนั้นก็เริ่มเบาบาง เหลือเพียงความคิดถึงต่อความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันเท่านั้น

มันจึงทำให้เธอตกตะกอนความคิดได้ว่า หากวันหนึ่งเป็นเธอต้องจากไปบ้าง ไม่ว่าจะมาเร็วหรือช้า เธอก็ควรสร้างความทรงจำดี ๆ เอาไว้ อย่างน้อยก็จะได้ไม่รู้สึกเสียดายช่วงชีวิตที่ผ่านมา

และแม้ความกลัวจะยังมีอยู่บ้าง แต่หญิงสาวก็รู้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียวที่กลัว มันเป็นความรู้สึกที่ทุกคนต้องเผชิญในทางใดทางหนึ่ง ตอนนี้กัลย์กมลจึงเริ่มนับถอยหลังครั้งที่เหลือของการทำเคมีบำบัดด้วยใจที่มั่นคงขึ้น และพอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้าใกล้ปลายทางของการรักษา เธอก็นึกอิ่มเอมอยู่ในใจกับความสำเร็จในการเอาชนะความท้อแท้สิ้นหวังที่เคยมีมาก่อนหน้า

แน่ทีเดียวว่าช่วงระยะหลังของการรักษา เธอมีจิตบุณย์คอยอาสามาเป็นเพื่อนทุกครั้ง ซึ่งเธอรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นว่าการมีเขาอยู่เคียงข้างก็ช่วยทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีบางสิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหวอยู่ในใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการหายหน้าไปของจงจิต รุ่นพี่ผู้ที่เคยให้กำลังใจเธอมาตลอด

ขณะที่กำลังคิดถึงคนที่อยู่ร่วมกันมาหลายเดือน เสียงจากหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาข้าง ๆ

“ขอโทษนะคะ ใช่คนไข้หมอปิติยาหรือเปล่าคะ”

เสียงนั้นมาจากหญิงสาวที่เหมือนจะมีอายุมากกว่ากัลย์กมลเล็กน้อย อาจอยู่ในช่วงสามสิบแต่ไม่เกินสี่สิบแน่ เธอค่อนข้างมีสีหน้ากังวล ดูจากท่าทางคงมีเรื่องให้คิดอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่ากัลย์กมลพอเดาออกว่าเรื่องอะไร

“ใช่ค่ะ” กัลย์กมลตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม คนไข้ของหมอปิติยาที่มานั่งรอตรงนี้ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และพอเห็นว่าเธอเป็นพวกเดียวกัน สีหน้าของคนถามก็ดูจะใจชื้นขึ้นมา

“ขอรอด้วยนะคะ พอดีว่ามาคีโมวันแรก”

คนไข้ใหม่กล่าวพร้อมกับหันไปหาชายอีกคนที่มาด้วยกัน ดูจากท่าทางแล้วทั้งคู่เหมือนมีความตื่นเต้นและกังวลใจในสิ่งที่ต้องเผชิญ

“ได้สิคะ”

กัลย์กมลยิ้มรับแล้วขยับที่ให้อีกฝ่ายได้เข้ามานั่งด้วยกัน พอนั่งลงได้คนที่เพิ่งเข้าสู่การรักษาก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ พลางพูดออกมาด้วยความกังวลอยู่ในใจ

“กลัวจังเลยค่ะ ไม่รู้ต้องเจออะไรบ้าง”

ได้ยินดังนั้น ผู้มาก่อนอย่างกัลย์กมลก็นึกย้อนกลับไปถึงวันที่เข้ามารับการรักษาครั้งแรก วันที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่ไม่เคยเจอ แต่เพราะกำลังใจจากรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่คอยบอกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ช่วยให้เธอก้าวผ่านวันแรกมาได้ เมื่อนึกถึงวันนั้นหญิงสาวจึงยิ้มออกมาให้กับตัวเอง พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่แฝงกำลังใจไปยังหญิงสาวข้าง ๆ ซึ่งกำลังเผชิญกับความกลัวในแบบเดียวกัน

“เรื่องปกติค่ะ หนูดีก็เป็น แต่ก็ถามพวกพี่ ๆ ที่เขามาทำกันก่อนเนี่ยแหละค่ะ”

“งั้นพี่คงต้องถามน้องนี่แหละ แพ้มากไหมคะ”

มองจากใบหน้าที่ต้องการข้อมูลแล้ว หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของจงจิตซึ่งบอกว่าเธอกำลังจะกลายเป็น ‘รุ่นพี่’ แล้วก็บังเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา กัลย์กมลยิ้มออกมาเล็ก ๆ อย่างขบขันที่จากเคยเป็นคนถามทุกอย่าง กลายเป็นคนที่คนอื่นเข้ามาถามบ้างแล้ว

“ไม่ค่อยแพ้เท่าไรหรอกค่ะ มีแค่กินไม่ค่อยได้ช่วงแรก แต่พอเริ่มกินได้ก็กินเยอะ ๆ แล้วก็ทำตามที่หมอสั่งค่ะ”

“น้องนี่เก่งจังเลยค่ะ พี่อยากรักษาแล้วยังดูอิ่มเอิบเหมือนน้องบ้าง” คนฟังที่เริ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างตอบกลับด้วยความชื่นชม

“หนูดีมีกำลังใจที่ดีค่ะ ส่วนพี่ก็ต้องสู้นะคะ”

“ค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรพี่ขอรบกวนถามน้องนะ”

“ได้เลยค่ะ”

กัลย์กมลตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ อาจเพราะตอนนี้เธอกำลังจะกลายเป็นกำลังใจให้คนอื่น ๆ ที่เพิ่งเริ่มเดินบนเส้นทางนี้เหมือนที่เคยเป็น และนั่นทำให้รู้สึกว่าการเดินทางที่ยากลำบากนี้มีความหมายมากยิ่งขึ้น

 

Don`t copy text!