บุปผาตีตรา บทที่ 6 : ทางเลือกและทางรอด

บุปผาตีตรา บทที่ 6 : ทางเลือกและทางรอด

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ดึกแล้วพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า พ่อกับแม่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ใต้ถุนบ้านไม่มีแรงจะไปทำอะไร แม้นวลจะคะยั้นคะยอให้ไปนอนก็ไม่ไป

เด็กสามคนซุบซิบกัน อุราลากนวลขึ้นบ้านไปนอน แล้วเธอจะนอนด้วยเป็นเพื่อน อุระกลับไปนอนที่บ้านเอาแรง ก่อนแยกจากกัน เขาปลอบใจนวลว่าชีวิตมันยังไม่หมดสิ้นหนทาง ร้องไห้ได้แต่ต้องรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินต่อไป คนเราไม่ล้มตลอดไปหรอก สักวันย่อมต้องมีวันของเรา วันที่เรารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมา

ฟ้าแจ้งแล้วเด็กวัยรุ่นสามคนตื่นกันแต่เช้ารุ่ง จูงมือกันไปบ้านของน้อยเพื่อถามที่อยู่ว่าน้อยไปทำงานในเมืองตรงไหน จดที่อยู่มาแล้วกลับมา อุราเป็นคนเดินไปตลาดเช้าหาวัตถุดิบมาทำกับข้าว มีแกงเห็ดใส่ปลาร้า กับไข่เจียว นวลนึ่งข้าว อุระไปตักน้ำมาใส่ตุ่มให้เต็ม ทำเสร็จก็ยกสำรับไปวางที่นั่งกินข้าวเป็นประจำแล้วไปเรียกพ่อกับแม่ซึ่งนอนซมอยู่ให้ลุกมากินข้าว

พ่อกับแม่มานั่งจกข้าวเหนียวจิ้มแกงกินเหมือนเป็นหน้าที่ วันนี้เงียบเชียบไม่มีเสียงคุยกันยามกินข้าวเหมือนทุกครั้ง อุรากับอุระมาอยู่เป็นเพื่อนตลอด กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชาม เก็บครัวทำความสะอาดก็มานั่งที่ชานเรือน

แดดสายส่องมาร้อนแรง ท้องฟ้าสดใสแต่ในบ้านมีแต่คนอารมณ์หม่นหมองเงียบเหงา นวลเข้าไปนั่งใกล้ๆ กอดแม่จากด้านข้าง

“แม่ ข้อยกับอุรา สิเข้าเมืองไปหางานทำ”

แม่เห็นไปมองแล้วพยักหน้า ส่วนพ่อหันมามองเด็กๆ ตาแดงก่ำ ไม่มีคำพูดใด

“ข้อยก็สิไปนำ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้อยสิพาน้องไปเอง”

อุระพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แสดงความเข้มแข็งให้ผู้ใหญ่เห็น แต่พ่อเอิบกับแม่สาคูเอื่อยเฉื่อยไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้างเลย

นวลสบตาเพื่อนรักและพี่ชายของเธอ กอดและหอมแก้มแม่ กระซิบกระซาบบอกลา แล้วเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าใบเล็กที่เตรียมไว้ เด็กๆ กราบลาท่านทั้งสองแล้วทยอยเดินลงบ้านไป ผู้ใหญ่ทั้งสองคนน้ำตาคลอเบ้าไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

นั่งรอรถที่ศาลาหน้าหมู่บ้านไม่ทันได้เบื่อเพราะทั้งสามมีเรื่องตื่นเต้นคุยกันไปเรื่อย พอรถมาถึงทุกคนรีบขึ้นไปคนไม่เยอะ เลยได้นั่งติดๆ กัน ถามคนบนรถเขาบอกว่าใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงปลายทาง หนุ่มสาวชวนคนบนรถพูดคุยไปตลอดการเดินทาง

รถคันนั้นพาพวกเขามาจอดในเมือง เด็กท้ายรถคนเดียวกับที่เก็บเงินค่าโดยสารเรียกทุกคนลง เพราะว่าสุดสายแล้ว นวล อุรา อุระ ก้าวลงจากรถประจำทาง คนอื่นเขาแยกกันไปตามทางของตน เหลือแต่สามคนท่าทางตื่นๆ งงๆ มองซ้ายมองขวา ตึกรามบ้านช่องที่แปลกตา พื้นถนนที่เหยียบอยู่เป็นยางมะตอยกว้างกว่าถนนที่หน้าหมู่บ้านหลายเท่า รถยนต์วิ่งสวนกันไปมา รถสามล้อถีบก็เยอะ ทั้งสามรีบพากันเข้าไปยืนหลบข้างถนนที่คาดว่าปลอดภัย

มองรอบตัวเห็นเป็นอาคารห้องแถวสองชั้นเรียงติดกันประมาณ10 ห้อง แล้วเว้นเป็นทางเดินเลาะลึกเข้าไปด้านข้างตึกทั้งสองฝั่งถนน จากจุดที่รถจอด คนเดินขวักไขว่ มีทั้งคนไทยและฝรั่งผู้ชายตัวโต บางคนใส่เครื่องแบบคงจะเป็นทหารจีไอที่น้อยเคยเล่าให้ฟัง บางคนใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงลายพราง กางเกงสีกากี หรือบางคนใส่กางเกงแฟชั่นขาม้า เสื้อเชิ้ตหลากสี ผู้คนมากมายเดินไปมาชวนให้ตาลาย

ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านนวลเป็นคนตัวสูง ซึ่งได้มาจากพ่อที่ตัวสูงใหญ่ เพื่อนชอบล้อว่าสูงเหมือนเปรต แต่มาเทียบกับผู้คนแถวนี้ปรากฏว่าสูงพอกัน อุราซะอีกกลายเป็นคนตัวเตี้ยเกือบจะเป็นคนแคระเสียด้วยซ้ำไป ทั้งสามเดินเบียดกันไปข้างหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะไปทางไหน แค่ก้าวเท้าให้เท้าพาไป แต่ละคนสะพายถุงย่ามที่ใส่เสื้อผ้ามาคนละไม่กี่ชุด เดินออกจากตรงนั้นอย่างไม่รู้จุดหมาย

เดินกันอยู่นาน เข้าซอกออกซอย มีร้านที่ติดป้ายรับคนทำงานพอไปถาม เขาว่าพูดอังกฤษไม่เป็นไม่รับทำงาน หรือบางที่บอกว่าไม่มีที่พักให้ มาทำงานได้แต่ที่นอนหาเอาเอง เดินกันจนท้องร้องหิว อุระสะกิดน้องทั้งสองคน แล้วเดินเข้าไปที่ร้านขายข้าวแกง มีเงินติดตัวมากันคนละห้าสิบบาท อุระเป็นคนจ่ายค่ารถแล้วเงินก็ยังเหลือ

“ข้าวกับแกงนี่ขายยังไงแม่ค้า”

อุราท่าทางเก่งกล้ากว่าใครทั้งหมดร้องถามแม่ค้าที่อายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของพวกเธอ สวมเสื้อคอระบายกับแขนระบายแบบเดียวกัน ผ้าถุงสีสดลายดอกไม้ดวงโตที่กำลังสาละวนตักข้าวราดแกง มีเด็กหญิงใส่เสื้อกล้ามฟิตพอดีตัวเห็นหน้าอกนูนเด่น กางเกงขาสั้นเสมอแก้มก้นยืนรอแล้วนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่นั่งรออยู่ มีทั้งฝรั่งและคนไทยโต๊ะในร้านเป็นสิบโต๊ะมีคนนั่งเกือบเต็ม

“เลือกแกงมาหนึ่งอย่างราดไปบนข้าว กับข้าวอย่างเดียวสองบาท ถ้าเลือกแกงสองอย่างสามบาท ขนมหวานถ้วยละห้าสิบสตางค์”

ทั้งสามมองตากัน อยู่บ้านไม่เคยได้ซื้อข้าวราดแกงกิน ราคานี้ไม่รู้ถูกหรือแพงแต่เทียบกับเงินที่พกมาก็ยังพอกินได้พากันชี้ๆ สิ่งที่อยากกินแล้วไปนั่งกินกันจนหมดเกลี้ยงจาน ไม่รู้เพราะหิวหรืออร่อย แต่อิ่มตื้อจนไม่กินของหวานทั้งที่มันน่ากินมาก

“เดินกันจนเหนื่อย วนไป วนมา เราจะไปหาพี่น้อยก่อน หรือจะไปหางานทำกันต่อดี”  อุระเป็นคนออกคำถามแรก

“นวลว่าเราไปหาพี่น้อยก่อนดีไหม”

“อ้ายว่าเราเดินไปเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้ยาวไม่มาก เดี๋ยวต้องเจอกันสักแห่งจนได้แหละ ไม่น่าลืมกระดาษที่จดไว้ที่ศาลาเลย” เขาหันไปตำหนิอุราที่เอากระดาษจดที่อยู่มาอ่านเล่น ถือไปถือมาพอรถมาดันลืมหยิบติดมือมาด้วย

“โธ่ อ้าย ข้อยขอโทษไปหลายครั้งแล้ว”

“อ้ายก็ลืมไม่ได้ตั้งใจอ่าน ถนนอะไรแข้งๆ ก็ไม่รู้ บักแข้ง บักแขว่น” อุระพยายามนึกเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจอ่าน อุราเองเอาออกมาถือไว้ให้อุ่นใจเฉยๆ ไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ แล้วก็วางไว้บนม้านั่งที่ศาลา เอากระเป๋าทับไว้ กะว่าจะหยิบมาแต่ก็ลืมจนได้

“ไป เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เต็มที่เราคงไปหาวัด ไปขอหลวงตานอนที่ศาลาวัด มีอ้ายอยู่ด้วย คงไม่มีอันตรายอะไรหรอก” อุระเป็นคนตัดสินใจ ความเป็นพี่ชายใหญ่ทำให้เขามีความเป็นผู้นำและน้องๆ ก็เชื่อฟังเขาเสมอมา

สามสหายต่างวัยอิ่มท้อง เดินไปเรื่อยจนไปเจอโรงหนังที่มีคนจำนวนมากอยู่ ป้ายที่เป็นภาพวาดใหญ่โตมโหฬารเห็นแต่ไกล คนเยอะมากเหมือนคนทั้งหมู่บ้านไปรวมตัวกันอยู่ที่วัดเวลามีงานวัดอย่างไรก็อย่างนั้น มีทั้งฝรั่ง ไทย ทั้งหญิง ทั้งชาย การแต่งกายล้วนแปลกตาสำหรับนวล ซึ่งเป็นคนที่ชอบเรื่องแบบนี้ได้แต่สังเกต สีไหน แบบไหน คนชอบมาก ชอบน้อย จินตนาการในหัววิ่งวนชนกันยุ่งพอๆ กับคนที่เดินไปขวักไขว่ตรงหน้า

นวลตาลอยนึกถึงวันหนึ่งข้างหน้าถ้ามีโอกาสได้ตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วผู้คนเหล่านี้ใส่เสื้อที่เธอตัดเย็บมาเดินชมเมืองแบบที่กำลังเป็นมันคงจะดีไม่น้อย

“น๊วน น๊วน…”

เสียงผู้หญิงตะโกนมาอย่างดัง เรียกชื่อนวลเสียงสูงปรี๊ด หลายคนหันไปมอง เห็นผู้หญิงร่างอวบอัดใส่กางเกงบานสีเขียวขี้ม้าตัดกับเสื้อเชิ้ตสีส้มเข้ม มีผ้าผูกผมเป็นโบอันเบ้อเริ่ม

นวลมองโบของพี่น้อยอย่างทึ่ง สงสัยเป็นแฟชั่นของคนในเมือง ดูชุดแต่ละชุดที่เคยเห็นพี่เขาใส่มักมีโบอันโตติดมาด้วยเสมอ และที่เดินผ่านข้างทางก็มีผู้หญิงแต่งตัวแบบพี่น้อยเยอะมาก

“เอื้อ…” นวลชะงักเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกเธอได้ทัน ยิ้มกว้างให้ท่าทางโบกไม้โบกมือของเธอ

“พี่น้อยๆ”

นวลยิ้มร่า อุระและอุราก็ยิ้มเช่นกัน พร้อมใจกันเดินไปหาน้อย ในใจนวลนึกเบื่อเรื่องภาษาพูด เรื่องสรรพนามที่ใช้เรียกขานกัน มันชวนเวียนหัวเป็นที่สุด น้อยรีบเดินเข้ามาหาทั้งสามจูงกันไปยืนแอบข้างรถสามล้อที่จอดเรียงรายหน้าร้านอาหารเพื่อจะได้ไม่เกะกะคนที่เดินไปมา

“จะมาหางานทำกันใช่ไหมนี่ ยกมากันเป็นขบวนแบบนี้”

“ก็ว่างั้นแหละพี่ นาข้าวของนวลไฟไหม้วอดวาย แม่กับพ่อได้แต่นั่งอมทุกข์ พวกเราก็ไม่กล้านิ่งนอนใจ นวลว่าจะมาหางานทำ พวกข้อยเลยมาเป็นเพื่อน ว่าจะมาส่งแล้วก็กลับ”

“เอ้า ไม่ทำกันทั้งหมดนี่ล่ะ งานเยอะแยะ เงินก็ดีกว่าอยู่บ้าน”

“งั้นติ เขาทำอะไรกันบ้าง พวกฉันมาถึงตั้งแต่เช้า ไปถามร้านไหนๆ เขาว่าพูดฝรั่งไม่เป็นก็ไม่มีงานให้ทำ”

“โอ๊ย ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นก็หัดเอา ไม่ยากอะไรหรอก”

“งั้นติ อุราปึกน่ะ จะไหวไหม” อุราหวาดหวั่นเพราะเธอคิดว่าตัวเองไม่ฉลาดเท่าไร

“โฮ้ย ปึก เปิก อะไรกัน แค่พูดๆ ตามกันอีกไม่กี่วันก็คล่องแล้ว ว่าแต่อยากทำอะไร”

“งานอะไรก็ได้ ให้ได้เงิน” นวลตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“แล้วนี่นอนไหนกัน”

“ไม่มีที่นอนหรอก กะว่าจะมาหาพี่น้อยนี่ละ คิดว่าเหมือนบ้านเรา ถามใครก็ไม่มีใครรู้จัก มีแต่ถามกลับ น้อยไหน แล้วก็บอกมามีเป็นสิบน้อย น้อยนั้น น้อยนี้ เวียนหัวเบิ้ด”

น้อยหัวเราะ ขำคำติดปากว่า ‘งั้นติ’ ของอุราก็เรื่องหนึ่ง และก็เข้าใจรุ่นน้องที่เพิ่งเข้าเมืองมาครั้งแรก เพราะน้อยเองก็เคยเป็น ตอนนั้นเพื่อนพามาแล้วหลงกัน พอถามคนว่าเพื่อนชื่อไหมอยู่ที่ไหน ก็มาเป็นสิบไหม ยี่สิบไหม จนน้อยจะร้องไห้ โชคดีที่เพื่อนกลับมาหาจนเจอ

“นี่กินอะไรกันหรือยัง”

“กินข้าวแกงมื้อเช้า แล้วเดินไปเดินมาจนมาเจอโรงหนังนี่ คือมันใหญ่โตแท้”

“โรงหนังนี่สามารถเข้าไปนั่งได้พันกว่าคน”

“คือมากแท้”

“ฝรั่งเขาชอบดูหนัง ยิ่งเป็นหนังจีนสู้กันอ้ากเอ้กๆ นี่ยิ่งชอบ”

“งั้นติ”

นวลกับอุระรีบพูดขึ้นพร้อมกันทำหน้าทำตาล้อเลียน สองคนรีบพูดก่อนที่อุราจะทันเอ่ยปาก แล้วพอเห็นท่าทางของทั้งสอง ถึงกับค้อนปะหลับปะเหลือกทำเอาน้อยหัวเราะขำ เอ็นดูในความขี้เล่นนั้น

“เลิกพูด งั้นติ เถอะอุรา พี่รำคาญเจ้าแล้ว” อุระปรามน้องสาว ทำท่าจะเข้าไปกอดคอแต่อุราเดินหนีไปแอบอีกด้านหนึ่ง ดันตัวนวลเข้าเป็นกำบัง

“นี่จวนจะเย็น กินกันอีกสักรอบไหม ไป เดี๋ยวพาไปกินก๋วยเตี๋ยว ร้านนี้ดังมาก อร่อยด้วย พี่เลี้ยงเองไม่ต้องกลัว มาตามมา”

“ฮู้ย ลาภปากแท้ ในหมู่บ้านเราไม่ได้หาก๋วยเตี๋ยวกินกันง่ายๆ นะ เคยกินตอนเขาไปออกร้านในงานวัด นาน น้าน สักหน”

“งั้นเดินย้อนกลับไปนะ เลี้ยวเข้าซอยตรงหน้าก็ถึงแล้ว บอกเลยว่าแล้วจะติดใจร้านนี้อร่อยมาก คนเยอะด้วย”

ร้านก๋วยเตี๋ยวที่น้อยพูดถึงขายดีมากจริงๆ คนเยอะที่เคยฟังจากน้อยเล่าตอนนี้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว มีคนมากกว่าคนที่ไปงานวัดหลายเท่านัก

เกิดมาจนโตเป็นสาว นวลกับอุราเพิ่งเคยเห็นคนรอคิวกินก๋วยเตี๋ยวเยอะขนาดนี้ ยืนออกันเต็มหน้าร้าน พอโต๊ะไหนลุกคนก็จะรีบเข้าไปนั่งแทน ทั้งที่เขายังไม่ทันเก็บถ้วยเก็บจาน ทั้งสี่คนยืนรออยู่นานกว่าจะได้กินเรียกว่าหิวกันอีกรอบพอดีแท้

เถ้าแก่ร่างผอมสูง ผมสีดอกเลา ผิวขาว ใบหน้าเรียวเล็ก สวมเสื้อยืดสีขาวสะอาดมีผ้าคล้องคอคอยซับเหงื่อ เขาตะโกนเรียกลูกน้องเอาป้ายปิดร้านไปวางเมื่อทั้งสี่คนนั่งลง ทุกคนให้น้อยเป็นคนสั่งให้เพราะไม่รู้ต้องสั่งยังไง ให้น้อยสั่งให้มาแบบไหนก็กินแบบนั้น บนโต๊ะมีพวงเครื่องปรุงรส พริกป่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มดองพริกเขียว กลิ่นอาหารลอยผสมปนเปกันไปหมด

น้อยสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำใสให้ บอกวิธีปรุงรสให้ฟังระหว่างรอ ซึ่งไม่นานก๋วยเตี๋ยวหอมฉุยก็มาวางตรงหน้า คนอื่นที่นั่งกินกันอยู่ กินเสร็จก็ทยอยออกไป เมื่อกลิ่นชวนกินทุกคนก็ลงมือ น้อยแนะนำว่าถ้าใช้ตะเกียบไม่เป็นก็ให้ใช้ช้อนตักเอาเหมือนกับขนมจีนก็ได้ ค่อยๆ หัดกันไป

ก๋วยเตี๋ยวอร่อย กินไปคุยกันไป จนเหลือโต๊ะของนวลเป็นกลุ่มสุดท้าย ตอนที่กำลังจ่ายเงิน เสียงผู้หญิงคาดว่าคงเป็นเมียเถ้าแก่ดังล้งเล้งอยู่หลังบ้านได้ยินกันชัดเจน ว่าไล่ลูกน้องออก เถ้าแก่ที่กำลังเก็บของเตรียมปิดร้านได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

นวลกับอุรานั่งดันกันไปเกี่ยงกันมา น้อยเห็นแล้วก็รำคาญจึงออกหน้าแทน รอจนเมียเถ้าแก่แม้จะมีอายุแล้วแต่ยังมีแววความสวยเห็นชัด เธอผิวขาวเหมือนคนจีนทั่วไป เส้นผมบางละเอียด ใบหน้ารูปไข่ตาชั้นเดียว เมื่อเธอเดินออกมาหน้าร้าน น้อยก็โพล่งถามตรงๆ

“เจ๊ ต้องการคนงานไหม”

 



Don`t copy text!