ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 3 : จุดเริ่มต้นแห่งความจริง
โดย : ปรียนันทนา
ให้หัวใจนำทาง นวนิยายรักโรแมนติกโดย ปรียนันทนา เรื่องราวของปารัณ ชายหนุ่มที่ไปทำงานยังเมืองแบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส และได้พบกับถนนสยาม ซึ่งราชฑูตโกษาปานเคยไปถวายพระราชสาส์น และเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อเขานิมิตว่าเคยเป็นหนึ่งในคณะราชฑูต และได้พบรักกับสาวฝรั่งเศส นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
……………………………………………………..
-3-
แสงแฟลชและสปอตไลต์เจิดจ้าส่องมาหาบรรดาช่างภาพหลายชีวิตซึ่งขณะนี้กลายมาเป็นผู้อยู่หน้ากล้องแทน สื่อมวลชนสายงานศิลปะทั้งสิ่งพิมพ์และออนไลน์ต่างให้ความสนใจนิทรรศการนี้โดยเฉพาะปารัณและมาโกโตะสองช่างภาพชาวเอเชียในงานนี้ ทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปให้สัมภาษณ์เดี่ยวหลังจากการถ่ายภาพรวม ปารัณสวมสูทสีครามเสื้อตัวในสีลิ้นจี่กับรองเท้าหนังสีน้ำตาล ใบหน้าคมเข้มแต่ผิวค่อนข้างขาวแตกต่างจากเพื่อนชาวญี่ปุ่นผู้มีผิวขาวกว่าทว่ากลับดึงดูดสายตาสาวๆในงานได้มากไม่แพ้ผลงานของเขาทีเดียว
“ผมอยากนำเสนอความเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงของประเทศไทยที่หลายปีมานี้เราทันสมัยขึ้นมาก แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นวิถีชีวิตของผู้คนก็ยังดำเนินต่อไป” ปารัณอธิบายภาพตรงหน้าซึ่งมีนาฬิกาเรือนใหญ่บริเวณรถไฟฟ้า เขาถ่ายภาพสองภาพคือภาพแรกช่วงเวลาเช้าที่ผู้คนกำลังเบียดเสียดกันขึ้นรถส่วนอีกภาพหนึ่งคือตอนดึกที่รถไฟฟ้าโล่ง ห้างสรรพสินค้าปิดและมีคนน้อยลง นอกจากนี้บนท้องถนนบรรดาร้านอาหารริมทางที่ยามดึกมีผู้คนมากมายแต่ตอนกลางวันกลับเงียบเหงาก็เป็นภาพที่คนให้ความสนใจไม่น้อย
บรรยากาศงานเปิดนิทรรศการผ่านไปด้วยดี เวลาเดินไปอย่างรวดเร็วจากเมื่อตอนเย็นล่วงเข้าสู่เวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ร้านค้าเล็กๆ มากมายรายรอบทางที่ปารัณและมาโกโตะเดินผ่านเริ่มปิด แต่ร้านอาหารหลายร้านกลับมีผู้คนจับจองเนื่องด้วยเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถนนสายเล็กๆ แห่งนี้มีเสน่ห์แตกต่างจากถนนใหญ่เช่นช็องเซลีเซและน้อยคนนักที่ตั้งใจมาเยือนเพราะหากไม่ทราบมาก่อนที่นี่อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวคนไทย ปารัณก็เช่นกัน เขามาที่นี่เป็นครั้งแรกจึงตั้งใจจะเก็บความประทับใจไว้ให้มากที่สุด ส่วนมาโกโตะนั้นเคยมาเดินเล่นย่านนี้แล้วเพราะแฟนสาวของเขาคุ้นเคยกับย่านนี้เป็นอย่างดี
“คุณดูตึกนั้นสิรัณคุง สวยเชียว” มาโกโตะชี้ชวนให้เพื่อนดูแมนชั่นโอ่อ่าที่เปิดไฟสวยงามยามค่ำคืนหน้าสวนสาธารณะจัตุรัสโวจส์ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปถ่ายภาพอาคารเก่า
“เดินไปอีกนิดด้านโน้นเป็นถนนโรซิเยร์มีร้านเยอะเลยนะ คุณอยากไปมั้ย” มาโกโตะถามเพื่อน
“ก็น่าสนใจนะ แต่ผมว่ามืดแล้วร้านน่าจะปิดแล้วละ”
“จริงด้วย งั้นพรุ่งนี้เราค่อยมากันใหม่ตอนเช้าๆ ดีมั้ย รถไฟคุณออกกี่โมงนะ”
“บ่ายๆ เลย ยังมีเวลา”
“ว่าแต่วันนี้คุณอยากกินอาหารไทยมั้ยรัณคุง ที่นี่มีร้านอาหารไทยชื่อดังเลยนะ” มาโกโตะถามยิ้มด้วยรู้ว่าเดี๋ยวเพื่อนใหม่ของเขาอาจจะยอมไปหากเขาชวน แต่ตอนนี้มาโกโตะรู้ว่าปารัณค่อนข้างเป็นหนุ่มไทยใจร้อนแม้ดูภายนอกเขาเป็นคนสุภาพแต่หากมีสิ่งใดขัดใจเขาก็พร้อมจะปฏิเสธทันที มาโกโตะไม่ถือสาเพราะถือว่านี่เป็นส่วนดีที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับเพื่อนชาวไทยคนนี้มากขึ้น
“อะไรนะ ไม่เอาหรอกมาโกโตะคุง เอ้อ แต่ถ้าคุณอยากลองกินก็ได้นะ ผมไม่มีปัญหา” ปารัณตอบอย่างที่มาโกโตะคิดจนได้
“ผมล้อเล่น จริงๆ ผมจองร้านไว้แล้วละ”
“โอ้โห จองเลยเหรอ คุณนี่รอบคอบมากนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ วันนี้เราควรมาฉลองกันนะเพราะถือเป็นวันดีๆ แฟนผมเลยแนะนำร้านนี้แล้วเธอก็โทรมาจองให้ด้วย”
“แฟนคุณนี่น่ารักจริงๆ คุณโชคดีมากนะ” มาโกโตะยิ้มภูมิใจที่ปารัณเอ่ยชมแฟนของเขา
“ผมว่าเรารีบไปกันเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
ร้านอาหารขนาดเพียงหนึ่งคูหาสองชั้นตกแต่งน่ารักมีคนยืนรออยู่หลายคน ปารัณมองจากภายนอกขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสองซึ่งมีเพียงหนึ่งช่องและเปิดออกทั้งสองบานเผยให้เห็นเพียงคนสองคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาเชื่อว่านี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คู่รักนิยมมาร้านนี้แน่นอน
“แต่ผมลืมบอกคุณไปอย่างหนึ่งนะว่าร้านนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมพอสมควร มีความเป็นไปได้สูงนะที่เราอาจจะเจอเพื่อนร่วมงานบางคนที่คุณไม่อยากเจอ”
มาโกโตะพูดขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปถึงโต๊ะพอดีพร้อมกับที่สายตาของปารัณปะทะเข้ากับสายตาของช่างภาพสาวผมบลอนด์เมื่อกลางวัน เธอส่งยิ้มให้เขาอย่างหยาดเยิ้มพร้อมกับที่ช่างภาพเยอรมันก็หันมาทักทายเขาและมาโกโตะเช่นกัน
“โลกกลมจริงโว้ย” ปารัณพึมพำเป็นภาษาไทยคนเดียว
“ว่าไงนะ รัณคุง”
“เปล่า ไม่มีอะไร เรากินของเราเถอะ” ปารัณรีบนั่งหันหลังให้ช่างภาพทั้งสอง ความจริงเขาก็อยากจะผูกมิตรกับเพื่อนร่วมอาชีพทุกคนแต่เมื่อประเมินแล้วว่าเพื่อนบางคนไม่คุ้มกับการทำตัวสนิทสนมชายหนุ่มก็รีบถอยออกมาเสียก่อน
“ผมยังยืนยันคำเดิมนะว่ารัณคุงนี่เสน่ห์แรงจริงๆ แบบนี้คงเหงาไม่นานหรอก”
“ผมขอรับคำชมนะ แต่ว่าถ้าเจอแบบนี้ผมขอโสดไปเรื่อยๆ ดีกว่า” ปารัณมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ตลอดเวลาของอาหารมื้อค่ำนี้จะประทับใจด้วยบรรยากาศและรสชาติอาหารรวมถึงการบริการของพนักงานอย่างเป็นกันเองก็ตาม แต่เมื่อต้องคอยระแวงว่าแม่สาวตาคมผมบลอนด์นั้นจะเดินมาหาเขาก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายนัก กระทั่งถึงเวลาที่เธอเดินมาร่ำลาและเดินคลอเคลียออกไปพร้อมช่างภาพเยอรมัน ปารัณถึงค่อยนั่งหลังติดพนักเก้าอี้ได้สนิทใจ
“เฮ้อ รอดละ”
“อะไรนะรัณคุง” มาโกโตะถามอย่างสงสัยเพราะชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามพึมพำเป็นภาษาไทย
“อ๋อ ผมคิดว่าต่อไปนี้เธอคงไม่สนใจผมแล้วละ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณนี่ตลกดีนะ”
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราก็ฉลองกันได้เต็มที่แล้วนะ”
ปารัณพูดพร้อมกับยกขวดไวน์ออกมาเติมให้กับเพื่อนและตนเอง ค่ำคืนยังดำเนินต่อไปอีกยาวไกลดังเช่นหัวใจของเขาที่มีอีกหลายเรื่องให้ต้องคิดทบทวน แต่ช่วงเวลาดีๆ ตอนนี้ก็คงช่วยให้เขาลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจไปได้ไม่มากก็น้อย
เช้านี้ปารัณตื่นสายเกือบเก้านาฬิกา เมื่อลงมาที่ห้องรับประทานอาหารเช้าก็พบมาโกโตะนั่งอยู่พร้อมกับขนมปังบาแก็ตและครัวซองต์ในตะกร้า ปารัณเดินไปเทกาแฟร้อนแล้วกลับมานั่งรับประทานกับเพื่อน เมื่อเสร็จภารกิจอาหารเช้าเขาจัดกระเป๋าเตรียมไว้เพื่อจะออกไปถ่ายภาพตามที่ตกลงกับมาโกโตะไว้เมื่อวานและค่อยกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งตอนเที่ยงเพื่อทำการเช็กเอาต์
แดดอุ่นที่ส่องแสงกระทบเก้าอี้ซึ่งตั้งเรียงรายหน้าร้านกาแฟหัวมุมถนนช่วยให้ร้านมีลูกค้ามากมายยืนเรียงรอต่อคิว หากแต่ปารัณและมาโกโตะเป็นผู้นั่งดูลูกค้าคนอื่นหลังจากที่ตระเวนถ่ายภาพย่านมาเรส์อีกรอบพร้อมกับเดินไปซื้อของแถวถนนเดโรซิเยร์ที่ถือเป็นถนนแห่งการชอปปิงแห่งย่านนี้ด้วย มีร้านต่างๆมากมาย ทั้งร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้า และบริเวณนั้นยังเป็นชุมชนชาวยิวด้วย
“รัณคุงจะไปเมืองแบรสต์ ผมเลยคิดว่าควรเริ่มที่ร้านนี้นะ”
“ร้านนี้เกี่ยวอะไรกับเมืองที่ผมจะไปเหรอ” ปารัณสงสัย
“ก็เมืองที่คุณจะไปน่ะอยู่แคว้นเบรอตาญ คนแถวนั้นเค้านิยมกินแครปกันนะ”
“อ๋อ เข้าใจละ มาโกโตะคุงนี่ช่างเลือกจริงๆ”
“นี่ไงเมนู กินอะไรดีล่ะ ผมเลี้ยงส่งคุณเอง”
“เลี้ยงส่งได้ยังไง อีกสามอาทิตย์เราก็กลับมาเจอกันอยู่ดี”
“เออ จริงด้วยแฮะ ผมลืมไปว่าเราต้องกลับมาเก็บงาน” มาโกโตะพูดพร้อมขยับแว่นสายตาสีเงินไปด้วย
“งั้นก็ขอให้คุณโชคดี ขอให้ผ่านพ้นอุปสรรคที่มีในใจไปได้นะรัณคุง”
อาหารถูกนำมาเสิร์ฟแม้ปารัณไม่คุ้นเคยกับหน้าตาของเครปหรือที่คนที่นี่เรียกว่า ‘แครป’ นักหากเขาก็ต้องยอมรับว่ารสชาติดีจริง ผู้คนที่เข้าคิวรอเริ่มทยอยเดินเข้ามาในร้านมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าวันฟ้าใสพร้อมไอแดดอุ่นจะเป็นที่นิยมของชาวปารีเซียงมากขนาดนี้ ปารัณคิดว่าอาจเป็นเพราะเขามาจากเมืองร้อนทำให้ไม่ค่อยตื่นเต้นกับแสงแดดมากนัก แต่เขาก็พึงใจในบรรยากาศรอบกายขณะนี้ที่ดูลงตัวกับทั้งตัวเขาและผู้คนรอบตัวจนอยากจะบันทึกความทรงจำนี้ไว้ในภาพถ่ายก่อนจะจากเมืองนี้ไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
กระจกใสหน้าอาคารสถานีสะท้อนแสงเป็นประกายกระทบสายตาชายหนุ่มเมื่อเขามาหยุดยืนด้านหน้า ปารัณเดินเข้าไปภายในอาคารอย่างตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เดินทางด้วยรถไฟในต่างประเทศ มาโกโตะส่งเขาที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อมาที่นี่ ปารัณเดินขึ้นบันไดเลื่อนแล้วไปหยุดดูป้ายตารางเวลาและชานชาลารถไฟความเร็วสูงขบวนที่เขาจะเดินทางไปแบรสต์ วันนี้สถานีรถไฟมงปาร์นาสวุ่นวายพอสมควร โชคดีที่ชายหนุ่มจองตั๋วรถไฟล่วงหน้ามาแล้ว เขาถือกระเป๋าเสื้อผ้าที่ถือมาตอนขึ้นเครื่องและสะพายกระเป๋าเป้หนึ่งใบพร้อมกล้องหนึ่งตัวเดินมุ่งหน้าสู่ชานชาลาอันจะนำสู่เมืองปลายทาง แม้ว่าจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นเครื่องมากมายหากแต่ก็ยังมีระเบียบเรียบร้อยมากกว่าสถานีรถไฟที่เขาเคยมีประสบการณ์ในเมืองไทย
สัมภาระเพียงแค่ใบเดียวของเขาช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาหาที่วางกระเป๋าเมื่อขึ้นไปบนรถไฟเพราะรถไฟขบวนนี้มีที่สำหรับวางกระเป๋าทุกตู้ ปารัณวางกระเป๋าใบเล็กตรงที่ว่างนั้นแล้วเดินไปหาที่นั่ง ภายในขบวนรถสะอาดและใหม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของคนที่นี่น่าจะดีเพราะมีระบบขนส่งที่ดีเช่นนี้ เขานั่งลงบนเบาะที่นั่งริมหน้าต่างพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงที่โหลดฟังอย่างสบายอารมณ์ ความเหนื่อยสะสมที่เขาไม่รู้ตัวพาเข้าสู่นิทรารมณ์อย่างง่ายดายเมื่อรถไฟออกจากสถานีครู่เดียวเท่านั้น
“สวัสดี”
“ครับ” ปารัณตอบรับชายชราผมขาวแต่แววตาลุ่มลึกตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าใดทว่าดูเหมือนความง่วงงุนเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อตื่นขึ้น
“มาคนเดียวมาทำอะไร อยากไปไกลกว่านี้ใช่ไหม” ชายชราอมยิ้มและพูดจาราวกับล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไร
“เอ่อ ก็คงใช่ครับ เพราะว่าเมืองที่จะไปก็ไกลอยู่”
“ไปที่ไหนก็ไปได้ แต่ว่าอย่าลืมความจริง”
“ความจริงอะไรครับ”
“หึหึ เป็นตัวเองน่ะดีแล้ว”
เสียงเด็กเล็กที่นั่งแถวหน้าปารัณร้องงอแงทำให้ชายหนุ่มลืมตามามองชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสที่นั่งตรงหน้าเขา ปารัณถามกลับออกไปอย่างลืมตัวทันที
“ว่าไงนะครับ”
ชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสส่งเสียงกลับมาเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจสักนิด เมื่อครู่เขาคงฝันไปแน่แล้ว ความเหนื่อยสะสมมาหลายวันคงพาให้จิตคิดฟุ้งซ่าน เสียงเพลงในโทรศัพท์ยังคงดำเนินต่อไปเป็นจังหวะะสม่ำเสมอ ปารัณหันออกไปมองนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด หากว่าความฝันเมื่อครู่เกิดจากจิตใจที่เหนื่อยอ่อนและฟุ้งซ่านก็คงไม่ทำให้ตัวเขาต้องใส่ใจแต่หากเกิดจิตใต้สำนึกก็คงเป็นส่วนที่ตัวเขาเองแทบไม่เคยคิดเลย เข็มหน้าปัดนาฬิกาเคลื่อนมาอยู่เกือบกึ่งกลางตัวเรือนแสดงถึงเวลาที่ใกล้ถึงปลายทางแล้ว ปารัณขยับตัวคลายความเมื่อยล้าก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาเตรียมสัมภาระของเขาก่อนถึงปลายทางในอีกไม่นาน
วันแรกของฤดูร้อนเช่นนี้ทำให้เวลายาวนานกว่าเดิม ถนนจากท่าเรือทอดยาวขึ้นมายังถนนสยามยามนี้ดูคึกคักเพราะมีเทศกาลดนตรี หนุ่มสาวหลายคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ บ้างก็มาเป็นคู่เพื่อถือโอกาสใช้เวลาด้วยกัน เทศกาลดนตรีนี้จัดขึ้นวันเดียวเป็นประจำทุกปีทั่วประเทศ ทุกชีวิตเดินมุ่งหน้าสู่จัตุรัสหน้าศาลาว่าการเมืองแบรสต์รวมทั้งหญิงสาวตาคมเลือดผสมเช่นมนสิชาด้วย วันนี้หญิงสาวนัดกับเพื่อนกลุ่มใหญ่รวมทั้งเพื่อนคนไทยที่เธอสนิทสนมด้วยอีกหนึ่งคน ทั้งหมดเจอกันที่มหาวิทยาลัยโดยมีณฐเพียงคนเดียวที่เธอเพิ่งรู้จัก หากแต่ก็สนิทสนมอย่างรวดเร็วราวกับรู้จักกันมานาน แต่ก่อนที่จะไปเจอกันที่นัดหมายณฐได้โทร.มาบอกว่าวันนี้คงไม่ได้ไปตามนัดเพราะเขาต้องไปรับรุ่นพี่ที่มาจากเมืองไทย รุ่นพี่ของณฐคนนี้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยและพวกเขาอยู่ชมรมถ่ายภาพด้วยกัน มนสิชาฟังคำบอกเล่าของเพื่อนแล้วรู้สึกว่าลางสังหรณ์ของเธออาจตรงกับที่คิด แต่จะถูกต้องหรือไม่หญิงสาวคิดว่าหากโชคชะตานำพาบางสิ่งบางอย่างมาสู่เธอแล้วก็คงต้องเป็นเรื่องที่เธอจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“อ้าวโมนีค เป็นไงมั่ง เพิ่งกลับจากเมืองไทยใช่มั้ย” อันนาเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนของมนสิชาเรียกชื่อภาษาฝรั่งเศสเมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปเจอกันก่อนที่ร้านอาหาร
“หวัดดีจ้ะอันนา ใช่ เราเพิ่งกลับมาถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง”
“เมืองไทยร้อนไหม”
“อืม ก็ร้อนนะ แดดแรงด้วย”
“อะไรนะ แดดเหรอ แบบนี้เธอก็ชอบน่ะสิ”
“ใช่สิ” มนสิชาพยักหน้าพร้อมกับยื่นแขนที่คล้ำลงเกือบเป็นสีแทนให้เพื่อนดู
“กินอะไรก่อนไหมโมนีค เราสั่งมันอบแบบที่เธอชอบด้วยนะ” อันนารู้ดีว่ามนสิชานั้นชื่นชอบมันฝรั่งมาก แม้จะมีคนบอกว่าเป็นอาหารสำหรับคนที่ต้องการประหยัดเพราะมีราคาถูกก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจและบอกเสมอว่า ‘ก็มันอร่อย’ อันเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วของหญิงสาวสำหรับการชื่นชอบสิ่งใดสักอย่าง
“เอาสิ อยากกินอยู่พอดีเลย”
กลุ่มคนที่เดินขวักไขว่ทำให้บรรกาศที่ชายหนุ่มมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไปช่างคึกคัก ซุ้มอาหารมากมายเรียงรายกลางลานกว้าง ปารัณอยู่บนรถรางที่กำลังมุ่งหน้าสู่ที่พักของรุ่นน้องคนสนิทของเขา ณฐมารอรับเขาที่สถานีรถไฟตรงเวลาช่วยให้ปารัณไม่ต้องคอยเก้อเพราะมาต่างถิ่น
“มีงานอะไรน่ะณฐ”
“อ๋อ งานเทศกาลดนตรีไงพี่ มีทั่วประเทศเลย พี่จะแวะลงดูเลยไหมล่ะ”
“ไม่ต้องหรอก มาวันพรุ่งนี้ก็ได้เนอะ” เขาตอบรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี การเดินทางหลายชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เหนื่อยนักหากเขาก็คิดว่าการได้กลับไปนอนอย่างเต็มอิ่มน่าจะดีกว่า
“มีวันนี้วันเดียวพี่ ถ้าพี่จะออกมาตอนกลางคืนเดี๋ยวผมพามา ก็ดีฮะ ผมมีคนอยากจะแนะนำให้พี่รู้จักด้วย”
ณฐบอกรุ่นพี่อย่างหมายมาด เขากับปารัณรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความรักในการถ่ายภาพทำให้เขาได้เจอกับปารัณในชมรมถ่ายภาพกระทั่งสนิทสนมกันมาก เขามั่นใจว่าตนเองรู้จักตัวตนของปารัณอย่างดี ภายนอกที่ดูนิ่งสงบและท่าทีเมินเฉยในบางครั้งกลับเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมายภายใน ปารัณเป็นคนค่อนข้างมุ่งมั่นทว่าความมุ่งมั่นที่มากเกินไปของเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ก็ทำให้เขาเป็นคนหงุดหงิดโมโหง่ายจนกลายเป็นความไม่พอใจกับหลายอย่างรอบตัว ครั้งนี้ณฐคิดว่าอาจรวมไปถึงความก้าวหน้าในอาชีพการงานซึ่งชายหนุ่มมองว่าความทะเยอทะยานเป็นเรื่องดีแต่รุ่นพี่ของเขากลับไม่พอใจในสิ่งที่เป็นก่อนการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ณฐจึงอยากให้ปารัณภูมิใจในตัวเองมากกว่านี้และคนที่จะมาช่วยให้ปารัณเข้าใจข้อนี้ได้ดีและเหมาะสมมากกว่าเขาก็คือเพื่อนสนิทอีกคนที่ณฐชื่นชมและอยากให้ปารัณรู้จักเธอเช่นกัน
แสงไฟอบอุ่นส่องผ่านกระจกของตัวบ้านยามที่ความมืดเริ่มปกคลุมท้องฟ้า อุณหภูมิเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วราวกับจะเร่งให้หญิงสาวออกแรงเดินให้เร็วกว่าเดิม จากป้ายรถประจำทางถึงตัวบ้านใช้เวลาไม่นานแต่หญิงสาวก็รีบเดินเพื่อให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น บ้านริมทางที่ตั้งอยู่เรียงรายหน้าตาดูคล้ายกันเพราะมีหลังคาที่ทำจากวัสดุอันเป็นเอกลักษณ์ของแคว้นเนื่องจากเป็นภูมิประเทศที่มีฝนตกมากกว่าแถบอื่นในฝรั่งเศส สายลมปะทะเข้ากับนวลแก้มใสสีระเรื่อจากการออกแรงเดินขึ้นเนินทว่าไม่ทำให้เหนื่อยจนเกินไปนัก แม้เป็นวันแรกแห่งฤดูร้อนแต่เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับอุณหภูมิก็อยู่ในระดับพอเหมาะและไม่ร้อนมากมายเท่ากับเมืองอีกซีกโลกที่เธอเพิ่งจากมา เจ้าเหมียวสีดอกเลาตามที่แม่ของหญิงสาวเรียกนอนขวางประตูอยู่เมื่อมนสิชาไขกุญแจบ้านเข้าไป
“อ้าวเจ้าอ้วนนี่เอง ถึงว่าทำไมประตูหนักจัง” หญิงสาวอุ้มเจ้าเหมียวสีเทาขนสั้นขึ้นมาจากพื้นแล้วเปลี่ยนรองเท้าก่อนเดินเข้าไปในบ้าน
“หวัดดีค่ะพ่อ”
“อืม ทำไมกลับเร็ว” ฟรองซัวถามบุตรสาวหลังจากที่เธอเดินเข้ามาทักทายแบบฝรั่งเศสแล้วนั่งลงดูโทรทัศน์ด้วยกัน
“อ๋อ คนเยอะมากเลย ง่วงด้วยค่ะ” หญิงสาวตอบพลางเอามือลูบขนสีเทาเป็นประกายของเจ้าเหมียวนามว่ากรีแซตต์ซึ่งหล่อนชอบเรียกว่าเจ้าอ้วนอันเป็นชื่อที่มีความหมายต่างกันสิ้นเชิง เพราะชื่อจริงของเจ้าเมียวนั้นแสดงถึงสีเทาของมันส่วนชื่อภาษาไทยนั้นได้มาจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนปีที่อยู่มานานนั่นเอง
“สี่ทุ่มเองลูก เห็นบอกว่าเพื่อนคนไทยของลูกที่ชื่อณฐจะพาเพื่อนมาด้วยนี่นา”
“อ๋อ ใช่ค่ะ แต่หนูง่วงแล้วเลยบอกว่าขอเป็นวันพรุ่งนี้หรือมะรืนน่ะค่ะ เพราะณฐบอกว่าไปรับเพื่อนจากสถานีรถไฟเสร็จก็พาไปเก็บของก่อนถึงจะออกมาอีกที”
“แล้วณฐนี่มาจีบลูกหรือเปล่า”
“อะไรนะคะ ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เราเป็นเพื่อนกันอย่างชนิดที่ไม่มีคำอื่นมาแทนที่เลย แต่ความจริงหนูก็รู้สึกแปลกๆ กับณฐนะคะ เหมือนว่าเราสองคนน่ะสนิทกันมานาน เพราะเจอกันครั้งแรกก็คุ้นแต่เป็นความคุ้นที่เหมือนเพื่อนสนิทน่ะค่ะพ่อ”
“ไม่มีเรื่องบังเอิญหรอกลูก”
แม้บิดาของมนสิชาจะเติบโตและมีเชื้อชาติฝรั่งเศส หากแต่ความเข้าใจเรื่องศาสนาและการเวียนว่ายตายเกิดตลอดจนเรื่องกรรมก็เป็นสิ่งที่พ่อของเธอเชื่อมาโดยตลอด นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่พ่อกับแม่เข้าใจกันและอยู่กันมายาวนานชนิดที่เรียกว่าค้านสายตาของใครหลายคน แต่ทั้งคู่ก็ไม่สนใจเพราะถือว่าเป็นเรื่องของคนสองคน มนสิชายิ้มให้พ่อและมองไปที่ภาพวาดขาวดำบนผนังที่หากดูผ่านๆ คงเป็นเพียงภาพวาดถนนธรรมดาสายหนึ่ง แต่สำหรับครอบครัวของเธอถนนสายนี้มีความหมายและเรื่องราวให้จดจำเล่าขานมายาวนานเกินกว่าอายุรวมกันของคนทั้งสองที่นั่งอยู่ในห้องนี้เสียอีก