ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 5 : ความจริงที่ได้รู้

ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 5 : ความจริงที่ได้รู้

โดย : ปรียนันทนา

Loading

ให้หัวใจนำทาง นวนิยายรักโรแมนติกโดย ปรียนันทนา เรื่องราวของปารัณ ชายหนุ่มที่ไปทำงานยังเมืองแบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส และได้พบกับถนนสยาม ซึ่งราชฑูตโกษาปานเคยไปถวายพระราชสาส์น และเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อเขานิมิตว่าเคยเป็นหนึ่งในคณะราชฑูต และได้พบรักกับสาวฝรั่งเศส นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์  ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์

……………………………………………………..

-5-

 

“เพื่อนผมก็เรียนที่นี่นะพี่”

“เหรอ คนไหนล่ะ”

“ก็คนที่ยืนข้างรียาไง”

ณฐพูดจบก็หันไปมองรุ่นพี่ที่กำลังใช้ความเงียบแทนความรู้สึกทั้งหมด  เขารู้ดีว่าปารัณกับนรียาคบกันมานานโดยที่ต่างฝ่ายไม่เคยนอกใจ เพียงแค่ณฐรู้ดีว่าการเริ่มคบกันตอนเรียนแต่ละคนอาจยังไม่รู้จักกันดีพอเท่านั้นเอง นรียาเป็นคนสวยและนิสัยดี แต่เธอเป็นคนเอาแต่ใจซึ่งแสดงออกอย่างอ่อนหวานในขณะที่ปารัณก็เป็นคนรั้นทำให้ณฐเห็นเค้าลางแห่งความไม่ราบรื่นมาตั้งแต่สมัยเรียน หากตอนนั้นทุกคนยังอยู่ในวัยฝันอันไม่ต้องมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบใดให้ต้องขบคิด เมื่อต่างเติบโตขึ้นความต้องการของตนจึงเข้ามาเป็นใหญ่กว่าสิ่งภายนอกสวยงามยามนั้นนั่นเอง

“ท่าทางคงไม่น่าเป็นเพื่อน”

“ตอนเลิกกับพี่คงยังไม่ได้คบกันหรอก แต่ผมว่าเจ้าปาล์มคงจีบรียาจริงๆ”

“แกรู้ได้ไง”

“อ้าว ผู้หญิงนะพี่ ถ้าไม่มีท่าทีว่ามีคนใหม่ที่ดูดีกว่าเข้ามาพวกเธอก็คงไม่ชิ่งแฟนตัวเองหรอก”

“อย่าบอกนะว่านอกจากเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วแกยังเป็นหมอดูด้วย”

“พี่จะบ้าเหรอ ผมก็วิเคราะห์ไปตามประสบการณ์”

“ประสบการณ์ที่ไม่มีแฟนมาตั้งแต่เรียนจบเนี่ยนะ”

ปารัณจำได้ว่าตั้งแต่ณฐเลิกกับแฟนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ข่าวว่าเขามีแฟนเลย นอกจากการมุมานะสอบเข้ารับราชการและความมุ่งมั่นศึกษาเรื่องบรรพบุรุษแล้วก็ไม่เห็นณฐเคยคบใครอีก

เสียงไมโครเวฟดังขึ้นขัดจังหวะสองหนุ่มที่กำลังถกเรื่องนิสัยผู้หญิงอย่างออกรส ณฐเดินไปเปิดไมโครเวฟออกแล้วหยิบชามนมขนาดย่อมออกมา ปารัณเห็นณฐเอื้อมไปหยิบกล่องโกโก้จากตู้ลอยติดผนังแล้วเปิดออกตักโกโก้ใส่ลงไปในชามนมก่อนที่จะคนให้เข้ากันแล้วเดินมานั่งสมทบกับเขาเพื่อคุยกันต่อ

“นี่นายกินดึกนะ”

“ดื่มอะไรร้อนๆ ก่อนนอนแล้วหลับสบายนะพี่ เอามั้ยเดี๋ยวผมทำให้”

“หึ ไม่เอา พี่ไม่ชอบกินหวาน”

“อ๋อ ดุพอแล้ว”

“อะไรนะไอ้ณฐ”

“เปล่าพี่ คุยต่อๆ นั่นละที่ผมสรุปน่ะ ไม่พลาดหรอก”

“แล้วแกคุยกับเพื่อนชื่อปาล์มเหรอ ถึงรู้ว่าเค้าจีบรียาน่ะ”

“หึ” ณฐส่ายศีรษะขณะยกชามโกโก้ซดก่อนวางลงแล้วเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะมาเปิดแล้วส่งให้รุ่นพี่ดู

“นี่ไง”

ภาพที่เห็นตรงหน้านอกจากไม่ทำให้ปารัณรู้สึกโกรธแล้วยังไม่ทำให้เขาหึงหวงอีกด้วย ชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งเบียดกันตรงกลางกลุ่มเพื่อนในขณะที่ข้อความแสดงความคิดเห็นใต้ภาพก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอารมณ์ภาพ แม้ลึกลงไปเขาอาจรู้สึกเสียใจที่นรียาควรมีเหตุผลที่ดีกว่านี้ในการบอกเลิกเขา หากเธอบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่ามีคนเข้ามาแล้วเธอก็ชอบเขาอาจรู้สึกดีกว่านี้ สิ่งที่เขาคิดไม่เกินความคิดของรุ่นน้องเช่นกันเมื่อณฐพูดออกมาดังใจเขาคิด

“พี่คิดว่าถ้ารียามาบอกว่ามีคนอื่นพี่จะรู้สึกดีกว่านี้เหรอ”

“ทำไมล่ะ บอกกันตรงๆ ก็คงดีกว่า”

“อ้าว แล้วเค้าล่ะ”

“เค้าเหรอ”

“ใช่ พี่จะให้เค้ายอมรับว่าตัวเองเป็นผู้หญิงโลเลสองใจเหรอ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเป็นแบบนั้นในสายตาคนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วยหรอกนะ ถึงแม้ว่าพี่กับรียาจะเลิกเป็นแฟนแต่คนรอบๆ ตัวพี่สองคนก็มีแต่กลุ่มเดิมๆ แล้วถ้าต้องกลับมาเจอกันมันจะเป็นยังไง พี่ลองคิดดูสิ”

“ก็จริงนะ”

“ผมว่าตอนนี้หมดเวลาคิดเรื่องแฟนเก่าพี่ได้แล้ว เค้าไปดีแล้ว”

“เฮ้ย เค้ายังไม่ตาย”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมก็ไม่ได้บอกว่าเค้าตายแค่บอกว่าไปดี เอาน่าไม่แน่นะพี่รัณ คนของพี่อาจรออยู่ที่ไหนสักที่ หรือไม่พี่ก็อาจจะกำลังจะได้เจอคนคนนั้นเร็วๆ นี้ก็ได้”

“จริงก็ดีสิ”

ดวงดาวพราวระยับอยู่ภายนอกเพียงกระจกกั้น ปารัณมองท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิด ในความมืดเขาอาจเห็นเพียงแสงดาวส่องแต่ในยามรัตติกาลที่ยาวนานนั้นยังมีรวิกาลรออยู่ และมันเป็นเช่นนั้นเสมอตราบเท่าที่คนเรามีความหวัง

 

แปลงผักสลัดเรียงเป็นแนวยาวขนานกับรั้วหลังบ้าน ถัดเข้ามาเป็นแปลงกุหลาบฝรั่งเศสส่งกลิ่นหอมหลายชนิด แต่ที่ถูกใจหญิงสาวเป็นพิเศษคือพันธุ์รูจรัวยาล นอกจากนั้นยังมีไม้ดอกสีสันสวยงามอีกเช่น แมกโนเลีย  คามิเลีย รวมถึงไฮเดรนเยียด้วย ส่วนต้นที่ติดกับรั้วด้านข้างมีทั้งแอปเปิลเขียวและแอปเปิลแดง ซึ่งหญิงสาวชอบให้แม่นำไปทำทาร์ตมากที่สุด  ฟักทองญี่ปุ่นลูกเล็กก็กำลังออกดอกซึ่งมนสิชาคิดว่าหากออกผลเมื่อใดจะลองนำไปทำสังขยาฟักทองดูสักครั้ง

“เจ้าอ้วน มาทำอะไรตรงนี้ อย่ามายุ่งกับแปลงผักนะ” มนสิชาออกปากไล่กรีแซตต์ให้ออกห่างจากแปลงผัก เพราะเธอเคยเห็นมันชอบวิ่งมาคุ้ยดินบริเวณแปลงผักหลายครั้ง เจ้าเหมียวอาจมาหาหนูหานกแต่มันไม่รู้ตัวว่ากำลังทำลายอาหารของทาสแมวอย่างเธอไปด้วย

“เมี้ยว”

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย จะเก็บผัก เข้าบ้านไปก่อนเลย หรือไม่ก็ไปวิ่งตรงอื่น”

เมื่อมนุษย์ไม่เล่นด้วยกรีแซตต์จึงวิ่งไปเล่นหน้าบ้าน มนสิชาลงมือหยิบกรรไกรออกมาตัดที่ขั้วอย่างเบามือก่อนจะเอาผักใส่ลงตะกร้าขนาดกลาง  เย็นนี้เธอกับพ่อจะมีผักสลัดที่ปลูกเองกับมือ ต้องขอบคุณมารดาที่เป็นคนริเริ่มโครงการเล็กๆ ในบ้าน ทำให้ทั้งสะอาด ปลอดสารพิษ และประหยัดไปในตัว

“อ้าว หนูยังไม่ไปมหาวิทยาลัยเหรอลูก”

“ยังค่ะพ่อ ว่าจะเก็บผักก่อนกำลังสวยเลย”

“อ้อ เมื่อคืนได้คุยกับแม่เค้าหรือยัง”

“ได้คุยแล้วค่ะ แม่ไปพัทยาเลยไม่มีสัญญาณ”

“พ่อก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวพ่อออกไปก่อนนะ เพื่อนๆ นัดกันกินข้าวกลางวันแถวเมืองฟู”

“ไปถึงโน่นเลยเหรอคะ” หญิงสาวหมายถึงเมืองฟูที่ต้องขับรถไปเป็นชั่วโมง เป็นเหตุผลที่พ่อของเธอรีบออกจากบ้าน มนสิชาจึงไม่มีโอกาสบอกพ่อเรื่องที่แม่จะพาพี่หวานมาอยู่ด้วยสักพัก หญิงสาวคิดว่าเย็นนี้เธอคงมีโอกาส เธอเดินไปร่ำลาพ่อก่อนจะกลับมาจัดการเก็บผักสลัดจนเสร็จ จากนั้นจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปมหาวิทยาลัย วันนี้มนสิชามีนัดกับอาจารย์เรื่องหัวข้อวิทยานิพนธ์ หญิงสาวเดินไปรอรถรางไม่ไกลจากบ้าน เมื่อเช้านี้มีนักเรียนจากโรงเรียนสอนภาษาลงจากรถแล้วเดินผ่านบ้านของเธอเช่นเคย  หลายคนทักทายเธอเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างช้าๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองพูดถูก  มนสิชาตอบกลับอย่างใจดี เธอชอบบรรยากาศแบบนี้เพราะทำให้รู้สึกว่าทุกคนเป็นมิตรต่อกัน หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพบว่าเกือบสิบโมงแล้ว รถประจำทางสายที่เธอต้องการโดยสารมาถึงพอดี หญิงสาวจึงขึ้นไปนั่งทันที

เวลาใกล้เที่ยงฤดูร้อนที่นี่ไม่ได้ทำให้ผู้มาจากเมืองร้อนเช่นปารัณรู้สึกร้อนหากแต่อากาศกำลังเย็นสบาย ที่สำคัญเขายังรู้สึกถึงสายลมแผ่วเบายามอยู่ในร่ม และเขาบอกรุ่นน้องว่าอุณหภูมิไม่เกินยี่สิบถึึงยี่สิบห้าองศาที่นี่น่าจะเรียกว่าฤดูหนาวของคนไทยได้ทีเดียว ปารัณพยายามถ่ายภาพสถาบันสอนภาษาที่ณฐมาเรียนโดยเดินลงไปริมน้ำเลล็องหากแต่ความใกล้ระหว่างตัวตึกกับริมน้ำก็ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพตัวอาคารได้อย่างสวยงาม เมื่อไม่ได้มุมภาพที่สวยดังใจคิดปารัณจึงเดินกลับขึ้นมารอณฐในอาคาร มีนักเรียนหลายวัยเริ่มเดินออกมาจากห้อง โรงเรียนสอนภาษาแห่งนี้เปิดมานานและเป็นโรงเรียนเอกชนที่ได้รับการยอมรับจึงค่อนข้างมีชาวต่างชาติมาเรียนภาษาฝรั่งเศสมากพอสมควรตลอดปี

“พี่รัณหิวยัง” ณฐเดินลงบันไดมาหาเขาที่ห้องโถงกลางหันหน้าสู่แม่น้ำอันเป็นห้องรวมที่ผู้เรียนทุกคนมักมารวมตัวกัน เขาเห็นหลายคนเดินลงไปชั้นล่างซึ่งคงไปรับประทานอาหารกลางวันที่นี่นั่นเอง

“นิดหน่อย ไม่มากหรอก พี่ไปเดินสำรวจสถานที่มาแล้ว ที่นี่บรรยากาศดีมากนะ เงียบๆไม่พลุกพล่านแต่ดูแล้วเป็นระบบดี”

“ใช่พี่ คนถึงเยอะไงล่ะ”

“ว่าแต่วันนี้เราจะไปไหนกัน”

“ผมจะพาพี่ไปเดินเล่นในสวน ถ่ายรูปไง หรือว่าพี่อยากจะไปไหน”

“ก็อยากไปถนนสยาม เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปเองคนเดียวก็ได้ วันนี้ณฐบอกมีคนจะแนะนำให้รู้จักไม่ใช่เหรอ”

“ตอนแรกก็คิดแบบนั้นละ เพราะบ้านเพื่อนผมอยู่ตรงนี้เอง แต่สงสัยจะออกจากบ้านไปแล้ว”

“งั้นวันหลังก็ได้ พี่อยู่อีกหลายวัน”

“เอางั้นเหรอ” ปารัณพยักหน้าเชิงสำทับว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริง  “ก็ได้ งั้นเราไปกันเถอะ”

“อือ เฮ้ย เดี๋ยวณฐ”

“อะไรพี่”

“วันนี้ไม่กินแครปแล้วนะ”

“ว่าจะพาไปร้านอร่อยอยู่เชียว” ณฐหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเดินลงบันไดไปก่อน

 

ถนนจากหน้าประตูโรงเรียนมุ่งสู่ป้ายรถประจำทาง หากเดินมาจากตรงนั้นก็เหมือนเดินออกกำลังกายขึ้นเนินไปเรื่อยๆ แต่ขากลับก็ค่อนข้างผ่อนแรงได้ดีทีเดียว ดอกไม้สีสันสดใสบานรับแสงแดดแม้เป็นช่วงเที่ยงหากก็ไม่ร้อนจัดเช่นประเทศเมืองร้อน บรรยากาศบ้านผู้คนเงียบสงบคงเป็นเพราะวันธรรมดาที่ทุกคนมีภารกิจ ปารัณหยุดยืนหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีประตูรั้วไม้สีขาว ดอกไม้เล็กๆ สีแดงสีเหลืองเป็นพุ่มอยู่หน้าบ้าน บางดอกก็ลอดออกมาตามซี่รั้วราวกับจะส่งเสียงเรียกให้เขาหยุดทักทายมาแต่ไกล

“ณฐ ดูแมวตัวนี้สิ เบ้อเริ่มเลย”

“อ้าว กรีแซตต์”

“รู้จักมันด้วยเหรอ”

“นี่บ้านเพื่อนผมเอง แต่คงไม่อยู่”

“อ้าวเหรอ แสดงว่านี่แมวของเพื่อนนาย ชื่ออะไรแซตต์ๆ นะ”

“กรีแซตต์ แต่เรียกมันไอ้อ้วนหรือเจ้าอ้วนก็ได้ มันรู้เรื่อง”

“เหรอ อ้วนๆ มานี่เร็ว” ปารัณลองทำตามที่รุ่นน้องบอกด้วยรู้สึกถูกชะตากับแมวตัวนี้เพราะสีสันและหน้าตาของมัน เจ้าเหมียวสีเทาที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มหันมามองเขาด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก แต่ท่าทางที่ลุกเดินมาหาก็ตีความได้ว่าเป็นมิตรแน่นอน

“โอ้โห อ้อนด้วยแฮะ”

“อ้วน กินข้าวยังเนี่ย มารอเล่นนกอะดิ”

“เมี้ยว” เจ้าเหมียวหันไปร้องรับคำเมื่อณฐพูดกับมัน

“สงสัยจะจริง หน้าแกนี่ตลกเนอะเหมือนรู้เรื่องเลย พี่รัณดูสิ”

ปารัณเห็นจริงตามคำของรุ่นน้อง เขาลูบหัวเกาคางมันอีกครั้งก่อนออกเดินไกลออกมาจากบ้านหลังนั้น เมื่อหันกลับไปมองเจ้าแมวเหมียวก็เห็นมันมุดกลับเข้ารั้วไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหมดความสนใจเพียงแค่นี้เพราะความจริงแล้วปารัณก็ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงสัตว์หากแต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเล่นกับสุนัขหรือแมวจรข้างทาง เจ้าแมวตัวนี้นอกจากมีเจ้าของแล้วยังหน้าตาน่ารักแล้วเหตุใดเขาจึงไม่อยากจะเล่นกับมันเล่า

 

เสียงวางขวดและเสียงช้อนกระทบชามใบเล็กดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ นิ้วมือยาวเรียวหยิบจับสิ่งของในครัวอย่างคุ้นเคยเป็นธรรมชาติขณะทำน้ำสลัด จากนั้นมะเขือเทศลูกโตถูกผ่าออกเป็นหกซีกและวางอยู่บนเขียง ผักใบเขียวอื่นๆ ที่ตัดมาจากหลังบ้านถูกเด็ดออกเรียบร้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆ วางลงในชามสลัดใบโตตามด้วยมะเขือเทศ ขั้นตอนสุดท้ายคือเทน้ำสลัดลงไปในชามโดยที่ยังไม่คลุก

“มาแล้วค่ะพ่อ” หญิงสาววางชามสลัดลงบนโต๊ะอาหาร

“น่ากิน”

“ไหนหอยแมลงภู่ล่ะ”

“อยู่ในหม้อค่ะ” หญิงสาวหมายถึงหอยแมลงภู่อบซึ่งเป็นเมนูง่ายๆ ที่หัดทำจากแม่

“มันฝรั่งก็ทอดแล้วค่ะพ่อ สักครู่นะคะคุณผู้ชาย”

มนสิชาทำท่าโค้งตัวประหนึ่งตนเองเป็นคนเสิร์ฟในร้านอาหาร จากนั้นเธอหันไปหยิบหม้อซึ่งตั้งอยู่บนเตามาวางบนโต๊ะและเทมันฝรั่งทอดใส่จานใหญ่มาวางเคียงกัน ระยะทางจากครัวมาถึงโต๊ะรับประทานอาหารไม่ไกลกันทำให้พ่อของเธอไม่ต้องรอนานจนเกินไปนัก ฟรองซัวนั่งจิบไวน์ขาวพร้อมทั้งหยิบบาแก็ตมารับประทานพลางดูรายการข่าวไปด้วย

“มาค่ะพ่อ หนูตักให้” มนสิชาหยิบจานของบิดามาเพื่อตักหอยแมลงภู่อบและมันฝรั่งทอดอันเป็นหนึ่งในเมนูอาหารแบบเบลเยียมซึ่งเป็นที่นิยมในฝรั่งเศสด้วย

“นี่ค่ะ”

“ขอบใจจ้ะ

“ขอให้เจริญอาหารค่ะพ่อ”

ควันยังลอยอวลอยู่เมื่อมือขาวสะอาดเริ่มกรรมวิธีการกินอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือหยิบเนื้อหอยออกจากฝาจากนั้นใช้ฝาที่ว่างเปล่าคีบหอยแมลงภู่ตัวต่อไปออกมา มนสิชาไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดวิธีการนี้ขึ้นมาหากก็ทำให้เธออดนึกถึงการกินอาหารทะเลในเมืองไทยไม่ได้เพราะคนไทยนั้นถ้าใช้มือหยิบก็มักใช้กับตัวถัดไปด้วย แต่หากใช้ส้อมก็จะใช้ไปจนตลอดมื้ออาหาร

“แม่เราเค้าว่าไงมั่งล่ะ”

ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง หญิงสาวรู้สึกว่ามื้ออาหารสะดุดลงหากก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะต้องพูดความจริงเสียที มนสิชาเช็ดมือและยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเพื่อรวบรวมความกล้า

“ก็บอกว่าอีกสามวันเจอกัน แล้วก็…”

“อะไร”

“คือแม่จะพาคนมาด้วยหนึ่งคนค่ะ”

“อืม แล้วไงต่อ” ท่าทีของฟร็องซัวตรงข้ามกับที่มนสิชาคิดว่าบิดาจะต้องไล่บี้กับหล่อนถึงต้นสายปลายเหตุที่มาของเรื่องนี้ แต่บิดาของหล่อนมีท่าทีสงบและนิ่งเฉยเสียจนมนสิชาไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร

“คือพี่หวานคนที่จะมาอยู่ที่บ้านสักพักเนี่ยค่ะ เค้ามีแฟนเป็นคนฝรั่งเศสซึ่งทำงานอยู่ที่เมืองแรนน์ ไม่ไกลจากเมืองนี้เนอะ” เสียงของหล่อนทอดยาวราวกับกำลังกล่อมให้บิดาเข้าใจ

“แล้วทีนี้ผู้ชายก็ยังไม่ได้บอกที่บ้านก็เลยยังไม่อยากพาไปเจอ แม่เลยบอกให้มาอยู่ที่นี่ก่อนค่ะ เฮ้อ” มนสิชามีท่าทางโล่งใจเมื่ออธิบายได้จนจบ

“ทุกที แม่เราก็เป็นแบบนี้ทุกที ขี้สงสาร ใจอ่อน ช่วยคนไปเรื่อย” ฟร็องซัวบ่นเบาๆ หากก็ไม่ได้โต้แย้งและไม่ยินยอมให้คนชื่อหวานมาพักที่บ้าน

“แหม ก็นิสัยนี้ทำให้พ่อรักแม่ไม่ใช่หรือคะ”

มนสิชาเอียงคอถามบิดาอย่างน่ารัก แววตาที่ฟร็องซัวมองลูกสาวคลายความเครียดลง อันที่จริงเขาก็ชินเสียแล้วกับนิสัยของภรรยาชาวไทย  แรกเริ่มนั้นเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาคนไทยมาที่นี่จะต้องมาพักที่บ้านยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นผู้หญิงที่มีประวัติไม่น่าคบหา ตอนนั้นเขาลืมไปว่าภรรยาของตนเองแม้เป็นเพียงแค่คนคิดเงินในบาร์หากก็ถูกครหาราวกับเป็นอาชญากร แม่ของมนสิชาทำให้เขาได้เข้าใจว่าไม่ว่าใครก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากไม่มีคนให้โอกาสแล้วชีวิตใหม่จะเริ่มได้อย่างไร เมื่อฟร็องซัวเข้าใจเขาจึงไม่ขัดขวางความช่วยเหลือที่ภรรยามักหยิบยื่นให้หญิงสาวเหล่านั้นอีกเลย ความรู้สึกนั้นลามมาถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาซึ่งมีจิตใจดีไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ แต่ฟร็องซัวก็กลัวว่าหากถึงเวลาที่ลูกสาวต้องเผชิญหน้ากับคำพูดในแง่ร้ายของคนอื่นมนสิชาจะรับมือไหวหรือไม่

 



Don`t copy text!