แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 22 : อยู่กับความกลัวอย่างมีความสุข (จบบริบูรณ์)

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 22 : อยู่กับความกลัวอย่างมีความสุข (จบบริบูรณ์)

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ถึงวันที่ต้องกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง บรรยากาศที่คุ้นเคยยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพของคนไข้ที่นั่งรอคอยด้วยสีหน้าที่หลากหลาย และเจ้าหน้าที่ที่เดินไปมาราวกับสถานที่นี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ความคุ้นชินนี้ทำให้กัลย์กมลรู้สึกอุ่นใจแต่ก็ปนด้วยอารมณ์ที่ย้อนกลับไปในวันที่เธอเองยังต้องเผชิญหน้ากับการรักษา

เช่นเคย จิตบุณย์ยังคงอาสาพาเธอมาและเลือกที่จะรออยู่ด้านนอก ห่างออกมาจากบริเวณที่มีคนไข้และเจ้าหน้าที่ แต่ก็คอยมองมาที่เธอเป็นระยะ ด้วยความเกรงใจไม่อยากขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่จึงยอมถอยมารออย่างสงบ

ส่วนคนที่มาตรวจก็ยังคงทักทายเจ้าหน้าที่ด้วยความคุ้นเคย บรรยากาศภายในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ที่มุมเดิมยังมีคนไข้สวมหมวกนั่งพูดคุยกันเป็นกลุ่ม เหมือนกับในช่วงเวลาที่เธอเคยมารักษาอยู่ทุกสัปดาห์

เมื่อกัลย์กมลนั่งรอเรียกชื่อ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นหูเอ่ยเรียกขึ้น

“หนูดี หนูดีใช่ไหม…”

เธอหันไปพบกับหญิงสูงวัยในชุดเรียบง่าย แววตาอ่อนโยนแต่สดใสแม้เส้นผมจะเริ่มยาวขึ้นมาแล้ว เธอจำได้ดีว่าเป็นป้าสำราญ ถึงภาพความทรงจำจะเคยเป็นป้าสำราญที่ไร้คิ้วและไร้ผมเมื่อครั้งก่อน

“ป้าสำราญ” กัลย์กมลยกมือไหว้แล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เป็นไงบ้างคะ สบายดีไหม”

“สบายดีจ้ะ เมื่อกี้นี้ป้าเกือบจำหนูไม่ได้ เห็นกันแต่ตอนไม่มีคิ้วไม่มีผมนะว่าไหม”

พอได้ยินป้าสำราญพูดเรื่องนั้น หญิงสาวก็หัวเราะออกมาอย่างเป็นสุข

“นั่นสิคะ แต่หนูดีจำเสียงป้าสำราญได้นะ”

“ป้าน่ะจำยิ้มของหนูได้ ตอนนี้ยิ่งยิ้มสวยกว่าตอนนั้นอีก” ป้าสำราญมองหน้ากัลย์กมลด้วยความชื่นชม และเห็นถึงความเปล่งปลั่งสดใสในตัวหญิงสาวที่ดูผุดผาดมากกว่าครั้งก่อน เหมือนกับเธอได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากจนทำให้สีหน้าแววตาดูสว่างไสวยิ่งขึ้น อันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเธอได้ผ่านพ้นอุปสรรคที่หนักหนามาได้อย่างสง่างาม

“ชมแบบนี้ หนูดีเขินนะคะ” แม้จะพูดออกไปอย่างถ่อมตัว แต่เธอก็อดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้ แววตาของเธอเป็นประกายเล็ก ๆ อย่างยินดี แม้จะพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ด้วยรอยยิ้มขี้เล่น แต่ก็ปิดไม่มิดว่าในใจลึก ๆ เธอแอบปลื้มอยู่ไม่น้อย

“พวกเราก็เก่งเหมือนกันนะผ่านกันมาได้ วันก่อนป้าเจอไอ้จงจิตที่ตลาด รายนั้นยังช่างจ้อเหมือนเดิม โอ๊ย…คุยกันเป็นชั่วโมง”

คิดถึงจงจิตหญิงสาวก็ยิ้มออกพอนึกภาพรุ่นพี่ช่างพูดช่างคุย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ต้องเข้าทำเคมีบำบัด

“ว่าแล้วก็คิดถึงพี่จงจิตนะคะ หนูดีได้แต่ทักทายกันในไลน์”

“ว่าแต่หนูเถอะ หมอว่ายังไงบ้าง ไม่ต้องรักษาอะไรอีกไหม”

“ไม่แล้วค่ะ เหลือแค่กินยากับแมมโมแกรมปีละครั้ง” เธอตอบตามสิ่งที่ได้ยินมาจากแพทย์ผู้ตรวจ

“ก็เหมือนไอ้จงจิตแหละนะ”

ทั้งสองคนคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่งอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่เสียงเจ้าหน้าที่จะเรียก

“ป้าสำราญ เชิญหน้าห้องตรวจค่ะ”

“ป้าไปก่อนนะลูก”

“ขอให้แข็งแรงนะคะ”

ป้าสำราญยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป กัลย์กมลรู้สึกได้ถึงความหวังดีและความห่วงใยเหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูลูกหลาน ตอนนี้ทั้งเธอและป้าสำราญต่างพบกับปลายทางที่เต็มไปด้วยความหวัง เหมือนกับได้รับมอบชีวิตใหม่ เป็นรางวัลชีวิตที่เตือนใจให้เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพ ซึ่งเธอสัญญากับตัวเองว่าจะรักษาร่างกายนี้ไว้ให้ดีที่สุด

 

กัลย์กมลนั่งรอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เมื่อหันไปมองก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่น่าจะอายุน้อยกว่าเธอสักหน่อย หญิงสาวมีใบหน้าสวยงาม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแผงขนตายาวโดดเด่น ผมยาวสีดำขลับเป็นประกายเงางามลงมาถึงไหล่ ล้อมรอบใบหน้าอ่อนหวานของเธออย่างพอดี หญิงสาวนั่งลงข้าง ๆ ด้วยท่าทีสุภาพ แต่แฝงความกังวลไว้ในแววตา ราวกับกำลังมองหาความอบอุ่นใจจากใครสักคน

“เป็นคนไข้หมอปิติยารึเปล่าคะ” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยถามเสียงเบา

“ใช่ค่ะ…” กัลย์กมลรับรู้ถึงความลังเลในแววตาของเธอและเตรียมใจจะพูดคุยอย่างเป็นมิตร

“พี่ได้รักษามะเร็งเต้านมไหมคะ” น้ำเสียงของเธอสั่นนิด ๆ คล้ายว่าจะซ่อนความกังวลเอาไว้ไม่มิด

“ค่ะ แต่ตอนนี้รักษาจบแล้ว” เธอตอบรับ และเหมือนว่าคำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตามมาด้วยแววตาของความใคร่รู้

“เป็นยังไงบ้างเหรอคะ พอดีหนูตรวจเจอระยะแรก กลัวมากเลยค่ะ”

คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่กัลย์กมลจำได้ดีว่าเธอเองก็เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน จึงพยายามที่จะให้กำลังใจ

“ไม่ต้องกลัวนะคะ ยิ่งเจอไวยิ่งรักษาได้เร็วค่ะ”

“ตอนที่พี่รักษา มีอะไรที่น่ากลัวไหมคะ หนูกลัวว่าจะแพ้คีโม ได้ยินว่าเคยมีคนตายเพราะแพ้ด้วย” หญิงสาวสารภาพถึงความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ภายในใจ

“พี่ก็เคยกลัวค่ะ แต่ยังไงเราก็ต้องรักษา อย่างน้อยการรักษาก็ทำให้เรามีความหวัง แต่ถ้าเรายอมแพ้ ก็มีแต่รอให้ถึงเวลาเท่านั้น”

“ถูกของพี่นะคะ” คนฟังเห็นด้วย แววตาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรนะคะ ความกลัวเป็นเรื่องปกติ ต่อจากนี้อาจมีเรื่องใหม่ ๆ ที่ต้องเจออีกมาก แต่ถ้าทำตามที่หมอแนะนำ น้องจะผ่านไปได้แน่นอนค่ะ” กัลย์กมลปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความหวังดี

“ขอบคุณนะคะ”

“สู้ ๆ นะคะ พี่เอาใจช่วย ขอให้ผ่านไปอย่างแข็งแรงค่ะ”

กัลย์กมลส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปให้หญิงสาวตรงหน้า และกำลังใจนั้นดูเหมือนจะมีพลังพิเศษที่ช่วยบรรเทาความกลัวในใจของคนที่มองมา รวมถึงผู้ให้เองก็รู้สึกถึงความสุขอย่างลึกซึ้งที่ได้มีโอกาสเป็นแรงใจให้ใครบางคนได้สู้ต่อไปในเส้นทางที่เธอเองเคยผ่านมาก่อน หากหญิงสาวคนนั้นรู้สึกได้ถึงความอุ่นใจจากเธอ กัลย์กมลเองก็จะยิ่งรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ครั้งนี้เธอได้กลายเป็นพลังบวกให้กับคนอื่น

 

หลังจากตรวจเสร็จ กัลย์กมลเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับยิ้มด้วยความสบายใจ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีตามที่หวังไว้ แม้ว่าการรักษาจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เธอก็ยังคงต้องมาตรวจสุขภาพและพบแพทย์เป็นประจำทุกหกเดือน รวมถึงเฝ้าระวังดูแลตัวเองให้แข็งแรงต่อไป การมาพบแพทย์ในครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป หาใช่ความวิตกกังวลอย่างแต่ก่อน แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการเตือนใจให้เธอเห็นถึงความสำคัญของการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วัน

จิตบุณย์ยังคงนั่งรอเธออยู่ที่เดิม เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นกัลย์กมลออกมา ใบหน้าของเขาผ่อนคลายลงเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม

“หน้าตาสดชื่นแบบนี้ ไปเจอเรื่องดี ๆ มาใช่ไหม” เขาถามพลางพิจารณาดูสีหน้าของเธอไปด้วย ว่าตามจริงแล้วกัลย์กมลที่ผมยังซอยสั้นแบบนี้ ก็ทำให้ใบหน้าของเธอดูอ่อนเยาว์ลงกว่าอายุไปหลายปี

“พอดีเจอรุ่นน้องคนใหม่ค่ะ เลยให้คำแนะนำไป” ว่าแล้วเธอก็ยังอดที่จะภูมิใจในตัวเองไปด้วยไม่ได้

“หนูดีกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้วนะ”

จิตบุณย์ว่าพลางโยกศีรษะของหญิงสาวเบา ๆ อย่างเอ็นดู ส่วนคนที่เพิ่งให้คำปรึกษาคนอื่นมาก็ได้แต่ยิ้มแฉ่ง

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ แค่ให้กำลังใจกันเฉย ๆ”

“งั้น วันนี้ไปกินร้านเดิมนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ชายหนุ่มรีบเสนอตัวก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายชิงตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

“โห…ไม่คิดให้หนูดีจ่ายบ้างเลยเหรอคะ”

“ก็เป็นหน้าที่ของแฟนนี่นา” จิตบุณย์พูดพลางยิ้มมุมปาก เป็นอันรู้กันว่าเขากับเธอนั้นคบหากันอย่างเปิดเผยแล้ว

จะมีก็แต่หญิงสาวที่ทำท่าเขินพอเป็นพิธี

“พี่บุ๋น…พูดแบบนี้หนูดีเขินนะ”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ”

“แหม…แต่ก่อนหนูดีเห็นพี่บุ๋นเงียบขรึมตลอด จะมีก็ช่วงหลังนี้แหละค่ะที่สปอยหนูดี บ๊อย…บ่อย” เธอแกล้งล้อเลียนเขา อย่างที่เห็นว่าการได้แซวคนที่เคยคิดว่าเป็นผู้ชายที่เงียบที่สุดในโลกนั้นน่าสนุกจะตาย

ทว่าคราวนี้กลายเป็นว่าเขากลับไม่เขินเสียอย่างนั้น

“ก็แค่อยากลองเป็นหนุ่มคลั่งรักบ้างน่ะ”

“โปรโมชั่นนี้ห้ามเปลี่ยนนะคะ”

“งั้นก็อยู่โหมดนี้จนกว่าผู้ใช้จะเบื่อแล้วกัน”

กัลย์กมลยิ้มกว้างจนตาหยี รอยยิ้มนั้นสว่างไสวและเต็มไปด้วยความสดใส ราวกับจะแข่งกับแสงแดดอ่อน ๆ ยามกลางวัน ใบหน้าเปล่งประกายด้วยความสุขที่ฉายออกมาจากภายใน

เมื่อทั้งสองมาถึงร้าน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความคุ้นเคยเช่นทุกครั้ง กัลย์กมลมองไปรอบ ๆ ร้านด้วยความรู้สึกคิดถึงเล็ก ๆ ความทรงจำต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ทำให้เธอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่จิตบุณย์ก็เดินนำเข้าไปเลือกที่นั่งตรงมุมโปรดของพวกเขา ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้ใจกับการเลือกที่นั่งเดิมที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำดี ๆ หลายอย่าง

“คิดถึงวันแรกที่มากินที่นี่ไหม”

“จำได้สิคะ จุดเริ่มต้นของความกลัวที่สุดในชีวิตของหนูดีเริ่มตั้งแต่วันนั้นเลยค่ะ” เธอยังจำวันนั้นได้ชัดเจน เพราะมันเป็นวันแรกที่เธอต้องเผชิญหน้ากับคำว่า ‘โรคมะเร็งเต้านม’ อย่างใกล้ชิดจริง ๆ ตอนนั้น ความกลัวต่างถาโถมเข้ามาในจิตใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องเข้ามาพบแพทย์เพื่อรักษาโรคนี้ สิ่งที่เคยเป็นเพียงเรื่องไกลตัวหรือได้ยินจากคนอื่น กลายเป็นความจริงในชีวิตของเธอเอง

“แล้วตอนนี้ยังกลัวอยู่ไหม”

“กลัวอยู่ค่ะ” กัลย์กมลยอมรับตามตรง เพราะมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ต้องกลับมารักษาเพราะมะเร็งได้กลับมาอีกครั้ง ทว่าเธอคิดว่าตัวเองนั้นรับมือกับมันได้แล้ว “แต่หนูดีอยู่กับความกลัวได้อย่างมีความสุขแล้ว”

“จริงเหรอ…”

“ต้องขอบคุณป้าดาค่ะ ที่ทำให้หนูดีเข้าใจ ว่าคนเราทุกคนล้วนอยู่กับความกลัวกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเรากำลังกลัวอะไรกันแน่ แล้วแยกแยะว่าเราจะจัดการกับความกลัวนั้นได้อย่างไร เราก็จะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขค่ะ” เธอยังคงรำลึกถึงคำพูดของปรีดาเสมอ และแน่นอนว่าสิ่งนั้นคือแรงใจที่ทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในทุกวัน

“แล้วตอนนี้หนูดีจัดการยังไงล่ะ” เขาถามด้วยความอยากรู้

“หนูดีใช้วิธีเผชิญหน้ากับมันค่ะ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าความกลัวไม่ใช่ความอ่อนแอ ถ้าใช้ให้ถูกทางนี่อาจเป็นแรงผลักดันที่ดีได้ แต่ถ้ามันไม่ส่งผลดีกับเรา เราก็ต้องหยุดแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบันของตัวเอง ทำในสิ่งที่ทำได้ หรือหาสิ่งที่ตัวเองทำแล้วมีความสุข เวลามีสติแล้วค่อยกลับมาแยกแยะว่าความกลัวนั้นเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า แล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับความธรรมดาของชีวิตค่ะ”

เธอตอบอย่างภาคภูมิ พอเห็นว่าเขากำลังฟังอย่างตั้งใจจึงพูดต่อ

“หนูดีเคยกลัวตายมาก ๆ ค่ะ แต่ในวันที่ป้าดาจากไป วันนั้นทำให้หนูดีได้เห็นความจริงว่าชีวิตคนเราก็แค่นี้ ต่อให้กลัวตายแค่ไหน เมื่อวันนั้นมาถึงเราก็แค่หลับไป ไม่เจ็บปวดทรมานหรือรับรู้อะไรอีกแล้ว มีแต่คนที่ยังอยู่นี่แหละค่ะที่ต้องสู้ต่อ”

“หนูดีเก่งมากเลยนะ” จิตบุณย์ชื่นชมเธอจากใจจริง และยินดีอย่างยิ่งที่แม่เขาได้สร้างพลังใจให้กับเธอมากถึงเพียงนี้

“ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ กว่าจะผ่านมาได้ ก็เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างทั้งนั้น”

เขายิ้มรับพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้

“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าหนูดีจะกลัว เพราะต่อจากนี้พี่จะอยู่ข้างหนูดีเอง”

ทั้งสองจับมือกันแน่น สัมผัสนั้นเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ทั้งคู่ต่างยอมรับว่าความกลัวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ติดตัวมนุษย์ทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกลัวนั้นอย่างสงบสุข โดยไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ

แม้จะมีความหวาดหวั่นต่อโรคมะเร็งซึ่งอาจจะไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แต่กัลย์กมลก็เลือกที่จะไม่ให้มันมาบดบังความสุขในชีวิตอีกต่อไป เธอรู้ดีว่าความกลัวเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์ทุกคน แต่หากเรายอมรับมันได้ เข้าใจถึงความเป็นธรรมชาติของมัน และทำให้ความกลัวนั้นเป็นแรงขับเคลื่อนของชีวิต เราก็จะได้พบว่าชีวิตก็ยังมีสิ่งงดงามให้ชื่นชมอีกมาก

 

– จบบริบูรณ์ –

 

Don`t copy text!