
แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 3 : เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด
โดย : จันทร์จร
แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต
“อะไรนะคะ…”
กัลย์กมลแทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเองที่ตอบกลับไป ทันใดนั้นภาพของคนไข้กลุ่มที่เธอเพิ่งเจอก่อนเข้ามาก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ข่าวสารมากมายเกี่ยวกับโรคร้ายนี้ต่างพรั่งพรูเข้ามาในสมอง ความเจ็บปวดทรมานจากการรักษาที่เคยได้ยิน ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกหูอื้อตาลายไปหมด จนไม่รู้ว่าเธอควรจะทำตัวอย่างไรในตอนนี้
“คนไข้…เป็นอะไรไหมคะ มีญาติมาด้วยรึเปล่า”
เสียงถามหาญาติดังขึ้นอาจเพราะสีหน้าของเธอนั้นดูไม่ดีนัก และแม้แต่จะตอบคำถาม กัลย์กมลยังปากสั่นจนควบคุมไม่อยู่
“มะ…ไม่มีค่ะ แล้ว…อยู่ในระยะไหนเหรอคะ” เธอคิดคำพูดเท่าที่พอจะนึกออก อย่างน้อยหากรู้ระยะของโรคมันก็อาจทำให้เธอได้เตรียมใจ
“จากผลการตรวจชิ้นเนื้อยังไม่ลามเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองนะคะ น่าจะอยู่ในระยะแรก ๆ แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ ระยะนี้โอกาสที่จะรักษาหายมีสูงมาก”
ได้ยินดังนั้นกัลย์กมลก็สบายใจขึ้นมา แม้จะไม่ได้มากแต่ก็ยังพอจะทำให้เธอมองเห็นความหวัง ที่อาจจะดูริบหรี่ในตอนนี้
“เดี๋ยวหมอให้คนไข้ไปเจาะเลือดก่อนนะคะ แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องแนวทางการรักษากันต่อ”
พูดจบแล้วแพทย์หญิงก็กดเรียกพยาบาลเข้ามา ก่อนจะสั่งรายการที่กัลย์กมลต้องไปตรวจเพิ่ม แล้วหญิงสาวก็เดินตามพยาบาลคนนั้นออกไปด้วยความรู้สึกเบาโหวง ถึงอย่างนั้นก็พอจะสังเกตสีหน้าประหลาดใจของพยาบาลเมื่อได้เห็นใบหน้าและอายุของเธอ อาจเป็นเพราะโรคร้ายนี้มักเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกัลย์กมลเองก็เชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด กระทั่งได้ยินผลการตรวจจากปากแพทย์เมื่อครู่
เสร็จจากการตรวจเพิ่มเติมแล้ว กัลย์กมลก็กลับมาที่ห้องตรวจด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งในจิตใจ ทั้งมึนงงและสับสนไม่รู้ว่าเธอจะต้องเป็นอย่างไรต่อไป แล้วเธอจะเป็นอย่างคนป่วยโรคมะเร็งที่เคยเห็นผ่านตามาหรือไม่
ที่สำคัญ…เธอจะบอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัวได้อย่างไร
“คนไข้จะตัดเต้านมทิ้งเลย หรือจะผ่าเอาแค่ก้อนเนื้อออกคะ”
คำถามแรกจากแพทย์หญิงทำให้กัลย์กมลรู้สึกตระหนก เพราะเธอเพิ่งรู้เรื่องโรคร้ายนี้ยังไม่ทันไร ก็ต้องตัดสินใจเรื่องต่อไปแล้ว
“ต่างกันยังไงเหรอคะ”
“ไม่ต่างกันค่ะ ถ้าคนไข้เลือกผ่าเต้านมทิ้งก็จะผ่าตัดก่อนแล้วค่อยให้ยาเคมีบำบัด แต่ถ้าคนไข้เลือกจะรักษาเต้านมไว้จะให้ยาเคมีบำบัดให้ก้อนเนื้อเล็กลงก่อนค่อยผ่าตัดค่ะ”
“แล้วตัดทิ้งทั้งสองข้างได้ไหมคะ” กัลย์กมลถามไปด้วยความใสซื่อ เธอไม่อยากเก็บเนื้องอกนี้ไว้นานนัก แต่ถ้าจะต้องกลายเป็นผู้หญิงที่เหลือเต้านมข้างเดียว มันก็ออกจะใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย
ขณะเดียวกันแพทย์หญิงก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้น…เก็บเต้านมไว้ แล้วผ่าแค่เนื้อร้ายออกก็ได้ค่ะ”
ให้คำตอบไปแล้ว เธอก็นั่งคิดถึงการรักษาในขั้นต่อไประหว่างที่ฟังแพทย์หญิงอธิบายแผนการรักษาไปด้วย เท่าที่เข้าใจคือการรักษาจะมีตัวยาสองสูตรซึ่งเรียกตามภาษาของคนไข้ที่นี่ว่ายาน้ำแดงกับยาน้ำขาว หลังจากให้สูตรแรกแล้วจะทำการตรวจเนื้อร้ายว่าลดลงพอที่จะผ่าออกได้หรือไม่ แล้วอาจต้องมีการรักษาด้วยการฉายแสง พร้อมกับทานยาต่ออีกห้าปี นี่คือทั้งหมดเท่าที่กัลย์กมลจะจับใจความได้
“หมอคะ…ขอถามอะไรได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ”
“คือ…อาการต่อจากนี้ จะต้องเป็นยังไงต่อไปเหรอคะ…” เธอพยายามนึกถึงสิ่งที่ต้องเจอ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และผลที่ตามมาจากการรักษา แต่อย่างไรก็ยังนึกภาพไม่ออก
“หมายถึงอาการข้างเคียงใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
“ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด ก็จะมีตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน แผลในปาก ชาปลายมือปลายเท้า ผิวหนังหรือเล็บดำ และที่สำคัญสิ่งที่ต้องเกิดแน่นอนคือผมร่วงค่ะ”
ได้ยินคำว่าผมร่วงกัลย์กมลถึงกับใจหาย ด้วยสิ่งหนึ่งในร่างกายที่เธอภูมิใจก็คือผมยาวสลวยที่ดูแลเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นของรักที่เธอไม่อาจทำใจเสียมันไปได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากแพทย์ผู้ทำการรักษา และนี่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตเลยก็ว่าได้
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เริ่มทยอยออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวยังคงอยู่ระหว่างฝูงชนและไหลไปตามกระแสของคนหมู่มาก ด้วยคำถามที่เกิดขึ้นภายในใจมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อมองดูคนส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลแล้ว กัลย์กมลกลับพบว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องพบกับโรคร้ายนี้ ยังมีคนอีกมากที่ทรมานกับการรักษา การรอคอยความหวังที่จะไม่ต้องเจอกับโรคภัย และเธออาจเป็นเพียงคนหนึ่งที่ได้ตั๋วโรคร้ายนี้โดยไม่เต็มใจเท่านั้น
กัลย์กมลจมอยู่ในภวังค์เป็นนานสองนาน กระทั่งเริ่มตกตะกอนความคิดของตัวเองได้ว่า นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เธอจะมากังวลเรื่องนี้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรหาคนที่เธอสมควรจะบอกเป็นคนแรก
“ว่าไงหนูดี…”
น้ำเสียงห้วนคล้ายกับกำลังวุ่นวายกับอะไรบางอย่างของปลายสายดังตอบกลับมา กัลย์กมลเดาได้ว่าตอนนี้แม่ของเธอกำลังยุ่งอยู่กับงานอย่างแน่นอน
“แม่…หนูดีรู้ผลตรวจแล้วนะ”
“อือ…แล้วหมอว่ายังไงบ้าง”
ดลฤดียังคงไม่ได้ใส่ใจว่าลูกสาวของเธอจะโทรมาด้วยเรื่องอะไร ซึ่งนั่นกัลย์กมลไม่เคยถือสา เพราะสำหรับแม่เธอแล้ว หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริง ๆ คงยากที่จะละสายตาจากงานมาคุยกันได้
“คือ…” หญิงสาวอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูดความจริงออกมา “หนูดีเป็นมะเร็งเต้านมค่ะแม่”
สิ้นเสียงของเธอ ปลายสายก็เงียบไปพักใหญ่ จนกัลย์กมลได้ยินเสียงอื่นแทรกเข้ามาอย่างชัดเจน วินาทีนั้นเธอรับรู้ถึงความสงัดและเย็นเยือกอันยาวนานเหมือนชั่วกัลปาวสาน กระทั่งได้ยินเสียงจากดลฤดีอีกครั้ง
“รออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวแม่จะไปรับเรากลับบ้านเอง”
สิ้นประโยคนั้น หญิงสาวก็กดวางสาย เธอรับรู้ถึงความเป็นห่วงที่อยู่ใต้น้ำเสียงแข็งของแม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าเธอจะอายุเท่าไรก็ตาม
กัลย์กมลยังคงรอให้แม่มารับด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้องตรวจนั้นยังอื้ออึงอยู่ในหัว จนเธอเริ่มสังเกตว่านี่คงเป็นเวลาเลิกงานของโรงพยาบาลแล้ว ดูได้จากที่บุคลากรต่างเดินกันขวักไขว่ แม้บางแผนกจะเหลือคนไข้บางส่วนก็ตาม กัลย์กมลนั่งมองผู้คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องของตัวเองผ่านไปผ่านมาคนแล้วคนเล่า เธอเห็นทั้งความเจ็บป่วย ความทรมาน การรอคอยอย่างไม่มีสิ้นสุด การร่ำร้องหาความหวังแม้จะหมดหวังไปแล้ว ความโศกศัลย์เมื่อสูญเสียคนรัก ความปรีดาเมื่อมีสมาชิกใหม่ ความท้อถอยต่อสังขารที่เสื่อมลง หรือแม้แต่ความรำคาญใจต่อบุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งหมดนี้ต่างพบได้ในการนั่งอยู่ที่โถงของโรงพยาบาลเพียงแค่ไม่นานเท่านั้น
แล้วเธอล่ะ…ต่อจากนี้เธอจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหนของคนเหล่านี้
ในขณะที่กัลย์กมลกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับกลุ่มคนต่าง ๆ อยู่นั้น ก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ตัวแล้ว
“หนูดี ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
หญิงสาวแว่วเสียงหนึ่งจากด้านหลัง พอหันไปจึงได้เห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เพิ่งจากกันไปเมื่อตอนกลางวัน กำลังยืนทำหน้าคล้ายจะตั้งคำถามกับการมีอยู่ของเธอที่โรงพยาบาลในตอนนี้
“ยังค่ะ กำลังรอแม่มารับ”
จิตบุณย์ได้รับรอยยิ้มพร้อมคำตอบกลับมา ทว่าสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือ มุมปากที่ยกขึ้นกับรอยบุ๋มตรงแก้มนั้น ช่างจืดจางไร้ซึ่งความยินดีใด ๆ อันต่างจากเมื่อกลางวันราวกับเป็นคนละคน หากจะว่ากันตามตรง ยิ้มที่ได้รับเหมือนเป็นการปกปิดอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เสียมากกว่า
“กลับกับพี่ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่คงออกมาแล้ว”
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ จิตบุณย์เองก็รับรู้ได้ว่าเวลานี้เธอคงต้องการเจอดลฤดีมากกว่าใคร จึงตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ
“งั้น…พี่นั่งคอยเป็นเพื่อนนะ”
ด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มจึงวิสาสะนั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ กับเธอ ขณะเดียวกันกัลย์กมลเองก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธ อาจเพราะเธอเองก็ต้องการใครสักคนมาช่วยระงับความสับสน และอารมณ์ที่อ่อนไหวในตอนนี้
“ก็ดีค่ะ กำลังอยากได้เพื่อนคุยพอดีเลย”
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” เขาเอ่ยถาม เพราะถ้าเทียบกับตอนกลางวันแล้ว หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเขานั้นช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
กัลย์กมลนิ่งไป ไม่รู้ว่าเธอควรสนทนากับเขาอย่างตรงไปตรงมา หรือว่าควรเก็บซ่อนความไม่สบายใจเอาไว้ แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้กลับอ่อนแอเกินกว่าจะแสร้งว่ามีความสุข ทั้งที่ใจยังคงเป็นทุกข์ด้วยสิ่งที่ได้รับรู้มา
“หนูดีไม่รู้ว่าจะบอกพี่บุ๋นยังไงดีเหมือนกันค่ะ”
“ถ้ามันทำให้ไม่สบายใจ…ก็แค่บอกมา พี่ช่วยรับฟังได้”
เขายิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน คล้ายกับจะปลอบประโลมอยู่ในที กัลย์กมลผู้ไม่อาจฝืนรั้งความอึดอัดเอาไว้ได้ ที่สุดแล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริง
“หนูดีเป็นมะเร็งค่ะ”
เป็นอีกครั้งที่สิ้นคำพูดของเธอแล้ว ความเงียบอันแสนเยือกเย็นก็เข้ามาครอบคลุมทุกอย่างไว้ เหมือนดั่งเข็มเวลาจะหยุดเดิน เสี้ยววินาทีนั้นรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของคำพูดที่เปล่งออกไป คล้ายกับเป็นคำต้องห้ามที่เมื่อใครได้ฟังก็จะต้องมีสีหน้างงงันไปชั่วขณะ จนกัลย์กมลแอบรู้สึกผิดที่บอกความจริง
แม้ชั่วเวลาที่เธอคิดว่ายาวนานนักหนานั้น มันจะเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีในความเป็นจริงก็ตาม
“เล่าต่อสิ พี่อยากรู้”
สารภาพว่ากัลย์กมลไม่คิดมาก่อนว่าจิตบุณย์จะมีท่าทีกับเธอเช่นนี้ ช่วงเวลานับตั้งแต่ออกจากห้องตรวจ เธอได้เห็นสายตาจากเจ้าหน้าที่ที่ทราบเรื่องโรคร้าย หรือแม้แต่คนไข้ด้วยกันที่แอบได้ยิน ทุกคนต่างมองเธอด้วยความฉงน และตามมาด้วยความสังเวชใจที่คนอายุน้อยอย่างเธอต้องมาเจอกับโรคร้าย ซึ่งจิตบุณย์น่าจะเป็นคนแรกที่ไม่ได้มองเธอเช่นนั้น
ชายหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวข้างบ้านเล่าถึงโรคร้ายที่เธอกำลังเผชิญอย่างตั้งใจ แม้จะตกใจอยู่ในทีแรกว่าคนที่ดูแข็งแรงอย่างกัลย์กมลไม่น่าจะต้องเจอโรคนี้ได้ แต่เท่าที่ฟังอาการที่เธอเป็นก็นับว่าอยู่ในช่วงระยะแรก ๆ เท่านั้น และที่สำคัญจากที่เคยรู้จักกันมานาน แม้จะเป็นเขาฝ่ายเดียวที่เฝ้ามองเธอ เขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างกัลย์กมลจะยอมสยบต่อโรคนี้ง่าย ๆ
“ถือว่าโชคยังเข้าข้างอยู่นะที่หนูดีเจอตอนระยะนี้ เพราะถ้านานไปจะรักษายากขึ้น”
คนที่ได้ฟังก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไปก็ตาม
“ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละค่ะ แต่ก็นะ…อยู่ ๆ ก็เป็นโรคร้าย ได้ยินตอนแรกก็รู้สึกแย่นิดหน่อย” ริมฝีปากบางยกมุมขึ้นเล็ก ๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูยินดีสักเท่าไร
จิตบุณย์ไม่อยากจะบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอทั้งหมด อาจเพราะเขาไม่ได้เป็นคนต้องเผชิญโรคนี้ด้วยตัวเอง ได้แต่รับรู้จากการดูแลแม่มาหลายปี ทว่าสิ่งหนึ่งที่อยากทำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ก็คือ การให้กำลังใจกับเธอแม้จะเป็นแค่สิ่งเล็กน้อยก็ตาม
“ถือว่าหนูดีเข้มแข็งมากเลยนะที่กล้ามาตรวจ ไม่เก็บความสงสัยเอาไว้คนเดียว แล้วก็เก่งมากด้วยที่ยอมรับกับโรคนี้แล้วคิดจะสู้กับมัน”
“มาถึงตอนนี้ ไม่สู้คงไม่ได้หรอกค่ะ หนูดีไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย” กัลย์กมลถ่อมตัว ด้วยในใจก็คิดว่าเธอไม่อาจเลือกได้ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรคนี้ แต่ในเมื่อต้องเจอกับมันแล้ว จะให้ยอมแพ้หรือท้อถอยในทันทีมันก็ยังไม่ใช่เวลา
“นั่นแหละ พี่นับถือใจหนูดีมากเลยที่ยังนิ่งและครองสติได้จนถึงตอนนี้ เป็นพี่เองอาจวิ่งไปตะโกนดัง ๆ ที่ไหนแล้วก็ได้” เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความเข้มแข็งของหญิงสาว เป็นเขาอาจจะสติแตกไปก่อนกว่าจะมานั่งยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ แม้แต่ตอนรับรู้เรื่องของแม่ก็มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด
“พี่บุ๋นก็…” กัลย์กมลหัวเราะออกมา เพราะดันไปนึกถึงภาพชายร่างสูงใหญ่วิ่งโวยวายไปมา คิดแล้วคงเป็นภาพที่ชวนหัวอยู่ไม่น้อย และนั่นก็พอทำให้อารมณ์ของเธอรู้สึกดีขึ้นมาก “ขอบคุณนะคะที่รับฟัง รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”
“ต่อไปนี้ก็เตรียมตัวรับการรักษาล่ะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ พี่พอมีประสบการณ์จากแม่อยู่บ้าง”
ชายหนุ่มเสนอตัว ซึ่งมิตรภาพจากเพื่อนบ้านนี้ก็พอจะทำให้กัลย์กมลมีกำลังใจขึ้น
“นั่นสิ…” เธอยอมรับว่าสิ่งสำคัญต่อไปนี้คือการเตรียมตัวสำหรับการรักษา ว่าแล้วก็อดที่จะนึกถึงผลกระทบที่หมอบอกไม่ได้ จึงได้เผลอใช้มือลูบผมยาวที่เธอแสนรักนักหนาด้วยความเศร้าใจเล็ก ๆ ที่อีกไม่นานจะต้องจากกันแล้ว “จะเสียดายก็ตรงที่ผมจะร่วงหมดเนี่ยแหละ อุตส่าห์ไว้มาตั้งนาน”
จิตบุณย์มองดูผมยาวดำขลับเป็นเงาวับและเห็นจริงอย่างที่กัลย์กมลว่า ผมของเธอนั้นต่อให้ไม่ต้องเป็นคนรักสวยรักงามก็รู้ว่าได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี ด้วยความยาวที่สม่ำเสมอไม่เห็นแม้แค่ผมชี้ฟูสักเส้น ต่อให้เขาที่ไม่ใช้เจ้าของเรือนผมนี้ แค่คิดว่าจะต้องตัดทิ้งยังรู้สึกเสียดาย ไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าของผู้เฝ้าถนอมมานานนั้นจะรู้สึกอย่างไร
“ลองตัดไปบริจาคให้เขาทำวิกสิ” เขาลองแนะนำเท่าที่จะนึกออก และเห็นว่าสีหน้าของเธอที่เหมือนคนอยู่ในความมืดเมื่อครู่ กลับสดใสคล้ายจะแลเห็นทางสว่างขึ้นมา
“ได้เหรอคะ…”
“ได้สิ พี่เคยเห็นผ่านตาว่ามีที่รับบริจาคเพื่อทำวิกผมให้ผู้ป่วยมะเร็งอยู่”
“ดีจัง…อย่างน้อยก็ดีกว่าเสียผมไปเปล่า ๆ”
กัลย์กมลยิ้มกว้าง เอาเป็นว่าการสูญเสียผมอันเป็นที่รักไปนั้นก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว เพราะเธอยังสามารถส่งต่อความสวยงามนี้ไปได้ นึกดูแล้วก็ยังดีกว่าปล่อยให้ถูกตัดทิ้งไปเฉย ๆ พอได้ยินจิตบุณย์ชี้แนะแนวทางให้ ความโล่งใจก็เข้ามาทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก
ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง กระทั่งมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พอกัลย์กมลล้วงเข้าไปในกระเป๋าก็พบว่าดลฤดีแม่ของเธอโทรหา นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว
“แม่มารับแล้ว งั้น…หนูดีไปก่อนนะคะ”
“อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เธอ และมองหญิงสาวจัดแจงสัมภาระของตัวเองอย่างรวดเร็ว และกัลย์กมลก็ส่งยิ้มกว้างเป็นการบอกลาเขาอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อย ๆ เลือนหายไปตามคลื่นของคนที่พลุกพล่านไปมา พอลับสายตาไปแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างประหลาดกับเรื่องที่เธอได้เจอ ใครจะไปคิดว่าคนอายุน้อยกว่าเขาจะต้องมาเผชิญกับโรคร้ายไวเช่นนี้
และในตอนนี้เองที่จิตบุณย์ได้ตั้งปณิธานอยู่ในใจ ไม่ว่าจะหนทางไหน หากเขาสามารถช่วยแบ่งเบาความหนักหน่วงของกัลย์กมลได้ เขาก็ยินดีจะทำ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 5 : ของรักสุดใจ
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 4 : ใคร ๆ ก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 3 : เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 2 : คาเฟ่ในโรงพยาบาล
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 1 : อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง
- READ แด่หัวใจที่เป็นสุข : บทนำ