แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 9 : จะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 9 : จะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

วันเวลาผ่านมาจนถึงวันนัดหมายอีกครั้ง หลังจากที่กัลย์กมลผ่านการทำเคมีบำบัดสูตรแรกจนครบ เธอก็พบว่าร่างกายของตัวเองนั้นอ่อนแรงลงมาก แต่ใจของเธอยังคงคาดหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ขณะที่ยังต้องตรวจบางอย่างเพิ่มเติมก่อนที่การผ่าตัดจะมาถึง และความกังวลก็ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในใจของเธออย่างเงียบงัน

เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องตรวจ กัลย์กมลก็ค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปและพบกับแพทย์หญิงปิติยาที่กำลังรอเธออยู่ และพอเห็นแพทย์ผู้รักษากัลย์กมลก็คลายความกังวลลงเล็กน้อย แต่ในใจก็ยังคงหวั่นไหวกับสิ่งที่จะต้องรับรู้

“ตอนนี้ก้อนเนื้อเล็กลงมากเลยนะคะคนไข้ เหลือแค่นิดเดียว จากผลที่ส่งมาเหลือขนาดแค่สองมิลฯเอง” เสียงของแพทย์แสดงให้เห็นถึงความหวัง ขณะที่สายตายังคงจ้องมองผลการตรวจซ้ำที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“จริงเหรอคะหมอ ดีจังเลยค่ะ” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายของความดีใจ ที่อย่างน้อยความอดทนต่อการรักษาของเธอก็แสดงให้เห็นถึงผลที่คุ้มค่า

“ใช่ค่ะ ถือว่าเป็นข่าวดีทีเดียว เดี๋ยวเราจะนัดวันผ่าตัดกันนะคะ”

พอได้ยินคำว่าผ่าตัด มันเหมือนกับความหนาวสะท้านที่พัดผ่านตัวเธอ กระตุ้นความหวั่นวิตกที่ยังคงเก็บซ่อนไว้ภายใต้รอยยิ้ม เพราะนั่นเป็นอีกสิ่งที่เธอยังคงเกรงกลัวอยู่ลึก ๆ

“ได้เวลาผ่าแล้วเหรอคะ”

“ใช่ค่ะ คนไข้พร้อมนะ”

“ก็ยังกังวลนิดหน่อยค่ะ” กัลย์กมลยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้า

“เป็นเรื่องปกติค่ะ” แพทย์หญิงปิติยาส่งยิ้มเป็นการให้กำลังใจ พร้อมกับส่งแผ่นกระดาษที่เขียนอะไรลงไปมากมายให้กับเธอ “เดี๋ยวหมอจะส่งคนไข้ไปตรวจเพิ่มเติม เพื่อเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัดนะคะ”

 

กัลย์กมลเดินออกมาจากห้องตรวจ พร้อมกับการหายใจที่เหมือนจะเริ่มปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง ทว่าความกังวลที่ยังแฝงตัวอยู่ก็ยังไม่จางหาย เธอไม่เคยผ่าตัดมาก่อนในชีวิต แต่ดันได้ยินเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับสิ่งนั้นเสียมากมาย จะทำอย่างไรภาพในหัวก็ยังแสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี

และระหว่างที่เธอกำลังเดินออกมานั้น ป้าสำราญที่กำลังนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจก็ร้องทักขึ้นมา เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะไม่เห็น

“อ้าว ไม่ได้ทำคีโมเหรอหนู” หญิงชราทัก ด้วยไม่เห็นเธอถือสมุดทำเคมีบำบัดเหมือนเช่นทุกครั้ง

คนถูกทักหันไปเห็นหมวกผ้าลายดอกอันเป็นเอกลักษณ์ของป้าสำราญ เธอจึงส่งรอยยิ้มอ่อน ๆ ให้

“ไม่ค่ะป้า หมอให้ไปตรวจเพิ่มเพื่อเตรียมผ่าตัด”

“ผ่าไปก็ดีลูก จะได้เอามันออกไปสักที” ป้าสำราญให้กำลังใจเธอ

“แต่หนูดีไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดมาก่อน ก็เลยยังกลัวอยู่หน่อย ๆ ค่ะ” เธอตอบด้วยความกังวลในใจยังไม่จางหายไปไหน

และพอได้ยินเธอตอบแบบนั้น หญิงชราก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูอยู่ในที

“ไม่ต้องกลัวหรอกลูก ของป้าก็ผ่าเอานมออก ทีแรกป้าก็กลัวเหมือนกัน แต่พอถึงเวลาผ่าจริง หลับแป๊บเดียว ตื่นมาก็เสร็จแล้ว ง่ายกว่าที่คิดเยอะ”

“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เธอถามอย่างคนที่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง

“ใช่ลูก ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยเชื่อป้าเถอะ หมอปิติยาเขาเก่งนะ ป้าว่า…ทำคีโมยังน่ากลัวกว่าผ่าตัดตั้งเยอะ” ป้าสำราญพูดอย่างมั่นใจ

พอฟังสิ่งที่ป้าสำราญพูด กัลย์กมลก็เริ่มยิ้มออกมาได้ และรู้สึกเหมือนกับในใจที่มันยังหนักอึ้งอยู่เมื่อครู่จะเริ่มเบาลงบ้างแล้ว ถึงความกลัวจะยังอยู่ แต่กำลังใจจากผู้ที่เคยผ่านมันมาก่อนก็ช่วยปลอบใจเธอได้อย่างมาก

 

ตกค่ำนี้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีสายลมพัดผ่านหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าบ้าน กัลย์กมลเงยหน้ามองท้องฟ้า ที่ซึ่งมีแสงพร่างพราวจากดวงดาวเหมือนเพชรเม็ดเล็ก ๆ ประดับบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท ที่ขอบฟ้าตรงนั้นคือดวงจันทร์ที่ยังไม่เต็มดวง โดดเด่นท่ามกลางความงดงามของหมู่ดาว

แต่ในขณะเดียวกันนั้น กัลย์กมลก็เคยได้ยินใครคนหนึ่งบอกว่าดวงดาวที่เราเห็นในตอนนี้ แท้จริงอาจดับแสงไปแล้ว แต่ที่เรายังเห็นเพราะแสงใช้เวลาเดินทางนานกว่าจะมาถึงโลก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าจักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คงเหมือนเธอที่ตอนนี้เป็นเหมือนดวงดาวเล็ก ๆ ที่หากมองจากโลกก็คงยังเห็นประกายอันโชติช่วง แต่ใครจะรู้ว่าในความจริงเธออาจกำลังจะดับลง และถูกกลืนหายไปในจักรวาลเมื่อไรก็ได้

และความคิดของหญิงสาวก็พลันสะดุดลงเมื่อมีเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากรั้วบ้านข้าง ๆ

“หนูดี…”

เธอหันไปตามเสียงและเห็นเงาตะคุ่มของชายหนุ่ม ก่อนที่ศีรษะของเขาจะโผล่พ้นรั้วขึ้นมา พร้อมกับสีหน้าที่ค่อนข้างประหลาดใจ

“พี่บุ๋น…” เธอเอ่ยเรียกเขาและยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะที่กำลังมองเขาเดินเลาะรั้วเข้ามาใกล้กับตรงที่เธอนั่งอยู่

“มานั่งทำอะไรเงียบ ๆ พี่ตกใจหมดเลย”

“มารดน้ำทานตะวันแคระค่ะ” กัลย์กมลตอบพร้อมกับชี้ให้เขาเห็นต้นทานตะวันแคระที่เขาแยกต้นอ่อนใส่กระถางมาให้ จะว่าไปการดูแลต้นไม้เล็ก ๆ ต้นนี้กลับทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง “พี่บุ๋นรู้ไหมคะว่าอีกกี่วันถึงจะออกดอก”

“พี่เคยอ่านว่าสองเดือนหลังจากปลูกนะ” เห็นเธอถามอย่างตั้งใจ เขาเองก็พอรู้มาบ้างจากการค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตและถามจากคนขายเมล็ดพันธุ์

“นี่ก็น่าจะผ่านมาเกือบเดือนแล้วนะคะ ตั้งแต่ที่พี่บุ๋นลงปลูกวันนั้น” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความหวังเล็ก ๆ ในใจว่าเธอเองก็คงจะได้เห็นความสวยงามของดอกทานตะวันจิ๋วในไม่ช้านี้

“นั่นสิ…พี่ก็อยากให้แม่เห็น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง ดวงตานั้นฉายความเศร้าออกมา เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเงียบงัน อันเป็นสิ่งที่รู้กันดีแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ย

แน่ทีเดียวว่ากัลย์กมลรู้ถึงสิ่งนั้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกาลเวลา เรื่องของปรีดาแม่ของเขา เพื่อนบ้านที่แสนดีตลอดเวลาที่รู้จักกันของเธอ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงประคับประคองไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย และความเจ็บปวดนี้เธอเองก็เข้าใจ ด้วยตัวเองก็กำลังเผชิญแม้อาจจะเป็นระยะที่ไม่อันตราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะยังมั่นคงแบบนี้ตลอดไป

“วันนี้ดูเครียด ๆ นะคะ” ความเป็นห่วงของหญิงสาวถูกถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ก็นะ…ออกจากโรงพยาบาลมา อาการของแม่ก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร” จิตบุณย์เปิดใจโดยไม่คิดปิดบัง ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ต้องการใครสักคนที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้โดยไม่ต้องกักเก็บ

“แล้วตอนนี้ป้าดาเป็นไงบ้างคะ” กัลย์กมลถามต่อ

“หลับไปแล้วล่ะ”

คำตอบสั้น ๆ มาพร้อมกับเสียงระบายลมหายใจออกมายืดยาว กัลย์กมลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง หวังอย่างลึก ๆ ว่าจะมีดาวตกสักดวงเพื่อให้เธอขอพร ขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับปรีดา แต่น่าเสียดายฟ้าคืนนี้กลับไม่มีดาวตก มีเพียงพระจันทร์เสี้ยว และดาวดวงอื่น ๆ พร่างพราวเต็มฟ้า

“ไปเดินเล่นกันไหมคะ” เธอเอ่ยชวนด้วยความหวังในใจว่าจะช่วยผ่อนคลายความทุกข์ใจของอีกฝ่ายได้บ้าง รวมถึงขจัดความขุ่นใจของเธอไปด้วย

“ก็ดีเหมือนกันนะ”

จิตบุณย์ยิ้มให้กับกัลย์กมลก่อนจะพากันเดินออกไปตามถนนในหมู่บ้าน ความเงียบระหว่างทั้งสองไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หากแต่เป็นความสบายใจที่ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ เพราะบางครั้ง…การได้อยู่กับคนที่เข้าใจความเจ็บปวดเหมือนกัน ก็เพียงพอที่จะบรรเทาหัวใจ

 

ตอนหัวค่ำเช่นนี้พื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านนั้นเริ่มสงบ แสงไฟจากเสาไฟข้างถนนส่องสว่างเป็นช่วง ๆ ช่วยไล่ความมืดออกไป สนามหญ้าที่ครึกครื้นอยู่ช่วงเย็นเหลือคนไม่มากนักที่มานั่งพักผ่อน ไม่มีเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นเหมือนในช่วงเย็น จะมีก็แต่เสียงพูดคุยเบา ๆ กับเสียงแมลงกลางคืนที่เริ่มขับขานเท่านั้น

กัลย์กมลเดินไปนั่งที่ชิงช้าที่ตั้งอยู่ตรงมุมของสนาม เธอลองจับโซ่ที่แขวนชิงช้ารับรู้ถึงความเย็นที่ผ่านมือเข้ามา ก่อนจะไกวเบา ๆ ด้วยความคิดถึงวัยเด็กของตัวเอง

“วันนี้อากาศดีนะคะ นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่หนูดีไม่ได้มาเล่นชิงช้า”

จิตบุณย์มองใบหน้าขาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เป็นความสุขอันแสนสงบท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจ เขาเดินเข้าไปที่ด้านหลังของเธอ ก่อนจะจับตรงโซ่เหนือมือเล็ก ๆ

“มา พี่ไกวให้” เขาเสนอตัวโดยไม่ต้องรอให้เธอร้องขอ พอเธอเงยหน้าขึ้นมามอง จิตบุณย์ก็มองตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังคงประทับอยู่ “รู้ไหม…พี่ไม่เคยไกวชิงช้าให้ใครเลย หนูดีเป็นคนแรก”

ฝ่ายคนที่ถูกไกวก็มองตรงไปข้างหน้า และอมยิ้มด้วยความเขินอาย หัวใจที่เต้นอย่างสงบอยู่เมื่อครู่เริ่มสั่นสะท้านอย่างไม่ตั้งใจ

“ขอบคุณนะคะ”

จิตบุณย์ค่อย ๆ ไกวชิงช้าให้เธอด้วยแรงไกวที่ไม่มากจนเกินไป คล้ายกับตั้งใจให้หญิงสาวได้ลอยละล่องไปอย่างเชื่องช้า สัมผัสถึงลมเย็นที่พัดผ่านทุกครั้งที่ชิงช้าเคลื่อนไหว ภายในใจของชายหนุ่มรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็พยายามเก็บงำมันไว้เงียบ ๆ เพราะยังไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้เธอ

ส่วนกัลย์กมลเองก็เช่นกัน แม้หัวใจเธอจะรู้สึกเช่นเดียวกัน และก็พอเดาได้ว่าเขาเองก็คงจะรู้สึก แต่ด้วยสถานการณ์ที่เธอกำลังต่อสู้กับโรคร้าย ความรักจึงกลายเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากคิดถึงในเวลานี้ จึงขอเก็บความฉ่ำชื่นหัวใจในบางเวลา…เพียงเท่านี้ก็เป็นสุขสำหรับเธอแล้ว

และหลังจากเงียบกันไปสักพัก ต่างคนก็ต่างตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกกดดันที่ไม่อาจบอกความนัยได้ สถานการณ์นี้เป็นเรื่องที่ต่างเข้าใจกันดี จึงมีแต่ความอึดอัดภายใต้ความเงียบเท่านั้น

“อืม…หนูดีว่า เราสองคนน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจเหมือนกันใช่ไหมคะ”

คนกำลังไกวชิงช้าพยักหน้าช้า ๆ แน่นอนว่าเธอไม่เห็น แต่เขาก็ยอมรับออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ก็ใช่แหละ”

“งั้น…หนูดีให้พี่บุ๋นเล่าก่อนดีกว่า” เธอเสนอขึ้น

เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มพูด

“จะเริ่มยังไงดีล่ะ… คือ…แม่พี่เขาพร้อมที่จะไปแล้วนะ”

ได้ยินที่เขาบอกกัลย์กมลรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ เธอไม่กล้าที่จะนึกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ถึงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อเป็นอย่างดีก็ตาม

“…หมายถึงอะไรเหรอคะ” ดวงตาของหญิงสาวว่างเปล่า ได้ยินเสียงถอนหายใจของคนข้างหลังดังยาวนาน พร้อมกับรับรู้ได้ถึงความหนักหน่วงของสิ่งที่เขากำลังเผชิญ

“ตอนนี้แม่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะหยุดการรักษาดีหรือเปล่า แต่แม่ก็เซ็นหนังสือไม่รับการรักษาเพื่อยื้อชีวิตแล้ว ถ้าแม่ไม่รักษาแล้วก็คงตั้งใจจะกลับมาอยู่บ้าน ไม่ไปหาหมออีก”

กัลย์กมลหลับตาลง เธอรับรู้ถึงความหน่วงในใจ นอกจากความรู้สึกใจหายที่อาจสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว สุดท้ายนี่ก็คืออีกหนึ่งปลายทางสำหรับคนที่กำลังเผชิญกับโรคร้าย พลอยให้เธอเริ่มคิดถึงการรักษาของตัวเอง และความกลัวที่เธอต้องเผชิญด้วยเช่นกัน

“หนูดีไม่คิดเลยว่าป้าดาจะเข้มแข็งขนาดนี้” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“พี่ไม่รู้จะเรียกว่าเข้มแข็งหรืออะไรดี เพราะพี่ก็ไม่พร้อมที่จะเสียแม่ไป” เขาไม่คิดจะปิดบังความจริงกับเธออีก แม่เขายอมรับทุกอย่างได้ แต่คนที่ต้องอยู่ต่ออย่างเขาจะทำใจได้อย่างไรกัน

“ไม่หรอกค่ะ ป้าดาต้องตัดสินใจนานมากเลยถึงได้เลือกทางนี้ เป็นหนูดีคงรับไม่ได้แน่” กัลย์กมลพูดด้วยความชื่นชมและรับรู้ถึงความเข้มแข็งของปรีดา จากการที่อีกฝ่ายต้องต่อสู้กับโรคนี้มาหลายปี นี่คงเป็นหนทางสุดท้ายแล้วที่จะเลือกให้กับตัวเองได้

ส่วนคนที่ยังไม่อาจทนรับการสูญเสียได้ก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าสักวันมันต้องมาถึง แต่ตอนนี้จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ที่เขาจะขอรับความสุขตรงนี้เพียงชั่วคราวก็ยังดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย

“ว่าแต่หนูดีเถอะ ไม่สบายใจเรื่องอะไร”

คนที่กำลังแกว่งไกวตัวเองไปตามแรงของชิงช้าถอนหายใจ แล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกออกมา

“หนูดีกำลังจะผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกค่ะ”

“พี่ว่าก็ดีนะ ทำไมถึงเครียดล่ะ”

“พี่บุ๋นเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับคนที่เข้าผ่าตัดแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยไหมคะ หนูดีกลัวเรื่องนั่นแหละ” เธอยอมสารภาพความกลัวที่เกาะอยู่ในใจมาตลอด คงต้องโทษความอยากรู้เลยพยายามค้นหา กระทั่งเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่เธอดันจดจำได้แต่เรื่องร้ายนี่สิ

“มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะหนูดี พี่เคยผ่าตัดไส้ติ่ง ทุกอย่างผ่านไปไวมากเลย”

“หนูดีก็พยายามจะไม่กลัวอยู่ค่ะ แต่มันห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างมันวนเวียนอยู่ในหัวตลอด พอเห็นคนที่กำลังทรมานกับโรคนี้ กับคนที่สู้โรคนี้ไม่ชนะ หนูดีก็กลัวค่ะ…กลัวว่าตัวเองจะสู้ไม่ได้ กลัวจะแพ้…” น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ ความวิตกภายในใจพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้ตัว

คนฟังได้แต่นิ่งเงียบ เขารู้สึกถึงความกลัวในใจเธอ เขาเข้าใจมัน เพราะเขาเองก็กลัวเช่นกัน

“ที่เมื่อกี้พี่บุ๋นบอกว่าป้าดาพร้อมที่จะไปแล้ว…” กัลย์กมลพูดต่อ น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความเศร้าและความหวาดหวั่น “หนูดีก็อยากรู้ค่ะ ว่าคนที่ไม่กลัวความตาย เขาทำยังไงถึงทำใจกับเรื่องนี้ได้คะ หนูดีอยากเป็นแบบนั้นบ้าง จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะกลัวว่าตัวเองจะจากทุกคนไป”

น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มนวล เธอร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่เคยคิดทำมาก่อน ด้านจิตบุณย์ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงหยุดไกวชิงช้า แล้วก้มลงกอดเธอจากด้านหลังด้วยความแนบแน่น โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ เพียงแค่การอยู่ข้าง ๆ ก็พอที่จะให้เธอรับรู้แล้วว่าเขาต้องการปลอบประโลมใจที่กำลังสั่นไหว

“ขอบคุณนะคะที่อยู่เป็นเพื่อนหนูดี” เธอบอกพร้อมกับอิงศีรษะไปซบกับไหล่กว้างแล้วหลับตาลง รวมถึงทิ้งความอ่อนแอและขลาดกลัวลงไว้ ณ สถานที่แห่งนี้

หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งคู่จึงเดินกลับบ้านด้วยกัน ความเงียบระหว่างทางนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดเลย แต่กลับเป็นความสบายใจที่เกิดจากความเข้าใจในกันและกัน จิตบุณย์ยื่นมือไปจับมือเธอเบา ๆ กัลย์กมลจับมือเขาตอบ แบ่งปันกำลังใจให้กันผ่านความอบอุ่นที่ผสานเข้าหากันอย่างเงียบงัน

เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านของชายหนุ่ม จิตบุณย์หยุดเดินแล้วหันมาหาเธอ

“รอตรงนี้เดี๋ยวนะหนูดี”

เขาพูดก่อนจะรีบเดินเข้าบ้านของตัวเอง ไม่นานนักก็กลับออกมาพร้อมกับหมวกสีชมพูอ่อน แล้วยื่นมันให้กับเธอ

“ให้หนูดีอีกแล้วเหรอคะ” เธอถามด้วยความประหลาดใจ

“เอาไว้ใส่วันผ่าตัดนะ พี่คงไปเยี่ยมไม่ได้ แต่อยากให้รู้ว่าพี่จะเป็นกำลังใจให้หนูดีเสมอ” เขามองตาเธออย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันเธอเองก็สบตาเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“ขอบคุณค่ะ” กัลย์กมลรับหมวกมาและ สวมหมวกใหม่ด้วยความรู้สึกที่พองโตอยู่ในใจ

หมวกบีนนี่ใบนี้เป็นของขวัญที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่สำหรับเธอ มันเต็มไปด้วยความหมายที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกที่ก่อตัวในใจไม่ใช่แค่ความสุขธรรมดา แต่คือความตื้นตัน ความอบอุ่นใจ พร้อมกับความหวังเล็ก ๆ ที่จิตบุณย์ได้มอบให้

 

Don`t copy text!