
ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
หลังจากสาวสกอตเดินจากห้องและเช็กเอาต์กลับเมืองกลาสโกว์ไปแล้วก็เหลือแต่ผมเพียงผู้เดียวในห้องรวม 6 เตียง ลุกไปเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกตึก รู้สึกได้ทันทีว่าวันนี้อากาศดี แดดจัดแต่เย็นสบาย
ผมเดินออกจากโฮสเทลไปยังริมฝั่งแม่น้ำดานูบ หวังจะเจอร้านอาหารเช้าและกาแฟสักร้าน ซึ่งก็เจอหลายร้านทีเดียว ทว่าปิดทุกร้าน เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ จำต้องเดินไปยังร้านสะดวกซื้อ Tesco Express บนถนนเล็กๆ ชื่อ Lonyay ใกล้ๆ สถานีเมโทร Kalvin Ter

ในแผนกขนมปังอบซึ่งอยู่ด้านท้ายสุดของร้าน ผมเลือกได้ขนมปังไส้กรอก และขนมปังรูปดาวที่มีไส้ผลไม้สีดำๆ รสหวาน ไม่รู้ว่าผลไม้อะไร แล้วกดกาแฟจากเครื่อง ทั้งหมดนี้ประมาณ 50 บาทเท่านั้น ออกไปนั่งกินที่ที่นั่งริมกระจกนอกร้าน ขนมปังเหลือนิดหน่อยก็แบ่งให้นกพิราบ เดินเล่นเลียบแม่น้ำดานูบครู่หนึ่งแล้วกลับโฮสเทลในซอย Imre แจ้งรีเซ็ปชันสาวว่าขออยู่ต่ออีกคืนในห้องพักรวม 6 เตียงเหมือนเดิม เธอบอกว่าขอเช็กก่อนว่ามีห้องว่างหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าว่างแน่นอน
แล้วเธอก็กล่าวขึ้นว่า “ว่าง” ราคาสำหรับคืนนี้ 10 ยูโร หรือ 3,120 โฟรินต์ ให้เลือกจ่ายได้ทั้ง 2 สกุลเงิน เป็นราคาที่ถูกกว่าการจองผ่านเว็บไซต์รับจองที่พัก อีกทั้งหากไม่ใช่คืนวันศุกร์และเสาร์ราคาจะถูกลงมาอีก

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็ออกทัวร์สองเท้าทันที ผ่านร้านอาหารของคนไต้หวัน ชื่อร้าน Taipei Wok บนถนน Lonyay อยู่บริเวณมุมตึกซึ่งเป็นตึกเดียวกับ Tesco Express ร้านนี้เปิดเวลาเกือบๆ เที่ยง มีทั้งก๋วยเตี๋ยวและข้าว ซึ่งกับข้าวจะปรุงสุกใส่กระบะไว้แล้ว สาวหมวยที่อาจจะเป็นเจ้าของร้าน ภรรยาเจ้าของร้าน หรือญาติเจ้าของร้าน อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นคนคอยตักอาหารให้ลูกค้า มีทั้งแบบกินที่ร้านและใส่กล่องกลับบ้าน ผมชี้ไปที่ข้าวผัด ขอให้ราดด้วยซี่โครงหมูผัดเต้าหู้ และแตงกวาผัดไข่ หยิบน้ำเปล่าจากตู้เย็น 1 ขวดเล็ก ทั้งหมดนี้ราคา 1,500 โฟรินต์ หรือประมาณ 190 บาท ได้ข้าวและน้ำแล้วผมก็ถือจานเดินลงไปยังชั้นใต้ดินของร้านซึ่งโต๊ะกินข้าวอยู่ในห้องด้านล่างนี้ เนื่องจากไม่ได้กินข้าวมานานราว 10 วัน จึงรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ แม้จะไม่ใช่อาหารไทยแต่ก็ใกล้เคียง

เติมแรงจนเต็มแล้วผมก็เดินออกจากถนน Lonyay เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน Vamhaz ข้ามถนนตรงแถวๆ สถานีรถไฟเมโทร Kalvin Ter เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน Kecskemeti เดินผ่าน Petőfi Irodalmi Múzeum หรือพิพิธภัณฑ์ทางวรรณคดีเปตเตอฟีที่อยู่ด้านขวามือ ซึ่ง ‘เปตเตอฟี’ หรือชื่อเต็ม Sándor Petőfi คือกวีและนักปฏิวัติคนสำคัญของฮังการี
เปตเตอฟี ถูกเรียกขานว่าเป็นกวีแห่งชาติ เป็นผู้แต่งเพลงชาติฮังการี ซึ่งว่ากันว่ากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวฮังกาเรียนก่อการปฏิวัติเรียกร้องเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิวัติฮังกาเรียนในปี ค.ศ. 1848 ที่เขาถือเป็นแกนนำคนสำคัญ อย่างไรก็ตามเปตเตอฟีเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1849 มีชีวิตอยู่ได้เพียง 26 ปีเท่านั้น คาดว่าเขาน่าจะโดนสังหารในการรบที่ Segesvar สมรภูมิท้ายๆ ก่อนที่ฮังการีจะพ่ายแพ้ให้กับจักรวรรดิออสเตรีย เพราะออสเตรียไปขอความช่วยเหลือจากชาร์นิโคลัสที่ 1 กษัตริย์รัสเซีย ซึ่งส่งกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่า 2 แสนนายเข้าช่วยรบ
ส่วนเมือง Segesvar ทุกวันนี้คือเมือง Sighisoara (อ่านว่า ซิกิชัวรา) ในภูมิภาคทรานซิลเวเนียของประเทศโรมาเนีย เมืองที่เป็นบ้านเกิดของ Vlad Dracula หรือ Vlad the Impaler เจ้าชายจอมโหดผู้ลือนามนั่นเอง
ปัจจุบันมีโรงเรียน ถนน และจัตุรัส ทั้งในประเทศฮังการีและบางชุมชนคนฮังกาเรียนนอกประเทศตั้งชื่อตามเปตเตอฟีมากมาย แค่ในกรุงบูดาเปสต์แห่งเดียวก็มีถนนเปตเตอฟี 11 สาย จัตุรัส 4 แห่ง แม้แต่สถานีวิทยุก็ยังมีชื่อของเขา อีกทั้งเคยปรากฏภาพของเปตเตอฟีในธนบัตรสกุลเงินโฟรินต์ของฮังการีด้วย
ผมเดินผ่านร้านอาหารชื่อ PADTHAI WOKBAR ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารไทยที่เห็นอยู่ทั่วกรุงบูดาเปสต์ แต่เมื่อดูเมนูที่ติดอยู่กับกระจกร้านแล้วเข้าใจว่าเจ้าของคงไม่ใช่คนไทย เพราะในรายการของเครื่องดื่ม ที่เป็นเบียร์ หรือ Sorok ในภาษาฮังกาเรียนนั้น จัดเอาเบียร์ไทเกอร์ไปอยู่ในกลุ่มเบียร์ไทยด้วย ทั้งที่เบียร์ยี่ห้อนี้เป็นของสิงคโปร์ และเมื่อมองเข้าไปในร้านเห็นทั้งกุ๊กและลูกค้า ไม่มีคนหน้าตาเอเชียอยู่ในนั้นเลย
เดินมาถึงโรงแรม Ritz-Carlton Budapest แล้วก็พบกับลานและสวนแบบคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ชื่อ Erzsebet Ter ชิงช้าที่เรียกว่า Budapest Eye ตั้งเด่นเห็นแต่ไกล มีลานเบียร์ที่มีทางเดินลงไปชั้นล่างซึ่งก็มีอีกลานเบียร์หนึ่งอยู่ในนั้น ร้านขายอาหารแบบแผงค้าจำพวกไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ มีคนต่อคิวยาวเหยียด น้ำพุที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นเป็นที่สนุกสนานของเด็กๆ และอีกมุมเป็นลานเพลินสำหรับวัยรุ่นไว้จับกลุ่มคุยกันหรือนั่งนอนเล่น
ชมสิ่งรื่นรมย์สายตาอยู่สักพักก็เดินทะลุสวนนี้ไปหมายจะขึ้นรถรางสาย 16 ที่จะข้ามจากฝั่งเปสต์ไปยังฝั่งบูดา แต่ไม่รู้ว่าจะใช้บริการอย่างไร ไม่รู้ว่าซื้อตั๋วตรงไหน อ่านดูที่ป้ายรถรางซึ่งใช้ร่วมกับรถเมล์ก็เขียนว่าผู้ที่ไม่มีตั๋วต้องเตรียมเงินให้พอดี 450 โฟรินต์สำหรับค่าโดยสาร แต่คลำดูในประเป๋าผมมีไม่พอดี จึงคิดว่าเดินเล่นฝั่งเปสต์นี้อีกสักนิดก่อนจะดีกว่า

จากถนน Jozsef Attila ผมเดินเข้าซอยเล็กๆ ชื่อ Hercegprimas ไป แล้วก็ต้องตะลึงกับความอลังการของสถาปัตยกรรมศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกขนาดใหญ่เบื้องหน้า นั่นคือโบสถ์ St.Stephen’s Basilica สร้างขึ้นในสไตล์นีโอคลาสสิก ค้นข้อมูลภายหลังจึงทราบว่าสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1905 ชื่อของโบสถ์ตั้งเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าสตีเฟน กษัตริย์องค์แรกของฮังการี มีพระชนม์ชีพระหว่าง ค.ศ. 975-1038 พระหัตถ์ขวาของพระองค์ถูกเก็บไว้ภายในโบสถ์แห่งนี้ ปัจจุบันเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ด้วยความยาว 87.4 เมตร กว้าง 55 เมตร และสูง 96 เมตร มีความสำคัญเป็นที่ตั้งของอาสนะสังฆราชคู่กับโบสถ์ Roman Catholic Archdiocese of Esztergom-Budapest
ผมยืนผ่อนคลายตรงบริเวณลานกว้างด้านหน้าโบสถ์ที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปอยู่ได้สักพักก็เดินกลับไปยังถนน Jozsef Attila แล้วตัดสินใจข้ามแม่น้ำดานูบด้วยเท้า เดินมุ่งหน้าสู่สะพาน Szechenyi ซึ่งเป็นสะพานแขวนความยาวรวม 375 เมตร สร้างจากเหล็กบริสุทธิ์และหิน แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1849 นอกจากสำหรับคนเดินและรถรางแล้ว ก็มีช่องจราจรสำหรับรถวิ่งฝั่งละ 2 เลนด้วย บริเวณหัวสะพานทั้ง 2 ฝั่ง มีรูปปั้นราชสีห์ขนาดใหญ่หมอบอยู่ฝั่งละ 2 ตัว ดูแล้วน่าเกรงขามราวกับมีชีวิต

สะพานนี้ถูกเรียกว่า Chain Bridge หรือสะพานแขวนมากกว่าชื่อ (Tstvan) Szechenyi ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักในการก่อสร้าง เชื่อมฝั่งเปสต์ที่มีจัตุรัส Szechenyi, วัง Gresham ที่ปัจจุบันคือโรงแรม Four Seasons และสถาบันวิชาการทางวิทยาศาสตร์แห่งฮังการี กับฝั่งบูดาที่มีจัตุรัส Adam Clark, หลักกิโลเมตรที่ศูนย์ และเชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทบูดา มีสถานีรถกระเช้าไฟฟ้าอยู่ด้านหน้า ติดๆ กันเป็นบาร์และร้านอาหาร ผมรู้สึกว่าวันนี้เดินมากไปหน่อยจนรู้สึกปวดส้นเท้าหรืออาจเป็นรองช้ำอ่อนๆ เข้าแล้ว จึงยกยอดการชมปราสาทบูดาไว้วันหลัง เดินเข้าร้านมินิมาร์ตที่ใกล้ที่สุด ซื้อเบียร์ Soproni มา 1 กระป๋องยาว ราคาประมาณ 30 บาท เปิดนั่งดื่มแก้กระหายตรงม้านั่งข้างป้ายรถเมล์

อาการปวดส้นเท้าหายไปพอสมควรจึงออกเดินไปหาป้ายรถรางริมแม่น้ำ ยิ่งเดินไปทางซ้ายมือไกลออกไปก็จะเห็นอาคารรัฐสภาอันสวยสง่าที่ตั้งอยู่ฝั่งเปสต์ชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมเดินผ่านป้ายรถรางไป 2 ป้าย เพื่อถ่ายรูปอาคารรัฐสภา สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในฮังการี แล้วขึ้นรถรางสาย 41 โดยเสี่ยงให้เงินคนขับไป 500 โฟรินต์ พร้อมคำขอโทษ ขณะที่คนขับกำลังหาเงินทอน ผมก็หาเหรียญได้ครบ 450 โฟรินต์พอดี จึงขอธนบัตร 500 โฟรินต์คืน รับตั๋วมาแล้วแหย่เข้าเครื่องปั๊มวันเวลาที่เรียกว่า Validator ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาวสวยนางหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ บอกว่าต้องดึงคันโยกเข้าหาตัวด้วย เครื่องจึงจะปั๊มให้ เธอว่าเป็น Interactive ticket หรือ ‘ตั๋วแบบโต้ตอบ’ ผมขอบคุณเธอ ดูๆ ไป นอกจากหน้าตาดีแล้วเธอยังน่าจะเป็นคนมีเสน่ห์ในการพูดจาอีกด้วย

รถรางวิ่งเลียบแม่น้ำดานูบ ผ่านปราสาทบูดาและอนุสาวรีย์เสรีภาพบนเนินเขา Gellert ด้านขวามือ ผ่านสะพาน Elizabeth ด้านซ้ายมือ ผมลงที่ป้ายหน้าโรงแรม Gellert เดินข้ามสะพานเหล็กเสรีภาพกลับไปยังฝั่งเปสต์ บนสะพานนี้การจราจรไม่คับคั่งนัก มีทางสำหรับรถยนต์ รถราง จักรยาน และคนเดิน

คนหนุ่มสาวปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน บ้างมีเครื่องดื่มจำพวกเบียร์และไวน์ในมือ ที่เป็นคู่รักมานั่งคลอเคลียเคล้าแสงแดดอุ่นยามเย็นก็มีไม่น้อย

อาการปวดส้นเท้ากลับมาอีกครั้ง คงเพราะใส่รองเท้าที่ไม่รองรับการเดินไกลๆ เข้าที่พักปุ๊บก็เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น
ตัดสินใจแน่วแน่ พรุ่งนี้จะซื้อรองเท้าคู่ใหม่