
คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
สหายสูงอายุชาวเยอรมัน ชื่อ ‘อูเวอร์’ ส่งข้อความมาบอกว่า “หากถึงฮังการีแล้วอย่าลืมลองอาหารจานเด็ดของพวกเขาชื่อ ‘กูลาส’ ให้กินกับไวน์แดงฮังกาเรียนซึ่งรสชาติดีไม่เบา” ส่วนเพื่อนชาวเซิร์บ ชื่อ ‘โกรัน’ ปัจจุบันมีครอบครัวอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก ก็ส่งข้อความมาบอกว่า “อย่าเพิ่งกินกูลาส รอด้วย” โกรันนัดหมายจะขับรถจากบ้านที่ชานกรุงปรากมาหาผมในวันพรุ่งนี้เพื่อรับไปเที่ยวต่อในประเทศเซอร์เบีย บ้านเกิดของเขา

ผมเอารูปที่ลุงอูเวอร์ส่งมาในมือถือยื่นให้เอลิซาเบธ สาวรีเซ็ปชั่นโฮสเทล ถามเธอว่า “ร้านที่เสิร์ฟกูลาสนี้มีที่ไหนแนะนำบ้าง” เธอมองหน้า แสดงอาการผิดหวังเล็กน้อย แล้วพูดว่า “มันไม่ใช่กูลาส”
รูปที่ผมให้เธอดูคืออาหารที่มีลักษณะคล้ายสตูว์เนื้อ ราดด้วยซอสสีแดงข้นๆ มีไซด์ดิชเป็นผัก มันฝรั่ง และพาสต้าชิ้นเล็กๆ เอลิซาเบธบอกว่า “นี่เรียกว่าเปอคอยต์ ในภาษาอังกฤษก็คือ ‘สตูว์’ ชาวต่างชาติเข้าใจผิดกันไปหมดว่าสิ่งนี้คือกูลาส” เธอตำหนิไกด์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ไม่ยอมให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะกูลาสคือซุป ไม่ใช่สตูว์
ผมเอาข้อความจากมือถือที่ส่งมาจากเครือข่ายโวดาโฟน ถามคำแปล เธอตอบว่ามันเป็นภาษาโรมาเนียน ไม่ใช่ฮังกาเรียน แล้วเธอก็จัดการป้อนข้อความภาษาโรมาเนียนนั้นลงในโปรแกรมแปลภาษาของกูเกิลในคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาษาฮังกาเรียน แล้วบอกกับผมเป็นภาษาอังกฤษว่า “ไม่สามารถส่ง SMS ได้นอกประเทศโรมาเนีย แต่สามารถโทรและใช้อินเตอร์เน็ตได้”
เอลิซาเบธยังบอกอีกว่าภาษาฮังกาเรียนของพวกเขามีความพิเศษโดยที่พูดกันในกลุ่มจำกัด เป็นภาษาที่มีความคล้ายกับภาษาฟินนิชของประเทศฟินแลนด์ เป็นกลุ่มภาษาที่เรียกว่า “อูราลิก” เพราะพวกเขาอพยพมาจากแถบเทือกเขาอูราลในรัสเซีย เช่นเดียวกับพวกฟินแลนด์ และเอสโตเนีย

“ประเทศของเรามีชื่อว่า Magyarország (มายาร์รอสซัก) และพวกเราคือชาว Magyar (มักยาร์)”
ผมค้นข้อมูลเพิ่มเติมก็พอสรุปได้ว่าชาวฮังกาเรียนนั้นอพยพออกจากตอนใต้ของเทือกเขาอูราลตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ย้ายถิ่นเรื่อยมาจนข้ามเทือกเขาคาร์เพเทียนเข้าสู่ลุ่มน้ำคาร์เพเทียนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 พวกเขาบุกรุก ตีเมือง ปล้นสะดมไปในหลายภูมิภาคของยุโรป โดยเฉพาะทางตะวันตกและคาบสมุทรบอลข่าน จนกระทั่งพระสันตะปาปาให้การยอมรับการตั้งถิ่นฐานของชาวฮังกาเรียนใน ค.ศ. 1001 หลังจากพระเจ้าสตีเฟนที่ 1 เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก กลายเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชอาณาจักรฮังการี จากนั้นฮังการีก็มีความสำคัญในยุโรปกลางและตะวันออก โดยเฉพาะบทบาทการเป็นหน้าด่านในการต่อสู้ปกป้องการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมัน
ผมถามถึงร้านกูลาสอีกคร้ง เอลิซาเบธแนะนำว่าในรัศมีที่เดินได้สะดวกก็ต้องร้านชื่อ ‘For Sale Pub’ บนถนน Vamhaz Krt. เป็นทั้งร้านอาหารและบาร์ในที่เดียวกัน อยู่ใกล้ๆ สะพานเสรีภาพฝั่งนี้ (เปสต์) ซึ่งเป็นฝั่งเมือง ผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าฝั่งบูดาที่ส่วนใหญ่มีสภาพพื้นที่เป็นเนินเขา
เดินเร็วๆ แค่ประมาณ 5 นาทีก็ถึง For Sale Pub กะจะเข้าไปสั่งกูลาสกับไวน์แดง แต่ลูกค้าเต็มร้านและดูเหมือนทุกโต๊ะจะรอกินกูลาสกันทั้งนั้น ความหิวของผมรอไม่ได้ จึงเดินไปยังร้านฟาสต์ฟู้ดใกล้ตีนสะพาน คิดเสียว่าอย่างน้อยก็ยังไม่ผิดสัญญากับโกรัน
จัดการกับแฮมเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายส์แล้วผมก็เดินกลับไปยังร้าน For Sale Pub อีกครั้ง มีที่นั่งว่างพอดีตรงหน้านักดนตรีอคูสติกรุ่นเก๋า 2 คน ซึ่งหากไม่ใช่คนเยอรมันก็น่าจะเป็นออสเตรียน เพราะทุกครั้งที่เสียงปรบมือดังขึ้นหลังเพลงจบ ลุงนักร้องก็จะกล่าวว่า “ดังเค เชิน”
ผมสั่งเบียร์ Soproni มา 1 ไพต์ ร้านนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนเน้นรับประทานอาหาร ชั้นล่างตกแต่งคล้ายๆ โรงนา เสาและโต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้ มีฟางข้าวอยู่ตามมุมต่างๆ และบนพื้น บนผนังและเพดานเอากระดาษขนาด A4 ที่พิมพ์ด้วยคำว่า ‘For Sale Pub’ ติดเต็มทุกพื้นที่จนแน่น บนโต๊ะมีถั่วลิสงอบทั้งเปลือกวางไว้เต็มตะกร้าใบเขื่องให้กินฟรีไม่อั้น บรรดาลูกค้าแกะถั่วใส่ปากแกล้มเบียร์แล้วทิ้งเปลือกลงพื้น
ยอมรับว่าผมเพลินกับเบียร์ ถั่วลิสงอบ และเพลงโอลด์สคูลของ 2 ลุงเป็นอย่างมาก ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปคงไม่เพลินเท่านี้ เบียร์สดหมดไพต์ ผมสั่งเป็นแก้วขนาด 0.33 มล. หมดแก้วนี้ผมเดินกลับที่พักเข้านอนในห้องรวม 6 เตียงแต่เพียงผู้เดียว
ตื่นขึ้นมาสายๆ ของวันใหม่ มีเวลาเหลือเฟือเพราะนัดกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่จองไว้ในเวลาบ่าย 3 โมง ผมกินแพนเค้กและกาแฟที่โฮสเทลจัดไว้ให้เป็นมื้อเช้า อาบน้ำ เก็บกระเป๋า แล้วเช็กเอาต์เดินออกไป ผ่านถนน Lonyay เห็นร้าน Taiwan Wok เพิ่งเปิดพอดี จึงแวะกินข้าวของสาวไต้หวันเป็นมื้อเที่ยง
สั่งข้าวเปล่า ราดด้วยกับข้าวที่มีเฉพาะอาหารผัด 3 อย่าง แล้วเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าขวดเล็กมา 1 ขวด สาวเจ้าของร้าน ภรรยาเจ้าของร้าน หรืออาจจะเป็นญาติเจ้าของร้าน อย่างใดอย่างหนึ่งคนเดิม คิดเงินแค่ 1,100 โฟรินต์ จากที่เมื่อวานผมกินน้อยกว่านี้เธอคิดราคา 1,500 โฟรินต์ คงเห็นผมเป็นลูกค้าประจำเข้าแล้ว
ออกจากร้านข้าวของชาวไต้หวันผมก็เดินลงเมโทรสถานี Kalvin Ter สายสีเขียวไปโผล่ที่สถานี Keleti Palyaudvar หรือสถานีรถไฟกรุงบูดาเปสต์ฝั่งตะวันออก เดินอีกราว 10 นาทีก็ถึงอาคารเลขที่ 33 บนถนน Hernad
ผมต้องเดินแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปชั้น 6 (ชั้นสูงสุด) เพราะเป็นตึกโบราณไม่มีลิฟต์ เจ้าของอพาร์ตเมนต์ (เขาไม่ได้อยู่อาศัยที่นี่) ชื่อ ‘ทามัส’ อายุเกือบๆ 50 ปีเห็นจะได้ เป็นชายรูปร่างสูงโย่งผอมบาง ดูยิ้มแย้ม เป็นกันเอง ยืนต้อนรับอยู่ เขาบอกว่าห้องยังไม่พร้อม ให้ผมเอากระเป๋าเก็บไว้ก่อน แม่บ้านจะทำความสะอาดเสร็จในอีกประมาณ 20 นาที ให้ผมไปเดินเล่นหรือทำอะไรก็ได้ โดยจะขอรับค่าเช่าเลย เป็นเงิน 11,000 โฟรินต์ หรือประมาณ 1,400 บาท ถือว่าถูกมากสำหรับอพาร์ตเมนต์ 2 ห้องนอน มีห้องครัว และห้องนั่งเล่น พร้อมสัญญาณ Wifi
มิสเตอร์ทามัสให้กุญแจผมไว้แล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะออกจากอพาร์ตเมนต์ตอนไหนก็ให้เอากุญแจวางไว้ใต้กระถางต้นไม้เป็นอันเรียบร้อย แกยังบอกอีกว่าชอบเมืองไทยมาก ไปเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง ผมหยั่งเชิงว่าชอบอะไรเกี่ยวกับเมืองไทย แกตอบว่า “คนไทย อาหารไทย และชายหาดไทย” สนทนากันอีกสั้นๆ แล้วผมก็ลามิสเตอร์ทามัสเดินลงจากอาคาร
ได้ร้านนั่งรอไม่ไกลนัก ขายทั้งกาแฟและเบียร์ จึงสั่งเบียร์สดมา 1 ไพต์ ที่ไม่กินกาแฟเพราะคิดว่าประเดี๋ยวจะของีบเสียหน่อย ได้เบียร์ยี่ห้อ Dreher ซึ่งเป็นของท้องถิ่น (แต่ปัจจุบันเจ้าของคือ Asahi บริษัทเครื่องดื่มจากญี่ปุ่น) ราคาแค่ 400 โฟรินต์ หรือประมาณ 50 บาท ผมยินดีจ่ายให้กับบริกรไป 500 โฟรินต์ รับมานั่งดื่มที่โต๊ะนอกร้านซึ่งอากาศกำลังดีมาก เป็นวันแรกที่ผมกล้านุ่งกางเกงขาสั้น สำหรับรสชาติของ Dreher นั้นผมชอบกว่า Soproni และ Borsodi เพียงแต่ไปที่ไหนก็เจอแต่ Soproni และ Borsodi เพิ่งได้ลอง Dreher ก็คราวนี้
เบียร์กำลังจะหมดไพต์ โกรันโทรศัพท์มาบอกว่าขณะนี้ยังอยู่กรุงปราก มีปัญหาด่วนหลายอย่างต้องจัดการ และเสร็จไม่ทันที่จะเดินทางในวันนี้ ซึ่งจากปรากมายังบูดาเปสต์ใช้เวลาขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง ขอให้ผมสนุกคนเดียวไปก่อน พรุ่งนี้เจอกันแน่นอน
ผมอึ้งไปเลย วางสายแล้วสั่งเบียร์มาอีกไพต์โดยสัญชาตญาณ หมดไพต์นี้ก็เดินกลับอพาร์ตเมนต์ที่ได้รับการทำความสะอาดและพร้อมสำหรับผู้เช่าแล้ว ในห้องนั่งเล่นมีวิทยุขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง คะเนแล้วอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปี ผมหมุนไปเจอคลื่นเพลงแจ๊ซ แล้วเข้าห้องนอนไปงีบโดยเปิดประตูค้างไว้เพื่อให้ยังคงได้ยินเสียงเพลง เบียร์ปริมาณไม่มากจะเป็นยานอนหลับชนิดดี และหลับไม่นานจนเกินไป
ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ลงจากอาคาร เลี้ยวซ้ายออกจากถนน Hernad เดินไปบนถนน Istvan มุ่งสู่ถนน Dozsa Gyorgy Way ซึ่งเป็นถนนเส้นใหญ่ เลี้ยวซ้ายเดินเลียบถนนเส้นนี้ไป ขวามือคืออุทยาน Varosliget หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า City Park
ผ่านร้านอาหารชื่อ Paprika ริมถนนด้านซ้ายมือ เป็นร้านที่มิสเตอร์ทามัส เจ้าของอพาร์ตเมนต์แนะนำว่าซุปเนื้อ ‘กูลาส’ ของที่นี่ขึ้นชื่อไม่เบา นอกจากนี้ ‘ปาปริก้า’ อาหารประจำชาติอีกจานของฮังการีตามชื่อของร้านก็น่าลอง โดยเฉพาะ ‘ไก่ปาปริก้า’ ซึ่งเป็นสตูว์ไก่ชิ้นใหญ่ ราดด้วยซอสพริกปาปริก้ารสจัดจ้าน อาจจะผสมซอสมะเขือเทศเข้มข้นและน้ำมันมะกอกด้วย ส่วนมากจะเสิร์ฟพร้อม Nokedli หรือหมี่ก้อนจิ๋วๆ มาในจานเดียวกัน หรือจะเปลี่ยนเป็นข้าวสวย ลูกเดือย หรืออย่างอื่นก็ไม่ผิดธรรมเนียม เดินผ่านร้านนี้ไปด้วยอาการเคืองโกรันนิดๆ ที่น่าจะมาถึงตั้งแต่เย็นนี้จะได้พิสูจน์อาหารฮังกาเรียนให้รู้ดำรู้แดงกันเสียเร็วๆ
เดินถึงสี่แยกผมก็ข้ามไปยังฝั่งขวาของถนน เดินเลียบ City Park ไปได้สองสามนาทีก่อนจะถึง Hall of Art หรือ Palace of Art ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ก็เจอ Timewheel หรือ ‘วงล้อเวลา’ นาฬิกาทรายขนาดยักษ์ สร้างขึ้นใช้งานเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 เพื่อฉลองการเข้าสู่การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของฮังการี พร้อมๆ กับอีก 9 ประเทศ

วงล้อเวลานี้มีลักษณะเป็นวงกลมตั้ง สร้างด้วยวัสดุผสมหลายชนิด หนักถึง 60 ตัน ตรงกลางส่วนที่ปกติบรรจุทรายก็ใช้กรวดแก้วบรรจุแทน ซึ่งจะค่อยๆ ไหลลงด้านล่าง เมื่อเวลาครบ 1 ปีในคืนส่งท้ายปีเก่า กรวดแก้วก็จะไหลลงมาหมดพอดีแล้ววงล้อเวลาก็จะหมุน 180 องศากลับขึ้นไป เพื่อที่จะรออีก 365 วันกว่ามันจะหมุนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามการหมุนที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ หากแต่ต้องใช้แรงงานคน 4 คน ดึงเชือกเหล็กเป็นเวลาถึง 45 นาที กว่าจะหมุนได้ครบรอบ
ถัดจากวงล้อเวลาก็เป็นวังศิลปะซึ่งอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของ Hosok Tere (Hero’s Square) หรือ ‘จัตุรัสวีรชน’ หันหน้าประจันกับพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

สำหรับจัตุรัสวีรชนนั้น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1896 เพื่อรำลึกวาระครบรอบ 1 พันปีที่ชาวฮังกาเรียน หรือชาว ‘มักยาร์’ ได้เข้ามายึดครองดินแดนระหว่างเทือกเขาคาร์เพเทียน ปลายอีกด้านหนึ่งของจัตุรัสที่หันหน้าให้กับถนนใหญ่ Andrassy Krt. คือกลุ่มของอนุสาวรีย์วีรชน มีรูปปั้นหัวหน้าเผ่าทั้งเจ็ดของชาวมักยาร์ และบรรดาอดีตผู้นำคนสำคัญของประเทศ รวมถึงหลุมฝังศพของทหารนิรนาม

ด้านหลังของจัตุรัสวีรชนคือทะเลสาบ Varosligeti-to ส่วนหลังทะเลสาบเยื้องไปทางขวามือคือปราสาท Vajdahunyad ซึ่งสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างจัตุรัส โดยการนำอาคารที่มีชื่อเสียงทั่วราชอาณาจักรฮังการีมาสร้างเลียนแบบและย่อขนาด มีทั้งสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ โกธิก บาโรก และเรเนอซ็องซ์
ลึกเข้าไปในอุทยานยังมี Petőfi Hall ซึ่งผมได้กล่าวถึงความสำคัญของกวีหนุ่มและนักปฏิวัตินาม Sándor Petőfi ผู้จุดประกายการต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรียไปเมื่อตอนที่แล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ยานพาหนะ Szechenyi Thermal Bath สปาแบบคอมเพล็กซ์ มีสระน้ำทั้งภายในและนอกอาคาร บริการนวด ซาวนา และกิจกรรมทางน้ำที่หลากหลาย ลานสำหรับจัดกิจกรรมคอนเสิร์ต สวนสนุก เวทีแสดงละครสัตว์ สวนสัตว์ และสวนพฤกษศาสตร์ บริเวณพื้นที่ 1,400 คูณ 970 เมตรในอุทยานแห่งนี้คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ จึงจะพูดได้ว่ามาถึงสถานที่แล้วจริงๆ

ตัวผมเองค่อนข้างฉาบฉวยด้วยเวลามีจำกัด และตอนนี้ก็เย็นพอสมควรแล้วจึงเดินออกจากจัตุรัสวีรชน ที่ปลายถนน Andrassy Krt. มีสถานีเมโทร Hosok tere (Hero’s square) ของสายสีเหลือง ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินลำดับที่ 2 ของโลก (เก่าแก่เป็นรองเพียงรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอนของอังกฤษที่เปิดใช้ก่อนไม่กี่ปี) เปิดใช้เมื่อปี ค.ศ. 1896
ทั้งถนน Andrassy Krt. จัตุรัสวีรชน และรถไฟใต้ดินสายนี้ได้ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเป็นที่เรียบร้อยเมื่อปี ค.ศ. 2002
รถไฟใต้วิ่งอยู่ใต้ถนน Andrassy Krt. ถนนแบบอเวนิว ยาวประมาณ 2 กิโลเมตรครึ่ง เป็นถนนสายสำคัญที่นำผู้คนเข้าสู่ใจกลางเมือง อาคารสองฝั่งของถนนนี้จะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนมีฐานะ และอาคารร้านค้าที่สร้างขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ ผ่านสถานที่สำคัญ เช่น Saxon Art Gallery, House of Terror พิพิธภัณฑ์ที่ของสะสมและสิ่งแสดงล้วนสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความกลัวในยุคที่ระบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองฮังการี, National Opera House หรือโรงละครโอเปร่าแห่งชาติ

ผมนั่งเมโทรมาโผล่ที่สถานี Opera เมื่อขึ้นมาบนพื้นถนนก็พบโรงละครโอเปร่าตั้งเด่น เดินอีกไม่ไกลนักก็ถึง Erzsebet ter (สวน Elizabeth) หรือที่ผมเรียกลานเพลิน เพราะมีกิจกรรมหลากหลายให้คนทุกเพศทุกวัยได้มาสนุกสนานกันที่นี่ เดินต่อไปยังร้านเคเอฟซีเพื่อตรวจสอบรสชาติว่าแตกต่างจากของโรมาเนียอย่างไร รู้สึกว่าสู้ไก่แดนแดรกคูล่าไม่ได้
การเดินทางคนเดียวนั้นเป็นที่ถูกจริตของผมหลายอย่าง แต่มีข้อเสียคือเมื่อถึงมื้ออาหาร พูดได้ว่าการกินคนเดียวนั้นสู้มีคนกินด้วยไม่ได้ เหมือนรสชาติอาหารจะขาดอะไรบางอย่างไปทุกครั้ง ผมจึงพึ่งพาร้านฟาสต์ฟู้ดอยู่บ่อยๆ เพราะมันเหมาะแก่การกินคนเดียว
มีย่านผับบาร์อยู่อีกฝั่งของถนน Karoly Krt. ซึ่งเป็นถนนที่อยู่ใกล้สวน Elizabeth มีเมโทรวิ่งอยู่ข้างใต้ ผมเดินข้ามฝั่งไป แต่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าร้านไหน อ้อยอิ่งอยู่จนอากาศเริ่มหนาว จึงเดินไปตามถนน ถึงสถานีเมโทร Astoria ก็ลงไป เจอป้ายิปซีวางของขายระเกะระกะ และคาดเดาได้ว่าแกน่าจะใช้สถานีเมโทรแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับสำหรับบางคืน

นั่งเมโทรผ่าน 3 สถานีก็โผล่ขึ้นที่สถานี Keleti Palyaudvar ซึ่งเชื่อมติดกับสถานีรถไฟกรุงบูดาเปสต์ฝั่งตะวันออก เดินเข้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ต ชื่อ SPAR ซื้อไข่ไก่ 1 แพ็กเล็ก และนมวัว 1 กล่อง ตั้งใจจะให้เป็นมื้อเช้าพรุ่งนี้ กีวีแพ็ก 1 กิโลกรัมไว้เสริมวิตามินซี ป้องกันการเป็นหวัดระหว่างเดินทาง ส่วนไวน์แดง Egri Bikaver 1 ขวด และเบียร์ Dreher แบบธรรมดาและแบบดาร์กอย่างละกระป๋องยาวไว้สนับสนุนการนอนหลับ ทั้งหมดนี้แคชเชียร์คิดเงินประมาณ 400 บาทเท่านั้น โดยไวน์แดงที่ในอดีตมีตำนานเล่าขานกันว่ามีการผสมเลือดวัวตัวผู้เข้าไปด้วย ราคาถูกเหลือเชื่อ ไม่ถึง 100 บาทด้วยซ้ำ
เดินกลับที่พัก เก็บของในตู้เย็น มีคนมาเคาะประตู เปิดดูคือมิสเตอร์ทามัส ก่อนนี้ผมได้แจ้งเขาทางโทรศัพท์ว่าจะขออยู่ต่อพรุ่งนี้อีกคืนเพราะเพื่อนที่นัดไว้ยังไม่มา เขาบอกว่าอพาร์ตเมนต์ห้องติดๆ กันซึ่งก็เป็นของเขาเองมีเพื่อนมาเช่าและพอดีมีธุระคุยติดพันกันอยู่ จึงรอเก็บค่าเช่าล่วงหน้าจากผมสำหรับคืนพรุ่งนี้เสียเลย และขอให้วางกุญแจไว้ใต้กระถางต้นไม้ลายแทงที่เดิมตอนผมจะออกไปวันมะรืน
มิสเตอร์ทามัสลดราคาให้สำหรับคืนพรุ่งนี้ จากปกติ 11,000 โฟรินต์ เหลือ10,000 โฟรินต์ เพราะเห็นว่าคืนนี้ผมนอนคนเดียว ที่เก็บผมไปเมื่อบ่ายวันนี้เป็นราคาสำหรับ 2 คน รับค่าเช่าแล้วเขาก็ลากลับบ้าน
ผมหาที่เปิดไวน์อยู่นานก็ไม่เจอ ซึ่งเข้าใจว่าไม่มี จึงเปิด Dreher ชนิดดาร์กแทน และเพียงกระป๋องเดียว เครื่องดื่มสนับสนุนการนอนหลับก็ออกฤทธิ์ทันที